ผู้เขียน หัวข้อ: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?  (อ่าน 10309 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2010, 09:37:36 am »
คำพูดเตือนใจ อันหนึ่งที่เธอชอบมาก คือ
คำพูดถ้ายังอยู่ในปาก เราจะเป็นายของมัน
แต่เมื่อไดก็ตามที่มันหลุดออกจากปากเราไปแล้ว
มันจะกลายเป็นนายของเรา
ตราบใดที่เรายังอ้าปาก  วจีกรรมจะยังเกิดเสมอ
ที่สำคัญ เมื่อเราปรุงแต่งถ้อยคำ แล้ว นำมันออกจากปาก
เราไม่สามารถคาดคะเนได้เลย ว่า
คนฟังจะเกิดการปรุงแต่ง
และรู้สึกอย่างไรกับวจีกรรมที่เราสร้างขึ้น

เฮ้อ ... เดินจงกรมไป ก็นึกถึงความน่ากลัวของ วจีกรรม ไป
สุดท้าย  หนูบัวฯ ก็นึกอยากเป็นหญิงใบ้ที่พูดไม่ได้ขึ้นมาซะงั้น
เข้าใจเลยนะ ว่า ทำไม พระเตมีย์ ถึงไม่ยอมพูด
ตอนนั้นเอง ที่ หนูบัวฯ  ตัดสินใจว่า
ต่อไป หนูบัวฯ จะงดการสร้าง วจีกรรม จะพูด เท่าที่จำเป็น

ซึ่งมันก็ไม่ยากหรอกนะ
ขอแค่หุบปากซะ วจีกรรมก็ไม่เกิด
ศีลข้อ 4 ของหนูบัวฯ ก็จะไม่ด่างพร้อย
เธอเคยทำได้มาแล้วสมัยอยู่มัธยม
ทำไมเธอจะหวนกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีกไม่ได้


ยิ่งถือศีลไปด้วย เดินจงกรมไปด้วย
รู้สึกว่า จิตมันไวขึ้นนิดหน่อยนะ
สำรวมมากขึ้นโดยอัตโนมัติ
เธอเปลี่ยนจากคนที่ พูดจาเจื้อยแจ้ว แง้ว ๆ ได้ตลอดเวลา
มาเป็น ผู้หญิงที่พูดช้า ๆ เนิบ ๆ โดยอัตโนมัติ

จากที่เคยโล้งเล้ง พูดจาตลกโปกฮาประจำ
ก็เปลี่ยนเป็น เจ้าหญิงกลัวดอกพิกุลทองจะร่วง โดยไม่ต้องฝืน
มันเป็นไปเองน่ะ พูดน้อยลง หนักไปทางยิ้ม ๆ ซะมากกว่า
เรียกว่า หน้ามือเป็นหลังเท้าเลย

โชคดีที่ จริตของเธอ มันค่อนข้างว่านอนสอนง่าย
คิดอะไร อยากจะทำอะไร ตั้งใจแบบไหน
มันก็เออออด้วยไม่เคยขัด
แต่คนที่อึดอัดดันเป็นคนรอบข้างซะนี่

ก็ใครบ้างล่ะจะไม่แปลกใจ
จากคนที่ใคร ๆ ก็ บอกว่า
"ขาดหนูบัวฯ ซะคน
ห้องยาเงียบบบบบบบบบบ อย่างกับป่าช้า"
(แต่เดี๋ยวนี้ ถึงมี เธอ อยู่ ก็ยังเงียบบบบบบบบบบ  เป็นป่าช้าอยู่ดี )

จำได้ว่า ตอนตั้งใจจะตัด วจีกรรม นั้น
ก็เปรย ๆ บอกชาวบ้านชาวช่องเหมือนกัน
( กลัวพวกมันจะตกใจ ที่ จู่ ๆ หนูบัวเปลี๊ยนไป๋ )
เธอจึงบอกกับ น้องดล ( ผู้ก่อตั้งชมรมคนรักพี่หนูบัวฯ )ว่า
ช่วงนี้ เธอจะหัดตัดวจีกรรม  จะพูด เท่าที่จำเป็น 
จึงอาจ เปลี่ยนลุคส์ เป็น สาว งามขรึม ไป นิดนึงนะ
ขอจงอย่ากังวลเลย หากเห็นเธอ ซึม ๆ เซื่อง ๆ ไปบ้าง

พ่อน้องชายนอกไส้ ฟังแล้วอึ้งไปพักใหญ่
แล้วก็ อ้อม ๆ แอ้ม ๆ แสดงความไม่เห็นด้วย บอกเธอว่า
" ผมว่าพี่บัวฯ เป็นอย่างเดิม ก็ดีอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องเปลี่ยนเลย "


ตอนแรกหลายคนนึกว่า หนูบัวฯ ทำเล่น ๆ
แต่พอผ่านไป  สี่ห้า วัน แล้วเห็นว่า
เธอยังคงบำเพ็ญตน เป็น สาวงามขรึม ได้อยู่ ไอ้พวกนั้นก็เริ่มขยาด
แถมไอ้เจ้าดล น้องชายนอกไส้ก็รี่เข้ามาแสดงความคับข้องใจ
( เพราะขาดคนลับฝีปากด้วย ) มันบ่นพึม
" ผมว่ามันแปลก ๆ ผมไม่เห็นด้วยเลย ที่ พี่บัวฯ จะทำงี้
กลับมาเป็นแบบเดิมดีกว่า ผมว่า มันทะแม่ง ๆ
ตั้งแต่พี่พูดว่า จะตัด วจีกรรมแล้ว "

ฟังไอ้น้องชายนอกไส้มันพูด หนูบัวฯ ก็ได้แต่ขำ ๆ
จะไม่ให้ขำได้ไงล่ะ เมื่อวันเกิดปีก่อน ( ตอนยังไม่ถือศีล )
ไอ้หนูดล คนนี้แหล่ะ ที่เขียนอวยพร ให้เธอว่า
" ขอให้พี่บัวฯ เป็นคนแบบนี้ ตลอดไปนะครับ "
จริง ๆ เธอก็อยากจะเอาหลักไตรลักษณ์
เรื่องความไม่เที่ยง มาเลคเชอร์ให้น้องมันฟังนะ
แต่เด็กวัยรุ่นใจร้อน อย่างมัน คงไม่เข้าใจหรอก

และเพราะเธอชอบหนังสือแนวจิตวิทยา
บางครั้งเธอก็เลยไปควานหามาอ่าน
ทั้ง ๆ ที่ มันไม่ใช่วิชาบังคับเลือกที่จำเป็นต้องรู้
สิ่งที่หนังสือเหล่านั้นสอนเธอ คือ
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์กับแรงกระตุ้นของจิตใต้สำนึก
การหาเหตุปัจจัย ที่ขับเคลื่อนพฤติกรรม ของคนรอบตัว
ทั้งในแง่  ความคิด การกระทำ  คำพูด และ ตัวหนังสือ

เธอสนุกกับการมองความเป็นไปของผู้คน
แล้วนำ สิ่งที่เขาแสดงออกมาวิเคราะห์เสมอ
แต่บางครั้งเธอก็มัวเล่นเกมส์วิเคราะห์ชาวบ้านเสียเพลิน
จนลืมที่จะย้อนกลับมาวิเคราะห์ตัวเอง

มาเมื่อเธอเริ่มคิดจะถือ ศีล ข้อ 4 อย่างจริงจังนั่นแหล่ะ
เธอจึงเริ่มคิดได้ และเริ่มหันกลับมามองตัวเองมากขึ้น
โดยเฉพาะ ก่อนที่เธอจะอ้าปาก พูดอะไรออกไป
เธอต้องคิดเสียก่อนว่า เจตนาของเธอนั้น คือ อะไร
พูดแล้วอาจจะกระทบความรู้สึกคนอื่นอย่างไร
และ สมควรไหมที่จะพูด ?

แถมตอนหลัง เธอไปอ่านเจอ
การพูดที่ไม่ควรพูด
 http://larndham.net/index.php?showtopic=32885&st=

เข้าให้อีก  มันยิ่งทำให้เธอต้องมานั่งทบทวนตัวเอง
แล้วตั้งคำถามขึ้นมาว่า ทำไมต้องห้ามยิบย่อยนักนะ ห้ามเพราะอะไร
ซึ่งเธอก็ได้คำตอบกลับมาว่า ยิ่งเราพูดเรื่องทางโลกมากเท่าไร
โอกาสจะเกิด การกระทบกระทั่งก็ยิ่งมีมาก
ยิ่งถ้าเป็นการพูดโดยใช้ ความรู้สึกที่ปรุงแต่ง
ยิ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวง่ายเข้าไปใหญ่
แค่ เราแนะนำ เพื่อนว่า อาหารร้านนี้ อร่อย ?
แต่ถ้า เพื่อนมันไปกิน แล้วมันกลับไม่พอใจในรสชาด
มันก็เหมือนเรา ได้ มุสา แล้วนะ แม้จะไม่เจตนาก็ตามที

หรือ ถ้าเราเตือนเพื่อน ว่า อาหารร้านนี้ ไม่อร่อย
นี่ก็กระทบแล้วนะ เราสร้างวจีกรรมกับเจ้าของร้านแล้ว
ทำให้ร้านเขาเสียชื่อ เราไม่มีสิทธิเอาความรู้สึกของตนไปตัดสินใคร
และไม่ควร เหมาเอาว่า ทุกคนต้องรู้สึก หรือ คิดอะไรเหมือนกับตัวเอง
พอคิดได้งี้แล้ว จากเดิมที่ไม่ค่อยพูดก็ยิ่งนิ่งหนักเข้าไปใหญ่
ดอกพิกุลทองแทบไม่ได้ร่วงของจากปากหนูบัวฯ อีกเลย


ปัญหาต่อมา สำหรับการถือ ศีลข้อ 4 สำหรับหนูบัวฯ
คือการเซ็นชื่อมาทำงาน ...
ครั้งหนึ่งเธอมาทำงานสายแล้วลงเวลาตามจริง
ก็มีคนบ่น ว่า จะเขียนเวลาตามจริงทำไม
เดี๋ยวคนอื่น (ที่มาสายกว่าเธอ) ก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย
ไม่ต้องเขียนเวลาตามจริงหรอก 
อย่าตรงนักเลย ซิกแซกบ้างก็ได้
ฟังแล้วทำเอาหนูบัวลำบากใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เพราะถึงยังไงเธอก็ไม่ชอบฝืนจริต ชาวบ้าน
หรือ พยายามเจ้ากี้เจ้าการตำหนิติเตียน
ให้ใครต้องมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อทำให้เธอพอใจ

เบ้าหลอมทางความคิดของ เธอ
สอนให้เคารพมุมมองของคนอื่น
แม้ว่า สิ่งที่เขามองจะแตกต่างกับสิ่งที่เธอมองจนสุดขั้วก็ตาม
ในโลกแห่งความคิดของเธอนั้น
ไม่มีอะไรถูก หรือ ผิด อย่างชัดแจ้ง
จะมีก็แต่มุมมองที่แตกต่าง 
ซึ่งก่อให้เกิดความหลากหลายทางความคิดมากขึ้นเท่านั้น

เพราะการเป็นคนช่างประนีประนอมอย่างล้นเหลือนี้เอง
ที่ทำให้หนูบัว ฯ ตะขิดตะขวงใจมาก
เรื่องการจงใจเซ็นชื่อไม่ตรงเวลาเข้าทำงานจริง
เธอไม่อยากผิดศีล ข้อ 4 ด้วยการเขียนเวลาเข้างานจอมปลอม
แต่เธอก็ไม่อยากผิดใจ กับใครด้วย
การประคับประคอง ศีลข้อ 4 ให้เป็นคนดี
โดยที่ไม่ทำให้คนอื่นขุ่นมัว (เพราะเราไปขวางทางเขา)...
มันค่อนข้างได้ยากมาก ๆ เลย เนอะ เฮ้อ...

สุดท้าย หนูบัวฯ เลยมานั่งตรองดู
แล้วตัดสินใจทำบางสิ่งที่ต่างออกไป
เธอแก้ปัญหาเรื่อง การลงเวลา ตามจริง
ด้วยการ  แหกขี้ตามาทำงานให้เช้าขึ้น  และ หลีกเลี่ยงการมาสาย
เพราะเจ้าสิ่งนี้ มันช่วยให้เธอรักษาศีลข้อ 4 ได้
โดยไม่ต้องไปทำอะไรที่กระทบความรู้สึกคนอื่น

แต่เมื่อหยุดกรรมจากการสื่อสารทางปากได้แล้ว
เธอก็ยังเผลอ พลาด  เกี่ยวกับเรื่องการสื่อสารผ่านตัวหนังสือ อยู่ดี
ปากเธอเคยเป็นอย่างไง ตัวหนังสือเธอก็ยังเป็นเฉกนั้น
ยิ่งเก็บกดไม่ค่อยได้อ้าปากพูด เท่าไร
มันก็เลยพรั่งพรูมาทางแป้นพิมพิ์ใหญ่เลย

แถม ไอดอล ประจำตัวของหนูบัว
ก็ดันไม่ใช่ นักเขียนที่ดูน่าเชื่อถือ หรือมีหลักการอะไร
เธอเบื่อหน่ายนิยายอิงคติธรรม ทุกชนิด เกลียดมันเข้าไส้
เพราะ หยิบมาอ่านทีไร ก็ต้องนั่งหาว หรือไม่ก็ สัปหงก ทุ๊กที

ตอนหลังถึงขนาดสาบานกับตัวเองว่า
เธอจะไม่ยอมเขียนอะไร ที่ " ... ลากเข้าวัด...  " เด็ดขาด !
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเห็นดอกบัวเป็นกงจักร
หันไปหลงรักสำนวนของ แม่ลูกจันทร์ ณ สำนักข่าวหัวเขียว แทน
ซึ่งมันก็เป็น เหตุปัจจัยให้ ลีลาการใช้ภาษาของเธอหวือหวา แบบนั้น

เรื่องการใช้ตัวอักษรนี่
เจ้าพี่ชายนอกไส้ที่เมล์คุยด้วย ก็เคยบ่น ประมาณว่า
" น้องบัวฯ เหมือน แม่ค้าปากตลาด "

ส่วน เจ้าเพื่อน...

