ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"  (อ่าน 9294 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
.

รวมรวมเรื่องราวที่น่ารู้ เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"


------------------------------------------------------------------------

วันตรุษจีน 2557 ประวัติวันตรุษจีน

-http://hilight.kapook.com/view/19792-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          วันตรุษจีน 2557 หรือ ตรุษจีน 2014 ตรงกับวันศุกร์ที่ 31 มกราคม วันตรุษจีน และวันนี้เรามี บทความวันตรุษจีน 2557 มาฝาก ทั้ง ประวัติวันตรุษจีน วันไหว้ตรุษจีน 2557 วันเที่ยวตรุษจีน และวันจ่าย2557 ตรงกับวันที่เท่าไหร่ มาดูกัน

          ตรุษจีน เป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของจีน เพราะชาวจีนถือว่า วันตรุษจีน คือวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินจีน เช่นเดียวกับสงกรานต์วันปีใหม่ไทย ดังนั้นชาวจีนจึงให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้เป็นอย่างยิ่ง และมีการเฉลิมฉลองทั่วโลกโดยเฉพาะชุมชนขนาดใหญ่ของคนเชื้อสายจีน ซึ่งในแต่ละพื้นที่ก็จะมีพิธีเฉลิมฉลองแตกต่างกันไป สำหรับปี 2557 นี้ วันตรุษจีนตรงกับวันที่ 31 มกราคม

ประวัติวันตรุษจีน

          สำหรับที่มาของวันตรุษจีน นั้น เชื่อกันว่าประเพณีนี้มีมานานกว่าสี่พันปีแล้ว จัดขึ้นเพื่อฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เดิมที่ไม่ได้เรียกว่าเทศกาลตรุษจีน แต่มีชื่อเรียกต่างกันตามยุคสมัย นั่นคือเมื่อ 2100 ปีก่อนคริสตศักราชจะเรียกว่า "ซุ่ย" ซึ่งมีความหมายถึงการโคจรครบหนึ่งรอบของดาวจูปิเตอร์ จนกระทั่งต่อมาในยุค 1000 กว่าปีก่อนคริสตศักราช เทศกาลตรุษจีนจะถูกเรียกว่า "เหนียน" หมายถึงการเก็บเกี่ยวได้ผลอุดมสมบูรณ์นั่นเอง

          นอกจากนี้ วันตรุษจีน ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันชุงเจ๋" ซึ่งหมายถึงเทศกาลดูใบไม้ผลิ หรือขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ เพราะช่วงก่อนตรุษจีนนั้นตรงกับฤดูหนาว ไม่สามารถทำการเกษตรได้ ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่มีอากาศเหมาะสมแก่การเพาะปลูก ชาวจีนจึงสามารถทำนา ทำสวน ได้อีกครั้งหลังจากผ่านพ้นฤดูหนาวมานั่นเอง

          ส่วนการกำหนดวันตรุษจีนนั้น ตามประเพณีเทศกาลตรุษจีนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือนอ้ายตามปฏิทินจันทรคติของจีน และถือว่าคืนวันที่ 30 เดือน 12 เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ส่วนวันที่ 1 เดือน 1 คือวันชิวอิก หมายถึงวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ

          การเตรียมงานเพื่อการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนนั้น จะเริ่มขึ้นตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) โดยผู้คนจะเริ่มซื้อข้าวของต่างๆ เพื่อประดับตกแต่งบ้านเรือน และเตรียมทำความสะอาดครั้งใหญ่ ตั้งแต่ชั้นบนลงชั้นล่าง เนื่องจากมีความเชื่อว่าจะเป็นการปัดกวาดสิ่งที่ไม่ดีออกไป ภายในบ้าน ทั้งประตู หน้าต่าง จะประดับประดาไปด้วยสีแดง และกระดาษสีแดงที่มีคำอวยพรให้อายุยืน ร่ำรวย อยู่ดีมีสุข ฯลฯ

          จากนั้นครอบครัวจะร่วมรับประทานอาหารที่ล้วนแต่มีความหมายมงคลทั้งสิ้น เช่น กุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรืองและความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งความโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา) สาหร่าย จะนำความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร หลังจากทานอาหารค่ำแล้ว ทุกคนในครอบครัวจะนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับวันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง




สัญลักษณ์ของ วันตรุษจีน

          นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันตรุษจีน คือ "อั่งเปา " ซึ่งมีความหมายว่า "กระเป๋าแดง" หรือจะใช้คำว่า "แต๊ะเอีย" ซึ่งมีความหมายว่า "ผูกเอว" จากที่คนสมัยก่อนชอบร้อยเงินเป็นพวงผูกไว้ที่เอว โดยการให้อั่งเปานี้ คู่แต่งงานจะให้เงินเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัว จะออกมาจากบ้านเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่ในหมู่ญาติ และด้วยเพื่อนบ้าน ซึ่งคงคล้ายกับการที่ชาวตะวันตกพูดว่า "Let bygones be bygones" (อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป)

วันตรุษจีน 2557

          สำหรับวันตรุษจีน 2557 นี้ ตรงกับวันศุกร์ ที่ 31 มกราคม 2557 นั่นเอง ซึ่งวันตรุษจีนไม่ถือเป็นวันหยุดราชการนะ แต่ตามบริษัทห้างร้านของคนจีนอาจจะอนุญาตให้ลูกจ้างได้หยุดพักผ่อนอยู่กับบ้าน ถือเป็นวันหยุดพักผ่อนพิเศษสำหรับคนจีน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าบริษัทไหน หรือร้านไหนจะกำหนดให้หยุดได้กี่วัน

วันจ่ายตรุษจีน 2557 

          ตามธรรมเนียมของคนจีนแล้ว วันจ่าย หรือ ตื่อเส็ก จะเป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปหาซื้ออาหาร ผลไม้ เครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ มาเตรียมพร้อมไว้ ก่อนที่ร้านค้าต่าง ๆ จะหยุดยาวในช่วงวันตรุษจีน ซึ่งจะตรงกับวันก่อนวันสิ้นปี โดยในปี 2557 นี้ วันจ่ายตรุษจีนคือวันพุธ ที่ 29 มกราคม   

  วันไหว้ตรุษจีน 2557

          วันไหว้ของเทศกาลตรุษจีนก็คือ "วันสิ้นปี" ซึ่งจะเป็นวันที่มีการไหว้เทพเจ้าต่าง ๆ ด้วยอาหาร ผลไม้ เครื่องเซ่นไหว้ ฯลฯ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยในปี 2557 นี้ วันไหว้ตรุษจีน  คือ วันพฤหัสบดี ที่ 30 มกราคม

วันเที่ยวตรุษจีน 2557

          วันเที่ยวสำหรับชาวจีนก็คือ "วันปีใหม่" หรือ "วันตรุษจีน" ซึ่งวันเที่ยวตรุษจีน 2557 คือ วันศุกร์ที่ 31 มกราคม นั่นเอง และเป็น "วันถือ" ด้วย โดยในวันนี้ชาวจีนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวยงาม พากันออกไปท่องเที่ยว และไปไหว้ขอพรญาติผู้ใหญ่ หรือผู้ที่เคารพรัก ชาวจีนจะถือว่าวันนี้เป็นวันแห่งสิริมงคล และงดทำบาปทั้งปวง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://www.panyathai.or.th/-
- thai.cri.cn
- abhidhamonline.org
- thaigoogleearth.com

.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 19, 2014, 10:11:59 am โดย sithiphong »
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
วันตรุษจีน 2557 ต้อนรับวันตรุษจีน 2014 ด้วยเรื่องน่ารู้

-http://hilight.kapook.com/view/55824-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          วันตรุษจีน 2014 หรือ วันตรุษจีน 2557 วันที่ 31 มกราคม วันนี้เรามีเรื่องน่ารู้ เรื่องที่ควรทำและไม่ควรทำเนื่องในวันตรุษจีนมาฝาก เพื่อฉลองเทศกาลตรุษจีนอย่างมีความสุข และได้สิริมงคล เนื่องในวันตรุษจีน 2557

          ว่าแต่เรื่องน่ารู้วันตรุษจีน มีเรื่องอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลยค่ะ

           ดอกไม้ไฟ โคมลอย และคำโคลงประโยคคู่สีแดง เกี่ยวอะไรกับวันตรุษจีน

          ในคืนก่อนวันตรุษจีน ชาวจีนจะนั่งดูทีวี กินอาหาร พูดคุยหยอกล้อกันภายในครอบครัว โดยมีตำนานเก่าแก่เล่ากันว่า สมัยก่อนมีปิศาจตนหนึ่งชื่อว่า "เหนียน" (หรือคำว่า "ปี" ในภาษาไทย) อาศัยอยู่บนภูเขาออกอาละวาด จับมนุษย์ วัว และควายเป็นอาหาร ผู้คนจึงพยายามหาวิธีกำจัดเจ้าปิศาจจึงพบว่า เจ้าปิศาจตนนี้กลัว ไฟ เสียงปัง และกลัวสีแดง พวกมนุษย์จึงพากันจุดประทัดหรือติดโคมไฟหน้าบ้าน เพื่อขับไล่ให้ปิศาจออกไป และถึงแม้ว่าปัจจุบันจะไม่มีใครเชื่อเรื่องปิศาจกันแล้วก็ตาม ตำนานและเรื่องเล่าเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ ชาวจีนยังคงแขวนโคมสีแดงไว้หน้าบ้าน นั่งดูโทรทัศน์กับครอบครัวเพื่อต้อนรับวันใหม่พร้อมกัน

          โดยปกติแล้วชาวจีนจะไม่จุดพลุหรือดอกไม้ไฟกันตอนกลางคืน เพราะจะเป็นการรบกวนผู้อื่น แต่จะจุดประทัดกันในช่วงกลางวันแทน เพราะไม่ถือเป็นการรบกวนผู้อื่นมากนัก

           อาหารในวันตรุษจีน

          ทางตอนเหนือของประเทศจีนนั้น นิยมจัดติ่มซำเป็นอาหารขึ้นโต๊ะสำหรับมื้อเย็น เพราะชาวจีนเชื่อว่าการกินติ่มซำในวันสิ้นปีนั้นจะนำพาโชคดีมาให้ อาหารที่มีชื่อว่า "หยวนเบา (yuan bao)" เป็นอาหารที่มีลักษณะคล้ายเรือสีทอง และมีรูปทรงเดียวกับเงินที่ใช้กันแต่โบราณ ซึ่งการทำอาหารชนิดนี้อาจดัดแปลงโดยการยัดใส่ด้วยผัก เนื้อสัตว์ ปลาและกุ้ง หรือบางครอบครัวอาจดัดแปลงโดยการใส่ถั่วเพื่มลงไปเป็นใส้ หรือใส่เหรียญลงไปสัก 1 เหรียญในใส้เพื่อคอยดูว่าใครจะได้เป็นผู้โชคดีที่สุดของปี

          ส่วนทางตอนใต้ของประเทศจีนนั้น ผู้คนชอบทานข้าวกันมากกว่าข้าวสาลี หลายครอบครัวจะทานเค้กที่ทำจากข้าวเหนียวเป็นอาหารส่งท้ายปี ขนมเค้กที่ว่านั้น ชาวจีนเรียกกันว่า "เหนียน เกาว(ดีวัน ดีคืน)" ซึ่งเป็นดั่งสัญลักษณ์ของปีที่รุ่งเรือง นอกจากนั้น ต้นกระเทียม และปลา ยังเป็นอาหารที่ขาดไม่ได้เช่นกัน

           การห่อเงินด้วยสีแดง

          ช่วงเทศกาลตรุษจีนถือเป็นวันที่โปรดปรานของเด็ก ๆ ทุกคน เพราะว่าเป็นวันที่จะได้รับอั่งเปาสีแดงจากคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่าและจากญาติคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นหลักร้อยหรือหลักพันก็ได้ อาจให้โดยกับมือหรือวางไว้ให้ข้างหมอนตอนเด็ก ๆ หลับก็ได้

           ห้ามตัดผม

          คนจีนหลาย ๆ คนที่เชื่อเรื่องโชคลาภมักจะไม่ตัดผมกันในช่วงเทศกาลตรุษจีน เพราะเชื่อว่าจะทำให้พี่ชายแม่เสียชีวิตลงได้ ดั่งเรื่องเล่าที่ว่า ช่างตัดผมคนหนึ่งอยากหาของขวัญให้คุณลุงของเขา แต่เพราะยากจนไม่มีเงินซื้อของขวัญอันแสนมีค่ามาให้ได้ เขาจึงตัดผมให้ลุงเป็นของขวัญแทน หลังจากที่ ลุงของเขาเสียชีวิตลง หลานชายของเขาร้องไห้เพราะคิดถึงทุกปี จนเป็นตำนานความเหมือนกันในความหมายของคำว่า "คิดถึงลุงของเขา (si jiu)" และคำว่า "การตายของลุง" ซึ่งในภาษาจีน สองคำนี้อ่านออกเสียงอย่างเดียวกัน

          เหล่านี้คือเรื่องเล่าขาน ตำนานแห่งวันตรุษจีน ส่วนโชคดีจะอยู่หรือไปนั้น อยู่ที่การกระทำของเราในวันนี้และพรุ่งนี้เช่นกัน ส่วนธรรมเนียมปฏิบัติและคุณค่าของวัฒนธรรมนั้นคงคุณค่าไว้เพื่อดำรงไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษากันต่อไป
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ของไหว้ตรุษจีน 2557 อาหารไหว้ในแต่ละวัน

-http://hilight.kapook.com/view/19797-




ของไหว้ตรุษจีน


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ตรุษจีน 2557 ตรงกับวันที่ 31 มกราคม ซึ่งก่อนที่จะถึงวันตรุษจีนก็จะมีการไหว้เจ้าที่ ไหว้บรรพบุรุษเนื่องในวันตรุษจีน ว่าแต่ ของไหว้ตรุษจีน 2557 มีอะไรบ้าง ตามไปดูกัน

