ภาคที่ 2 มรรคาแห่งศาสนาตะวันออก
บทที่ 8 ลัทธิเต๋า
ในระหว่างความคิดสองแนวของจีน คือลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื้อนั้น ลัทธิเต๋ามีคำสอนลึกซึ้งซึ่งอยู่ในประเด็นที่จะนำมาเปรียบเทียบกับฟิสิกส์สมัยใหม่ เช่นเดียวกับศาสนาฮินดูและพุทธศาสนา ลัทธิเต๋ามุ่งสนใจในญาณปัญญามากกว่าความรู้เชิงเหตุผล ลัทธิเต๋ายอมรับข้อจำกัดและความเป็นสิ่งสัมพัทธ์ของโลกแห่งความนึกคิดเชิงเหตุผล ดังนั้นลัทธิเต๋าโดยพื้นฐานจึงเป็นหนทางแห่งความอิสระจากโลกแห่งเหตุผล และในแง่มุมนี้จึงอาจเทียบเท่ากับวิถีแห่งโยคะหรือเวทานตะในศาสนาฮินดู หรืออริยมรรคมีองค์แปดของของพุทธศาสนา ในขอบเขตของวัฒนธรรมจีน ความเป็นอิสระอย่างของเต๋ามีความหมายค่อนข้างชัดเจนว่า คือความเป็นอิสระจากกฎเกณฑ์ที่ตายตัวในทางสังคม ความไม่เชื่อในความรู้และเหตุผลซึ่งมนุษย์กำหนดขึ้นเป็นแบบแผนต่างๆนั้นปรากฏชัดเจนในลัทธิเต๋ามากกว่าในปรัชญาสาขาใดๆของตะวันตก สิ่งนี้มีรากฐานอยู่บนความเชื่อที่แน่นแฟ้นว่าความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ไม่อาจเข้าใจเต๋าได้ จางจื้อได้กล่าวว่า
ความรู้ที่กว้างขวางที่สุดไม่จำเป็นว่าจะต้องรู้มันด้วยเหตุผลจะไม่ทำให้คนฉลาดในเรื่องราวของมัน ปราชญ์ย่อมตัดสินว่าทั้งสองวิธีนี้ใช้ไม่ได้
คัมภีร์ของจางจื้อเต็มไปด้วยข้อความซึ่งสะท้อนความดูแคลนของเต๋าต่อเหตุผลและการโต้เถียง ดังที่ท่านกล่าวว่า
สุนัขไม่ได้เป็นสุนัขดีเพราะมันเห่าเก่ง คนไม่ได้เป็นคนฉลาดเพราะพูดเก่ง และการโต้เถียงพิสูจน์ถึงการเห็นที่ไม่ชัดเจน
ในทัศนะของเต๋า การคิดหาเหตุผลในเชิงตรรกะเป็นส่วนของโลกแห่งสมมติของมนุษย์ เป็นส่วนของค่านิยมในสังคมและมาตรฐานทางศีลธรรม พวกเขาไม่สนใจในโลกดังกล่าวนี้ แต่มุ่งความสนใจทั้งหมดไปในการเฝ้าสังเกตุธรรมชาติเพื่อความประจักษ์แจ้งใน “ ลักษณะแห่งเต๋า ” ดังนั้นผู้นับถือเต๋าจึงมีทัศนะซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์โดยพื้นฐาน เพียงแต่ความไม่เชื่อในวิธีการวิเคราะห์วิจารณ์ของพวกเขา ทำให้ไม่อาจสร้างเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมาได้เท่านั้น อย่างไรก็ตามการสังเกตธรรมชาติอย่างละเอียดรอบคอบ พร้อมทั้งการเพ่งเพียรที่จริงจัง ได้ทำให้ปราชญ์ของเต๋าบรรลุญาณทัสนะอันสุขุมลุ่มลึกซึ่งได้รับการยืนยันโดยทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