เจ้าเพื่อนคนหนึ่ง เขาก็เคยบ่น ๆ ให้บัวฟัง
" อ่านเมล์ของคุณบัวฯ แล้ว ทานโทษ ผมล่ะปวดกบาล !
ถ้าเลิกใช้ สำนวน เพรียวนม แบบ 'รงษ์ วงศ์สวรรค์ ได้
จะเป็นคุณ กับการเขียนของคุณ มาก"  เขาว่างั้น

แต่ทั้งพี่ชายนอกไส้ และ เจ้าเพื่อนที่เคารพ
ก็แค่ บ่นนิดหน่อย ไม่ได้ตำหนิอะไร มาก
แถมพอฟังเธอ แว้ด ๆ บ่อยเข้า
พวกเขาก็โมเมไปว่า เธอเป็น คนปากร้ายใจดี อีกต่างหาก
ฟังแล้ว คนสวยใจดำ แบบหนูบัวฯก็เลยได้แต่ขำ
บางครั้ง ทั้งเจ้าพี่ชายนอกไส้ และ เพื่อนบังเกิดเกล้า
ก็ค่อนข้างจะตามใจหนูบัวฯ มาก ( เกินไป )
จนเธอเหลิง และ เสียนิสัยเรื่องคำพูดคำจา เลยล่ะ

มีอยู่หลายครั้งที่เธอใช้ตัวอักษรบนแป้นพิมพิ์
สร้างวจีกรรมทางไซเบอร์สเปซ
เที่ยวไล่ฟัดชาวบ้านจนแตกกระเจิง
แต่ก็ไม่มีครั้งไหน รุนแรงกระทบต่อความรู้สึกของเธอ
เท่าตอนที่เธอไปโพสกระทู้หนึ่ง
ลงในโต๊ะห้องสมุด ที่เวบพันธุ์ทิพย์ เมื่อ ประมาณ สิบปีก่อน ...

เรื่องมันเริ่มจาก เพื่อน ๆ บางคน
ทำท่าระอา กับ ภาษาประหลาด ๆ ที่ เธอใช้
แล้วมาบอกว่า นังหนูบัวฯ แกน่ะ มันพวกชอบทำภาษาไทยวิบัติ
ตอนนั้น ฟังแล้วเธอเลยเกิดอาการ ของขึ้น
คนที่ได้ สี่ วิชา ภาษาไทย มาตลอด ตั้งแต่ ประถม ยัน มัธยม
แถมด้วย เอ  thai skill ในมหาลัย อีกตัว เนี่ยนะ ทำภาษาวิบัติ
คนที่เป็นลูกศิษย์คนโปรดของ อาจารย์ภาษาไทยหลายคน
เพราะสอบได้คะแนน ท็อป วิชานี้บ่อย ๆ เนี่ยนะทำภาษาวิบัติ


แหม?ที ท่านจอมพลบางคน
เปลี่ยนแปลงการใช้ภาษาตั้งเยอะตั้งแยะ
ไม่เห็นเพื่อนมันประณามตาลุงนั่น
ว่าเป็นพวกทำให้ ภาษาไทยวิบัติเลย
แต่พอเป็น สามัญชนไม่มียศศักดิ์ อย่าง หนูบัวฯ ทำเลียนแบบเขามั่ง
ทำไมต้องมาว่า เธอด้วยล่ะ ยิ่งคิดหนูบัวฯก็ยิ่งน้อยใจ 

ซึ่ง พออัตตาในตัว มันเกิดความจองหองมากขึ้น
เธอจึงไปนั่ง จิ้มดีด ( แปลว่า ค่อย ๆ บรรจงจิ้มนิ้วลงบนคีย์บอร์ด
เพื่อพิมพิ์ตัวอักษรทีละตัว เนื่องจากพิมพิ์สัมผัสไม่เป็น )

ตอนนั้น เธอจิ้มดีด โพสกระทู้ เรื่อง
 " คำสารภาพของ...เด็กนอกคอก...ที่ทำภาษาไทยวิบัติ !?!"
ที่โต๊ะห้องสมุด ในเวบพันธุ์ทิพย์
เพื่อระบายความรู้สึกของตัวเอง
เนื้อหาโดยสรุป ประมาณว่า
ถ้าภาษาคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
ควรหรือคะ ที่เราจะต้องเป็นทาสของสิ่งที่ตัวเองสร้างมันขึ้นมา
เธอไม่สนหรอกว่า ภาษาจะวิบัติหรือไม่
แต่สนใจแค่ว่า จะใช้ภาษาอย่างไรให้ถูกกาลเทศะ

ผลก็คือ มีชาวบ้านชาวช่องโพสแสดงความคิดเห็นกันใหญ่
ซึ่งก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อาทิ...

หนูทอตะวันเข้ามาโพส บอกว่า
หนูบัวฯ จ๋า ภาษาไทย เชิงลึก มีทั้ง อักษรสูง กลาง ต่ำ
ทำให้ภาษาไพเราะเหมือนเสียงดนตรี
หนูบัวฯ กำลังให้เหตุผลเหมือนเด็กสาวหัวดื้อ
ที่อยากใส่สายเดี่ยว แล้วพยายามยกโน่นยกนี่มาอ้าง นะจ๊ะ

 คุณพลายแป้ง บอกว่า
การเขียนให้ถูกอักขรวิธีทางภาษา
ไม่ได้หมายความว่า เราเป็นทาส ของสิ่งที่เราสร้างขึ้น
แต่เป็นการยอมรับในสิ่งที่เป็นกฏเกณฑ์
เพื่อให้เป็นไปตามแบบแผนเดียวกัน
(เขาทิ้งท้ายมาว่า  หนูบัวฯเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดแปลกดี ? )

 ส่วน คุณชุบ เตือน เธอว่า

การกบฏต่อโลก การเย้ยกฏของโลก
มักจะเป็นสัญชาตญาณของเด็กวัยรุ่น
ที่ก้าวมาอยู่ในโลกที่ไม่ได้เตรียมมาให้เธอ
และเธอไม่ได้ร่วมกำหนด

หนูบัวฯอาจทำไปด้วยสัญชาตญาณ
มากกว่าด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงที่ยกมาอธิบาย

แต่ คุณ กระต่าย กลับแนะนำ ให้หนูบัวฯ
ไปหาหนังสือ นิรุกติศาสตร์ ของเจ้าคุณอนุมานราชธนมาอ่าน
เพราะ เล่มนี้ มีความเห็นคล้าย ๆ หนูบัวฯ


 คุณพัทธ์ บอกว่า
ไม่มีใครผิดใครถูก ร้อยเปอร์เซนต์
ภาพที่เห็นโดยรวมก็คือ " ครูภาษาไทย " ที่ใคร ๆ คิดถึงนั้น
มักคำนึงถึง " ภาษาไทยที่ควรจะเป็น " เป็นหลัก
ซึ่งสิ่งที่ " ควรจะเป็น " ของคนเหล่านี้ มักเป็นแบบแผนอย่างเก่า

ในขณะที่ คนรุ่นใหม่ ที่เรียนทางด้านภาษาศาสตร์ ด้วย
มักหัวสมัยใหม่ นิดหน่อย
แม้จะรู้ว่า " ที่ควรจะเป็น " นั้นเป็นอย่างไร
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำตาม
เพราะถือว่า ธรรมชาติของภาษาต้องมีการเปลี่ยนแปลง
ถ้ายังสื่อสารได้ ก็ถือว่าพอแล้ว
ไม่ว่า มันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ตาม
เป็นการมองภาษาตามความเป็นจริง ตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
อย่างคุณบัวฯ  "ผมว่าน่าจะเรียน ภาษาศาสตร์ นะครับ !!"


คุณพระจันทร์กระดาษ
บอก คิดคล้าย ๆ หนูบัวฯ
ภาษา หรืออะไรก็แล้วแต่ในโลกนี้
มันก็เปรียบเสมือนผู้หญิง ที่พยายาม ยื้อยุด
ฉุดกระชากความสาวให้คงอยู่กับตัว ตราบนานเท่านาน
แต่สักวัน สังขารก็ย่อมเป็นไปตามเวลา ภาษาก็เป็นเช่นนั้น

ส่วน คุณ ปั๊กกะติน ยิ่งวิจารณ์แหลก
ด้วยการบอกว่า การใช้ภาษาไทย ที่ดี เก๊าะคือ
คำที่ควรอยู่ในที่ของคำ ก็ได้อยู่ในที่ของคำ
อย่าลืมว่า 'รงษ์  วงศ์สวรรค์
เคยเจอเหตุการณ์นี้เหมือนกัน เรื่องทำภาษาวิบัติ
แม้แต่ ทมยันตี นักเขียนไทยยอดนิยม
ก็มักจะเขียนคำที่สะกดไม่ตรงกับพจนานุกรม

ความคล้ายคลึงกัน ของ ภาษา "วิบัติ" ที่คนทั่วไปนิยาม
คืออะไรก็ได้ที่ไม่ได้มีอยู่ในพจนานุกรม
คำที่เขียนเลียนเสียงพูด
แต่ปรากฏในสายตา ก็ให้ความหมาย และ อารมณ์ แบบหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่นการเขียน "กวีภาพ"
( สังคมไทย เรียก งานเขียนเชิงทดลอง เช่น งานของ วินทร์  เลียววาริณ )

ภาษาเป็นสิ่งไม่ตาย ตราบที่ยังมีคนใช้อยู่
คนสมัยก่อนอาจจะพูด หรือ เขียน ไม่เหมือนคนสมัยนี้ก็ได้
อย่างคำว่า "เหน" หรือ "เปน" ตอนนี้ไม่มีแล้ว

ใช้ไปเหอะ คุณหนูบัวฯ
ตราบใดที่ วิญญาณขบถ ของคุณยังมีชีวิตชีวาอยู่
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2010, 09:38:20 am »
ตอนนั้น หนูบัวฯ ฟัง ทั้งคำเตือน  คำแนะนำ (และ คำยุแยง )
ของเพื่อน ๆ ในเวบบอร์ด ด้วยความฉงน
น่าแปลกจัง ที่มุมมองเรื่องภาษาของคนแต่ละคน
ช่างไม่เหมือนกันเลย ทั้ง ๆ ที่ มองไปที่สิ่งสิ่งเดียวกันแท้ ๆ
แต่ ทำไม คนเราถึงได้มองสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่เหมือนกันนะ
อะไรที่ทำให้เกิดความแตกต่างของมุมมอง

และ มุมมองที่แตกต่างทั้งหลายนั้น
มันก็ช่วยทำให้เธอ ได้เห็นอะไร ๆ ได้ชัดขึ้น
โดยเฉพาะ การปรุงแต่ง และ ความไม่เที่ยง ของภาษา

แต่คำวิจารณ์ของใครคนหนึ่ง
กลับทำให้เธอหัวเราะไม่ออก
เมื่ออ่านความคิดเห็นของเขาที่โพสลงมาว่า

" คำสแลง สามารถใช้ได้เฉพาะกลุ่ม
 แต่ในเวบบอร์ดนี้ คนที่เล่นเป็นใครก็ไม่รู้
อายุก็ต่างกันอยู่แล้ว จะมาถือว่า เป็นพวกกัน
คิดจะทำอะไรก็ทำ ได้อย่างไรครับ
พวกเราถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วก็อย่าสนใจเลยครับ

ผมว่า คนพวกนี้มักชอบเรียกร้องความสนใจจากใคร
หรืออะไรสักอย่างหนึ่งมากกว่า
ถ้าเราไม่สนใจ เขาก็จะเลิกไปเอง
หรือถ้าไม่เลิกนิสัย ชอบทำอะไรขัด ๆ กับสังคม
มันก็จะติดตัวเขาไปเอง เป็นผลเสียต่อตัวเขาเองครับ "

อ้าวววววววววว มันแช่งตูนี่หว่า
อ่านแล้ว หนูบัวฯชักหน้าหงิก
วิญญาณหมาในของปากเธอ  เริ่มสั่นระริก
และแล้ว เจ้าโทสะจริต มันก็สั่งให้กระดิกนิ้วรัวแป้นพิมพิ์
โต้ตอบฉอด ๆ ด้วยการตอกกลับไปว่า

" ผู้ที่ไม่กล้า คือ ผู้ที่ มิอาจเป็นขบถ
ผู้ที่ไม่เป็น ขบถ คือ ผู้ที่ ต้องตายอยู่ภายใต้กฏกรอบ
ประหนึ่ง ดัง กบในกะลาครอบนั่นเทียว

หนู บัวฯ เห็นด้วย (บางส่วน )
กับคติของ คมทวน  คันธนู นะคะ

แต่ หนูบัวฯ คง ไม่มีความสามารถพอ
ที่จะเป็น ขบถได้หรอกค่ะ
ขบถ คือ ผู้ที่ยึดอำนาจไม่สำเร็จ
ดังนั้น หนูบัวฯ ขอเป็น คณะปฏิวัติ ดีกว่า