          ใกล้เทศกาลตรุษจีนกันมาแล้ว หลาย ๆ คนคงตั้งหน้าตั้งตารอ เพราะนี่คงเป็นเทศกาลที่จะได้พบปะกับญาติมิตรที่ไม่ได้เจอกันมานาน และได้อั่งเปาจากญาติผู้ใหญ่ แต่ก่อนที่จะถึงวันตรุษจีนนั้น เราคงสังเกตเห็นว่า มีการไหว้เจ้าและไหว้บรรพบุรุษก่อนที่จะเข้าวันตรุษจีน เพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต วันนี้ เราจึงเสนอของเซ่นไหว้ถูกหลัก พร้อมทั้งความหมายของของไหว้แต่ละอย่าง มาฝากกันค่ะ

         เดิมนั้น คนจีนจะแบ่งวันไหว้ออกเป็น 2 วัน นับเป็น 2 เทศกาลคือ วันที่ 29 หรือ 30 เดือน 12 ของจีน และ วันชิวอก ซึ่งเป็นเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเริ่มมาจากฤดูใบไม้ผลิของคนจีน แต่คนไทยมักจะรวม 2 วันนี้เป็นวันเดียวกัน และไหว้พร้อมกันทีเดียว

         ของไหว้ในวันที่ 29 หรือ 30 ของเดือน 12



อาหารไหว้ช่วงเช้า

         ช่วงเช้า  เวลาประมาณ 07.00 – 08.00 น. ตอนเช้าชาวจีนจะนิยมไหว้สิงศักดิ์สิทธิ์ในบ้าน และไหว้ปุ้งเท้า ซึ่งเป็นเทพท้องถิ่นที่คนทำมาค้าขายนิยมบูชา โดยจะไหว้ด้วยเนื้อสัตว์ 3 อย่าง หรือ ซาแซ  เช่น

                  หมู  มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์
                  เป็ด  มีความหมายถึง ความสามารถอันหลากหลาย ความมั่งคั่ง ความมีมาก
                  ไก่   มีความหมายถึง ความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน โดยหงอนไก่ที่มีลักษณะเหมือนหมวกขุนนาง มีความหมายถึงความซื่อตรง
                  ขนมเข่ง  มีความหมายถึง การมีเพื่อนมาก




อาหารไหว้ช่วงสาย


         ช่วงสาย เวลาประมาณ 09.00 น. ถึงก่อนเที่ยง จะเป็นการไหว้บรรพบุรุษและบรรพชน อาหารที่ไหว้มีดังนี้

         อาหารคาว อาหารคาวต่าง ๆ มีความหมาย ดังต่อไปนี้

                  ลูกชิ้นปลา  หมายถึง ความเหลือกินเหลือใช้ ชีวิตราบรื่น
                  ผัดต้นกระเทียม  หมายถึง ความมั่งคั่ง มีเงินมีทองให้นับอยู่เสมอ
                  ผัดตับกับกุยช่าย  หมายถึง การมียศฐาบรรดาศักดิ์ ฐานะร่ำรวย
                  แกงจืด หมายถึง การให้ลูกหลานมีชีวิตราบรื่น
                  เป๋าฮื้อ หมายถึง ความเหลือกินเหลือใช้ มีไว้ให้ลูกหลาน
                  ผัดถั่วงอก หมายถึง ความงอกงาม เจริญรุ่งเรือง
                  เต้าหู้ หมายถึง การเจริญเติบโต บุญ ความสุข
                  สาหร่ายทะเล หมายถึง ความโชคดี ร่ำรวย

         อาหารหวาน มีความหมายต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

                  ซาลาเปา หมายถึง การห่อโชคลาภมาให้ลูกหลาน
                  ขนมถ้วยฟู หมายถึง ความเจริญงอกงาม
                  ขนมคัดท้อก้วย คือ ขนมไล้ถั่วต่าง ๆ ที่ทำเป็นลูกท้อ หมายถึง การอวยพรให้มีอายุยืนยาว
                  ขนมไข่ หมายถึง การเจริญเติบโต
                  ขนมอี๊ ทำจากแป้งกลม ๆ นวดแล้วเจือสีชมพู แล้วปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ต้มกับน้ำตาล จะทำให้ เคี้ยวง่าย ขนมอิ๊จึงหมายถึงความราบรื่น
                  ขนมเทียน หมายถึง ความสว่างรุ่งเรือง

         ขนมเข่ง
         ชุดซาแซ คือ หมู เป็ด ไก่
         ข้าวสวย พูนใส่ให้ครบตามจำนวนของบรรพบุรุษ
         น้ำชา
         ผลไม้ ผลไม้ต่าง ๆ ที่ไหว้ในวันตรุษจีนมีความหมายดังต่อไปนี้

                  ส้ม หมายถึง โชคลาภ วาสนา มีความหมายถึงโชคดี
                  กล้วย หมายถึง การมีลูกหลานมาก และเรียกโชคลาภเข้าบ้าน
                  แอปเปิ้ล หมายถึง การมีสุขภาพแข็งแรง และความสุขสงบ
                  สับปะรด หมายถึง การมองเห็นได้กว้างไกล
                  องุ่น หมายถึง ความมั่งคั่งและความแข็งแรง
                  สาลี่ หมายถึง เงินทองไหลมาเทมา

         เครื่องกระดาษ มีความหมายต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

                  กระดาษเงินกระดาษทอง คนจีนเชื่อว่า เมื่อคนตายตายไปแล้ว ลูกหลานจะต้องส่งเงินทองไปให้เพื่อแสดงความกตัญญู และการเผากระดาษเงินกระดาษทอง ก็ยังหมายถึงสิริมงคลที่จะเกิดกับลูกหลานอีกด้วย
                  กอจี๊ หรือ จี๊จุ๊ย หมายถึง กระดาษทองชิ้นใหญ่มีกระดาษแดงตัดเป็นตัวอักษรว่า เผ่งอัน หมายถึง ความโชคดี
                  กิมจั๊ว หมายถึง กระดาษเงินกระดาษทองที่ลูกหลานนำมาทำเป็นชุด พับเป็นรูปดอกไม้ก่อนไหว้
                  กิมเต้า หมายถึง ถังเงินถังทอง ใช้ไหว้เทพยดาฟ้าดิน
                  กิมเตี๊ยว หรือ แท่งทอง ใช้สำหรับไหว้คนตาย
                  อิมกังจัวยี่ หรือ แบงค์กงเต็ก ใช้สำหรับเบิกทางไปสู่สวรรค์ขอคนตาย




อาหารไหว้ช่วงบ่าย


         ช่วงบ่าย เวลาประมาณ 13.00 – 15.00 น. จะเป็นการไหว้วิญญาณที่ไม่มีญาติ โดยประกอบไปด้วยเครื่องไหว้ดังนี้

         อาหารคาว
         อาหารหวาน
         เครื่องกระดาษ




อาหารไหว้วันตรุษจีน


         วันตรุษจีน เป็นการไหว้ในช่วงเช้าของวันที่ 1 ด้วยของเซ่นต่าง ๆ หลังจากนั้นจะให้ออกไปไหว้เจ้านอกบ้าน และไหว้บรรพบุรุษ เสร็จแล้วจะเดินทางไปเยี่ยมพี่น้อง โดยเครื่องไหว้ต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้


         ส้ม หมายถึง โชคดี
         ของหวาน 5 อย่าง
         ขนมจันอับ หมายถึง ความเจริญงอกงามดุจดังเมล็ดพืช


         เราหวังว่า วันตรุษจีนนี้ คงเป็นอีกวันที่เทพยดาฟ้าดินที่เราไหว้ จะนำพาความสุขสงบร่มเย็น พร้อมด้วยโชคลาภเงินทอง มาสู่เราตลอดปีนะคะ

http://hilight.kapook.com/view/19797
.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
วิธีการไหว้รับเทพเจ้าโชคลาภไฉ่ซิงเอี้ยประจำปีมะเมีย 2557

-http://www.sumnakcharang.com/angle1.php-


 ฤกษ์และหลักการไหว้เทพเจ้าโชคลาภ
ฤกษ์กลางคืนวันพฤหัสบดีที่    30    มกราคม    2557
เวลา 23.11 น.    ห้ามปี    วอก ชวด เถาะ    ขึ้นธูปคนแรก (ใช้ธูป 12 ดอก)
ถ้าจำเป็นต้องเื่ลื่อน  ไปใช้ฤกษ์เวลา 03.03 น. (ตีสาม สามนาที)

ตั้งโต๊ะหลักหันไปทาง ทิศใต้  ( S )
เพื่ออัญเชิญ  เทพเจ้าโชคลาภ เทพเจ้าสิริมงคล เทพเจ้าอุปถัมภ์ ประทานพร

ปีนี้ เทพเจ้าโชคลาภ มาทางทิศใต้  ( S )
เทพเจ้าสิริมงคล มาทางทิศใต ( S )
เทพเจ้าอุปถัมภ์ ประทานพร  มาทางทิศตะวันออก ( E )

กรณีพื้นที่จำกัด ตั้งโต๊ะไหว้หันออกหน้าบ้าน
จุดธูปไหว้ไปทางทิศใต้ ( S ) เพื่ออัญเชิญเทพ ฯ
เปิดประตูหน้าบ้าน ปิดประตูหลังบ้าน ( ไหว้บนดาดฟ้าก็ได้ )

ห้ามกวาดบ้านจนถึงวันเปิดงาน ( ถูบ้านได้)

ฤกษ์เปิดงาน ชิวสี่  วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557
เอาชุดไหว้เจ้าที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้กิจการเจริญรุ่งเรืองสถาพร
การงานราบรื่น มั่งมี ศรีสุข โชคลาภวาสนาไม่ขาดสาย

 

เครื่องไหว้ในพิธี
1.    รูปปั้น หรือรูปภาพ องค์เทพ ไฉ่ซิ้งเอี๊ย
( ถ้าไม่มี ให้ไหว้ขึ้นธูปทางทิศใต้  ( S ) )
2.     แก้วใส่ข้าวสาร หรือกระถางธูป มีกิมฮวยปัก 1 คู่
ติดการดาษแดง หรืออั้งติ๋ว
3.    แจกันดอกไม้ 1 คู่
4.    เชิงเทียน พร้อมเทียนสีแดง 1 คู่
5.    น้ำชา 5 ถ้วย
6.    ถั่วเขียว 1จาน - ถั่วแดง 1จาน - ส้ม 8 ลูก(ใส่ถาด)
7.    เจไฉ่ 5 อย่าง - ผลไม้ 5 อย่าง
8.    สาคูต้มสุกน้ำเชื่อม หรือ อี๊ 5ถ้วย
9.    น้ำใส่ยอดทับทิม 5 ยอด 1 ขัน หรือ 1 แก้ว (เพื่อใช้พรมตัวและบ้าน)
10.    หนังสืออัญเชิญ พร้อมคำอธิษฐานขอพร สีูแดง และเขียว
11.    ซองอั่งเปา
12.    อย่างอื่นเพิ่มเติมตามใจ เช่น ชุดเครื่องไหว้ เมื่อไหว้ธูปได้ครึ่งดอก
เอาเครื่องกระดาษไปเผา
13.    ขนมหวาน 3 อย่าง เช่น ขนมเข่ง ฮวดก้วย ขนมชั้น
14.    กระดาษทอง (ตั่วกิม) 13 แผ่น และ กระดาษไหว้เจ้า (หงิงเตี่ย) 13 คู่
15.    อย่างอื่นเพิ่มเติมตามใจ เช่น ชุดเครื่องไหว้ เวลาไหว้ กล่าวคำอธิษฐาน
บอกชื่อ(แซ่) นามสกุล วันเดือนปีเกิด อายุ และที่อยู่ ของผู้ทำการไหว้
ขอพร หรือเขียนรายละเอียดบุคคลที่ขอพรใส่ในกระดาษให้เรียบร้อย
แล้ววางเอาไว้ในถาดเครื่องการดาษจะได้ไม่ตกหล่น สมาชิกทุกท่าน
ในครอบครัว เมื่อไหว้ธูปได้ครึ่งดอก เอาเครื่องกระดาษไปเผาเสร็จแล้ว
ส่วนของไหว้นำกลับเข้าบ้านไปกินเป็นสิริมงคล

 
ตำแหน่งเครื่องไหว้ในพิธี




หมายเหตุ  =>   
ฯลฯ
   

ของอื่นเพิ่มเติม เช่น ขนม,เครื่องกระดาษ,มงคล 5 ประเภทตามกำลัง

 
วันชิวอิก         ไหว้พระ - เทพเจ้าขอพร ทานขนมไส้พุทรา เกาลัด
          ขนมเข่ง, บัวลอย
วันชิวหยี         ร่วมรับประทานอาหารในครอบครัว
วันชิวซา         ทำความสะอาดเอาขยะสิ่งปฏิกูลออกจากบ้าน   เพื่อต้อนรับ
          เพื่อต้อนรับ ความมั่งมีศรีสุขในวันเปิดงาน
วันชิวฉิก         วันเกิดมนุษย์ กินผัก 7 อย่าง งอกงามเพิ่มพูน

 

Update   8 - 12 - 2013  Webmaster


http://www.sumnakcharang.com/angle1.php



.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
พิธีการบูชา ตี่จู้เอี๊ยะ

-http://www.bjmarble.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539420644-