8.1 การชับเคี่ยวระหว่างขั้ว
ญาณทัสนะที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของเต๋าก็คือ การประจักษ์แจ้งในความจริงที่ว่าการเปลี่ยนแปลงกลับกลายเป็นลักษณะสำคัญของธรรมชาติ ข้อความในคัมภีร์จางจื้อได้แสดงอย่างชัดเจนว่า การสังเกตโลกแห่งสรรพชีพได้ให้ความรู้ในเรื่องความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญขั้นพื้นฐาน
ในการเปลี่ยนแปลงการเติบโตของสรรพสิ่ง ตาไม้ทุกตา และรูปลักษณะทุกรูปต่างมีรูปทรงที่แน่นอนของมัน ในสิ่งเหล่านี้มีการเจริญและการเสื่อมสลายอย่างต่อเนื่อง กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงกลับกลายอันไหลเลื่อนอย่างสม่ำเสมอ
ผู้นับถือเต๋ามีทัศนะว่า การเปลี่ยนแปลงทั้งมวลในธรรมชาติเป็นการปรากฏแสดงของการขับเคี่ยวระหว่างขั้วตรงกันข้ามคือหยินและหยัง ดังนั้นผู้นับถือเต๋าจึงเชื่อว่าคู่ตรงข้ามใดๆก็ตาม ต่างเชื่อมสัมพันธ์กันอย่างเคลื่อนไหว สำหรับจิตใจแบบตะวันตกแล้ว ความคิดที่ว่าสิ่งตรงกันข้ามทั้งมวลต่างเป็นเอกภาพนั้นเป็นสิ่งที่รับได้ยากยิ่ง มันดูเหมือนผิดธรรมดาเป็นอย่างยิ่งเมื่อประสบการณ์และคุณค่าต่างๆ ซึ่งเราเชื่อมาโดยตลอดว่าเป็นสิ่งตรงกันข้าม ควรเป็นแง่มุมที่ต่างกันของสิ่งเดียวกัน อย่างไรก็ตามในตะวันออกถือกันว่าการจะรู้แจ้งได้นั้น บุคคลจะต้อง “ ก้าวพ้นสิ่งที่เป็นคู่ตรงข้ามในโลก ” ในจีนความสัมพันธ์เชิงขั้วของสิ่งตรงกันข้ามทั้งมวลเป็นพื้นฐานอย่างยิ่งของความคิดของเต๋า ดังที่จางจื้อกล่าวว่า
“ นี่ ” ก็คือ “ นั่น ” “ นั่น ” ก็คือ “ นี่ ” เมื่อทั้ง “ นั่น ” และ “ นี่ ” ต่างหยุดเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน นั่นเป็นแก่นแท้ของเต๋า แก่นแท้นี้เท่านั้นที่เป็นศูยน์กลางของวงเวียนแห่งการเปลี่ยนแปลงไม่รู้หยุด
จากความคิดที่ว่าการเคลื่อนไหวของเต๋าเป็นการขับเคี่ยวอย่างต่อเนื่องของสิ่งที่ตรงกันข้าม ผู้นับถือเต๋าจึงได้สรุปเป็นกฎสองประการสำหรับการกระทำของมนุษย์เมื่อใดก็ตามที่เราต้องการจะได้สิ่งใด เราควรจะเริ่มจากสิ่งที่ตรงกันข้าม ดังที่เหล่าจื้อกล่าวว่า
จะยุบอะไรสักสิ่ง ควรจะขยายมันก่อน จะทำให้อ่อนแอ ต้องทำให้เข้มแข็งก่อน จะกำจัด ต้องเชิดชูก่อน จะรับ ต้องให้ก่อน นี่เรียกว่าปัญญาอันลึกซึ้ง
ในอีกทางหนึ่ง เมื่อเราต้องการจะรักษาสิ่งใดไว้ เราควรยอมรับในสิ่งที่เป็นตรงกันข้าม
จงโค้งคำนับ แล้วท่านจะยืนตรงอยู่ได้
จงทำตัวให้ว่างเปล่า แล้วท่านจะเต็มอยู่เสมอ