และ ในเมื่อเป็นอย่างใจคิดไม่ได้
หนูบัวฯ ก็ขอเป็นแค่เด็กธรรมดา ๆ
ที่มองโลกและชีวิตอย่างเข้าใจตามที่มันเป็นก็พอ
หรือไม่ก็ใช้ชีวิตแบบที่ท่าน อังคาร  กัลยาณพงศ์ เคยพูด

เราต้องเรียนรู้จากทุก ๆ แห่ง
แต่ต้องทำทุกอย่างด้วยหัวใจของเราเอง
ต้องรู้เอง และ ทำด้วยวิญญาณของตัวเอง ที่เห็นสัจธรรม

ขอบคุณ ผู้อ่านบางท่านที่.... เมตตาเป็นห่วง ....
กลัวว่า หนูบัวฯจะทำตัวขวางโลกจนอยู่ในสังคมไม่ได้
ไม้อ่อนมันดัดง่ายค่ะ และปลาที่มีชีวิตอยู่ ต้องว่ายทวนน้ำเสมอ

บางทีกาลเวลาอาจทำให้ หนูบัวฯ พูดจา
โดยยึดหลักการ ได้เก่ง พอๆ กับท่านนายก ก็ได้
อย่าเสียเวลาอันมีค่าของท่าน
มาทำนายทายทักชะตาชีวิตของหนูบัวฯ เลยค่ะ "

หลังจากโพส ข้อความนั้นลงไปในกระทู้
หนูบัวฯก็เอ้อระเหยลอยชาย ไม่ได้สนใจกับมันอีกเลย
จนกระทั่งวันหนึ่ง มีคนไปตั้งกระทู้เพื่อไว้อาลัย
ให้กับผู้ชายคนนั้น ในเวบ
ซึ่งพออ่านแล้ว เธอก็อึ้ง เพิ่งรู้ว่า
หลายปีที่ผ่านมา ผู้ชายคนนั้นป่วยเป็นมะเร็งที่รักษาไม่หาย
และ ระหว่างที่ เขาใช้ชีวิตอยู่เพื่อรอความตาย
เขาก็อาศัย อินเตอร์เนต ในเครื่องมือสื่อสารติดต่อกับคนทั้งโลก
โชคไม่ดีเลยที่เขาต้องมาเจอกับผู้หญิงปากเสียอย่างเธอในโลกไซเบอร์

ตอนที่รับรู้เรื่องราวน่าเศร้าของเขา
รู้ว่าเขาต้องทนทุกข์กับโรคร้าย อยู่เพื่อรอวันตาย
ตอนนั้น อัตตา กับคำว่า " กูถูก มึงผิด " หายวับไปจากใจเลยนะ
มันเหลือไว้ เฉพาะ ความรู้สึกแย่ ๆ ที่ว่า
เธอไม่น่าใช้คำพูดรุนแรง เชือดเฉือน
ทำร้ายผู้ชายใกล้ตายคนนั้นให้เจ็บปวดเลย


บทเรียนเรื่องนี้ สอนอะไร ให้ หนูบัวฯ ค่อนข้างมากนะ
หนึ่งใน บทเรียนราคาแพงลิบ อันนี้ก็คือ
ถ้าเธอโชคดีที่สามารถ มองหลาย ๆ สิ่งในโลกใบนี้ได้
โดยไม่ยึดติดกับ ความนิยม สมมุติ และ การ ตีค่าใด ๆ
เธอก็อย่าไปทำร้ายความรู้สึกของคนที่ยังปล่อยวางไม่ได้ เลย
เขาทุกข์กับการยึดติด แค่เพียงอย่างเดียวก็แย่อยู่แล้ว
อย่าไปใช้คำพูดทับถมทำร้าย ให้เขารู้สึกแย่หนักไปกว่าเดิมเลย

และถ้าเขาตำหนิเธอแล้ว มันช่วยเยียวยาอัตตา
และความภาคภูมิใจของเขาทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
มันก็คงไม่หนักหนาอะไร
ที่เธอจะฝึกฝนความอดทนอดกลั้น เล็ก ๆ น้อย ๆ
ด้วยการ รู้จักหยุด รู้จักเย็น รู้จักยอม คนอื่นเสียบ้าง
เขาเหล่านั้นจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดเพราะคำพูดโต้กลับของเธอ

เธอชอบใช้ตัวหนังสือ สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
และ สร้างกำลังใจให้คนอื่นมากกว่า
ถ้าเป็นไปได้ เธอไม่อยากให้ ตัวอักษรที่เธอเขียน
ไปทำร้ายให้ใครต้องขุ่นมัว หรือ เจ็บปวดอีกแล้ว...

อืม... ถ้า วจีกรรมที่ หนูบัวฯ เล่ามาทั้งหมดนี้
คือ เรื่องของการ พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
เธอก็มี วจีกรรม ในส่วนของ การไม่พูดในสิ่งที่ควรพูด
มาเล่าให้ ฟังเป็น อุทาหรณ์ เหมือนกัน ลองอ่านดูนะ

เหตุปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ที่พบเจอในชีวิต
ทำให้หนูบัวฯ พัฒนาศักยภาพ
ในการพูดการเขียนจนแตกฉาน
ทุกครั้งที่อ่านข้อความสักประโยค
เธอสามารถวิเคราะห์เจาะลึกได้
จนถึงระดับที่ตีความ รูปแบบการนำเสนอ
ความแนบเนียนในการใช้ถ้อยคำ
ตลอดจน สารแฝงเชิงนัยยะ
ที่ผู้ส่งต้องการจะสื่อเพื่อโน้มน้าวผู้รับสาร เลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้ เธอจึงสามารถใช้ภาษาเป็นเครื่องมือต่อรอง
ในการหว่านล้อม ให้คนฟังคล้อยตามได้อย่างช่ำชอง
เธอเคยพูดปลอบจนทำให้เพื่อนที่ร้องไห้ซิก ๆ เพราะอกหัก
กลับมาหัวเราะคิกคัก ได้ ทั้ง ๆ ที่น้ำตายังไหลซึมอยู่ที่แก้ม

และเมื่อ มีการนำนิทานเชิงจริยธรรมบางเรื่องมาอภิปรายในชั้นเรียน
ตอน disscus กันว่า ตัวละครตัวไหนใครผิดใครถูก
เธอเคยพูดแสดงความคิดเห็น
จนทำให้หญิงสาวน่าสงสารที่แสนจะอาภัพ ในนิทาน
กลับกลายเป็นหญิงคนชั่ว เป็นจำเลยบาปของสังคมไปเลย
แถม เพื่อน ๆ ทุกคนในกลุ่ม ก็เผลอคล้อยตาม
และ หลงเชื่ออย่างที่เธอชี้นำ เสียด้วย
ปากเป็นเครื่องมือ สารพัดประโยชน์ สำหรับหนูบัวฯ
ปาก ... เป็น อวัยวะ ที่นำความภาคภูมิใจมาให้เจ้าตัวเสมอ

แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่เธอทำผิดพลาด
ด้วยการไม่ใช้ อวัยวะที่เรียกว่า ปาก ในการเตือนสติ เพื่อน...
เพื่อนในคณะ คนหนึ่งของเธอ ย้ายไปเรียนที่มหาลัยอื่น
ต่อมาไม่นาน เธอ ก็ได้ข่าวมาว่า
เพื่อนคนนี้ กระโดดจากตึกสี่ชั้นเพื่อฆ่าตัวตาย
ถ้าเป็นการกระโดดเพราะ  สอบตก -อกหัก -รักคุด
หนูบัวฯ ก็คงปลงได้หรอกนะ
เพราะมันมีให้เห็นดาษดื่นตามหน้าหนังสือพิมพิ์

แต่ตอนหลัง เธอ ดันมารู้ว่า เพื่อนมันโดดตึก
 เพราะ  ความนึกคิด และ ศรัทธาจริต ที่เบี่ยงเบน...
ตอนนั้น เพื่อนของเธอ เพิ่งเปลี่ยนศาสนา จากพุทธ ( ตามทะเบียนบ้าน )
ไปนับถือ...ศาสนาอื่น... ตามเพื่อน ๆ ที่มหาลัยใหม่

เมื่อย้อนกลับไปอ่าน อีเมล์ที่มันส่งถึงเพื่อน ๆที่คณะ ในตอนนั้น
เพื่อนหนูบัวฯ คนนี้ มันเกิดศรัทธาจริต กับความเชื่อใหม่มาก ๆ

" หลักธรรมก็ผุดผ่อง   คำสอนก็ผูกพันธ์ ประวัติศาสตร์ก็เป็นจริง
เราไม่เคยเสียใจแม้แต่ลมหายใจเดียว ที่เราตัดสินใจรับท่าน เข้ามาในชีวิต
เราคงมีโอกาส ได้เผยแพร่ พระวัจนะคำที่บริสุทธิ์ ....ให้เพื่อน ๆ ทุกคน "

อ่านเมล์ที่มันพร่ำบอกแล้ว
หนูบัวฯ พูดอะไรไม่ออกเลย
เธอไม่ได้เสียใจหรอกนะ
ที่เพื่อนเธอเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
อะไรที่ เพื่อนนับถือ แล้ว เป็นสุข ตรงกับจริตของเพื่อน
เธอก็ไม่คิดจะขัดขวางหรอก

เพียงแต่มันไม่น่าจะคิดสั้น ๆ ด้วยการกระโดดตึก
เพื่อไปอยู่กับสิ่งที่มันศรัทธาเลย
ยิ่งคิด เธอก็ยิ่งเจ็บใจ
ตอนนั้นเธอน่าจะเมล์ไปคุยกับเพื่อนคนนี้บ้าง
( ถึงจะไม่สนิทกันก็เหอะ )

อย่างน้อย การได้คุย
กับคนที่.... ไร้ซึ่ง ศรัทธาจริต .... โดยสิ้นเชิง อย่างหนูบัวฯ
คงจะช่วยลดทอน ศรัทธาจริตที่เบี่ยงเบน ของมันได้
ถ้าวันนั้น เธอรู้สักนิด ว่า มันคิดยังไง
เธอคง เลคเชอร์ เรื่อง รากเหง้า ของศาสนา
ให้มันฟัง สัก สาม หน้ากระดาษ A4 ไปแล้ว
ในเวลาที่ไม่ควรพูด ปากเธอกลับอ้า
แต่ในเวลาที่ควรจะพูด ปากเธอกลับหุบ
มันแย่ที่สุดเลย เฮ้อ...


" สุราแปลว่าเหล้า
กินค่ำเช้าฆ่าพยาธิตาย
ขึ้นสวรรค์ก็ง่ายดาย
มีนางฟ้าคอยแห่แหน
ผู้ใดไม่กินเหล้าตกนรกชั่วดินแดน
ยมบาลมัดตีนแขวนพุ่งหัวลงสู่โลกันต์ "

คุณสมาน ( พ่อหนูบัว ฯ ) เคยท่องกลอนบทนี้ให้ฟัง
ตอนเลคเชอร์ ถึงเหตุปัจจัยในเรื่อง
ทำไมไม่ยอมสมาทานศีล ข้อที่ 5
ทำไมต้อง  " สุราเป็นระยะ ๆ"

และวลีเด็ด ประจำตัวของพ่อ อีกอัน
ที่มักจะยกมาเอ่ยอ้างอย่างอหังการ์เสมอ คือ
" พ่อกินเหล้าไม่ใช่เหล้ากินพ่อ "

ฟังแล้ว หนูบัวฯ ก็ได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ
มิบังอาจ สอนสั่งพ่อบังเกิดเกล้า
ว่าด้วย ข้อเสียของการผิดศีล ข้อ 5 อีกเลย

หลายปีก่อน เมื่อไปทำงานที่ต่างจังหวัด
เธอเคยส่งยาเลิกเหล้า ( Disulfulram )
ให้พ่อกิน ด้วยความหวังว่า
มันจะรักษาโรค แอลกอฮอล์ลิสซึ่ม ของพ่อ ได้บ้าง

พ่อ...ทน...กินยาด้วยความเกรงใจลูกสาวสุดที่รัก
 ด้วยสัญญาของลูกผู้ชาย ที่เผลอให้ไว้กับหนูบัวฯ
แต่หัวใจของพ่อนั้น ก็ ยังมี ปีศาจสุราสิงสถิตอยู่เสมอ
พ่อจึงต้องบำเรอบำรุงมันด้วยน้ำเหล้า
สุดท้าย พ่อจึงเลือก เดิน "ทางสายกลาง "
ประนีประนอมด้วยการกินทั้งยา กินทั้งเหล้า !