การบูชา ตี่จู๋เอี๊ยะ


ความสำคัญของตี่จู้เอี๊ยะ
    ในตำราจีนกล่าวไว้ว่า ตี่จู้เอี๊ยะ คือเทพที่ใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุด ท่านเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลปกปักษ์รักษาผู้อยู่อาศัยในบ้าน
    ดังนั้นการที่เจ้าของบ้านจัดสถานที่อยู่อาศัยให้กับเทพที่คุ้มครองเรา เป็นการจัดสถานที่อยู่อาศัยอย่างเป็นทางการ อันจะนำมาซึ่งความสมบูรณ์พูนสุขของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน ยิ่งกว่านั้นมีความเชื่อกันว่า ตี่จู้เอี๊ยะ มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าของบ้านนั้นโดยตรง เพราะถ้ามีการวางตำแหน่ง ตี่จู้เอี๊ยะ ได้อย่างถูกต้อง ท่านจะช่วยส่งเสริมดวงชะตาของเจ้าของบ้านไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจ บารมี สุขภาพ ร่างกาย และยังรวมไปถึงความผาสุขของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน


การเลือกซื้อตี่จู้เอี๊ยะ


    การตั้งตี่จู้ต้องตั้งติดดิน เจ้าที่จึงจะมีพลัง ซึ่งในการตั้งตี่จู้ก็มีหลักการเดียวกับศาลพระภูมิของคนไทยคือตั้งได้เฉพาะชั้นล่าง เพราะจะทำให้ได้โชคลาภมาก ยิ่งติดพื้นยิ่งดีเพราะจะทำให้ตี่จู้รับพลังจากธาตุดินได้ดีกว่านั่นเอง
    ซึ่งผิดแผกไปจากศาลพระพรหมที่สามารถตั้งบนดาดฟ้าได้เลย โดยเราจะตั้งตี่จู้ไว้ทางด้านซ้ายหรือทางด้านขวามือของตัวบ้านก็ได้ ทั้งนี้ต้องดูตำแหน่งที่ตั้งของตี่จู้ตามหลักการประกอบกันไปด้วย

ทิศรอบตี่จู้เอี๊ยะ
ด้านหลังตี่จู้ : ไม่ควรอยู่ชิดประตู รวมถึงบันได ห้องน้ำ และห้องครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรตรงกับเตาไฟ ควรวางพิงด้านใด ด้านหนึ่งไม่เคลื่อนย้าย
ด้านหน้าตี่จู้ : ควรเป็นเหม่งตึ๊ง(พื้นที่โล่ง) เพื่อรองรับโชคลาภบารมีที่จะเข้ามา มีแสงสว่างที่เพียงพอ
ด้านบนตี่จู้ : ไม่ควรวางใต้ขื่อคานหรือมีสิ่งใดไว้กดทับตี่จู้ จะเป็นการลดพลังของตี่จู้ได้ เช่น อ่างน้ำหรือตู้ปลาเป็นต้น
ด้านใต้ตี่จู้ : การใส่แผ่นเงิน แผ่นทอง หรือจำพวกเพชรนิลจินดาสามารถใส่ได้ เพราะถือเป็นธาตุดินช่วยเสริมกับพลังของตี่จู้ ทั้งนี้ควรตั้งติดพื้น ไม่ต้องมีฐานรอง

 

ของไหว้อื่นๆ

1. กระถางธูป หากเป็นกระถางธูปใหม่ จะใช้ โหง่วเจ่งจี้ หรือธัญพืช 5 อย่าง ซึ่งได้แก่ ข้าวเปลือก (เสริมความเจริญงอกงาม) หรือ ข้าวสาร (เสริมความ ร่ำรวย มั่งคั่ง) - ข้าวเหนียวแดง (เสริมความโชคดี) - เมล็ดถั่วเขียว(ลูกหลานมากมาย อุดมสมบรูณ์) - เมล็ดถั่วแดง(ความเป็นสิริมงคล ลาภยศ )- เม็ดสาคู (เสริมความสูข) ปนลงไปในผงธูปด้วย ที่ด้านข้างกระถางควรแปะอั่งติ้วเอาไว้ด้วย (อั่งติ้ว คือ ผ้าแดงสำหรับติดตรงกระถางธูป) ผงขี้เถ้าสำหรับกระถางธูป (ผงขี้เถ้า เสริมการค้าขาย เจริญรุ่งเรือง)
2. ธูป 5 ดอก
3. เหรียญสิบ 5 เหรียญ (ควรใช้เหรียญใหม่ๆ) วางใส่ในกระถางธูปหรือใต้กระถางธูปก็ได้ (เสริม เงินทองไหลมาเทมา)
4. แจกันพร้อมดอกไม้สด 1 คู่
5. น้ำชา 5 ถ้วย
6. เหล้า 5 ถ้วย
7. ผลไม้ 5 อย่าง (อาทิเช่น ส้ม สับปะรด องุ่น)
8. ฮวกก้วย (คล้ายๆ ขนมถ้วยฟู) 1 ชิ้น
9. ขนมอี้ (สาคูแดง) 5 ถ้วย
10. ขนมจันอับ
11. ข้าวสวย 5 ถ้วย
12. เจฉ่าย
13. ซาแซ หรือ โหง่วแซ
    -ถ้าจัดใหญ่ นิยมเป็นตัวเลข 5 คือ มีของคาว 5 อย่าง เรียกว่า “โหงวแซ” ประกอบด้วย หมู ไก่ ตับ ปลา และกุ้งมังกร แต่เนื่องจากกุ้งมังกรนั้นแพงและหาไม่ง่าย จึงนิยมไหว้เป็ดหรือปลาหมึกแห้งแทน
    ถ้าจัดเล็ก ก็เป็นชุดละ 3 อย่าง มีของคาว 3 อย่างเรียกว่า “ซาแซ” ของหวาน 3 อย่าง เรียกว่า “ซาเปี้ย” ผลไม้ 3 อย่าง เรียกว่า “ซาก้วย” หรือจะมีแค่อย่างเดียวก็ได้


ผลไม้มงคล

1 แอปเปิ้ล ( ความเจริญ รุ่งเรือง )

2 ลูกพลับ ( ความไม่ย้อท้อต่ออุปสรรค,ขยัน )

3 สาลี่ ( เงินทองไหลมาเทมา )

4 ส้ม ( ความมีอำนาจ มั่งคั่ง )

5 องุ่น ( ความสมบรูณ์ พูนสูข )

6 ลูกท้อ ( ความยั่งยืน)

7 สับปะรด ( ความรอบรู้ กว้างไกล)

8 ลิ้นจี่ ( ความเป็นมงคล)

9 ลำใย ( ความมีอำนาจวาสนา เป็นผู้นำ )

10 กล้วย (ลูกหลาน บริวาร )

 
การไหว้ ตี่จู๋เอี้ยะ

จะมีการไหว้ 2 แบบคือ
    1.การไหว้ในทุกๆ วัน
    2.การไหว้ตามวันพระจีน ( ชิวอิก--1ค่ำ และ จับโหงว--15 ค่ำ )
     ซึ่งการไหว้ทั้ง 2 แบบจะต่างกันเพียงของไหว้เล็กน้อย และการไหว้ตามวันพระจีน จะมีการไหว้เดือนละ 2 ครั้งเท่านั้น
ทั้งนี้ ไม่รวมการไหว้ตามเทศกาลต่างๆอีก เช่ ตรุษจีน สารทจีน และการไหว้รับเทพ ซึ่งจะมีการจัดของไหว้ที่ต่างกันออกไป

    1.การไหว้ในทุกๆวัน
      ของไหว้ได้แก่   
1.น้ำชา  5 ถ้วย
2.น้ำเปล่า 3 ถ้วย
3.กระดาษไหว้ 1 ชุด
      วิธีการไหว้ คือ ให้จุดธูป 7 ดอก ไหว้เจ้าที่ภายในบ้านก่อน อธิษฐานเสร็จ ปักธูปที่กระถาง 5 ดอก อีก 2 ดอก ให้ปักที่ประตูหน้าบ้านซ้าย และขวา เป็นการไหว้เทพประจำประตูซ้าย-ขวา
       เสร็จแล้วก็ลากระดาษไปเผาหน้าบ้าน (ห้ามเขี่ยขี้เถ้าระหว่างเผา ปล่อยให้มอดไปเอง)
2.การไหว้ทุกวันพระ(ชิวอิกและจับโหงว )
      ของไหว้ได้แก่   
1.น้ำชา 5 ถ้วย
2.น้ำเปล่า 3 ถ้วย
3.ขนมกูไช่ สีแดง ( ถ่อก้วย หรืออั่งก้วย )
4.ส้ม  5 ลูก
5.กระดาษไหว้  1 ชุด
    วิธีการไหว้ เหมือนการไหว้ประจำวัน แต่หลังจากปักธูปหน้าบ้านเสร็จให้รอสักครู่ จึงลาของไหว้ และกระดาษ

ขั้นตอนการประกอบพิธี

    ผู้ทำพิธีเชิญตี่จู้เอี๊ยะ คือเจ้าของบ้านหรือผู้อาวุโสของบ้าน หรือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าของบ้านให้เป็นผู้ทำการแทน โดยกล่าวง่ายๆ ว่าข้าพเจ้า ขอมอบให้ ..... เป็นผู้ทำการเชิญตี่จู้เอี๊ยะเพื่อมาสถิตย์อยู่ในบ้านนี้แทนข้าพเจ้า สำหรับผู้ทำการเชิญตี่จู้เอี๊ยะจะต้องอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดและแต่งตัว เรียบร้อย

พิธีเชิญตี่จู้เอี๊ยะ

ผู้อัญเชิญ จุดเทียนและธูป 5 ดอก แล้วคุกเข่าที่โต๊ะบูชาเทพยดาฟ้าดินหน้าบ้าน พร้อมกับกล่าวเปล่งเสียงออกมาว่า.....
"วันนี้ เป็นวันที่ ..... ( สากลหรือจีนก็ได้ ) ซึ่งเป็นวันมงคลของข้าพเจ้า ..... เป็นเจ้าของบ้าน หรือผู้อาวุโสของบ้าน หรือ ผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ทำการเชิญองค์ตี่จู้เอี๊ยะ ( ถ้าเชิญให้เจ้าของบ้านก็ระบุชื่อเจ้าของบ้าน ) บ้านเลขที่ .....
ขออัญเชิญองค์เทพยดาฟ้าดินมาเป็นสักขีและเป็นประธานในการทำพิธีตั้งตี่จู้เอี๊ยะ ในวันนี้ ขอให้องค์เทพยดาฟ้าดินช่วยนำองค์ตี่จู้เอี๊ยะที่ศักดิ์สิทธิ์และมีบารมีสูงส่ง เพื่อมาสถิตย์อยู่ ณ เคหสถานที่ได้ตระเตรียมไว้นี้ เพื่อมาปกปักรักษาคุ้มครองเจ้าของบ้านและสมาชิกทุกคนในบ้านให้ มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์พูนสุข มั่งคั่ง ร่ำรวย และโชคดีตลอดไป..."

เมื่อกล่าวจบ ก็ปักธูปทั้งห้าดอก ลงในกระถางธูปที่ตั้งโต๊ะแล้วคอยเวลาจนกระทั่งธูปหมดไป ประมาณครึ่งดอก ก็เข้ามาในบ้านเพื่อจุดเทียนแดงและธูปห้าดอกที่ตี่จู้เอี๊ยะ แล้วถือธูปเดินออกมาคุกเข่าต่อหน้าโต๊ะบูชาเทพยดาฟ้าดินหน้าบ้านอีกครั้งหนึ่ง บอกกล่าวด้วยการเปล่งเสียงออกมาอีกครั้งว่า "
.....บัดนี้ได้ถึง เวลาอันเป็นมงคลแล้ว ขออันเชิญองค์ตี่จู้เอี๊ยะเข้าสู่เคหะสถานที่ตระเตรียมไว้นี้ เพื่อปกปักรักษาคุ้มครองทุกคนในบ้านให้มีความสุขตลอดไป ฯลฯ ....." และก็นำธุปทั้งห้าดอกนั้นมาปักที่กระถางธูปของตี่จู้เอี๊ยะ และแนะนำสมาชิกทุกคนในบ้านด้วยการบอกชื่อและนามสกุล อายุ อาชีพ ฯลฯ และขอเชิญองค์ตี่จู้เอี๊ยะมารับเครื่องสักการะบูชาอันมีอะไรบ้างก็กล่าวของ มาทุกอย่าง หลังการนั้นกลับออกมาคุกเข่า กราบขอบคุณเทพยดาฟ้าดินเป็นอันเสร็จพิธี

    หลังจากนี้ก็ไหว้ตามปกติ โดยมีแค่ของไหว้เล็กๆ น้อยๆ หากแต่เป็นเทศกาลก็ควรจะไหว้ชุดใหญ่ตามรายละเอียดด้านบน



http://www.bjmarble.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539420644

.--------------------------------------------------------------------



ตี่จู้เอี๊ยะ เทพอารักษ์ประจำบ้าน ตามความเชื่อของชาวจีน

-http://hilight.kapook.com/view/96000-





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           ตี่จู้เอี๊ยะ เทพประจำบ้านผู้ปกปักอารักษ์คนในบ้าน ชาวจีนนิยมตั้งตี่จู้เอี๊ยะไว้ในบ้านเพื่อคุ้มครองและเสริมความสมบูรณ์พูนสุขแก่ผู้อาศัย การตั้งตี่จู้เอี๊ยะ ทำได้อย่างไร และควรไหว้ตี่จู้เอี๊ยะอย่างไร มาติดตามกันเลย

           ชาวจีนและเหล่าลูกหลานไทยเชื้อสายจีนมักจะมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของชะตาชีวิต รวมทั้งเทพเจ้าผู้มีหน้าที่อารักษ์พิทักษ์มนุษย์กันมาเนิ่นนานตั้งแต่อดีต ดังที่เราจะเห็นได้จากสิ่งที่สะท้อนความเชื่อเหล่านี้ของชาวจีน ผ่านสิ่งของหรือเทศกาลต่าง ๆ ที่ชาวจีนนิยมทำ เช่น การไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล และสิ่งหนึ่งที่เรามักจะพบเห็นโดยทั่วไปในบ้านเรือนของลูกหลานชาวจีน ก็คือ ตี่จู้เอี๊ยะ หรือที่สถิตย์ของเทพอารักษ์ผู้ปกปักรักษาคนในบ้านเรือนนั้น ๆ นั่นเอง