จงทำตัวให้เก่า แล้วท่านจะใหม่อยู่เสมอ
นี่เป็นวิถีของปราชญ์ผู้บรรลุถึงทัศนะอันสูงส่ง ซึ่งสัมพันธภาพและความสัมพันธ์เชิงขั้วของสิ่งตรงกันข้ามทั้งมวล ปรากฏในความรับรู้ของท่านอย่างแจ่มแจ้งสิ่งตรงข้ามเหล่านี้มีอาทิ สิ่งแรกและสิ่งสุดท้าย ความคิดเรื่องดีและเลว ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในลักษณะเดียวกับหยินและหยัง เมื่อทั้งดีและเลวและมาตรฐานทางศีลธรรมทั้งหมดถูกเห็นเป็นสิ่งสัมพัทธ์ ปราชญ์เต๋าจึงไม่เพียรพยายามเพื่อบรรลุคุณความดี แต่จะรักษาสมดุลระหว่างความดีและเลว จางจื้อเห็นประเด็นนี้อย่างชัดเจน
คำกล่าวที่ว่า “ เราจะไม่กระทำตามและเชิดชูความถูกต้อง และไม่เกี่ยวข้องกับความผิด ใช่หรือไม่ ” และ “ เราจะไม่เชื่อฟังและเชิดชูผู้ปกครองที่ดี และไม่เกี่ยวข้องกับผู้ปกครองที่เลว ใช่หรือไม่ ” แสดงความปรารถนาที่จะทำความคุ้นเคยกับหลักการของฟ้าและดินและคุณภาพที่แตกต่างกันของสรรพสิ่ง เป็นการง่ายที่จะกระทำตามและเชิดชูฟ้า และไม่สนใจต่อดิน เป็นการง่ายที่จะกระทำตามและเชิดชูหยิน และไม่สนใจหยัง เป็นที่ชัดเจนว่า วิถีทางเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ
8.2 ทีหลังต่อจากทีแรก
เป็นที่น่าประหลาดใจว่า ในเวลาเดียวกับที่เหล่าจื้อและสานุศิษย์ของท่านได้พัฒนาโลกทัศน์ของตน คุณลักษณะสำคัญแห่งทัศนะแบบเต๋านั้นเป็นสิ่งที่สอนกันในกรีกเช่นเดียวกัน โดยบุคคลซึ่งคำสอนของเขาเป็นที่รู้จักเพียงบางส่วนและผู้ซึ่งถูกเข้าใจผิดตลอดมาจนปัจจุบัน ชาวเต๋าแห่งกรีกผู้นี้ก็คือ เฮราคลิตัสแห่งเอเฟซัส เฮราคลิตัสมีทัศนะคติเช่นเดียวกับเหล่าจื้อ ไม่เพียงแต่เน้นถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเขาแสดงออกในประโยคซึ่งมีชื่อเสียงว่า “ ทุกสิ่งเลื่อนไหล ” เท่านั้น แต่ยังมีทัศนะที่ว่า การเปลี่ยนแปลงทั้งมวลมีลักษณะเป็นวงเวียน เขาเปรียบเทียบโองการแห่ง “ ดวงไฟอันนิรันดร บางครั้งลุกโพลง และบางครั้งมอดลง ” ซึ่งคล้ายคลึงกับแนวคิดของจีนในเรื่องเต๋า ซึ่งแสดงตัวมันเองออกมาในการขับเคี่ยวในลักษญะวงเวียนระหว่างหยินกับหยาง