ผลก็คือ พ่อแทบคางเหลือง เมื่อเจอฤทธิ์ยา
วงศาคณาญาติยกโขยงกันมา นั่งร้องห่มร้องไห้แง ๆ อยู่ ข้าง ๆ เตียง
พวกเขาเตรียมพร้อมทุกเมื่อที่จะตามพระมาสวดบังสกุล
ส่วนแม่ก็ใจเด็ดพอกัน ยัยแก้วดีไม่ยอมบอกญาติสักคำ
เรื่อง พ่อกำลังกินยาเลิกเหล้า
และก็ไม่ยอมพาพ่อไปหาหมอ ตามคำแนะนำของญาติด้วย
( แม่กับพ่อรู้ผลข้างเคียงของยามาบ้างแล้ว เพราะ เธอบอกไว้ )

ตอนหลังแม่เล่าเรื่องนี้ ให้หนูบัวฯ ฟัง
เธอนั่งขำไป เคือง คุณสมานไป
เฮ้อ ก็จะไม่เดี้ยงได้ยังไง ล่ะ
ก็พ่อเล่น กินทั้งยา กินทั้งเหล้า นี่หน่า
แล้ว กลไกของยานี้น่ะ มันก็จะไปทำให้
เกิดอาการเหมือนลงแดง ถ้าดื่มเหล้าเข้าไป
คนกินเหล้าจึงเข็ดขยาด แล้ว เลิกกินเหล้าไปเอง
( จริง ๆ เธอก็บอกพ่อแล้วนะ
ก่อนจะเกลี่ยกล่อมตะล่อมให้พ่อกินยาน่ะ )

การกินยาเลิกเหล้าคอร์สนั้น ไม่ได้ช่วยอะไรพ่อนัก
นอกจากทำให้ พ่อกินเหล้า น้อยลงหน่อย
พยายาม ลดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดลงไปนิด
พ่อเปลี่ยนจาก แม่โขง หันมา กิน เบียร์ ลีโอ แทน
 ซึ่งก็ซื้อ ทีละ...ลัง... จากร้านขายส่ง เจ้าประจำ ตามเคย
และเมื่เธอรู้  เธอก็ได้แต่ ปลง ตามเคย ( อีกเช่นกัน )

" พ่อกินเหล้าไม่ใช่เหล้ากินพ่อ "
ได้กลายมาเป็นคติพจน์ประจำใจ ของคุณสมาน อยู่นานทีเดียว
ฟังแล้ว เธอก็ไม่รู้จะทำยังไง นอกจากปลงแล้วเฝ้ามองดู
 พ่อ...กิน...เหล้า จนกระทั่ง...อัมพฤกษ์...มา...กิน...พ่อ

เมื่อแอลกอฮอล์ที่สะสมไว้ในกระแสเลือด
เริ่มเบียดเบียนเส้นโลหิตในสมอง
พ่อต้องกลายเป็นตาแก่ที่ช่วยตัวเองไม่ได้
จะกินก็ต้องป้อนจะนอนก็ต้องอาศัยคนอื่น
จะตื่นมาขี้มาเยี่ยวก็ต้องให้คนมาช่วย
สภาวะเหล่านี้มันคงทำให้พ่ออัดอั้นตันใจอย่างแรง
พ่อเคยเป็น คนเก่งที่ทำอะไรทุกอย่างได้ด้วยตัวเองนี่นะ

เจ้าโรคร้ายนี้อยู่กับพ่อเกือบครึ่งปี
โชคดีที่กำลังใจพ่อ ดีเยี่ยม และ เปี่ยม ไปด้วยความหวัง
วันหนึ่งหลังจากกินยา และ พยายามทำกายภาพ อย่างหนัก
 พ่อก็หายเกือบเป็นปกติ ในเวลาไม่นานนัก
คุณ อัมพฤกษ์ โบกมือลาพ่อ
พร้อมกับจิกหัวลากตัวเจ้าปีศาจสุราไปด้วย
ตอนนั้นพ่อตัดสิน ใจ หักดิบ เลิกกินเหล้าได้อย่างเด็ดขาด
โดยไม่ต้องสมาทานศีล ข้อที่ 5 หรือ พึ่งยารักษาใด ๆ เลย

หนูบัวฯ มองความเป็นไปของพ่อ
แล้วเธอก็ได้บทเรียนหลายอย่างเลยหนา
ในฐานะเภสัชกร เธอได้เรียนรู้ว่า
 ยาเลิกเหล้า นี่ ... ต่อให้มีฤทธิ์รักษาดีเลิศแค่ไหน
มันก็ไม่สำคัญเท่ากับการเยียวยารักษา...ที่หัวใจของตน...
บางครั้ง การได้ รู้เอง เห็นเอง และ เป็นเอง
มันก็ช่วยเปิดโลกทัศน์ และมุมมองของสมองได้กว้างขึ้น

อืม...พ่อหนูบัวคงไม่ชอบเท่าไรนัก
ถ้ารู้ว่า เธอ แอบขอบใจ คุณอัมพฤกษ์
ที่สละเวลามาอยู่เป็นเพื่อนพ่อ เกือบครึ่งปี
อย่างน้อย คุณอัมพฤกษ์
 ก็มีส่วนช่วยทำให้ พ่อ ตาสว่างขึ้นมาบ้าง
อย่างน้อย คุณอัมพฤกษ์
ก็ทำให้พ่อตัดหางปล่อยวัด
 เจ้าปีศาจสุรา ออกไปจากตัวได้ล่ะเน๊อะ
นั่นคือเรื่องราว ของพ่อ กับ สุราเป็นระยะ ๆ

ส่วนตัว หนูบัวฯ เองนั้น
ก็ค่อนข้าง คุ้นชิน กับ ภาพขวดเหล้ามาแต่เล็กแต่น้อย
เพราะงานอดิเรกที่แสนจะโปรดปรานของพ่อ คือ
การสะสมขวดเหล้าไว้ดูเล่น
( และ การสะสม แอลกอฮอล์ไว้ในเส้นเลือด )
ภาพความหลังที่เธอจำได้
คือ ภาพขวดเหล้า เรียงเป็นตับอยู่ใต้โต๊ะวางของ ที่บ้าน
ทั้ง แม่โขง หงษ์ทอง กวางทอง ทั้งแบบกลมแบบแบน
รวมไปถึง ขวดเชียงชุน และ กระทิงแดง

จำนวนขวดเปล่า มากมายเหล่านี้
เสมือน เป็นตัวชี้วัดให้ชาวบ้านได้รับรู้อย่างโจ่งแจ้ง
ถึงความเป็น เอกทัคคะ ด้าน สุราน้ำแดง ของ พ่อ
และ ขวดเปล่าที่เรียงรายกันนับร้อยขวด อีกนั่นแหล่ะ
ที่มักจะอวดจำนวนของมันอย่างภาคภูมิ  (เวลามีซาเล้งมารับซื้อ)
สมัย ยังเด็ก ( เมื่อยี่สิบปีก่อน ) เธอเคยทำยอดขาย ขวดเปล่าให้ ซาเล้ง
 ได้เงินเกือบถึง ห้าร้อยบาท !


บางครั้งเมื่อยังเด็ก เธอเคยไปป้วนเปี้ยนแถว ใต้โต๊ะ
แล้วนั่งคุยกับคุณขวดเปล่า
คุณขวดเปล่า  ก็เล่าเรื่อง ตำนาน กำเนิด สุรา
ให้ หนูบัวฯ ฟังว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในพิธีบูชาเทพ
มีงานรื่นเริง มีอาหารสารพัด
จัดไว้ให้อย่างเหลือเฟือกินไม่หวาดไม่ไหว
จนชาวบ้านต้องนำไปเทขว้างในหนองน้ำ
ข้าวเหลือทิ้งเหล่านั้น เกิดการหมัก
และกลายเป็นน้ำรสเลิศ

วันหนึ่ง มีคนบังเอิญผ่านไปดื่มน้ำที่ลำธาร นี้ เข้า
แล้วรู้สึกว่า ตัวเองคึกคัก และ ฮึกเหิม มากกว่าปกติ
เขาจึงเรียก เจ้าน้ำรสเลิศ นี้ ว่า สุระ แปลว่า กล้าหาญ

" กินเจ้าน้ำนี่แล้ว คนขลาด จะกลายเป็น คนกล้า
เห็นช้างตัวเท่าหมู เห็น หนูตัวเท่ามด
เห็นแม่ยายเป็นน้องเมีย "

คุณขวดเปล่าบอกอย่างนั้น ฟังแล้ว หนูบัวฯ ก็ยังงง ๆ
นึกสงสัยตงิด ๆ ว่า ไอ้น้ำเหลือง ๆ แค่ไม่กี่แก้วนี่
มันมีฤทธ์เดชได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ ?

แต่คุณขวดเปล่า กลับยืนยันแข็งขัน พร้อมกับ ตบท้าย ว่า
ด้วยเหตุนี้กระมัง ผู้ชายทั้งหลาย
จึงพยายามขวนขวายเก็บงำเจ้าสุราไว้ในกระแสเลือด
เพื่อว่า เขาจะได้มี สุระ( ความกล้า ) ที่จะทำในสิ่งต่าง ๆ
เพื่อว่า เขาจะได้ หลบลี้ออกจากโลกแห่งความจริงที่ขมขื่น
แล้วตื่นมาพบกับความฝันอันบรรเจิด
ที่น้องเหล้าจ๋า บรรจงสร้างขึ้นมาปรนเปรอ 

" แล้วตอนคุณขวดเปล่า มีน้องเหล้าจ๋าอยู่ในตัว
คุณขวดฯ มีสุระ( ความกล้า ) มากขึ้นไหมคะ
แล้วได้พบกับความฝันอันบรรเจิด ไหมคะ "
หนูบัวฯปะเหลาะถามด้วยความอยากรู้
เพราะฟังคำโฆษณาสรรพคุณของน้องเหล้าจ๋า แล้ว
หนูบัวฯ ก็เริ่มอยากลองกินเจ้าน้ำสีอำพัน นี้ดูสักหน
เธอนึกอยากมีความกล้าแบบ ฮัวมู่หลาน
และ อยากมีความฝันอันบรรเจิด แบบ ดอน กีโฮเต้

คุณขวดเปล่า ฟังความปรารถนาของเธอ แล้วหัวเราะ
กระซิบ บอกหนูบัวฯ อย่างยโส ว่า

" แม้ฉันจะเป็นขวดกลวง ๆ ที่ไร้สมอง
ต้องอยู่กับน้ำเหล้ามาเกือบชั่วชีวิต
แต่ฉันก็มีสติ พอที่จะไม่หลงคารม
และไม่ยอมให้เจ้าน้ำเหล้าพวกนั้น
มาล่อลวงฉันได้หรอกจ้ะ

ฉันชอบยืนหยัดอย่างกล้าหาญ
ในโลกใต้โต๊ะ ที่มีแต่ฝุ่น กับ หยากไหย่
มากกว่า หลบไปอยู่กับความเพ้อฝันที่ไม่จีรัง พวกนั้น

และ ถ้าฉันอยากมีความกล้า แบบ ฮัวมู่หลาน
หรือมีความฝัน แบบ ดอน กี โฮ เต้
ฉันก็จะสร้างมันขึ้นมาด้วยสองมือของฉันเอง
ฉันไม่ใช่ พวกมนุษย์หน้าโง่ ที่แสนจะขี้ขลาดแบบเธอ นี่จ๊ะ หนูบัวฯ
จะได้คิดอะไรตื้น ๆ คิดแต่จะพึ่งพาอาศัยน้ำเหล้าให้คอยช่วย "

ฟัง คุณขวดเปล่าอวดดี นี่ คุยโว
หนูบัวฯก็ชักโมโห ที่ถูกหาว่า โง่ และ ขี้ขลาด
เธอเลยจับขวดทุกใบ โยนใส่กระสอบให้รถซาเล้งเอาไปขาย
แล้วไม่ยอมเฉียดกรายเข้าใกล้ ขวดเปล่าที่อยู่ใต้โต๊ะพวกนั้นอีกเลย
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2010, 09:38:58 am »
แม่เคยเล่า ว่า หนูบัวฯ เริ่มลิ้มรส แอลกอฮอล์ ครั้งแรกในชีวิต
 ตอนอายุได้ประมาณ สองขวบ
 ตอนนั้น มีงานเลี้ยง พ่อเลยนึกสนุก
ยกแก้วเบียร์มาจ่อปากให้เธอลองกิน
ตอนนั้น เธอยังเด็กเกินกว่าจะจำได้ ว่า รสชาดมันเป็นยังไง

มารู้รสของมันอีกที ก็ราว ๆ ป.6 ได้มั้ง
แม่แอบเอาเหล้าขาว ของพ่อ ไปซ่อนในขวดน้ำที่ตู้เย็น
เธอไม่รู้เผลอยกดื่มเข้าไปเต็ม ๆ
เลย สำลัก แค๊ก ๆ หน้าแดงคอแดงกะทันหัน
รสชาดเฝื่อน ๆ ที่บาดลึกในลำคอตอนนั้น
ทำให้เธอนึกสงสัยว่า
พวกผู้ใหญ่กินไอ้เจ้าน้ำนี่ เข้าไปได้ยังไงกันนะ
รสชาดก็แสนพิลึก ( อร่อยสู้เป๊บซี่ ก็ไม่ได้ )


เธอเคยได้ยินใครต่อใครบอกให้ฟังว่า
อันสุราเมรัย นั้นก็เปรียบได้
กับ น้ำอมฤต ในสรวงสวรรค์ที่เทวดาใช้ดื่มกิน
ฟังแล้ว หนูบัวฯ ก็นึกสงสารเทวดา
ที่ต้องทนกิน น้ำรสชาดประหลาด ๆ อย่างนี้

หลังจากวันนั้นเธอก็ไม่ค่อยจะมีโอกาส
ได้ลิ้มลอง " น้ำอมฤต" นั่นสักเท่าไร
( เพราะเธอตัดสินใจว่า เธอชอบดื่มเป็บซี่ มากกว่า )
ยิ่งเธอได้ฟัง เพลง ลุงขี้เมา ของ พี่แอ๊ด คาราบาว
เธอยิ่งรันทดกับชะตากรรมที่ใต้สะพานลอยของอีตาลุงนั่น
พอดู ทองเนื้อเก้า เธอก็นึกกลัว
ว่าตัวเองจะเป็นสาวสวยขี้เมา แบบอีลำยอง
เธอเลยตัดสินใจไม่คิดจะกระดกเหล้าเข้าปากอีกเลย

พอเธอเริ่มโตขึ้น พ่อสอนให้เธอหัดขี่จักรยาน
และ พอเริ่มชำนาญพ่อก็มักจะใช้เธอปั่น รถถีบ
ไปซื้อน้องเหล้าจ๋ามา โดยมี "ติ๊ป" เป็นเศษตังค์ทอน
ไว้ให้หนูบัวฯ ซื้อขนม