           ตามความเชื่อของจีน ตี่จู้เอี๊ยะ คือเทพที่ใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุด ผู้ทำหน้าที่ดูแลปกปักรักษาผู้อยู่อาศัยในบ้าน ดังนั้นการที่เจ้าของบ้านจัดสถานที่อยู่อาศัยให้แก่เทพที่คุ้มครองเรา จึงนำมาซึ่งความสมบูรณ์พูนสุขของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อด้วยว่าหากมีการวางตำแหน่งตี่จู้เอี๊ยะได้อย่างถูกต้อง เทพตี่จู้เอี๊ยะจะช่วยเสริมชะตาของเจ้าของบ้าน ทั้งในเรื่องโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจบารมี สุขภาพร่างกาย รวมถึงความผาสุขของผู้อาศัยในบ้านด้วย

           การตั้งตี่จู้เอี๊ยะ

           สำหรับการตั้งตี่จู้เอี๊ยะนั้น มีหลักการเดียวกับการตั้งศาลพระภูมิของคนไทย คือตั้งได้เฉพาะชั้นล่าง เพื่อให้ได้โชคลาภมาก และยิ่งตั้งได้ติดพื้นจะยิ่งดีเพราะจะได้รับพลังจากธาตุดินได้ดีกว่า โดยตี่จู้เอี๊ยะนั้นสามารถตั้งไว้ในบริเวณใดของบ้านก็ได้ โดยมีหลักการตั้งตี่จู้เอี๊ยะ ดังนี้

           ทิศด้านหลังตี่จู้เอี๊ยะ ไม่ควรอยู่ชิดประตู รวมถึงบันได ห้องน้ำ และห้องครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรตรงกับเตาไฟ ควรวางตี่จู้เอี๊ยะพิงด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ควรเคลื่อนย้าย

           ทิศด้านหน้าตี่จู้เอี๊ยะ ควรเป็นพื้นที่โล่ง เพื่อรองรับโชคลาภบารมีที่จะเข้ามา และมีแสงสว่างที่เพียงพอ

           ทิศด้านบนตี่จู้เอี๊ยะ ไม่ควรอยู่ใต้ขื่อคานหรือมีสิ่งใดวางทับ เพราะจะเป็นการลดพลังของตี่จู้ได้

           ทิศด้านใต้ตี่จู้เอี๊ยะ ควรวางตี่จู้เอี๊ยะตั้งติดดิน และสามารถนำแผ่นเงิน แผ่นทอง หรือเพชรนิลจินดา มาใส่ไว้ด้านใต้ได้ เพราะเป็นวัตถุธาตุดินช่วยเสริมพลังของเทพตี่จู้เอี๊ยะได้


           ของไหว้ตี่จู้เอี๊ยะ

           1. กระถางธูป หากเป็นกระถางธูปใหม่ จะใช้ โหง่วเจ่งจี้ หรือธัญพืช 5 อย่างปนลงไปในผงธูป ที่ด้านข้างกระถางควรแปะผ้าแดงที่เรียกว่า อั่งติ้ว เอาไว้ด้วย และมีผงขี้เถ้าสำหรับกระถางธูป เพื่อเสริมการค้าขาย เจริญรุ่งเรือง

           สำหรับ โหง่วเจ่งจี้ ประกอบด้วย

           - ข้าวเปลือก ช่วยเสริมความเจริญงอกงาม หรือ ข้าวสาร ช่วยเสริมความร่ำรวย มั่งคั่ง
           - ข้าวเหนียวแดง ช่วยเสริมความโชคดี
           - เมล็ดถั่วเขียว ช่วยให้มีลูกหลานมากมาย อุดมสมบูรณ์
           - เมล็ดถั่วแดง เสริมความเป็นสิริมงคล ลาภยศ
           - เม็ดสาคู ช่วยเสริมความสุข

           2. ธูป 5 ดอก

           3. เหรียญสิบใหม่ ๆ 5 เหรียญ วางใส่ในกระถางธูปหรือใต้กระถางธูปก็ได้ เพื่อช่วยเสริมเงินทองให้ไหลมาเทมา

           4. แจกันพร้อมดอกไม้สด 1 คู่

           5. น้ำชา 5 ถ้วย

           6. เหล้า 5 ถ้วย

           7. ผลไม้ 5 อย่าง

           8. ฮวกก้วย 1 ชิ้น

           9. ขนมอี้ หรือสาคูแดง 5 ถ้วย

           10. ขนมจันอับ

           11. ข้าวสวย 5 ถ้วย

           12. เจฉ่าย

           13. ซาแซ หรือ โหง่วแซ

           ซาแซ คือของไหว้ชุดเล็ก ประกอบด้วย ของคาว 3 อย่าง โดยมี ซาเปี้ย และ ซาก้วย หรือของหวาน 3 อย่างกับผลไม้ 3 อย่าง ไหว้พร้อมกัน

           โหง่วแซ คือของไหว้ชุดใหญ่ เป็นของคาว 5 อย่าง ประกอบด้วย หมู ไก่ ตับ ปลา และกุ้งมังกร แต่เนื่องจากกุ้งมังกรมีราคาแพงและหาซื้อยาก จึงนิยมไหว้เป็ดหรือปลาหมึกแห้งแทน





           การประกอบพิธีเชิญตี่จู้เอี๊ยะ

           ผู้ที่จะทำพิธีเชิญตี่จู้เอี๊ยะนั้น จะต้องอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด และแต่งกายให้เรียบร้อย โดยผู้ที่สามารถทำพิธีเชิญตี่จู้เอี๊ยะเข้าบ้านได้ คือเจ้าของบ้านหรือผู้อาวุโสในบ้าน หรือเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าของบ้านให้เป็นผู้ทำการแทน โดยการแต่งตั้งนั้นทำได้โดย ให้เจ้าของบ้านกล่าวว่า "ข้าพเจ้า ขอมอบให้ (ชื่อผู้ทำการแทน) เป็นผู้ทำการเชิญตี่จู้เอี๊ยะเพื่อมาสถิตย์อยู่ในบ้านนี้แทนข้าพเจ้า"

           สำหรับขั้นตอนในการประกอบพิธีเชิญตี่จู้เอี๊ยะนั้น เริ่มจากให้ผู้อัญเชิญ จุดเทียนและธูป 5 ดอก แล้วคุกเข่าที่โต๊ะบูชาเทพยาดาฟ้าดินที่อยู่หน้าบ้าน พร้อมกับกล่าวเปล่งเสียงว่า

           "วันนี้ เป็นวันที่... ซึ่งเป็นวันมงคลของข้าพเจ้า .... เป็นเจ้าของบ้าน/ผู้อาวุโสของบ้าน/ผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ทำการเชิญองค์ตี่จู้เอี๊ยะ บ้านเลขที่.... ขออัญเชิญองค์เทพยาดาฟ้าดินมาเป็นสักขีและเป็นประธานในการทำพิธีตั้งตี่จู้เอี๊ยะ ในวันนี้ ขอให้องค์เทพยาดาฟ้าดินช่วยนำองค์ตี่จู้เอี๊ยะที่ศักดิ์สิทธิ์และมีบารมีสูงส่งเพื่อมาสถิตย์อยู่ ณ เคหสถานที่ได้ตระเตรียมไว้นี้ เพื่อมาปกปักรักษาคุ้มครองเจ้าของบ้านและสมาชิกทุกคนที่อยู่ในบ้าน ให้มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์พูนสุข มั่งคั่ง ร่ำรวย และโชคดีตลอดไป"

           เมื่อกล่าวจบ ให้ผู้อัญเชิญปักธูปทั้ง 5 ดอกลงในกระถางธูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ รอกระทั่งธูปเหลือครึ่งดอก จึงเข้ามาในบ้านเพื่อจุดเทียนแดงและธูป 5 ดอกที่ตี่จู้เอี๊ยะ แล้วถือธูปเดินออกมาคุกเขาต่อหน้าโต๊ะบูชาเทพยดาฟ้าดินหน้าบ้านอีกครั้งหนึ่ง บอกกล่าวด้วยการเปล่งเสียงอีกครั้งว่า

           "บัดนี้ได้ถึงเวลาอันเป็นมงคลแล้ว ขออัญเชิญองค์ตี่จู้เอี๊ยะเข้าสู่เคหะสถานที่ตระเตรียมไว้นี้ เพื่อปกปักรักษาคุ้มครองทุกคนในบ้านให้มีความสุขตลอดไป"

           จากนั้นผู้อัญเชิญนำธูปทั้ง 5 ดอก มาปักที่กระถางธูปของตี่จู้เอี๊ยะ และแนะนำสมาชิกทุกคนในบ้าน ด้วยการบอกชื่อและนามสกุล อายุ อาชีพ ฯลฯ ก่อนเชิญองค์ตี่จู้เอี๊ยะมารับเครื่องสักการะบูชา โดยเอ่ยชื่อเครื่องสักการะบูชาทั้งหมด แล้วกลับออกมาคุกเข่า กราบของคุณเทพยดาฟ้าดิน เป็นอันเสร็จพิธี


           การไหว้ ตี่จู้เอี๊ยะ

           การไหว้ตี่จู้เอี๊ยะหลังจากได้เชิญตี่จู้เอี๊ยะเข้ามาสถิตย์ในบ้านแล้ว มี 2 แบบด้วยกัน คือการไหว้ทุกวัน กับการไหว้ตามวันพระจีน ซึ่งจะนิยมไหว้ด้วยของไหว้ชุดเล็ก ขณะที่การไหว้ในโอกาสเทศกกาลอื่น ๆ อย่างช่วง ตรุษจีน สารทจีน และการไหว้รับเทพ จะนิยมไหว้ด้วยของไหว้ชุดใหญ่

           1. การไหว้ทุกวัน มีของไหว้ประกอบด้วย

           น้ำชา 5 ถ้วย
           น้ำเปล่า 3 ถ้วย
           กระดาษไหว้ 1 ชุด

           วิธีการไหว้ให้จุดธูป 7 ดอก ไหว้เจ้าที่ภายในบ้านก่อน เมื่ออธิษฐานเสร็จให้ปักธูปที่กระถาง 5 ดอก ส่วนอีก 2 ดอกนำมาปักที่ประตูหน้าบ้านทั้งด้านซ้ายและขวา เมื่อเสร็จแล้วให้ลากระดาษไหว้ไปเผาหน้าบ้าน โดยห้ามเขี่ยขี้เถ้าระหว่างเผา ต้องปล่อยให้มอดไปเอง

           2. การไหว้ตามวันพระจีน (ชิวอิก 1 ค่ำ และ จับโหง่ว 15 ค่ำ) มีของไหว้ประกอบด้วย

           น้ำชา 5 ถ้วย
           น้ำเปล่า 3 ถ้วย
           ขนมกูไซ่ สีแดง (ถ่อก้วย หรืออั่งก้วย)
           ส้ม 5 ลูก
           กระดาษไหว้ 1 ชุด

           วิธีการไหว้ให้ไหว้เหมือนการไว้ประจำวัน แต่หลังจากไหว้หน้าบ้านเสร็จให้รอสักครู่ จึงค่อยลาของไหว้และลากระดาษมาเผาหน้าบ้าน


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
bjmarble.com
-http://www.bjmarble.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539420644-

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ตรุษจีน 2557 แนะ 8 เรื่องควรทำ วันตรุษจีน

-http://hilight.kapook.com/view/80636-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


            ตรุษจีน 2557 หรือ ตรุษจีน 2014 ตรงกับวันศุกร์ ที่ 31 มกราคม วันนี้เรามีเรื่องเกี่ยวกับเรื่องที่ควรทำวันตรุษจีนมาฝาก

            รู้กันอยู่แล้วว่าเทศกาลตรุษจีนก็คือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนทั่วโลกนั่นเอง ซึ่งหากเป็นเทศกาลขึ้นปีใหม่สากลอย่างช่วงวันที่ 1 มกราคม หลายคนก็จะพากันไปเดินทางท่องเที่ยว ไปทำบุญไหว้พระ สวดมนต์ข้ามปี พบปะญาติมิตรพี่น้อง เลี้ยงฉลอง เพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับศักราชใหม่ที่กำลังจะมาถึง ไม่ต่างจากชาวจีน ที่พวกเขาเองก็มีการถือเคล็ดความเชื่อแบบนี้ในช่วงวันตรุษจีนเช่นกัน อยากรู้ไหมว่า มีสิ่งใดที่ชาวจีนควรปฏิบัติในช่วงเทศกาลตรุษจีนบ้าง เพื่อเป็นการต้อนรับ วันตรุษจีน 2557 ที่ใกล้จะมาถึงนี้ กระปุกดอทคอม ขอนำความรู้เรื่องสิ่งที่ควรทำในวันตรุษจีนมาบอกกันค่ะ

 1. ไหว้เจ้าที่ ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้ผีไม่มีญาติ

            คนจีนทุกบ้านจะต้องไหว้เจ้าในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ เพราะเป็นธรรมเนียมที่ลูกหลานชาวจีนสืบทอดต่อกันมานานแล้ว โดยเชื่อว่า การไหว้เจ้าที่ ไหว้บรรพบุรุษ จะนำความสุขมาสู่ครอบครัวนั้น โดยในช่วงเช้า ชาวจีนจะไหว้เจ้าที่ และบรรพบุรุษ จากนั้นในช่วงเที่ยงจะไหว้ผีไม่มีญาติ และจุดขี้ไต้ไว้ 2 ชิ้น เมื่อไหว้ผีไม่มีญาติเสร็จแล้ว จะจุดประทัด และโปรยข้าวสารผสมเกลือ เพื่อเป็นการขับไล่สิ่งไม่ดีให้หมดไป

