ขอบคุณที่มาภาพจากน้องต้องค่ะ ก) ลำดับขั้นของการพัฒนาปัญญา เท่าที่กล่าวมา เห็นได้แล้วว่า สัมมาทิฏฐิ เป็นจุดเริ่มต้นหรือเป็นตัวนำ ในการดำเนินตามมรรคาแห่งมัชฌิมาปฏิปทา และเป็นตัวยืนที่มีบทบาทอยู่ตลอดเวลาทุกขั้นตอนของการปฏิบัติ
อย่างไรก็ดี ระหว่างการดำเนินมรรคาตลอดสายนี้ สัมมาทิฏฐิ มิใช่เพียงเป็นที่อาศัย หรือเป็นตัวสนับสนุนองค์มรรคข้ออื่นๆ ฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่ตัวสัมมาทิฏฐิเอง ก็ได้รับความอุดหนุนจากองค์มรรคข้ออื่นๆ ด้วย ยิ่งการดำเนินตามมรรคก้าวหน้าไปเท่าใด สัมมาทิฏฐิก็ยิ่งอบรมบ่มตัวให้แข็งกล้าชัดเจน
มีกำลังบริสุทธิ์มากขึ้นเพียงนั้น และในที่สุดก็กลายเป็นตัวการสำคัญที่นำเข้าถึงจุดหมายปลายทางของมรรคา จนกล่าวได้ว่า สัมมาทิฏฐิเป็นทั้งจุดเริ่มต้นและปลายสุดของมรรคา
การที่สัมมาทิฏฐิเจริญคลี่คลายขยายตัวมาตามลำดับในระหว่าง มรรคาเช่นนี้ ส่องความในตัวว่า สัมมาทิฏฐิในลำดับหรือขั้นตอนต่างๆ ของการปฏิบัตินั้น มีความแตกต่างกันโดยคุณภาพ ตามลำดับหรือตามขั้นตอนนั้นๆ สัมมาทิฏฐิที่มีเมื่ออยู่ ณ จุดเริ่มต้น ย่อมมีคุณภาพต่างจากสัมมาทิฏฐิที่มีเมื่อถึงปลายทาง
สัมมาทิฏฐิที่
จุดเริ่มต้นทีเดียวก็ดี ที่
สุดทางก็ดี อาจมีลักษณะจำเพาะตัวที่แตกต่างจาก
ลักษณะทั่วไปของสัมมาทิฏฐิตามความหมายทั่วไป กล่าวคือ
- สัมมาทิฏฐิที่จุดเริ่มต้น
อาจยังมีลักษณะไม่พร้อมสมบูรณ์ ที่จะควรนับว่าเป็นสัมมาทิฏฐิเต็มตามความหมายของคำ และ
- สัมมาทิฏฐิที่สุดทาง
อาจมีคุณสมบัติแปรเปลี่ยนพิเศษออกไป จนควรเรียกชื่อเป็นอีกอย่างหนึ่งต่างหาก
การแยกคำเรียกจึงมีประโยชน์ในกรณีนี้ และโดยที่สัมมาทิฏฐิเป็นลักษณะหนึ่งของปัญญา คำรวมที่เหมาะในที่นี้จึงควรได้แก่คำว่า “ปัญญา” ซึ่งหมายความว่า ปัญญาเจริญขึ้นตามลำดับของการฝึกอบรมในมรรคานี้ ปัญญาที่เจริญ
ตามลำดับขั้นนี้ แต่ละขั้นตอนที่สำคัญมี
ลักษณะและชื่อเรียกพิเศษอย่างไร ควรพิจารณาต่อไปสักเล็กน้อย
กล่าวตามระบบมัชฌิมาปฏิปทา พอจะวางลำดับสังเขปของ “การเจริญปัญญา” ได้ว่า
สำหรับคนสามัญทั่วไป ที่ต้องเรียนรู้ด้วยอาศัยคำแนะนำสั่งสอนจากผู้อื่น กระบวนการฝึกอบรมจะเริ่มต้นด้วยความเชื่อในรูปใดรูปหนึ่งก่อน ซึ่งมีศัพท์เฉพาะเรียกว่า ศรัทธา ศรัทธานี้ อาจเป็นความเชื่อเพราะพอใจในเหตุผลเบื้องต้นของคำสอนนั้น และหรือความเชื่อในความมีเหตุผล หรือลักษณะอันสมเหตุสมผลน่าไว้วางใจของตัวผู้สอนเอง
จากนั้น จึงมีการรับฟังคำสอน การศึกษาอบรม เกิดความเข้าใจเพิ่มพูนขึ้น มองเห็นเหตุผลที่ถูกต้องด้วยตนเอง ซึ่งเรียกคร่าวๆ ว่า
สัมมาทิฏฐิ เมื่อความเห็นความเข้าใจนี้ เพิ่มพูน และแจ่มแจ้งชัดเจนขึ้นตามลำดับ ด้วยการลงมือปฏิบัติ หรือพิสูจน์ด้วยประสบการณ์ จนกลายเป็นการรู้การเห็นประจักษ์ ก็นับว่าปัญญาได้เจริญมาถึงขั้นที่เรียกว่าเป็น
สัมมาญาณ ซึ่งเป็นขั้นที่พ้นจากความเชื่อ
(ศรัทธา) และพ้นจาก
ความเข้าใจด้วยเหตุผล (ทิฏฐิ) ใดๆ ทั้งสิ้น เป็นขั้นสุดทาง และ
เข้าถึงจุดหมาย คือ
ความหลุดพ้นเป็นอิสระ ซึ่งเรียกว่า
สัมมาวิมุตติ ลำดับความเจริญของปัญญานี้ อาจเขียนให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้ ศรัทธา-สัมมาทิฏฐิ-สัมมาญาณ - สัมมาวิมุตติ
ตามกระบวนธรรมนี้ เริ่มแรกทีเดียว ปัญญามีอยู่เพียงในรูปแฝง หรือเป็นตัวประกอบของศรัทธาก่อน แล้วเจริญเป็นตัวเองขึ้นตามลำดับ จนเมื่อถึงขั้นสุดท้าย เป็น
สัมมาญาณ ปัญญาจะเด่นชัดบริสุทธิ์เป็นตัวแท้
ส่วนศรัทธาจะไม่เหลืออยู่เลย เพราะถูกปัญญาแทนที่โดยสิ้นเชิง เมื่อถึงขั้นนี้เท่านั้น
การตรัสรู้หรือการหลุดพ้นจึงมีได้ กระบวนการนี้ จะได้เห็นต่อไปตามลำดับ
ข้อน่าสังเกตเป็นพิเศษ คือ
ศรัทธาที่ปรากฏเข้ามาในกระบวนธรรมนี้ หมายถึง ศรัทธาเพื่อปัญญา หรือศรัทธาที่นำไปสู่ปัญญา จึงต้องเป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา หรือเชื่อเพราะมีความเข้าใจในเหตุผลเป็นมูลฐาน (เป็นอาการวตีศรัทธา หรือ ศรัทธาญาณสัมปยุต) มิได้หมายถึงความเชื่อแบบมอบใจปลงปัญญาให้ไป โดยไม่ต้องพิจารณาเหตุผล (อมูลิกาศรัทธา หรือ ศรัทธาญาณวิปยุต)
เรื่องศรัทธา ที่เข้ามาเป็นส่วนประกอบในกระบวนธรรมนี้ อาจถูก เข้าใจสับสนกับความเชื่อหรือศรัทธาอย่างที่เข้าใจกันในศาสนาทั่วๆ ไป จึงต้องศึกษาเป็นพิเศษ ณ ที่นี้ด้วย