อีกภาพหนึ่ง ที่หนูบัวฯเห็นจนชินตา
คือ ภาพที่ พ่อจะเอาพระลำพูนที่แขวนคอไว้
มาพนมมือไหว้เหนือหัว
แล้วสวดคาถาบูชาด้วยความเคารพ
นอกจากนี้ เวลาก่อนไปทำงาน
พ่อก็มักไหว้รูป พระอาจารย์ฟั่น
พระอาจารย์ มั่น ภูริโต และ หลวงปู่แหวนสุจินโณ
พอถึงเวลาโพล้เพล้ หลังเลิกงาน พ่อเก๊าะนั่งก๊งเหล้า

ภาพของพระ กับ พ่อ และ ขวดเหล้า นี้
ยังคงติดตาเธออยู่เสมอ มันเป็นความขัดแย้งที่ดูน่าขัน
และ เตือน ให้เธอ...เห็น ...ภาพสะท้อนของ...อะไร...บางอย่าง
ในสังคมชาวพุทธแบบไทย ๆ


พี่คนหนึ่ง เคยบอกหนูบัวฯ
ว่า อันสุรานั้นหนา คือน้ำเปลี่ยนนิสัย
มันสามารถเปลี่ยนตัวตนของคน
ได้ราวกับปอกกล้วยเข้าปาก
ถ้าเราอยากจะรู้ตัวตนของใคร
เราต้องมองตอนที่
เขามีแอลกอฮอล์อิ่มตัวอยู่ในกระแสเลือด
บางคนเห็นหงิ๋ม ๆ  ดูสุภาพเรียบร้อย
พอเหล้าเข้าปากได้หน่อยเท่านั้น
พูดฉอด ๆ เป็นต่อยหอย ราวกับก๊อกน้ำประปา แตก
 มืองี้นัวเนียแหลกเป็นหนวดปลาหมึก

ฟังพี่เขาพูด แล้ว หนูบัวฯ ก็นึกขำ
ทำให้อยากรู้ขึ้นมา ตะหงิด ๆ เหมือนกัน ว่า
ตัวตนที่ จริงแท้ ของเธอนั้น เป็นเช่นไร

และเธอก็ได้รู้  เมื่อ สองปีก่อน...
วันนั้น ห้องยาจัด ปาร์ตี้หอยแครง
พี่หมัย งัดเอาเหล้าข้าวโพดดีกรีแรง มาสมทบ
พร้อมกับโฆษณาสรรพคุณ
 กลั่นเอง ต้มเอง ผลิตเองกับมือ ( ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน )
น้ำงี้ใสเหมือนตาตั๊กแตน หาไม่ได้ง่าย ๆ เลยนะ
ใครไม่ได้กิน เสียชาติเกิด ไม่รู้ด้วย

ฟังพี่แกพูดแล้ว หนูบัวฯก็ชักกลัว เสียชาติเกิด
เลยลองเอามาผสมกับเป็บซี่ ดื่ม
กรึ๊บไปได้ สองสามแก้ว เท่านั้น
คนที่เคยเม้าส์กระจายจนน้ำลายแตกฟองฟ่อด ๆ อย่างหนูบัวฯ
กลับรู้สึกปวดหัวตึ้บ เลย
มันรู้สึกหนัก ๆ เหมือนมีอะไรมาทับอยู่ในหัว

ตอนนั้น สติสัมปชัญญะ ยังมี ยังรู้สึกตัวเองนะ
แต่รู้สึกปากมันหนัก ๆ  ขึ้เกียจพูดขึ้นมากะทันหัน
เธอ นั่งซึมกะทือ อึดทืด เป็นอีบื้อ
 ไม่อยากทำอะไรเลย นอกจากอยากจะหลับอย่างเดียว
ครั้นเห็นเธอไม่ยอมพูดยอมจาหนักเข้า
คนรอบข้างก็เริ่มตกใจ ทำเอา ปาร์ตี้หอยแครงวันนั้น งานกร่อย สิ้นดี
( เพราะขาดอีลูกช่างเม้าส์อย่างหนูบัวฯ  )

และ หลังจากวันนั้น ไม่เคยมีใครคะยั้นคะยอ
ให้ หนูบัวฯดื่มเจ้าน้ำเปลี่ยนนิสัยนั่น อีกเลย
เค้าคงคิดมั้ง ว่า นิสัยเธอตอนนี้ ก็ดีอยู่แล้ว
เลยไม่รู้จะไปชวนให้เธอดื่ม เจ้าน้ำนั่น
เพื่อเปลี่ยนนิสัย ( ให้เลวลง ) ไปทำไม
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ เหล้า เข้าปากเธอ

และเธอก็มักจะหยิบยก บทเรียนเรื่องนี้
มาเอ่ยอ้างกับเพื่อนฝูงเสมอ
เวลาไปสังสรรน์ แล้ว ถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้า
โชคดีที่เพื่อนมันเข้าใจ
( หรือมันกลัวขาดขาเม้าส์ ก็ไม่รู้  )
มันก็เลยหันไปชนแก้วดื่มกันเอง
แล้วพร้อมใจกัน ทิ้ง เป็บซี่
กับ น้ำแข็งเปล่า ไว้ให้เธอเป็นของปลอบใจ
แต่บทครึ้ม ๆ ขึ้นมาเธอก็ยกแก้วน้ำแข็งเปล่าใส่เป็บซี่ชนกับมัน
แล้วก็พูดคุยเฮฮา " เมาดิบ " เนียนไปได้เหมือนกัน ^ - ^


ทั้งหมดที่เล่ามานี้ คือ
ประสบการณ์(ที่เกี่ยวข้องกับศีล 5 )
ทั้งหมดในชีวิต ของหนูบัวฯนะ

สำหรับตอนนี้....
หนูบัวฯ เธอก็เริ่มปรับตัวกับการถือศีล 5 ได้แล้วล่ะ
เพราะ ศีล แปลว่า ปกติ 
ถ้าพยายามทำสร้างคุ้นเคยกับมันบ่อย ๆ
ไม่ช้ามันก็จะกลายเป็นความเคยชินที่เป็นปกติ
และสามารถทำได้โดยไม่ฝืนจริตของตน

หนูบัวฯ เคยได้ยิน คำว่า ต่อศีล ครั้งแรกในชีวิต เมื่อ ปีก่อน
คนที่พูดให้ฟัง ไม่ใช่ พระ แต่เป็น หัวหน้าฝ่าย
ซึ่งคุยเล่นให้ฟัง ก่อนทำงาน ว่า ตอนที่พี่เขาบวชนั้น
เวลาพระภิกษุ เผลอพลาด ทำศีลขาด
เค้ามีการ ต่อศีล กันด้วยนะ

พี่เค้าพูดแค่นั้นแหล่ะ
แต่มันก็ช่วยให้หนูบัวฯ เล่นบท" ครูพักลักจำ "
นำคำว่า ต่อศีล ของ พี่เค้ามาใช้ในปีต่อมา เมื่อเริ่มถือศีล
เธอ set  โปรแกรมใส่หัวตัวเองว่า
ทุก ๆ คืน เธอต้องหมั่นทบทวนศีล และ ต่อศีล เสมอ
แต่ก็ยังมีปัญหานิดหน่อย ตรงที่เธอความจำสั้นเหมือนปลาทอง
เลยจำไม่ได้ว่า ในแต่ละวัน เธอทำผิดศีล ทำศีลขาดตอนไหนบ้าง
ซึ่งปัญหานี้ มันทำให้เธอลำบากใจเหมือนกัน

จนกระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างเดินจงกรม ( รอบโรงพยาบาล )
เจ้า กุศลจริต ตัวดี ก็มากระซิบข้าง ๆ หูว่า
ถ้าจำ กรรมที่ตัวเองก่อ ไม่ได้
ทำไม ไม่ลองจด กรรมที่ก่อ ไว้  ลงในสมุดโน๊ต ดูล่ะ
เวลาทวนศีลจะได้ไม่ต้องมานั่งนึก
นั่นเป็นที่มาของ สมุดโน๊ตที่เธอมักจะพกติดตัว
เพื่อจด กรรม ที่ก่อขึ้น  ในปัจจุบันขณะ

ปัญหาต่อมาคือ แล้วจะเขียน กรรม เหล่านั้น
ลงในสมุดโน๊ต ทันทีได้อย่างไร
โดยไม่ต้องให้ชาวบ้านมารับรู้เรื่องราวการผิดศีลของเรา
เพราะ บางครั้งถ้าเขารู้ เขาอาจว่า เธอประหลาด
และ ก็มันเสี่ยงกับการถูกประณามนะ
ถ้าสิ่งที่เธอขียนอย่างซื่อสัตย์ นั้น มันมีพาดพิงถึงเขาเข้า

โชคดีอยู่อย่าง ที่เธอนึกขึ้นมาได้ว่า
สมัย มัธยมเธอ เคยคิด รหัสเฉพาะ แทนพยัญชนะ 44 ตัว
สำหรับใช้ เขียนไดอารี่ไว้ เมื่อสมัย มัธยมปลาย
ตอนนั้นน้องชายมันชอบแอบอ่าน ไดอารี่ ของเธอ แล้วเอามาล้อ
เธอเลยคิดค้น ภาษา รหัส ป้องกันมันอ่าน

แต่ตอนหลัง พอมาอยู่มหาลัย
พวกสอดรู้สอดเห็นมีไม่มากนัก
เธอเลยไม่ได้ใช้ ภาษารหัส เหล่านั้น เท่าไร
นอกจากเก็บเอาไว้เขียน สิ่งที่ไม่อยากให้ใครรู้
พอมาถึงตอนนี้ เมื่อเธอ คิดจะ จดกรรม
เธอจึงรื้อฟื้น รหัสอักษรพวกนี้มาใช้อีกที
ซึ่ง รหัสพวกนี้ก็ช่วยป้องกัน
ความอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านได้ค่อนข้างดี
เวลาเธอ หยิบสมุดมา จดกรรม ยิก ๆ
แล้วชาวบ้านก็มักจะเหลือบตามาแอบอ่าน
และเมื่ออ่านไม่ออก
บางคน อดใจไม่ไหว
ก็ถามด้วยความอยากรู้ว่า จดอะไรอยู่
เธอก็แค่ยิ้ม ๆ ไม่ปริปากพูด


ตอนนั้น เธอไม่รู้จะเรียก สมุดโน๊ตจดกรรม นี้ว่า อะไร
แต่เคยอ่านเรื่องใบสารภาพบาปในศาสนาคริสต์มาบ้าง
เธอจึง หลับหูหลับตา เรียกมันว่า สมุด สารภาพบาป
แต่ตอนหลัง มัน ดัน กลาย เป็น สมุดดูจิต ไปได้ไงก็ไม่รู้ เฮ้อ
( ไว้มีโอกาสจะเล่าเรื่องนี้ ให้ฟัง เจ้าค่ะ ^ - ^ )


เอาเป็นว่า พอหนูบัวฯ เริ่ม ถือศีลจนเห็นว่า
มันเป็น...ปกติ... เป็นความเคยชิน
เหมือนการกินข้าว และ การก้าวเดินแล้ว
เธอก็เริ่มเบนความสนใจ
จากเรื่องของการระวัง กายกรรม  และ วจีกรรม
หันมาตรวจทาน มโนกรรม เป็นลำดับต่อไป

เธอเริ่มสนใจจะถือ พรหมวิหาร 4
แต่ไม่ได้ถือเพราะอยากเกิดเป็น พรหม หรอกนะ
เธอก็แค่ อยากขัดเกลากิเลสตัณหา ออกจากใจเท่านั้น
มันคงรู้สึกดีเป็นบ้า ถ้าดวงจิตของเธอสกปรกน้อยลงไปบ้าง

แต่การถือหลักพรหมวิหาร นี่มันยากนะ
ยากกว่า การถือศีลเยอะเลย 
จนเดี๋ยวนี้ก็ยังถือไม่ค่อยจะได้
คงต้องใช้เวลาอีกนานเลย
กว่าเธอจะทำได้และเห็นเป็นความเคยชิน

ส่วนเรื่องศีลที่ถือนี่ ก็ใช่ว่า
หนูบัว ฯ จะถือได้ บริสุทธิ์ผุดผ่อง 100 % นะ
ก็มีพลั้งมีเผลอบ้าง ( โดยเฉพาะ ข้อ 4 วจีกรรม ) ขาดประจำเล๊ย เฮ้อ
แต่ก็ลดลงไปแยะ เท่าที่สติมันเตือนทันนั่นแหล่ะ

พอเริ่มถือศีล 5 จนเห็นเป็นเรื่อง ปกติ
เจ้ากุศลจริตจอมบงการ ก็มาแง้ว ๆ ข้างหู อีกแล้ว
หนูบัวฯ จ๋าาาาาาาา ศีล 5 ก็พอจะถือ ได้แล้ว
ถือ ศีล 8 เพิ่มเติมดีไหมจ๊ะหนูบัวฯ
 เอ ?หรือจะถือ ศีล 10 ดี

ฟังมันพูดแล้ว เธอก็เลยได้แต่ทำตาปริบ ๆ
สุดท้ายก็หลงคารมมันอีกตามเคย
ใจอ่อน ยอมไปเสิร์ช คำว่า ศีล 8  ใน กูเกิ้ล
เพื่อดูลาดเลานิดหน่อย