2. ทำพิธีรับไฉ่ซิ้งเอี้ย

            ไฉ่ซิ้งเอี้ย หรือ ไฉสิ่งเอี้ย คือ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ให้คุณทางด้านเงินทอง และทรัพย์สิน ถือเป็นเทพเจ้าที่มีความสำคัญมากที่สุดของชาวจีนก่อนเริ่มเข้าสู่นักษัตรปีใหม่ จะเห็นได้ว่าชาวจีนหลายคนนิยมไปกราบไหว้บูชาเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ยในช่วงตรุษจีนมากเป็นพิเศษ เป็นการเอาฤกษ์เอาชัย เรียกโชคลาภเข้ามาสู่ชีวิต ขณะที่หลายบ้านก็จะทำพิธีรับไฉ่ซิ้งเอี้ย ในช่วงหลังเที่ยงคืนของวันซาจั๊บ จนถึงก่อนตี 1


3. ประดับตุ๊ยเลี้ยง (คำกลอนอวยพรปีใหม่) ในบ้าน

            หากได้ไปเยือนบ้านคนจีน เราคงจะเห็นกระดาษสีแดง ๆ เขียนอักษรภาษาจีนสีทอง หรือสีดำตัวใหญ่ ๆ แปะอยู่ในบ้าน และที่ประตูบ้าน สิ่งนั้นเรียกว่า "ตุ๊ยเลี้ยง" หรือ คำกลอนอวยพรปีใหม่ของคนจีน ซึ่งเป็นคำกลอนที่มีความหมายดี ๆ อวยพรให้ร่ำรวย มั่งมีเงินทอง มีความสุข มีโชคมีลาภ ค้าขายได้กำไร ส่วนแผ่นที่ติดตรงประตูนั้นจะเขียนคำว่า "ชุก ยิบ เผ่ง อัง" แปลว่า เข้า-ออกโดยปลอดภัย นอกจากนี้ ชาวจีนจะติดภาพเด็กผู้หญิง และเด็กผู้ชาย ที่เรียกว่า "หนี่อ่วย" ไว้ในบ้านด้วย เพราะถือว่าเป็นภาพมงคลของจีน

4. กินเจในมื้อแรกของวันตรุษจีน

            ในเช้าวันใหม่ของวันชิวอิก หรือวันขึ้นปีใหม่ (ปี 2557 ตรงกับวันที่ 31 มกราคม) ชาวจีนหลายบ้านจะรับประทานอาหารเจกันในมื้อแรกของปี งดเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์ เพราะเชื่อว่าจะได้บุญเหมือนกับการกินเจตลอดปี

5. ใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ สีสันสดใส

            มีธรรมเนียมของชาวจีนอย่างหนึ่งที่สืบทอดกันมานานแล้ว นั่นก็คือ ชาวจีนจะนิยมหยิบเสื้อผ้าสีสันสดใส สีสว่าง ๆ เช่น สีแดง สีทอง ซึ่งเป็นสีแห่งความสุข สีของความมงคลออกมาใส่ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ เพราะเชื่อว่าจะนำความสว่างสดใส และเจิดจ้ามาให้ผู้สวมใส่ รวมทั้งใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ ด้วย ทั้งเด็กเล็ก ๆ ไปจนถึงผู้สูงอายุ เพื่อเอาเคล็ดในวันปีใหม่ให้ชีวิตสดใสราบรื่นเบิกบานไปตลอดปี ส่วนเสื้อผ้าสีขาว สีดำ ถือเป็นสีต้องห้ามในช่วงเทศกาลตรุษจีน เพราะเป็นสีไว้ทุกข์ แสดงถึงความโศกเศร้า

6. รวมญาติกินเกี๊ยว

            ในช่วงเทศกาลตรุษจีนถือเป็นโอกาสหนึ่งที่หลาย ๆ ครอบครัวจะได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง เพื่ออวยพรวันปีใหม่ และพบปะสังสรรค์กัน จึงถือเป็น "วันรวมญาติ" อีกหนึ่งวัน ซึ่งในวันซาจั๊บ คนในครอบครัวจะมาร่วมโต๊ะรับประทานเกี๊ยวด้วยกันในมื้อสุดท้ายก่อนขึ้นปีใหม่ ซึ่ง "เกี๊ยว" นี้ จะต้องพับเป็นก้อนให้เหมือน "เงิน" ของจีน แทนความหมายว่า มั่งมีเงินทอง

 7. อวยพรผู้ใหญ่ ด้วยส้ม 4 ผล

            ตามประเพณีของชาวจีน ในวันชิวอิก ทุกคนจะนำส้ม 4 ผล ไปกราบขอพรผู้ใหญ่ ซึ่งเจ้าของบ้านนั้นก็จะต้องรับส้มมา 2 ผล และนำส้มที่ตัวเองเตรียมไว้วางคืนลง 2 ผล พร้อมกับเตรียมเมล็ดแตงโมย้อมสีแดงไว้ 1 พาน และสมอจีนไว้รับแขกที่มาอวยพรด้วย



8. รับอั่งเปา-แต๊ะเอีย

            ข้อนี้เด็ก ๆ คงยิ้มแก้มปริแน่นอน เพราะในวันตรุษจีนนี้ เด็ก ๆ จะได้รับซองสีแดง ๆ จากญาติผู้ใหญ่ จะเรียกว่า "อั่งเปา" หรือ "แต๊ะเอีย" ก็ได้ เพื่ออวยพรให้เด็ก ๆ เจริญเติบโตแข็งแรง มีโชคลาภ ส่วนคนทำงาน คนที่มีเงินเดือนเป็นของตัวเองแล้ว ก็จะต้องให้อั่งเปากับเด็ก ๆ ในบ้านที่มีอายุน้อยกว่าด้วยเช่นกัน หรือเจ้านายจะให้อั่งเปาลูกน้องก็ได้ อ่านเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ "อั่งเปา" ต่อได้ที่นี่เลย "ตามไปดู เรื่องน่ารู้ของ อั่งเปา และ แต๊ะเอีย"

           ยังมีความเชื่ออีกหลายข้อที่ขึ้นอยู่กับประเพณี และธรรมเนียมของแต่ละชุมชน ซึ่งแต่ละบ้าน แต่ละครอบครัวก็จะปฏิบัติแตกต่างกันไป เช่น บางคนอาจเชื่อเรื่องโชคลางมาก ก็อาจจะให้ซินแสช่วยหาฤกษ์ยามก่อนจะก้าวเท้าออกจากบ้านไปเยี่ยมเยียนญาติในวันปีใหม่ หรือหลายคนก็เชื่อว่า หากได้ยินเสียงนกนางแอ่นร้อง หรือเห็นนกสีแดงในวันปีใหม่ จะทำให้โชคดีไปตลอดปีก็มี

           อย่างไรก็ตาม นอกจากข้อควรปฏิบัติในวันตรุษจีนแล้ว ก็ยังมีความเชื่อเรื่องสิ่งที่ไม่ควรทำในวันตรุษจีนด้วย ตามมาอ่านต่อได้ที่นี่เลยจ้า "12 ข้อห้าม ที่ไม่ควรทำในวันตรุษจีน"

-----------------------------------------------------------------------------------

ตรุษจีน 2014 มาดู 12 ข้อห้าม ที่ไม่ควรทำในวันตรุษจีน

-http://hilight.kapook.com/view/66365-





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ตรุษจีน 2014 มาถึงแล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็น ข้อห้ามวันตรุษจีน ตามมาดูกันว่า วันตรุษจีน 2557 ห้ามทำอะไรบ้าง

          ซินเจียยู่อี่ ซินนี่ฮวดไช้ ใกล้เทศกาลวันตรุษจีน 2557 หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน คงจะตื่นเต้นกันไม่น้อย เพราะช่วงเวลานี้ เป็นช่วงที่จะได้พบกับญาติมิตรที่ไม่เจอหน้ากันมานาน และบางคนก็อาจได้รับอั่งเปาของขวัญจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือด้วย แต่ในเมื่อนี่คือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนทั้งที หลาย ๆ บ้านก็คงจะมีธรรมเนียมปฏิบัติและข้อห้ามที่สืบทอดต่อกันมา ซึ่งในวันนี้จะพาไปดูกันว่ามีข้อห้ามอะไรบ้างที่ไม่ควรทำในช่วงตรุษจีน

          1. ห้ามทำความสะอาดบ้านในวันตรุษจีน

          ชาวจีนมีความเชื่อว่า การทำความสะอาดบ้าน และทิ้งขยะ ในวันตรุษจีนนั้น จะเป็นการกวาดเอาโชคลาภ เงินทอง ออกไปจากบ้าน แม้ว่าบ้านในช่วงวันตรุษจีนจะสกปรกก็ตาม บางคนที่จำเป็นจะต้องทำความสะอาดบ้าน ก็จะเพียงกวาดเศษฝุ่นไปไว้ที่มุมบ้าน แล้วค่อยเอาเศษฝุ่นนั้นไปทิ้งในวันต่อไป ดังนั้น วันตรุษจีน จึงไม่ค่อยมีคนทำความสะอาดบ้าน แต่จะไปทำความสะอาดกันหนึ่งก่อนวันตรุษจีน เพื่อที่จะให้บ้านสะอาดรับปีใหม่ และใช้บ้านในการต้อนรับแขกที่จะมาเยี่ยมเยียนอีกทางหนึ่ง

          2. ห้ามสระผมหรือตัดผม

          ชาวจีนจะไม่นิยมสระผมหรือตัดผมกันในวันตรุษจีน หรือบางคนก็จะไม่สระผม 3 วันหลังจากวันตรุษจีน เนื่องจากคำว่า ผม เป็นคำพ้องเสียงและพ้องรูปกับคำว่า มั่งคั่ง ดังนั้น การสระหรือตัดผมในวันตรุษจีน จึงเหมือนกับการนำความมั่งคั่งออกไป

          3. ห้ามพูดคำหยาบและทะเลาะเบาะแว้ง

          ในวันตรุษจีน คนจีนจะงดพูดคำหยาบและสิ่งที่ไม่ดี รวมไปถึงการพูดถึงความตายหรือผี เนื่องจากเชื่อว่า การพูดสิ่งที่ไม่ดีในวันนี้ จะนำความโชคร้ายมาให้ตลอดทั้งปี รวมไปถึงการที่ไม่พูดถึงเลข 4 เนื่องจากเลข 4 ในภาษาจีน ออกเสียงคล้ายกับคำว่า ตาย ดังนั้น หลาย ๆ คนจึงพยายามไม่ใช้หรือไม่พูดอะไรที่เกี่้ยวข้องกับเลข 4

          4. ห้ามกินโจ๊กและเนื้อสัตว์

          คนจีนมักจะไม่กินโจ๊กในตอนเช้าของวันตรุษจีน เนื่องจากเชื่อว่า คนจนคือคนที่มักจะกินโจ๊กในตอนเช้า ดังนั้น การกินโจ๊กในตอนเช้าของวันตรุษจีนจึงเหมือนกับการขัดขวางไม่ให้ตัวเองร่ำรวย และทำตัวเหมือนคนจน ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงการไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย เนื่องจากเชื่อว่า เทพเจ้าที่ลงมาในตอนเช้าของวันตรุษจีนนั้นเป็นมังสวิรัติ

          5. ห้ามซักผ้าในวันตรุษจีน
 
          คนจีนเชื่อว่า เทพเจ้าแห่งน้ำเกิดในวันตรุษจีน ดังนั้น การซักผ้าในวันตรุษจีนจึงเปรียบเสมือนการลบหลู่ท่าน

            6. ห้ามใส่ชุดขาวดำ

          เสื้อผ้าที่เป็นสีขาวดำ เป็นสัญลักษณ์ของความตาย ดังนั้น การสวมเสื้อผ้าสีขาวดำในวันนี้จึงหมายถึงลางร้าย คนจีนจึงมักสวมเสื้อผ้าสีแดงกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเชื่อว่า สีแดงคือสีที่จะนำความโชคดีมาให้

            7. ห้ามให้ยืมเงิน

          คนจีนบางคนอาจจะหมายรวมการที่ไม่ให้ยืมสิ่งของต่าง ๆ นอกเหนือไปจากเงินแล้ว ซึ่งมีความเชื่อที่ว่า การให้ยืมเงินในวันนี้จะทำให้ทั้งปีมีคนเข้ามาขอยืมเงินตลอด รวมไปถึง หากใครที่ติดเงินใครไว้ ก็ควรที่จะคืนเงินก่อนวันตรุษจีน เพราะเชื่อกันว่า หากติดเงินใครในวันตรุษจีนแล้ว คน ๆ นั้นก็จะมีหนี้สินตลอดปีไม่จบไม่สิ้น

            8. ห้ามทำของแตก

          คนจีนเชื่อกันว่า การทำสิ่งของแตก เช่น ทำแก้วแตก ทำจานแตก หรือทำกระจกแตก ในวันตรุษจีนนั้น จะหมายถึงลางร้ายที่บอกว่าครอบครัวจะแตกแยก หรือมีคนเสียชีวิตในครอบครัว ดังนั้นในวันนี้ จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษไม่ให้สิ่งของในบ้านแตกหรือชำรุดเสียหาย แต่หากทำของแตกโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็มีวิธีการแก้เคล็ดโดยการพูดว่า "luo di ka hua" ที่แปลว่า ดอกไม้จะเบ่งบานเมื่อตกลงสู่พื้น

            9. ห้ามซื้อรองเท้าใหม่

          คนจีนจะถือคติที่ว่า จะไม่ซื้อรองเท้าใหม่ในเดือนแรกของวันตรุษจีน เนื่องจากคำว่า รองเท้า ในภาษาจีนออกเสียงว่า Hai ซึ่งคำว่า Hai นี้ มีเสียงคล้ายกับการถอนหายใจ ซึ่งชาวจีนเชื่อว่า นั่นเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นปีที่ไม่ดี