ความคิดที่ว่าความเปลี่ยนแปลงเป็นการขับเคี่ยวระหว่างสิ่งที่ตรงกันข้ามได้นำเฮราคลิตัสกับเหลาจื้อมาสู่การค้นพบว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามทั้งมวลมีลักษณะเป็นขั้วตรงกันข้าม และในขณะเดียวกันก็เป็นเอกภาพ “ทางขึ้นและลงเป็นทางเดียวและเหมือนกัน” เฮราคริตัสกล่าว “ พระเจ้าคือ กลางวัน กลางคืน ฤดูหนาว ฤดูร้อน สงคราม สันติภาพ ความอิ่ม และความอดอยากหิวโหย ” เช่นเดียวกับผู้นับถือเต๋า เฮราคริตัสมีทัศนะว่าคู่ตรงข้ามทุกคู่เป็นเอกภาพ และเขาตระหนักดีถึงความเป็นสิ่งสัมพัทธ์ของความคิดเหล่านี้ทั้งหมด เขายังได้กล่าวไว้ว่า “ สิ่งที่เย็นกลับกลายเป็นอุ่น สิ่งที่อุ่นกลับเป็นเย็น สิ่งที่ชื้นกลับแห้ง สิ่งที่แห้งกลับเปียก ” นี้ได้ทำให้เรานึกถึงคำกล่าวของเหลาจื้อที่ว่า “ ง่ายทำให้เกิดยาก…เสียงก้องทำให้ไพเราะ ทีหลังต่อจากทีแรก ”
เป็นที่น่าประหลาดใจที่ว่าความคล้ายคลึงกันอย่างมากในทัศนะของปราชญ์ทั้งสองแห่งศตวรรษที่หกก่อน
คริสตกาลไม่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป เฮราคริตัสมักจะถูกเอ่ยถึงเชื่อมโยงกับฟิสิกส์สมัยใหม่ แต่แทบจะไม่เคยเอ่ยถึงเฮราคริตัสกับเต๋าเลยและความเกี่ยวโยงกับเต๋านี้เองเป็นสิ่งที่แสดงได้อย่างดีที่สุดว่า ทัศนะของเฮราคริตัสแฝงในเชิงศาสนา จึงทำให้ความคล้ายคลึงระหว่างความคิดของเฮราคริตัสกับความคิดในวิชาฟิสิกส์สมัยใหม่เป็นสัดส่วนที่เหมาะสมกันในทัศนะของข้าพเจ้า
เมื่อเรากล่าวถึงความคิดของเต๋าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง สิ่งสำคัญคือ ต้องระลึกเสมอว่า การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้มิใช่เกิดจากแรงผลักดันภายนอก หากเป็นแนวโน้มภายในของสรรพสิ่งและเหตุการณ์ทั้งมวล การเคลื่อนไหวของเต๋า ไม่มีตัวการผลักดันแต่การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดโดยธรรมชาติ ความเป็นไปเองของกฎแห่งการกระทำของเต๋า และในเมื่อการกระทำของมนุษย์ควรที่จะจำลองเอามาจากวิถีทางของเต๋า ความเป็นไปเองจึงควรเป็นลักษณะสำคัญของการกระทำทั้งมวลของมนุษยชาติ สำหรับเต๋าการกระทำที่สอดคล้องกับธรรมชาติแท้ของบุคคลมันหมายถึงความเชื่อมั่นต่อปัญญาญาณของบุคคล ซึ่งเป็นเนื้อหาของใจมนุษย์เช่นเดียวกับที่กฏของการเปลี่ยนแปลงเป็นเนื้อหาของสรรพสิ่งรอบ ๆ ตัวเรา
การกระทำของปราชญ์เต๋า จึงเกิดจากปัญญาญาณของท่านเป็นไปเองและสอดคล้องกับสภาพการณ์แวดล้อม ท่านไม่จำเป็นต้องบีบบังคับตนเองหรือสิ่งต่าง ๆ รอบกายท่าน เป็นแต่เพียงปรับการกระทำของท่านให้เข้ากับการเคลื่อนไหวของเต๋า ฮวยหนั่นจื้อกล่าวไว้ว่า
ผู้ซึ่งกระทำตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ย่อมไหลไปในกระแสของเต๋า
การกระทำในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกกันในปรัชญาเต๋าว่า อู่-วุ่ยมีความหมายตามพยัญชนะว่า “ไม่กระทำ” โจเซฟ นีดแฉม แปลความว่า “ละเว้นจากการกระทำที่ขัดแย้งกับธรรมชาติ” เราอาจจะ เทียบความหมายนี้กับคำกล่าวของจวงจื้อ ดังนี้
การไม่กระทำนี้ มิได้หมายถึงการไม่ทำอะไรเลยและอยู่อย่างนิ่งเฉย หากเป็นการปล่อยให้ทุกสิ่ง ดำเนินไปตามที่มันเป็นในธรรมชาติ เพื่อให้ธรรมชาติของมันพึงพอใจ
หากว่าเราละเว้นจากการกระทำที่ขัดแย้งกับธรรมชาติ หรือดังที่โจเซฟ นีลแฮม กล่าวไว้ว่า จาก “ การดำเนินที่ขัดแย้งกับแก่นแท้ของสิ่งทั้งหลาย ” เราก็จะดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับเต๋า ซึ่งจะได้รับความสำเร็จ
นี่คือความหมายของคำกล่าวซึ่งดูจะเป็นปริศนาของเหลาจื้อที่ว่า “โดยการไม่กระทำ ทุกสิ่งก็สำเร็จลงได้”
8.3 ไม่รู้ว่าตนรู้นั้นดีสุด
ความแตกต่างกันระหว่างหยินกับหยางมิใช่เป็นแต่เพียงกฎเกณฑ์พื้นฐานของวัฒนธรรมจีนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนออกมาในแนวคิดใหญ่สองแนวของจีน ลัทธิขงจื้อนั้นเต็มไปด้วยเหตุผลมีลักษณะเข้มแข็งอย่างชาย กระตือรือร้นและมีอำนาจในทางตรงกันข้าม ลัทธิเต๋านั้นเต็มไปด้วยลักษณะแห่งญาณปัญญา นุ่มนวลอย่างหญิงลึกซึ้งและอ่อนน้อม เหลาจื้อกล่าวว่า “ ไม่รู้ว่าตนรู้นั้นดีที่สุด ” และ “ ปราชญ์ย่อมกระทำกิจโดยปราศจากการกระทำ และสอนโดยปราศจากคำพูด ” ผู้นับถือเต๋าเชื่อว่าโดยการเปิดเผยส่วนที่เป็นความนุ่มนวลอย่างหญิง และความอ่อนน้อมแห่งธรรมชาติของมนุษย์ ก็จะเป็นการง่ายที่สุดที่จะนำชีวิตซึ่งได้ดุลอย่างสมบูรณ์ให้สอดคล้องกับเต๋า อุดมคติของเต๋าอาจสรุปรวมได้อย่างดีที่สุดในคำกล่าวของจางจื้อ ซึ่งอธิบายถึงสวรรค์แห่งเต๋า
ในอดีตกาล ขณะที่ความยุ่งยากสับสนยังไม่เกิด บุคคลได้ดำรงอยู่ในความสงบซึ่งเป็นสมบัติของโลกทั้งหมด ในขณะนั้นหยินและหยางสอดคล้องต้องกันและคงสงบนิ่งอยู่ การหยุดและการเคลื่อนไหวเป็นไปโดยปราศจากอุปสรรค ฤดูกาลทั้งสี่ถูกต้องตามกำหนด ไม่มีสักสิ่งที่ได้รับอันตรายและไม่มีสิ่งมีชีวิตใดตายก่อนกำหนด มนุษย์อาจจะมีความรู้มากมายแต่ไม่มีโอกาสที่จะใช้มัน นี่คือสิ่งที่เรียกว่าสภาวะแห่งเอกภาพสมบูรณ์ ในเวลาเช่นนี้ ไม่มีการกรำทำบนหนทางของผู้ใด คงมีแต่การปรากฏแสดงอย่างสม่ำเสมอของความเป็นไปเอง
http://www.dharma-gateway.com/misc/misc_tao_of_physics_08.htm