พออ่านรายละเอียดเรื่อง ศีล 8 ( และศีล 10 )
แล้วเธอก็เริ่มสงสัย
ถ้าศีล 5 คือการลดการเบียดเบียนผู้อื่นแล้ว
ศีล ข้อที่ 6 ถึง 10 นี่ เท่าที่อ่าน
มันก็คงเป็นการ ลดการเบียดเบียนตัวเองสินะ
เป็นการลดสิ่งที่จะกระตุ้นกิเลสตัณหาในใจตน งั้นสิ

อ่านไปอ่านมา เสร็จสรรพ
เธอก็ส่ายหน้าดิกใส่เจ้ากุศลจริต
บอกมันไปว่า ยังก่อนใจเย็น ๆ
ยังไม่ถึงเวลาจะถือ
ไม่ใช่ทำไม่ได้นะ แต่ยังไม่อยากทำ
รู้สึกว่า มันยุ่งยาก ไปหน่อย
เธอชอบอะไรที่มันง่าย ๆ มากกว่า

ไอ้ไม่ให้ดู มหรสพ เนี่ย ทำได้อยู่นะ
เพราะปกติก็ไม่ชอบดูละคร นักหรอก
ชอบดู discovery กับ สารคดี มากกว่า
ยิ่งวันไหน นั่งพิมพิ์ข้อเขียน
ต้องใช้สมาธิ ยิ่งๆไม่เปิด ทีวีดูเลย
งดการเสพกาม นี่ก็ไม่ยาก เท่าไร

แต่ห้ามนอนฟูกนี่ยังไม่อยากทำนะ
ยังอยากนอนสบาย ๆ บนฟูกนุ่ม ๆ อยู่
และอีกอย่าง ในเมื่อมีฟูกของเดิมอยู่แล้ว
ก็จะไปขวนขวาย เปลี่ยนแปลงที่นอนทำไม
มีอย่างไร ก็นอนอย่างนั้น
อยู่แบบ ง่าย ๆ กับทางสายกลางดีกว่า

ยิ่งห้ามใส่เครื่องหอม ยิ่งแล้ว
ทำไม่ได้หรอกนะ สงสารคนรอบข้าง
จะให้เธอ ปล่อยเต่า ให้ใครดม ได้ไงล่ะ
(แต่ก็ไม่แน่นะ ถ้า โรลออนที่ซื้อมาหมด
อาจจะลองใช้สารส้มแบบลูกกลิ้งดู)

ส่วน งดกินอาหารยามวิกาลนี่...
เป็นตายร้ายดีไง ก็ ไม่ทำ !
จำไม่ได้หรือไง ว่า
เพราะถูกบังคับเรื่องนี้แหล่ะ
เลยเป็นเหตุปัจจัยสำคัญ
ที่ทำให้เธอต้อง "แหกค่ายปฏิบัติธรรม " เมื่อ ปีที่แล้ว


เจ้ากุศลจริต ฟังการแจกแจงฉอด ๆจากหนูบัวฯ เสร็จ
ก็ทำตาปริบ ๆ ตอบกลับเสียงอ่อย ๆ  ว่า
แหม ? ถ้ายังถือศีล 8 ไม่ได้
ก็เลือกทำเฉพาะข้อที่ทำได้ไปก่อนสิ หนูบัวฯก้อ

เลือก ถือศีล 6 ศีล 7 ไปก่อนก็ได้
เลือกในแนวทางปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
เท่าที่จริตตัวอื่นของเธอยอมรับได้ไปก่อนก็ไม่เสียหายอะไรนี่
ถือศีลข้อไหนได้ก็ถือไปก่อนสิจ๊ะ

อืม....ฟังคำโน้มน้าวของ แม่กุศลจริต
แล้วเธอชักคล้อยตาม แฮะ
ทว่า เธอไม่ได้หยุด แค่การศึกษา ศีล 10
เธอเริ่ม คิดต่อยอด ไปเรื่อย
จนข้ามขั้นไปสนใจที่จะศึกษา ศีล 227 !

เปล่าหรอกนะ หนูบัวฯ ไม่ได้ลามปาม
เหิมเกริม จนคิดจะตีตัวเสมอด้วย สมณะ หรอก
เพียงแต่เจ้าความอยากรู้อยากเห็นแบบเด็ก ๆ
ทำให้เธอสนใจที่จะเรียนรู้ทุก ๆ สิ่ง รอบ ๆ ตัว
และอยากจะนำแนวทางดี ๆ มาปฏิบัติบ้าง ก็เท่านั้น
พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้จดสิทธิบัตรเรื่อง  ศีล 227 ข้อไว้นี่หน่า
เพียงแต่ว่า ท่านสอนเรื่อง ศีล ไว้หลากหลาย
เพื่อให้คนเราสามารถนำไปปฏิบัติได้โดยสะดวก
ตามโอกาส กาล สถาน  ภูมิรู้ และ จริตแห่งตน

อืม....ก่อนหน้าที่จะถือศีล 5
เธอเคยสงสัยมานานแล้วว่า
เวลาผู้ชายบวชเป็นพระ
เค้าจำ ศีล ทั้ง 227 ข้อได้อย่างไรกัน ?
เพราะ มันแยะเหลือเกิน
คนความจำสั้นอย่างเธอ
คงจำได้ไม่หมดแน่ ๆ

วันหนึ่ง เธอเห็น ไอ้เจ้าดล น้องชายนอกไส้
เพิ่งลาสิกขาบท หมาด ๆ เธอก็เลยถามมันว่า
ตอนบวชนั้น พระท่านสอนอะไรบ้าง
ท่านสอนให้สำรวม และ ปฏิบัติตัวอย่างไร
เธออยากรู้ ว่า ศีลทั้ง 227 ข้อ มีอะไรบ้าง
แล้ว ดลอ่านและจำได้ ทั้งหมดไหม ?

น้องมันตอบว่า
" หลวงพี่ท่านไม่ได้สอนผมหรอกว่า ศีล 227 มีอะไรบ้าง
ท่านก็แค่สอนให้ผมสำรวมกิริยา อาการ
เวลาเดินให้ก้มมองที่พื้นนิ่ง ๆ
อย่าสอดส่ายสายตาล่อกแล่ก
เวลาหัน ก็ให้หันทั้งตัว แบบพญาคชสาร
อย่าหันเฉพาะหัวกับคอเหมือนสุนัข
ห้ามสาดน้ำจากภาชนะ เพราะอาจจะไปถูกสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยเข้า "

นั่นคือสิ่งที่ หนูบัวฯ ได้เรียนรู้จาก อดีตทิดสึกหมาด ๆ
ซึ่งสิ่งที่ได้รู้ ก็ เลยมีผลต่อเธอบ้าง เล็กน้อย
( โดยเฉพาะเรื่องของการสาดน้ำอย่างระมัดระวัง )
มาตอนหลังพอเริ่ม  ถือศีล 5
แล้วประคับประคองมันอย่างง่อน ๆ แง่น ๆ เต็มที
เธอก็อดไม่ได้ ที่จะถาม เจ้าน้องชายนอกไส้ อีกว่า
" ดล ตอนดลเป็นพระ ดลรักษาศีล ได้ครบ 227 ข้อเลยเหรอ
ของพี่แค่ถือศีล 5 พี่ยังถือไม่ค่อยจะได้เลย "
เจ้านพดล ฟังแล้ว หัวเราะแหะ ๆ แล้วบอกเธอว่า

" ผมคงถือไม่ครบหรอกพี่ ผมก็แค่พยายามสำรวมอินทรีย์ เท่านั้น "

" อ้าว แล้วเธอรู้ไหม ว่า ศีล 227 มีอะไรบ้าง
ถ้าเธอไม่รู้แล้วตอนนั้นเธอจะปฏิบัติได้อย่างไร
คนที่บวชเป็นภิกษุต้องถือศีล 227 ข้อไม่ใช่หรือ "

พอหนูบัวฯ ย้อนถามประมาณนั้น  มันก็ได้แต่หัวเราะ
แล้วส่ายหน้าดิกโดยไม่ปริปากพูดอะไรอีก
ทำเอาเธออ่อนใจไม่รู้จะถามเรื่อง ศีล 227 ข้อนี้กับใครอีก
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2010, 09:39:50 am »
ต่อมา หนูบัวฯก็นึกได้ว่า คุณสมานพ่อบังเกิดเกล้าของเธอนั้น
ก็เคยบวชนี่นา พ่อเคยอวดอย่างภาคภูมิใจว่า
สมัยที่พ่อบวชนั้น งานบวชของพ่อยิ่งใหญ่อลังการมาก
ทั้งเงาะคว้านยัดไส้ บายศรีสู่ขวัญ ครูแหล่เสียงทอง ราคาแพงลิบ
แถมยังมีการถ่ายรูปสี ในงาน ต้องส่งฟิล์มไปล้างถึงบางกอก อีกด้วย
สิ่งนี้เป็นความภาคภูมิใจของพ่อ
ที่มักจะเล่า ถึง งานบวชที่ดังกระฉ่อนไปทั้งตำบล ให้เธอฟังเสมอ ๆ

และที่พ่อมักจะภูมิใจยิ่งกว่านั้น คือ
การที่ พระครูที่วัดดอยฯ ( จำชื่อเต็ม ๆ ของวัดไม่ได้ )
เห็น ...แวว.... พหูสูตรของพ่อ เลยคิดหมายมั่นปั้นมือ
ชวนให้พ่อศึกษาทางธรรมต่อ
เพื่อจะได้เปรียญเก้า ประโยค
เพื่อจะได้เป็นครูบา

พระครูรูปนั้น  จึง ตั้งฉายาตอนบวช ให้พ่อเป็นนัย ๆ ว่า
เขมปัญโญ แปลว่า ผู้มีปัญญาเฉียบแหลม
น่าเสียดายที่ความกตัญญูต่อบุพการี
ทำให้พ่อต้องสึกมาทำงานหาเงินเลี้ยงย่าผู้ชรา
แล้วก็วางมือจากการปฏิบัติธรรมไปโดยสิ้นเชิง

เมื่อ ระลึกได้ดังนั้น
เธอก็รี่ เข้าไปตั้งปุจฉา กับพ่อบังเกิดเกล้า ของเธอ
ว่า  พ่อ ๆ ในฐานะที่พ่อเคย บวชก่อนเบียด มาบ้าง
ตอนพ่อ เป็นพระ พ่อถือศีลได้ครบ 227 ข้อไหม ?

อดีตพระ เขมปัญโญ ผู้มีปัญญาเฉียบแหลม แห่งวัดดอยฯ
 นิ่งไปพักใหญ่ ก่อนตัดสินใจตอบอย่างกล้าหาญ ว่า

" ถือไม่ครบหรอก 227 ข้อน่ะ ใครมันจะไปถือได้
พ่อถือได้แค่ ศีล 8 แค่งดอาหารยามวิกาล ไม่นอนบนฟูก
งดดูมหรสพ งดใช้เครื่องหอม เท่านั้น
ตอนอยู่ วัด ก็นั่งอ่าน หนังสือธรรมะ
อ่าน ลีลาวดี  อ่าน กามนิตวาสิฏฐี ไปตามเรื่อง "

อ้าว ฟังคำวิสัชชนาของคุณพ่อ แล้ว
หนูบัวฯ ก็ได้แต่  งง ๆ  (และผิดหวังหน่อย ๆ)
พ่อไม่ได้ให้ความกระจ่างแจ้งอะไรแก่เธอเลย
แถมยังทำให้สงสัยหนึ่ง ผุดขึ้นมาในใจอีกด้วย

ถ้าตอนบวชเป็นพระ พ่อถือศีลไม่ครบ 227
คุณย่าที่ตายไปจะเกาะชายผ้าเหลือง ของใคร
ขึ้นสวรรค์ได้ล่ะเนี่ย ?

เธอได้แต่ปลง แล้ว พยายามทำความเข้าใจ ว่า
การร้างลาจากร่มกาสาวพัตร์ ไปเนิ่นนาน
คงมีผลทำให้ ปัญญาอันแหลมคม
ของอดีตพระ เขมปัญโญ ต้อง ทู่ลง เล็กน้อย
เลยวิสัชนาตอบเธอได้แบบไม่ค่อยจะเคลียร์


และ พอความอยากรู้เรื่อง ศีลของสงฆ์ มันจุกอก
สาวก กูเกิ้ล อย่างเธอ จึงยึดเอา เสิร์ชเอนจิ้น เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
หนูบัวฯเสิร์ช หาคำว่า "ศีล 227 ข้อ + พระภิกษุ " ไป
ซึ่ง ก็ได้ข้อมูลมานิดหน่อย แต่ก็แค่คร่าว ๆ
สิ่งเหล่านั้น มันไม่ได้ละลายความอยากรู้ ในหัวเธอเลย

มันเป็นแค่การจำแนกคร่าว ๆ
เป็นหมวด ๆ ของศีล ทั้ง 227 ข้อ
เธอต้องการรู้มากกว่านี้
ต้องการหลักปฏิบัติที่จำแนกเป็นข้อ ๆ
พร้อมด้วยมูลเหตุปัจจัยที่มาของการบัญญัติ
เพื่อจะได้นำมาประมวลผล  วิเคราะห์ สังเคราะห์
และ บูรณาการ ว่า ศีลข้อนั้น จริตของเธอเห็นดีด้วยหรือไม่
จริตของเธอยอมรับที่จะปฏิบัติตามได้หรือยัง
และที่สำคัญ มันเหมาะ กับ กาล สถาน และโอกาส สำหรับเธอไหม ?
น่าเสียดายที่เธอหา ฐานข้อมูลตรงนี้ไม่ได้
ก็เลยหยุดไว้ที่ ศีล 5 ก่อน
ถ้าไงต่อไป อาจถือศีล 6 ศีล 7 ตามแต่กำลัง ^ - ^

อืม.... เวลาอ่านเจอคำพร่ำรำพันของลูกผู้หญิง
ประมาณ เสียดายที่เกิดเป็นสตรี
จึงไม่ได้บวช ไม่ได้อยู่ในร่มกาสาวพัตร์
เธอจะรู้สึก แปลก ๆ
และ ไม่ ค่อยเข้าใจความรู้สึกของคนเหล่านั้นเท่าไร
ข้อแตกต่างทางเพศไม่เคยเป็นปัญหาในการถือศีล สำหรับเธอเลย

ไม่รู้สินะ หนูบัวฯ เชื่อมั่นเสมอว่า
ไม่มีอะไร ที่เกินความตั้งใจของคนน่ะ
จะศีล 5 หรือ ศีล 227 ถ้ามีความตั้งใจจริง
ใครก็ถือได้ทั้งนั้นทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ
ไม่ใช่อยู่ที่ สบง จีวร สังฆาติ หรือ เครื่องนุ่งห่มภายนอก
จะอยู่วัด หรือ อยู่ บ้าน ก็ทำได้ทั้งนั้น
เพียงแต่ถ้าอยู่ที่บ้าน อาจต้องเจอความท้าทายมากหน่อย ก็เท่านั้น


น่าเสียดายที่ความตั้งใจของเธอ
มันไม่ค่อยจะแรงกล้าสักเท่าไร
เธอเป็นคนมักน้อย เกินกว่าที่จะคิด โปรเจค
เรื่องมาถือ ศีล 227 ข้อ  กันเถอะ
จริตเธอยังขี้เกียจเกินไป  ยังรักความสบายเกินไป
ไว้วันไหนอารมณ์ดี ๆ ปล่อยวางได้มากขึ้น
ไม่แน่บางทีเธอ อาจหยิบ ศีล 227 มาทบทวนดู
ว่าอยากถือหรือเปล่า ?