            10. ห้ามร้องไห้

          คนจีนเชื่อกันว่า หากร้องไห้ในวันขึ้นปีใหม่ จะทำให้พบกับเรื่องไม่ดี และเสียใจไปตลอดทั้งปี ดังนั้น แม้ในวันนี้เด็กเล็กจะดื้อขนาดไหน อากง อาม่า ก็อาจจะปล่อยให้วันหนึ่ง เพราะไม่อยากตีให้เด็กต้องร้องไห้ในวันนี้

            11. ห้ามใช้ของมีคม

          ของมีคมก็เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับวันนี้ ทั้งมีด กรรไกร และอย่างอื่นที่สามารถตัดสิ่งอื่นได้ นั่นเพราะชาวจีนเชื่อว่า การใช้ของมีคมตัดสิ่งของ จะเป็นการตัดโชคดีไปด้วย

            12. ห้ามเข้าไปในห้องนอนคนอื่น

          รู้ไหม คนจีนหลายบ้านมีความเชื่อที่ว่า ในวันตรุษจีนนี้ ห้ามเข้าไปหาใครในห้องนอนด้วย ดังนั้น แม้เจ้าของบ้านป่วย นอนอยู่ในห้องนอน แต่เมื่อมีแขกมาเยี่ยมก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขก อย่าให้แขกเข้ามาเยี่ยมในห้องนอนเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นโชคร้าย

          อ่านแล้วอย่าลืมนำไปปฏิบัตินะคะ เพื่อจะได้รับเอาโชคลาภ เงินทอง เข้ามาตั้งแต่วันตรุษจีนตลอดจนทั้งปีนี้เลยนะคะ

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ประวัติ ขนมเข่ง ขนมเทียน ขนมมงคลสัญลักษณ์วันตรุษจีน

-http://cooking.kapook.com/view79721.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           เทศกาลวันขึ้นปีใหม่ของสากลก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ไม่ได้รวมถึงวันขึ้นปีใหม่ของทุกชนชาติอื่น ๆ นะคะ อย่างของไทยเราก็จะเป็นช่วงเดือนเมษายนของทุกปี และส่วนของจีนก็จะเป็นวันตรุษจีน ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 31 มกราคม 2557 นี้

           และพอพูดถึงวันตรุษจีน สิ่งที่หลายคนนึกถึงเป็นอันดับแรก ๆ ก็คงจะเป็นขนมเข่ง และขนมเทียน ที่จะมีขายตามท้องตลาดมากมายในช่วงเทศกาลนี้เท่านั้น และเนื่องในโอกาสที่ใกล้จะถึงวันตรุษจีนนี้ กระปุกดอทคอมก็เลยอยากจะนำเสนอประวัติความเป็นมาของขนมเข่ง และขนมเทียนกันสักหน่อย ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์หนึ่งในวันตรุษจีนให้ทุกคนได้เก็บไว้เป็นความรู้รอบตัวกันค่ะ

           ความเป็นมาของขนมเข่งที่เป็นที่ร่ำลือก็คือ ในยุคประวัติศาสตร์ของชาวจีนมีความเชื่อว่า บรรดาเทพเจ้าจีนที่คอยปกปักรักษามนุษย์ในโลก จะต้องขึ้นไปถวายรายงานความดีความชอบ และความชั่วที่มนุษย์ทุกคนได้กระทำกับองค์เง็กเซียนฮ่องเต้บนสวรรค์ ก่อนที่จะถึงวันตรุษจีนประมาณ 4 วัน เหล่าบรรดาคนที่รู้ว่าตนเองไม่ได้ทำความดีกับเขาสักเท่าไร จึงคิดทำขนมเข่ง หรือที่ชาวจีนแต้จิ๋วเรียกว่า ขนมเหนียนเกา (แปลว่าขนมที่ทำมาจากแป้ง) โดยใช้แป้งข้าวเหนียวมากวนกับน้ำตาลทราย และนำไปนึ่งจนมีลักษณะเป็นก้อนแป้งแข็ง ๆ และเหนียวหนืด จากนั้นก็นำขนมเข่งเหล่านี้ไปถวายให้บรรดาเทพเจ้าจีน เพื่อหวังให้ขนมแป้งเหนียว ๆ ช่วยปิดปากเทพเจ้าทั้งหลาย จนกล่าวรายงานความชั่วของตัวเองให้องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ฟังไม่ได้ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าขนมเข่งก็กลายเป็นขนมไหว้เจ้าของชาวจีนไปโดยปริยาย

            แต่อีกประวัติศาสตร์หนึ่งกลับแย้งขึ้นมาว่า ขนมเข่งมีความสำคัญในพิธีตรุษจีนก็เพราะสืบเนื่องมาจากในยุคประวัติศาสตร์ที่ชาวจีนหมดหนทางทำมาหากินในประเทศของตัวเอง จนต้องอพยพหนีความยากลำบาก มาทำมาหากินในประเทศไทย ชาวจีนเหล่านี้ต้องการเสบียงที่มีอายุเก็บรักษาได้นาน เอาไว้ประทังชีวิตระหว่างเดินทางโดยเรือสำเภา และขนมเข่งที่เป็นแป้งกวนกับน้ำตาล ก็ตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างพอดิบพอดี เลยได้กลายมาเป็นอาหารสำคัญสำหรับชาวจีนในยุคแร้นแค้น ต้องอพยพหนีความยากลำบากนั่นเอง

           ดังนั้นในช่วงต่อมาที่ชาวจีนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และถึงวันไหว้เจ้า คนจีนเลยถือเอาขนมเข่งที่เคยเป็นเสบียงสำคัญในช่วงยากลำบาก มาเซ่นไหว้เทพเจ้า เพื่อเป็นที่ระลึกถึงวันที่ต้องปากกัดตีนถีบนั่นเอง อีกทั้งขนมเข่งยังมีความหมายสื่อถึงความหวานชื่น ราบรื่น และความอุดมสมบูรณ์อีกด้วย

           ส่วนขนมเทียนนั้น ก็ถือเป็นเป็นขนมไหว้เจ้าอีกชนิดหนึ่ง ก็มีต้นกำเนิดมาจากการดัดแปลงขนมเข่งเช่นกัน โดยใช้แป้งข้าวเหนียวมากวน และใส่ไส้ถั่วบด ผสมกับเครื่องปรุง กลายเป็นไส้เค็ม จากนั้นห่อด้วยใบตองเป็นรูปสามเหลี่ยมเล็ก ๆ คล้ายทรงเจดีย์ แล้วนำไปนึ่งจนสุก

           นอกจากชื่อขนมเทียนแล้ว บางคนก็นิยมเรียกว่า ขนมนมสาว และชาวภาคเหนือก็นิยมเรียกว่า ขนมจ็อกอีกด้วย ซึ่งโดยส่วนมากแล้วขนมเทียนจะนิยมใช้เป็นขนมในงานบุญวันสงกรานต์ และชาวจีนก็นำไปใช้ในงานวันตรุษจีนด้วยเช่นกัน

           จะเห็นได้ว่า ขนมไหว้เจ้าในวันตรุษจีนจะเป็นขนมที่ทำจากแป้งกวนกับน้ำตาล แล้วนำไปนึ่งเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งที่ต้องเป็นขนมแป้งนึ่งก็เนื่องจากว่า ทั้งขนมเทียนและขนมเข่ง ต่างก็มีความหมายเป็นมงคล สื่อถึงความหวานชื่น ความราบรื่น และความอุดมสมบูรณ์นั่นเองค่ะ


--------------------------------------------------------------------------------------


ขนมเทียนไส้เค็ม ขนมมงคลอร่อย ๆ ต้อนรับตรุษจีน

-http://cooking.kapook.com/view79912.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           ขนมไหว้เจ้าในช่วงเทศกาลตรุษจีนในเมื่อมีขนมเข่งก็ต้องมีขนมเทียน เพราะเป็นขนมที่มักจะใช้ไหว้คู่กัน ซึ่งคนจีนมีความเชื่อว่า ขนมเทียนนั้นหมายถึง ความสว่างรุ่งเรืองดังแสงเทียน เหมือนชื่อขนมนั่นเอง และที่เราเห็นว่าขนมเทียนกับขนมเข่งมักจะอยู่ด้วยกันก็เพราะมีวิธีทำที่คล้ายกัน ใครอยากจะทำขนมเข่งไว้ไหว้เจ้าในวันตรุษจีนนี้ก็ลองมาดูสูตรกันเลยค่ะ

สิ่งที่ต้องเตรียม (สำหรับทำแป้ง)

          แป้งข้าวเหนียวดำ 1 กิโลกรัม

          น้ำตาลปี๊บ 200-300 กรัม

          ใบตองสำหรับห่อขนม


วิธีทำ

           1. ใส่น้ำตาลปี๊บลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวให้น้ำตาลปี๊บพอละลาย ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น

           2. นวดผสมแป้งข้าวเหนียวกับน้ำตาลปี๊บที่ละลายไว้จนเข้ากันดี เตรียมไว้

           3. จับใบตองให้เป็นทรงกรวย ใส่ไส้ที่ปั้นไว้ลงไป ตักส่วนผสมแป้งใส่ จากนั้นห่อให้สวยงาม เรียงลงในชุดนึ่ง

           4. นำขนมไปนึ่งด้วยไฟแรงที่มีน้ำเดือด นานประมาณ 30 นาที จนขนมสุก ปิดไฟ นำออกจากชุดนึ่ง พร้อมรับประทาน





สิ่งที่ต้องเตรียม (สำหรับทำไส้เค็ม)

          ถั่วเขียวซีกเลาะเปลือก 1 กิโลกรัม

          กระเทียม

          พริกไทย

          น้ำมันพืชสำหรับผัด

          เกลือป่น สำหรับปรุงรส

          น้ำตาลทราย สำหรับปรุงรส


วิธีทำ

          1. ล้างถั่วเขียวซีกเลาะเปลือกให้สะอาด แช่ทิ้งไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือข้ามคืน จากนั้นนำไปนึ่งจนสุก พักทิ้งไว้จนเย็นสนิท

          2. โขลกกระเทียมกับพริกไทยเข้าด้วยกันจนละเอียด ใส่ถั่วเขียวนึ่งลงโขลกพอหยาบ

          3. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ ใส่ส่วนผสมไส้ลงผัดจนหอม ปรุงรสด้วยเกลือป่น และน้ำตาลทราย ชิมรสตามชอบ ให้มีรสหวาน เค็ม เผ็ด ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น ปั้นเป็นก้อนกลม เตรียมไว้

          ตรุษจีนนี้ถ้าได้กินทั้งขนมเข่งขนมเทียนคงจะแฮปปี้น่าดูเลยล่ะ

---------------------------------------------------------------------------

ขนมเข่ง ขนมไหว้เจ้าชื่อมงคลต้อนรับตรุษจีน

-http://cooking.kapook.com/view79707.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            ในช่วงเทศกาลตรุษจีนเรามักจะเห็นของไหว้เจ้าทั้งคาวหวานมากมายวางอยู่เต็มโต๊ะไปหมด และแน่นอนว่ามีขนมอยู่หนึ่งชนิดที่จะขาดไปไม่ได้เลยก็คือ ขนมเข่ง ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นขนมมงคล มีความหมายในทางที่ดี เช่น ในภาษาจีนเรียกขนมเข่งว่า เหนียนเกา ซึ่งเป็นการออกเสียงเหมือนกับคำที่มีความหมายว่า ปีที่สูงขึ้น ยังมีอีกหนึ่งความหมายก็ว่า ขนมเข่งนี้เป็นขนมแห่งความหวานชื่น มีชีวิตที่ราบรื่น อุดมสมบูรณ์ เป็นต้น ส่วนใครที่อยากจะลองทำขนมเข่งไว้สำหรับไหว้เจ้าในช่วงตรุษจีนนี้ เราก็มีสูตรและวิธีทำมาฝากค่ะ


สิ่งที่ต้องเตรียม

          แป้งข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม

          น้ำ 1 ถ้วย

          น้ำตาลปี๊บ 1 กิโลกรัม

            มะพร้าวขูด 300 กรัม

          กระทงสำหรับใส่ขนม

          น้ำมันพืชสำหรับทากระทง


วิธีทำ

         1. ทากระทงด้วยน้ำมันพืชให้ทั่ว เตรียมไว้

         2. นวดแป้งข้าวเหนียวกับน้ำจนแป้งนุ่ม จากนั้นใส่น้ำตาลปี๊บลงนวดให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว

         3. ใส่มะพร้าวขูดลงคนผสมให้เข้ากัน ตักใส่กระทง ประมาณ 3/4 ของกระทง

         4. วางขนมเรียงลงในชุดนึ่ง จากนั้นนำไปนึ่งด้วยไฟแรงที่มีน้ำเดือด นานประมาณ 1/2 ชั่วโมง ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น ใช้กรรไกรตัดเจียนกระทงที่เกินออกให้พอดีกับขนม พร้อมรับประทาน

          เทคนิค : คนสมัยก่อนจะใช้วิธีการจุดธูปเพื่อจับเวลานึ่งขนม ใช้ธูปสำหรับไหว้พระ ขนาดยาว 1 ดอก พอธูปหมดแสดงว่าขนมเข่งสุกแล้ว


---------------------------------------------------------------------


ขนมปุยฝ้าย เสริมความเฟื่องฟูต้อนรับตรุษจีน

-http://cooking.kapook.com/view79919.html-





เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม

          ขนมปุยฝ้ายเป็นขนมมงคลอีกหนึ่งชนิดที่เรามักจะเห็นวางร่วมโต๊ะกับของคาวของหวานสำหรับไหว้เจ้าในเทศกาลตรุษจีน เป็นขนมที่เชื่อว่ามีความหมายดี หมายถึง ความเฟื่องฟู ความเจริญงอกงาม และความรุ่งเรือง เราก็มีสูตรขนมปุยฝ้าย จากนิตยสารแม่บ้านมาฝากสำหรับใครที่อยากจะลองทำเอง ก็ตามไปดูสูตร และวิธีทำได้เลย