จริง ๆ หนูบัวฯ มองข้ามช็อต ไปถึง ศีลของภิกษุณีด้วยซ้ำ
เปล่านะ ไม่เคยมีศรัทธา จนอยากบวช
( ความคิดนี้ ไม่เคยมีอยู่ในหัว )
แต่อยากรู้ อยากลอง อยากดู และ วิเคราะห์ว่า
ศีลเพิ่มเติมที่ ภิกษุณี ต้องถือนั้น
มันเอื้อประโยชน์ต่อข้อจำกัดแห่งขันธ์ 5 ในผู้หญิงอย่างไร


สุดท้าย ต้องขอโทษท่านผู้อ่านทั้งหลายด้วย
ถ้าประสบการณ์ชีวิตที่เกิดขึ้นจริงของหนูบัวฯ
มันทำให้จิตของใครต้องขุ่นมัว เศร้าหมอง
และ เกิดทุกข์กับการยึดติดในบางสิ่ง

เธอชั่งใจอยู่นานเหมือนกัน
ว่าจะโพสเรื่องนี้ดีไหม ?
เพราะ การถูกลบกระทู้บ่อย ๆ
มันก็ทำให้เธอเสีย self เหมือนกัน นะ
อัตตาในตัวมัน....ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี...เลยล่ะ


ไม่ว่าเจตนาจะเป็นอย่างไร
ตัวหนังสือที่เขียนออกไป
ก็ถูกปรุงแต่งโดยจริตของผู้ที่ถือปากกา


ไม่ว่าเจตนาจะเป็นอย่างไร
ตัวหนังสือที่ปรากฏให้เห็น
ก็ถูกปรุงแต่งต่อโดยจริตของผู้ที่อ่านมัน

มันไม่สำคัญหรอกว่า
คนเขียนจะรู้สึกอย่างไร กับการแสดงออกของผู้อ่าน
แต่มันสำคัญที่ คนอ่านจะรู้สึกอย่างไร
ถ้าเขา ยึดมั่นถือมั่น แล้วปรุงแต่งตัวอักษรที่เห็น มากเกินไป
จนเกิดเป็นทุกข์กับสิ่งที่ยึดติดโดยจักษุประสาทขึ้นมา

หนูบัวฯ อยากให้สิ่งที่เขียนสร้าง รอยยิ้ม และ เสียงหัวเราะ
มากกว่า จะให้ ตัวอักษรเหล่านั้น
สร้างปัญหา ให้ใครต้องมานั่งทุกข์ มานั่งขุ่นมัวกับอัตตาในตัว
การที่ศึกษาเรื่อง จิตวิทยา มาบ้าง
มันทำให้ เธอ มองเห็นเจตนาของตัวเอง
และกล้าที่จะ ยอมรับสิ่งที่เป็นตัวตนของเธอ
แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะ ฟันธง หรอกว่า
คนอ่านจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เธอเขียน

หลายอาทิตย์มาแล้วที่นั่ง จิ้มดีด เรื่องนี้หน้าคอม
บางครั้งก็ให้สงสัย

"นี่ตูจะนั่งหลังขดหลังแข็งเขียนเรื่องนี้ไปทำไม
ให้มัน กระทบคน กระทบโลก ด้วย ( วะ )"

แนวคิดแบบคาธอลิก เคยสอนเธอ ว่า
กิจการที่ดีที่สุด คือ การไม่กระทำ มิใช่หรือ
พระพุทธเจ้า ก็เคยตรัสเรื่อง อกรรม มิใช่หรือ

แล้วจะทำไปทำไม จะเขียนทำไม
ในเมื่อ ถ้าปลีกวิเวก ไปถือศีล กินมังฯ
และ เดินจงกรม ( รอบโรงพยาบาล )
อยู่เพียงลำพังในกะลาครอบ อันแสนสุข
ว่างนักก็เอาหนังสือธรรมะ
อีกหลาย ๆ เล่มที่ยังอ่านไม่จบมานั่งดู
ชีวิตเธอก็สงบ ดีอยู่แล้ว นี่
ที่สำคัญ ไม่ต้อง สุ่มเสี่ยง กับการผิดศีลข้อ 4 ด้วย
ทำไมหนูบัวฯ ถึงต้องหาเรื่อง ให้ศีลของเธอมัวหมองด้วยนะ

พอเธอบ่นกับตัวเอง มาก ๆ
เจ้ากุศลจริต ก็เลยเข้ามานั่งปลอบอกปลอบใจเธอใหญ่

" หนูบัวเอ๋ย นึกสิว่า เธอถือศีลเพื่ออะไร
คนที่ไม่สนเรื่อง บุญ เรื่อง บาป
เรื่อนรก สวรรค์ อย่างเธอ
เคยบอกฉันว่า เธอตั้งใจถือศีล
เพราะอยาก ลดการเบียดเบียนชาวบ้าน มิใช่หรือ

แม้บางครั้งความขัดแย้งทางความคิด
จะทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ขุ่นเคือง กันบ้าง
แต่มันก็คือ วิถีแห่งโลกมิใช่หรือ
คนเราจะเอาให้ได้ดั่งใจเสมอไป ไม่ได้หรอกนะ
เธอก็ รู้จัก หยุด รู้จักเย็น รู้จักยอม
มาได้เท่าที่เธอจะยอมรับมันไว้แล้วนี่

หนูบัวฯ เอ๋ย ขออย่าได้กลัวไปเลย
ที่จะแปลความคิดในหัวออกมาเป็นตัวหนังสือ
พระพุทธเจ้า สอนว่า จริตของสิ่งมีชีวิต
มีถึง 6 ชนิด มิใช่หรือ

ต่อให้เธอ พยายามเขียนให้ดีแค่ไหน
มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ ตัวหนังสือของเธอ
ถูกจริต กับคนทุกคนดอกหนา
ทำเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน
อย่างน้อยสิ่งที่เธอเขียน
มันคงจะถูกจริตกับบางคนบ้าง
และทำให้เขาเริ่ม สนใจ
ที่จะมาหันถือศีลบ้างแค่สัก คนนึง ก็พอแล้ว

ส่วน เรื่องที่ห่วงว่า
ตัวหนังสือที่เธอเขียน 
มันจะเบียดเบียนไปกระทบคนอ่าน
จะทำให้ศีลข้อ 4 ของเธอขาด
เธอก็จงอย่าไปวิตกจริตให้มากนักเลย

สิ่งที่น่ากลัวในการถือศีล
ไม่ใช่ การขาดสะบั้นของศีล ดอกหนา
ศีล...เมื่อขาด หากมีสตินึกรู้ ก็ต่อขึ้นมาใหม่ได้
แต่เมื่อไรที่ เธอ ถือมันไว้จน หลง
คิดไปว่า ตนนั้นเป็นผู้ทรงศีล ที่ผุดผ่อง
 แล้วมองปุถุชนรอบข้าง อย่างนึกเหยียดหยาม
ว่ามัวหมอง เพราะไม่ครองศีล 5
สิ่งนี้ต่างหากคือ สิ่งที่น่ากลัวในการถือศีล

เฮ้อ ฟังแม่กุศลจริต มาเทศนาสั่งสอน
แล้วหนูบัวฯ ก็ยิ้มได้ รู้สึกดีขึ้นมา( นิดหน่อย )
จริงด้วยสิ ศีล...เมื่อขาด
 หากมีสตินึกรู้ ก็สามารถต่อใหม่ได้
แต่ถ้าเมื่อไร เธอหลงตัวเอง
จนมองไม่เห็นหัวคนอื่น
นี่สิน่ากลัว เพราะถึงตอนนั้น
แม้ศีลเธอจะไม่ขาด แต่เธอก็จะขาดสติเสียแล้ว

คำสอนของ เจ้ากุศลจริต
ทำให้หนูบัวฯ นึกถึงตอนที่เธอเริ่มถือศีลใหม่ ๆ
ตอนนั้นเธอต้องฟังคนในโรงพยาบาล" เม้าส์ " คนโน้นคนนี้
เธอนิ่งเงียบ ยิ้มๆ ไม่พูด ไม่ต่อปากต่อคำร่วมวงนินทาด้วย
อุปทาน ทำให้เธอ ปรุงแต่งจนเห็น
ภาพ หนอนยั้วเยี้ยจุกอยู่ในปากของเขา
มันทำให้เธอรู้สึกขยะแขยง
และไม่อยากเลี้ยงหนอนไว้ดูเล่นในปากอย่างนั้น
วูบหนึ่งใจเธอกลับมองคนเหล่านั้นอย่างเหยียด ๆ

ว่า น่าสมเพช
ว่า เขามิได้ครองศีล 5
ว่า เขามิได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง เสมอด้วยเธอ

สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ
มันเป็น การปรุงแต่งที่โง่เขลา
เธอเสียเวลาไปกับเวทนานี้
ประมาณ 3 วินาที ( ตามที่จดไว้ในสมุดดูจิต )
ก่อนที่เจ้าสติสตัง  จะวิ่งมาลากตัวเธอ
ออกไปจากแอ่งแห่ง อวิชชา

นึกถึงเรื่องนี้ทีไรหนูบัวฯ ก็ขนลุกนะ
เกือบไปแล้วเชียว เกือบทำ บาปสีขาว อีกแล้ว
บาปชนิดนี้ น่ากลัว กว่า บาปสีดำ อีกนะ
เพราะมันพรางตัวเก่ง หลอกเราได้แนบเนียน
จนบางครั้งหลงผิดไปกับมันโดยคิดว่าเป็น สัมมาทิฐิ


อืม...พี่ที่ทำงาน เคยบอกหนูบัวฯ ว่า
ถ้าไม่ได้ไปอยู่วัด เขาก็รักษาศีลไม่ได้หรอก
เพราะสิ่งเร้ามันเยอะ 
มันไม่สงบเหมือนเขตพัธสีมา
ฟังแล้วเธอก็ขำ ๆ นะ
อาจเป็นเพราะ มุมมองต่อโลกและชีวิต
และ ความคิดของเธอ ไม่เหมือนกับชาวบ้านก็ได้
เธอไม่เคยมอง สิ่งเร้าว่าเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่
แต่มองว่า มันเป็นความท้าทายเล็ก ๆ น้อย ๆ

ถ้า โลกในส่วนที่ไม่ได้อยู่ใต้ร่ม กาสาวพัตร์
คือ โลกที่เต็ม ไปด้วยกิเลส ตัณหา
และ ภาพมายาแห่งความสุข
โลก ณ ส่วนนั้น มันก็ไม่ต่างจาก
ฮาเร็มของสุลต่านหรอกนะ
หนำซ้ำ ราคจริตของหนูบัวฯ มันก็ชี้นำ
ให้หนูบัวฯ มายืนอยู่ ณ โลกส่วนนั้นเสียด้วยสิ

ใคร ๆ ก็เรียก ขนานนาม เธอว่า
เจ้าแม่ฮาเร็มนี่นา
ดังนั้น ปุถุชนอย่างหนูบัวฯ
คงไม่มีความสามารถพอที่จะนุ่งขาวห่มขาว
ไปถือศีลที่วัดได้หรอกนะ
มันไม่ถูกจริต กับคนอย่างเธอ
แต่ในเมื่อ เธอมีตั้งใจจริง ที่อยากจะถือศีล แล้ว
เจ้าแม่ฮาเร็ม อย่างเธอ
ก็จะลุยถั่ว ถือ " ศีล 5 ในฮาเร็ม... "  แบบนี้แหล่ะ

หนูบัวฯมักพูดเสมอนะ ว่า สถานที่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ
ความตั้งใจ ต่างหากที่สำคัญที่สุด
แม้ใน ฮาเร็มที่ เธออาศัยอยู่
มันจะไม่เอื้อกับการปฏิบัติธรรมเท่าไรก็เหอะ