สิ่งที่ต้องเตรียม

          แป้งเค้ก 500 กรัม

          น้ำตาลทราย 1 3/4 ถ้วยตวง

          ไข่ไก่ 2 ฟอง

          เอสพี (S P) 2 ช้อนโต๊ะ

          นมข้นหวาน 3/4 ถ้วยตวง

          น้ำเปล่า 1 3/4 ถ้วยตวง

          น้ำหวานเข้มข้นกลิ่นสละ 1/4 ถ้วยตวง

          เชอร์รีเชื่อมสีแดงหั่นชิ้นเล็ก ๆ สำหรับโรยหน้าขนม

          น้ำมะนาว

          ไม้ปลายแหลม


วิธีทำ

          1. ร่อนแป้งเค้กลงในอ่างผสม เตรียมไว้

          2. ผสมน้ำเปล่ากับน้ำหวานเข้มข้นกลิ่นสละ คนให้เข้ากัน จากนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน พักไว้

          3. ตีไข่ไก่กับเอสพีด้วยหัวตีตะกร้อโดยใช้ความเร็วสูงสุดของเครื่อง พอขึ้นฟู ค่อย ๆ ใส่น้ำตาลทรายสลับกับส่วนผสมน้ำหวานในข้อที่ 2 (ส่วนแรก) จนหมด ตีต่อจนขึ้นฟู

          4. ใส่นมข้นหวานลงเป็นสายจนหมด ตีพอเข้ากันดี ลดความเร็วเครื่องลงเหลือต่ำสุด

          5. ค่อย ๆ เติม แป้งเค้กที่ร่อนไว้ สลับกับน้ำในข้อที่ 2 (ส่วนที่เหลือ) จนหมด ผสมจนเข้ากันดี

          6. ตักส่วนผสมที่ได้ลงในพิมพ์ถ้วยกระดาษจนเต็ม ใช้ไม้ปลายหลม จุ่มน้ำมะนาวแล้วกรีดที่หน้าขนมเป็นรูปกากบาท โรยหน้าด้วยเชอร์รี วางเรียงใส่ลังถึง นำขึ้นนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 12 นาที หรือจนสุก ยกลง นำออกจากพิมพ์ วางพักไว้บนตะแกรง

           แล้วเราก็ได้ขนมปุยฝ้ายกลิ่นหอม สีชมพูสดใส แถมอร่อยอีกด้วย ไว้ไหว้เจ้าในเทศกาลตรุษจีนนี้เพื่อเสริมมงคลให้กับชีวิต


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ของไหว้ตรุษจีน 2557 ของไหว้ตรุษจีนไหว้เจ้าที่ มีอะไรบ้าง

-http://health.kapook.com/view21160.html-



ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน ไหว้เจ้าที่ ว่าแต่ ของไหว้ตรุษจีน 2557 เนื่องในวันตรุษจีน 2557 มีอะไรบ้าง เรามีคำตอบมาฝาก

          "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" ประโยคคุ้นหูที่เรามักได้ยินในช่วง "เทศกาลตรุษจีน" วันสำคัญของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน ที่เป็นเสมือนวันขึ้นปีใหม่ของจีนนั่นเอง โดย ตรุษจีน 2557 นี้ ตรงกับวันที่ 31 มกราคม 2557 ซึ่งในวันที่ 30 มกราคม ก่อนวันตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ 1 วัน มีพิธีกรรมเซ่นไหว้บรรพบุรุษผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยอาหารคาวหวานนานับชนิด ว่าแต่ของไหว้ตรุษจีนมีอะไรบ้างล่ะ ใครกำลังอยากรู้ว่า จัดของไหว้ตรุษจีน ต้องใช้อะไรบ้าง กระปุกดอทคอม มีคำตอบมาบอกค่ะ

          สำหรับในวันตรุษจีนนั้น จะมีการเตรียมของไหว้อย่างพิถีพิถัน แบ่งเป็นเนื้อสัตว์ ผลไม้ ขนมหวาน กับข้าวคาว กับข้าวเจ อย่างละ 3 หรือ 5 ชนิด พร้อมสุรา น้ำชา ข้าวสวย และกระดาษเงินกระดาษทองประเภทต่าง ๆ โดยจะจัดเรียงตามลำดับความสำคัญตามชนิดของอาหาร ซึ่งจะมีเสียงเรียกพ้องกับเสียงของคำมงคล และผลไม้ที่ขาดไม่ได้บนโต๊ะไหว้ก็คือ ส้มมหามงคลสีทอง ที่ชาวจีนเรียกว่าส้มไต่กิก เพราะมีความหมายหมายถึงความสวัสดีมงคลอย่างยิ่ง

          ทั้งนี้ "วันไหว้" จะทำกันในวันสิ้นปี ซึ่งปกติมีการไหว้ 3-4 ชุด เริ่มจาก "ไหว้เจ้าที่" ในช่วงเช้าด้วยชุดซาแซ คือ หมู เป็ด ไก่ ที่อาจเปลี่ยนเป็นไข่ย้อมสีแดงได้ ขนมเทียน และขนมถ้วยฟู หรือขนมอื่น ๆ ผลไม้ไหว้มีส้มสีทอง องุ่น แอปเปิ้ล พร้อมกับกระดาษเงิน กระดาษทอง ต่อด้วยช่วงสาย ๆ ไม่เกินเที่ยง "ไหว้บรรพบุรุษ" เครื่องไหว้จะประกอบด้วยชุดซาแซ อาหารคาวหวาน ส่วนมากก็ทำตามที่ผู้ล่วงลับไปแล้วชอบ เต็มที่จะมี 10 อย่าง นิยมว่าต้องมี น้ำแกง เพื่ออวยพรให้ชีวิตราบรื่น และกับข้าวเลือกที่มีความหมายมงคล ส่วนขนมไหว้บรรพบุรษต่าง ๆ ก็มีความหมายมงคลเช่นกัน

          อย่างไรก็ตาม หลังจากไหว้บรรพบุรษแล้ว ช่วงเที่ยงหรือบ่ายก็จะไหว้ผีไม่มีญาติ จากนั้นก็เป็นช่วงกลางดึกของคืนวันสิ้นปีย่างเข้าตรุษจีน ที่จะมีการไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ย หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ โดยให้หันโต๊ะไหว้ไปทางทิศตะวันตก ทั้งนี้ ชาวจีนจะเตรียมจัดของไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภอย่างพิถีพิถัน เพราะในช่วงเวลาที่กำลังจะเข้าวันตรุษจีน โลกกำลังหมุนไปทางทิศนี้ แล้วเมื่อย่างเข้าวันปีใหม่จีนหรือวันตรุษจีน ก็ยังนิยมไปไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่ โดยจะนำส้มสีทองจำนวน 4 ใบ ไปมอบให้ด้วยเสมือนนำโชคดีไปให้ เพราะเสียงไปพ้องกับคำว่าทองในภาษาจีนแต้จิ๋ว



ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน


          ทั้งนี้ สำหรับความหมายของ "ของไหว้วันตรุษจีน" ได้แก่...


  ความหมายของผลไม้ไหว้วันตรุษจีน

          - กล้วย หมายถึง กวักโชคลาภเข้ามา และขอให้มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง

          - แอปเปิล หมายถึง ความสันติสุข สันติภาพ

          - สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง (ควรระวังไม่นิยมไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติ)

          - ส้มสีทอง หมายถึง ความสวัสดีมหามงคล

          - องุ่น หมายถึง ความเพิ่มพูน

          - สับปะรด คำจีนเรียกว่า "อั้งไล้" แปลว่า มีโชคมาหา

  ความหมายของอาหารไหว้วันตรุษจีน

          - ไก่ หมายถึง ความสง่างาม ยศ และความขยันขันแข็ง ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต้องเป็นไก่เต็มตัว หมายถึง มีหัว ตัว ขา ปีก มีความหมายถึง ความสมบูรณ์

          - เป็ด หมายถึง สิ่งบริสุทธิ์ ความสะอาด ความสามารถอันหลากหลาย

          - ปลา หมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์

          - หมู หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้

          - ปลาหมึก หมายถึง เหลือกิน เหลือใช้ (เหมือนปลา)

          - บะหมี่ยาวหรือหมี่ซั่ว หรือ ฉางโซ่วเมี่ยน ตามชื่อหมายถึง อายุยืนยาว

          - เม็ดบัว หมายถึง การมีบุตรชายจำนวนมาก

          - ถั่วตัด หมายถึง แท่งเงิน

          - สาหร่ายทะเลสีดำ หมายถึง ความมั่งคั่งร่ำรวย

          - หน่อไม้ หมายถึง การอวยพรให้ร่ำรวยผาสุก

          สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง คือ เต้าหู้ขาว เนื่องจากสีขาว คือ สีสำหรับงานโศกเศร้า




  ความหมายของขนมไหว้วันตรุษจีน

          - ขนมเข่ง คือ ความหวานชื่น ราบรื่นในชีวิต ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม หมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์

          - ขนมเทียน คือ เป็นขนมที่ปรับปรุงขึ้นจากชาวจีนโพ้นแผ่นดินดัดแปลงมาจากขนมท้องถิ่นของไทย จากขนมใส่ไส้เปลี่ยนจากแป้งข้าวเจ้าผสมกะทิมาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน มีความหมายหวานชื่น ราบรื่น รูปลักษณ์เป็นกรวยแหลมมีลักษณะเป็นมงคลเหมือนเจดีย์

          - ขนมไข่ คือ ความเจริญเติบโต

          - ขนมถ้วยฟู คือ ความเพิ่มพูนรุ่งเรือง เฟื่องฟู

          - ขนมสาลี่ คือ รุ่งเรือง เฟื่องฟู

          - ซาลาเปา หรือ หมั่นโถว คือ ไหว้เพื่อให้เปาไช้ แปลว่าห่อโชค โดย หมั่นโถว มีแบบที่ทำจากหัวมัน เนื้อออกสีเหลือง และแบบไม่ผสมมัน เนื้อออกสีขาว นิยมทำให้แตกเหมือนดอกไม้บาน ถ้าลูกเล็กจะแต้มจุดแดง ลูกใหญ่จะปั๊มตัวหนังสือสีแดง เขียนว่า ฮก แปลว่า โชคดี ส่วนถ้ามีไส้ เรียก "ซาลาเปา" นิยมไส้เต้าซา แป้งไม่ผสมมัน หน้าไม่แตก มีตัวหนังสือปั๊มว่า เฮง แปลว่าโชคดี

           นอกจากนี้ยังมี ซิ่วท้อ เป็นซาลาเปาพิเศษ ทำเป็นรูปลูกท้อ ไส้เต้าซา เพราะถือว่าเป็นผลไม้สวรรค์ ใช้ในงานวันเกิด ใครได้กินอายุจะยืนยาว

          - จันอับ (จั๋งอั๊บ) หมายถึง ปิ่นโต หมายถึงความหวานที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป ใช้ไหว้เจ้าได้ทุกประเภท ประกอบด้วยขนม 5 อย่าง คือ เต้ายิ้งปัง คือ ขนมถั่วตัด, มั่วปัง คือ ขนมงาตัด, ซกซา คือ ถั่วเคลือบน้ำตาล, กวยแฉะ คือ ฟักเชื่อม และโหงวจ๊งปัง คือ ขนมข้าวพอง

กระดาษเงินกระดาษทอง

          นอกจากอาหารคาวหวานแล้ว ในการไหว้ตรุษจีนนั้น จะต้องมีการเตรียมกระดาษเงินกระดาษทอง สำหรับใช้ไหว้ด้วย เพราะคนจีนเชื่อกันว่า เมื่อตายไปแล้วจะไปยังอีกภพโลกหนึ่ง เรียกว่า "อิมกัง" ลูกหลานจึงต้องส่งเงินทองด้วยการเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้บรรพบุรุษได้ใช้ เพื่อแสดงความกตัญญู ซึ่งกระดาษเงินกระดาษทองก็ทั้งแบบที่ใช้ไหว้เจ้า และแบบที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษ คือ

          - กอจี๊ หรือ จี๊จุ้ย เป็นกระดาษเงินกระดาษทองชิ้นใหญ่ มีกระดาษแดงตัดเป็นลายตัวหนังสือว่า "เผ่งอัน" เป็นคำอวยพร แปลว่า โชคดี ใช้สำหรับไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน

          - กิมจั้ว หรือ งึ้งจั๊ว หมายถึงกระดาษเงินกระดาษทอง เวลาจะไหว้จะทำเป็นชุด ก่อนไหว้ลูกหลานต้องนำมาพับเป็นรูปดอกไม้ ใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง

          - กิมเต้า หรือ งึ้งเต้า หรือถังเงินถังทอง ใช้ไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน

          -  กิมเตี๊ยว คือ แท่งทอง ใช้ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้คนตาย

          -  ค้อซี คือ กระดาษทอง ก่อนใช้ให้พับเป็นรูปร่างก่อน เช่น พับเป็นเรือ เรียกว่า "เคี้ยวเท่าซี" เชื่อกันว่าการพับเรือ จะได้มูลค่าสูงกว่าการพับอย่างอื่น ใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง รวมทั้งไหว้คนตาย โดยเฉพาะพิธีทำกงเต๊ก ลูกหลานต้องพับค้อซี ให้มากที่สุด

          - อิมกังจัวยี่ คือ แบงก์กงเต๊ก

          -  อ่วงแซจิ่ว ใช้เผาเป็นใบเบิกทางไปสวรรค์สำหรับผู้ตาย

          -  เพ้า คือ ชุดของเทพเจ้า คล้ายกับที่คนไทยถวายผ้าห่มพระพุทธรูป มีการทำของเจ้าหลายองค์ เช่น ชุดของเจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่ทับทิม พระพุทธ