นี่หนูบัวฯ ก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน
ว่า จะ ล้างมือ ในอ่างทองคำ
อำลาวงการ(ฮาเร็ม) ดีไหม ?
เพราะ ถ้ายังคงถือ " ศีล 5 ในฮาเร็ม " เช่นนี้
สักวันศีลที่ถือ คงขาดกระจุยเป็นแน่แท้ ^ - ^


จากใจผู้เขียน

อืม.... ตอนแรกกะทำโพล
ศีลข้อไหน ? ที่คุณ ..."  ถือ  "...ไม่ค่อยจะได้
เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทุกท่าน
และบอกเล่าถึง ประสบการณ์ (ที่เกี่ยวข้อง) กับศีลที่ตนได้พบเจอ
แต่เมื่อ หลายวันก่อน เห็น มีคนเคยทำโพลสำรวจแล้ว
เลยเปลี่ยนใจ แล้วตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาแทน
คิดอยู่นานเหมือนกันว่า จะสื่อสาร
นำเสนอ มุมมองเรื่องศีล อย่างไรถึงจะเหมาะสม

มีผู้หวังดีเคยแนะนำว่า
ให้เขียนในสิ่งที่ น่าเชื่อถือ เป็นหลักการ
ต้อง ลดนิสัยทำเป็นเล่น ลงไปบ้าง
ชิ้นงานที่เขียนจึงจะก่อประโยชน์แก่ผู้อ่านมากขึ้น
เธอยกตัวอย่าง งานเขียนแนวธรรมมะ ของนักเขียนคนหนึ่ง
ซึ่ง อิฉันเองก็เคยได้อ่านมาบ้าง ( แต่ยังไม่สามารถอ่านจบสักเล่ม )

ดังนั้น อิฉันจึงคิด ว่า
ถ้าอิฉัน อยากจะนำเสนอมุมมองชีวิต
ในแบบของตัวเองแล้วไซร้
อิฉันก็ควรจะซื่อสัตย์ พอ
ที่จะนำเสนองานเขียน
ในแบบที่เป็นตัวของตัวเองไม่ใช่เป็นคนอื่น
 
การเขียนให้ดูน่าเชื่อถือ น่าเลื่อมใส และมีหลักการนั้น
อิฉันก็พอจะทำได้อยู่บ้าง
และถ้าพิจารณาจากชิ้นงานที่ผ่านมา
มันก็ประสบความสำเร็จพอสมควร
แต่มันไม่ใช่ตัวตนของอิฉัน

ศิลปะในการใช้ภาษาของอิฉัน
อาจบรรจงปรุงแต่งงานเขียนเชิงธรรมะ
ทำให้คนอ่านรู้สึกศรัทธาเลื่อมใส อย่างไรก็ได้
แต่การพยายามสั่งสอนคนอื่นในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็น
มันเหมือนการ สร้างภาพที่น่าละอาย อิฉันทำไม่ลง
ถ้าวันหนึ่ง คนอ่านพบว่า ตัวตนที่แท้ ของอิฉัน
มันไม่ได้ น่าศรัทธา เลื่อมใส แบบตัวหนังสือที่เขียน
พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร ?
อิฉันไม่อยากจะไปรับผิดชอบความรู้สึกที่เสียไปของใคร

นักเขียนนิยายธรรมะ ก็ไม่ใช่ ไอดอล ในใจอิฉันเสียด้วย
อิฉันชอบ แม่ลูกจันทร์ ณ สำนักข่าวหัวเขียว
ชอบทมยันตี ชอบโบตั๋น ชอบ คึกฤทธิ์
ชอบ วินทร์ เลียววารินทร์  ชอบ เดอะจิก ( ประภาส )
ชอบ โทมัส แฮริส (คนเขียน ฮันนิบาล เลคเตอร์)
ชอบ มวนยาพร ( คนเขียนเรื่อง แม่ไม่เอาไหน ลูกชายไม่เอาถ่าน ในมติชน )
และที่ สำคัญ อิฉัน ชอบ ศราวก คนเขียน "โลกของหนูแหวน"


ด้วยเหตุนี้ อิฉัน จึงตัดสินใจนำเสนอมุมมองต่อโลก
ผ่าน เด็กหญิงที่ชื่อ หนูบัวฯ 
แม้การดำเนินเรื่องที่อิฉันเขียน
จะมีส่วนคล้าย โลกของหนูแหวนอยู่บ้าง
แต่ก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว

โลกของหนูบัวฯ ไม่ได้อยู่ในชนบท
ไม่ได้อยู่กับธรรมชาติที่แสนบริสุทธิ์
เธอเลยไม่มีที่นาให้วิ่งเล่น
หนองน้ำแถวบ้านเธอ
ก็ถูกถมทำบ้านจัดสรรไปหมดแล้ว
หนูบัวฯ เลยไม่รู้จะขุดดินเหนียวที่ไหน
มาปั้นแต่งแล้วจินตนาการไปเรื่อย
เธอไม่เคยมีเพื่อนชื่อ ไอ้แพะ ไว้คุยด้วย
มีแต่เพื่อนชื่อ ไอ้อาร์ท กับ นังอีฟ
ไว้เม้นต์ คุยกันเล่น ทาง Hi5

โลกของหนูบัวฯ กับ โลกของหนูแหวนต่างโดยสิ้นเชิง
ทำให้มุมมองที่มีต่อโลก ของเด็กทั้งคู่ แตกต่างกันไปด้วย
หนูแหวนนั้น   ร่าเริง.......สดใส........  และ ไร้เดียงสา
ส่วน หนูบัวฯ  เป็นตัวแสบที่อันตราย..และ ร้ายเดียงสา

ความเหมือนที่แตกต่าง ของเด็กทั้งคู่คือ
แม้พวกเธอยังเด็กเกินกว่าจะต่อสู้เพื่อ
" เปลี่ยนแปลงโลกที่ไร้สมดุล"
แต่ก็โตพอที่จะ...เรียนรู้....วิธีที่จะต่อสู้เพื่ออยู่บนโลก
โดยไม่ให้โลกไร้สมดุลนี้ มาเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเธอ
และไม่ให้ ผลกระทบในแง่ลบของความไร้สมดุลเหล่านี้
มาทำลายโลกส่วนตัวของพวกเธอ

อืม....ลำบากใจเหมือนกันนะ
ที่จะเขียนแสดงแนวคิด แบบเสรีนิยม
ลงในเวบบอร์ดประเภท ธรรมนิยม
ในสังคมที่มีการแบ่งแยก สีขาว
และ สีดำออกจากกันอย่างชัดแจ้ง
คนชายขอบที่อยู่ตรงตะเข็บรอยต่อของสีทั้งสอง
คนที่มองโลกเป็นสีเทา อย่างอิฉันนั้น
มันหาที่ยืนค่อนข้างยากนะ

ดีไม่ดี ถ้าพลั้งเผลอไม่ระวัง
อาจไปทำให้คนที่ ยึดติดและศรัทธา กับสีขาว ขุ่นมัวก็ได้
เอาเป็นว่า สิ่งที่ฉันเขียนนี้ ไม่ใช่เขียนในฐานะผู้ทรงศีล
แต่ฉันเขียนมันขึ้นมาเพื่อบอกเล่าเหตุการณ์
 ที่ปุถุชนคนหนึ่งล้มลุกคลุกคลานในเรื่องเกี่ยวข้องกับ ศีล 5
สิ่งที่เขียนจึงมีทั้ง เรื่องที่ดี และ เรื่องที่ไม่ดี

ขอให้ท่านผู้อ่านโปรดใช้หลัก กาลามสูตร
ในศาสนาที่คุณนับถือวิเคราะห์เอาเองเถิด ว่า
จะเลือกสิ่งดี ๆ ส่วนไหน ไปใช้ประโยชน์
และ เลือก สิ่งไม่ดี ส่วนไหน  ไปใช้เป็นเครื่องเตือนใจตัวเอง
พุทธโดยทะเบียนบ้าน ( และ โดยกำเนิด ) อย่างอิฉัน
คงแนะนำอะไรคุณได้ไม่มากนักหรอกเจ้าค่ะ

ถือเสียว่า เรื่องนี้เป็นแค่ประสบการณ์จากชีวิตจริง
ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่จริตของอิฉันมันปรุงแต่งขึ้นมา
เพื่อให้คุณได้เรียนรู้ก็แล้วกันนะเจ้าคะ
ส่วนเมื่ออ่านแล้ว จริต ของคุณจะปรุงแต่งไปทางไหนต่อ
ก็สุดแล้วแต่ ( มโน ) กรรม ที่คุณ ลิขิตเอง ก็แล้วกัน ....

ด้วยจิตคาราวะ เจ้าค่ะ ^ - ^

หมายเหตุ

อ้อและเพื่อป้องกันความสับสน และปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา

ขออธิบายว่า 0.01 % ที่เพิ่มเติมขึ้นมาเองนั้น
เป็นเรื่องในส่วนที่คุยกับจริต
คุยกับความรู้สึก และ ขวดเปล่า
เพราะในชีวิตจริงคงไม่มี
คนสติดี ๆ ที่ไหนเขาทำกันหรอก

แต่ที่ต้องนำเสนอในรูปแบบนี้ก็
ก็เพื่อให้ข้อเขียนมันอ่อนลง
เพราะถ้าเขียนเรื่อง ของ แนวคิด
และมุมมอง แบบจริงจัง เป็นผู้ใหญ่เขาคุยกัน
ก็คงจะซีเรียสเกินไปหน่อย  ^ - ^

และ เผื่อใครสนใจอยากอ่าน โลกของหนูแหวน
แล้วหาอ่านไม่ได้ ไปอ่านได้นะคะ ที่
http://www.fringer.org/?p=50
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ Pure+

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • *
  • กระทู้: 255
  • พลังกัลยาณมิตร 220
    • ดูรายละเอียด
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2010, 09:46:56 am »
ยาวดีจัง แต่ดูแล้วน่าอ่าน
กลับจากตจว.คืนนี้จะกลับมาอ่านน่อ.. :13:
พระคัมภีร์วิสุทธิมรรค.http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4275.msg18028/topicseen.html#msg18028

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2010, 11:21:24 am »
 :06:   
โลกออนไลน์ก็อย่างนี้ล่ะครับ จิตจะไหลตามกระแสของใจตัวเราเองซะมากกว่า เพราะไม่มีใครทำอะไรได้นอกจากใจของตัวเราเองครับ
อ้อ ใครจะว่าอย่างไรถ้าสนใจเรื่องที่เค้าพูดมากๆ ใจเราก็จะยึดติดและเป็นทุกข์ครับ สนใจเรื่องสำคัญๆก่อนจะดีกว่า คิดว่าเรื่องเล็กๆ แต่ถ้ามันใหญ่ก็ค่อยๆแก้ไป
เวลาจะพิสูจน์ใจเราเองครับ
 
ธรรมะอวยพรครับ ผมก็มาบ่น ไม่รู้เกี่ยวกันเปล่ากับกระทู้นี้ 55+
 
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ คนหนึ่งคน

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นกล้า
  • *
  • กระทู้: 81
  • พลังกัลยาณมิตร 29
    • ดูรายละเอียด
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: กันยายน 08, 2011, 12:18:32 am »
อ่านยาวเลยเรา

ออฟไลน์ บัวผ่อง

  • www.facebook.com/maneemess
  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 196
  • พลังกัลยาณมิตร 33
    • maneemess
    • ดูรายละเอียด
    • www.facebook.com/maneemess
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: กันยายน 25, 2011, 12:45:12 am »
เอ๊ะ ? เรื่องนี้ จขกท. ได้แต่ใดมาเจ้าคะ ?
แหม ? อ่านแร้วลู้ฉึกว่า คนเขียนเรื่องนี้
ต้อง เป็น คนสวยใจดี ผู้มีศีลธรรมจรรยา แหง๋ ๆ เรยยย ฮ่ะ
ป้าฟันธ๊ง ฟังธงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง   :25:


ปอลิง
แท้งกิ้วเจ้าค่ะ ที่ทุกทั่น สละเวลาอันมีค่า
ถ่อสังขาร เอ๊ย หั้ยเกียรติเข้ามาเป็นหน้าหมา เอ๊ย หน้าม้า
มาช่วยปั่นกาทู้หั้ยเจ้าป้าเจ้าค่ะ  อิอิ :47:
.
หมายเหตุ

ถ้าพวกเมิง...เอ๊ย... เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ลุง ๆป้า ๆ น้า ๆ อา ๆ
ทนอ่าน ตัวหนังสือ ของกรู...เอ๊ย.... ของนู๋บี มิได้...

นู๋บี จา กลั้นใจตาย ( จิง ๆ น๊ะ ) อ่ะซิก ... อ่ะซิก...

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&month=09-2010&date=22&group=3&gblog=2



ออฟไลน์ บัวผ่อง

  • www.facebook.com/maneemess
  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 196
  • พลังกัลยาณมิตร 33
    • maneemess
    • ดูรายละเอียด
    • www.facebook.com/maneemess
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: กันยายน 28, 2011, 11:54:07 pm »



 :12: :12: :12:
.
หมายเหตุ

ถ้าพวกเมิง...เอ๊ย... เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ลุง ๆป้า ๆ น้า ๆ อา ๆ
ทนอ่าน ตัวหนังสือ ของกรู...เอ๊ย.... ของนู๋บี มิได้...

นู๋บี จา กลั้นใจตาย ( จิง ๆ น๊ะ ) อ่ะซิก ... อ่ะซิก...

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&month=09-2010&date=22&group=3&gblog=2



ออฟไลน์ magicmo

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 127
  • พลังกัลยาณมิตร 30
    • ดูรายละเอียด
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: มีนาคม 01, 2012, 04:49:52 pm »
ขอบคุณนะคับ