          - ตั้วกิม เป็นกระดาษเงินกระดาษทองที่ญาติสนิทนำไปไหว้ผู้ตาย การเผากระดาษเงินกระดาษทองจะต้องทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้ทุกคนได้เส้นไหว้เสร็จ ก็จะทำการ "เหี่ยม" หรือจบเหนือศีรษะ ระหว่างนี้ให้ทำการอธิษฐานขอพรไปด้วย แล้วจึงนำไปเผา เมื่อไฟมอดแล้วจึงไหว้ลา เป็นการเสร็จพิธี


ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน
ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน


          รู้แล้วว่า "ของไหว้ตรุษจีน" มีอะไรบ้าง ทีนี้เราก็ควรจะมารู้จักวิธีการคัดเลือกอาหารเหล่านี้กันด้วย เพราะหลังจากไหว้ตรุษจีนเสร็จสิ้น ของไหว้เหล่านี้ก็จะถูกนำมาปรุงเป็นอาหารให้คนในครอบครัวทานกัน

          โดยนายสง่า ดามาพงศ์ ผู้จัดการโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้กล่าวกับเราว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน หลายบ้านจะมีการไหว้บรรพบุรุษ ด้วยอาหารคาวหวาน ผัก-ผลไม้มากมาย แต่พึงระวังไว้สักนิดว่าอาหารที่นำมาปรุงนั้น ถูกหลักโภชนาการและปลอดภัยหรือไม่ เพราะอาหารเหล่านั้นอาจมีทั้งยาฆ่าแมลง และสารเคมีอื่น ๆ ที่ปนเปื้อน ถ้าเข้าสู่ร่างกายเราคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเป็นแน่

          "ในการไหว้บรรพบุรุษนั้น ส่วนใหญ่ก็จะใช้ผักไม่กี่ชนิด ซึ่งเราก็มีวิธีการในเลือกผักให้ปลอดภัย โดยดูที่ใบ ต้องไม่มีคราบดินหรือคราบขาวของสารพิษกำจัดศัตรูพืช หรือเชื้อราตามใบ และผักก็ควรมีรูพรุนเป็นรอยกัดแทะของหนอนแมลงอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะผักลักษณะเช่นนี้จะมีคุณค่าทางโภชนาการเหลืออยู่มาก และถ้าเป็นไปได้ควรเลือกซื้อผักที่ปลอดสารพิษ หรือพวกผักเกษตรอินทรีย์น่าจะดีที่สุด" อ.สง่ากล่าว

          ส่วนในขั้นตอนก่อนการปรุงนั้น เราควรล้างผักด้วยน้ำสะอาด 2- 3 ครั้ง และควรแยกผักใบและผักหัวออกจากกันเวลาล้าง โดยผักหัวควรล้างด้วยน้ำเกลือประมาณ 5-7 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง เพื่อล้างยาฆ่าแมลงที่สะสมอยู่ด้านในออกบางส่วน เพราะความร้อนไม่สามารถล้างยาฆ่าแมลงออกได้ เมื่อเรารับประทานเข้าไป จะเกิดการสะสมและอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และอาหารเป็นพิษตามมาได้

          "ผักประเภทหัวก็เช่นกัน อย่างกะหล่ำปลีก็ควรเอาเปลือกข้างนอกออก และพยายามล้างให้ถึงแกนด้านใน เพราะยาฆ่าแมลงจะตกค้างอยู่ภายใน รวมถึงแตงกวา ถั่ว ก็ควรแช่น้ำเกลือ หรือไม่ก็ใช้ด่างทับทิมล้างก่อน แล้วจึงล้างด้วยน้ำสะอาดอีกรอบ ที่สำคัญผักทุกชนิดเราควรล้างก่อนที่จะนำมาหั่น เพื่อไม่ใช้น้ำชะล้างคุณค่าทางโภชนาการออกหมด"

          ในส่วนของวิธีการปรุงนั้น ผักทุกชนิดเราไม่ควรต้มจนเละ เพราะนั่นจะทำให้ผักที่เรารับประทานเข้าไปมีคุณค่าทางโภชนาการน้อย รับประทานสด ๆ น่าจะดีที่สุด

          ผลไม้ก็เช่นกัน ควรเลือกร้านที่เราไว้ใจได้ ผลมันต้องสด ๆ และเลือกผลที่ไม่ช้ำ บางรายคัดแต่ลูกใหญ่ ๆ เพราะคิดว่าจะได้คุณค่าทางโชนาการมากกว่าลูกเล็ก ๆ ซึ่งความเป็นจริงแล้วก็ได้คุณค่าในปริมาณที่เท่ากันทั้งหมด

          "ผลไม้ที่ประชาชนใช้ไหว้บรรพบุรุษนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นส้ม แก้วมังกร แอปเปิ้ล หรือส้มโอ ซึ่งก็ควรเลือกแบบสด ๆ ผลไม่มีรอยช้ำ และควรล้างก่อนรับประทาน เพราะยาฆ่าแมลงมักจะสะสมอยู่บริเวณผิวเปลือก เมื่อเราใช้มือแกะส้ม ยาฆ่าแมลงนั่นก็จะมาติดที่มือเรา และเราก็หยิบเข้าปากรับประทาน ซึ่งนั่นอันตรายมาก" อ.สง่า กล่าว

          ทีนี้มาถึงคราวของคาวอย่างการเลือกเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อไก่ เราควรเลือกที่เนื้อไม่ซีด ไม่เหี่ยว เปลือกตาสด เนื้อต้องไม่มีรอยเลือดที่แห้งกรัง กลิ่นต้องไม่เหม็นเน่า เนื้อหมู ก็ต้องสีแดงสด แต่พึงระวัง เพราะปัจจุบันพ่อค้าแม่ค้ามักใช้ไฟสีแดงในการหลอกผู้บริโภคว่า หมูนั้นเนื้อแดง อีกทั้งเราควรเลือกร้านที่เราไว้ใจได้และซื้อประจำ เพราะจากการออกสำรวจของกระทรวงสาธารณสุข ยังคงพบร้านที่ใช้สารเร่งเนื้อ แดงอยู่จำนวนมาก และใช้นิ้วกดเนื้อหมูลงไป ถ้าเนื้อหมูบุ๋มลงไปโดยไม่กลับคืนมา แสดงว่าเนื้อหมูนั้นเก่าไม่ควรซื้อ ที่สำคัญอย่าเลือกหมูที่ติดมันมากนักเพราะการบริโภคมันหมูมาก ๆ ไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน

          "ในส่วนของการปรุงเนื้อสัตว์ทุกชนิดให้เน้นที่ปรุงให้สุกไว้ก่อน ถ้าจำเป็นต้องมีหมู 3 ชั้นในการประกอบอาหารก็ควรเจียวมันให้ออกไปบ้าง เพราะหากบริโภคมาก ๆ จะส่งผลให้แคลอรี่ในร่างกายเพิ่มก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้" อ.สง่า บอก

          นอกจากนี้ ในระหว่างที่ประกอบพิธีไหว้บรรพบุรุษนั้น บางบ้านก็ปล่อยของไหว้ทิ้งไว้โดยไม่มีอะไรปิดให้มิดชิด หรือวางกับพื้น ทำให้มีแมลงวันตัวพาหะนำเชื้อโรคมาตอม และเราก็นำมารับประทานกันโดยไม่รู้ จึงอยากขอเตือนให้มีการอุ่นหรือปรุงใหม่ก่อนนำมารับประทาน เพราะนั่นเสี่ยงต่อโรคทางเดินอาหาร และโรคอุจจาระร่วงได้เช่นกัน

          อ.สง่า ทิ้งท้ายไว้ว่า อาหารที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษส่วนใหญ่จะเป็นแบบผัด ๆ ทอด ๆ ก่อนรับประทานจงพึงระวังสักนิด เพราะอาจทำให้คุณเข้าสู่ภาวะโรคอ้วนได้ ทางที่ดีควรหันมารับประทานอาหารประเภทต้มน่าจะดีกว่า เช่น ต้มจับฉ่าย เป็นต้น อีกทั้งอาหารที่ใช้ไหว้ส่วนใหญ่ จะเน้นไปในทางรสชาติเค็มเราก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะรสเค็มจะทำให้เลือดข้น ก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพเราได้ทั้งสิ้น...

          ถึงแม้เทศกาลตรุษจีนจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เราก็ควรจะใส่ใจสุขภาพของตนเองอยู่ทุกเวลา เพราะการมีสุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้เราต้องทำเอง...

ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/special_report/20405-


.



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ตามไปดู เรื่องน่ารู้ของ อั่งเปา และ แต๊ะเอีย รับ วันตรุษจีน 2557

-http://hilight.kapook.com/view/66692-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ตรุษจีน 2557 มาถึงแล้ว ได้เวลารับแต๊ะเอีย หรืออั่งเปากันถ้วนหน้า ว่าแต่ แต๊ะเอีย กับ อั่งเปา ต่างกันอย่างไร อ่านไว้เป็นความรู้เนื่องใน วันตรุษจีน 2014 กันเลย

          เตรียมรับแต๊ะเอียในวันตรุษจีน 2557 กันหรือยังจ๊ะ? เพื่อน ๆ ที่มีเชื้อสายจีนคงแฮปปี้สุด ๆ เพราะนอกจากบรรดาญาติพี่น้องจะมารวมตัวกันอวยพรปีใหม่แล้ว ยังมีธรรมเนียมปฏิบัติที่เด็ก ๆ จะได้รับซองสีแดง ๆ จากญาติผู้ใหญ่ที่หลายบ้านเรียกว่า "อั่งเปา" กันด้วย เอ...แล้วจริง ๆ ต้องเรียก "อั่งเปา" หรือ "แต๊ะเอีย" กันล่ะ แล้วเขามอบให้กันเพื่ออะไร รู้กันไหมคะ

          จริง ๆ แล้วสิ่งมงคลที่เราได้รับจากญาติ ๆ จะเรียกว่า "อั่งเปา" หรือ "แต๊ะเอีย" ก็ได้ทั้งนั้นค่ะ แต่ก็มีความแตกต่างกันนิดหน่อย

  โดยคำว่า "อั่งเปา" ในภาษาจีนแต้จิ๋ว หมายถึง ซองสีแดง คำว่า อั่ง แปลว่า แดง ส่วนเปา แปลว่า ซอง หรือ กระเป๋า (ภาษาจีนกลางจะเรียกซองแดงว่า "หงเปา") ซึ่งสีแดงถือเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเป็นมงคล ความมีชีวิตชีวา และความโชคดีของชาวจีนอยู่แล้ว ดังนั้น ชาวจีนมักจะใส่เงิน หรือธนบัตรลงในซองแดง เพื่อนำมามอบให้คนรู้จัก หรืออาจจะแลกเปลี่ยนกันเองในหมู่ญาติพี่น้องก็ได้ โดยปกติแล้ว ชาวจีนจะนิยมมอบ "อั่งเปา" ให้ในวันตรุษจีน วันแต่งงาน หรือในโอกาสเปิดกิจการใหม่ เพื่อเป็นการอวยพร

          มาดู "แต๊ะเอีย" กันบ้าง เป็นภาษาจีนแต้จิ๋วเช่นกัน โดย "แต๊ะ" แปลว่า ทับ หรือ กด ส่วน "เอีย" แปลว่า เอว เมื่อรวมกัน "แต๊ะเอีย" ก็หมายถึง "ของที่มากดหรือทับเอว" หรือ "ผูกไว้ที่เอว" คำนี้มีที่มาจากคนจีนสมัยก่อนจะใช้เงินเหรียญที่มีรูอยู่ตรงกลาง หากจะพกไปไหนก็ต้องร้อยเหรียญเป็นพวงมาผูกไว้ที่เอว และในเทศกาลตรุษจีน ผู้ให้ก็จะนำเชือกสีแดงมาร้อยเหรียญไว้ แล้วมอบให้ผู้รับ ทีนี้ผู้รับก็จะนำพวงเหรียญนี้มาผูกไว้ที่เอว เรียกว่า "แต๊ะเอีย" นั่นเอง ส่วนในปัจจุบันไม่มีการใช้เงินเหรียญที่มีรูตรงกลางแล้ว "แต๊ะเอีย" จึงมีความหมายถึง "สิ่งของ" หรือ "เงิน" ที่ใส่ไว้ในซองสีแดง (ส่วนตัวซองจะเรียกว่า "อั่งเปา")


          เข้าใจเรื่อง "แต๊ะเอีย" กับ "อั่งเปา" แล้วใช่ไหมคะ แล้วรู้ไหมว่า จริง ๆ แล้ว "แต๊ะเอีย" ก็มีวันหมดอายุนะ เพราะเมื่อเด็ก ๆ เติบโตขึ้น มีงานทำ มีเงินเดือนเป็นของตัวเองแล้ว ทีนี้จะไม่ได้รับ "แต๊ะเอีย" แล้วล่ะค่ะ แต่จะต้องเป็นคนให้เงิน "แต๊ะเอีย" กับเด็ก ๆ ในบ้านที่มีอายุน้อยกว่าต่อไป

          นอกจากนั้นแล้ว ไม่ใช่เฉพาะผู้ใหญ่ หรือเจ้านายที่จะให้ "แต๊ะเอีย" หรือ "อั่งเปา" กับเด็ก ๆ หรือลูกน้องได้เท่านั้น แต่ผู้น้อยก็ยังสามารถมอบอั่งเปาให้ผู้อาวุโสกว่าได้เช่นกัน โดยการมอบอั่งเปาให้ผู้อาวุโสกว่า หมายถึง การอวยพรให้ผู้ใหญ่มีสุขภาพดี แข็งแรง อายุยืนยาว

          ส่วนการมอบอั่งเปาให้เด็ก ๆ หมายถึง การอวยพรให้เด็ก ๆ โชคดี มีโชคลาภ เจริญเติบโตแข็งแรง หรือหากผู้ใหญ่มอบอั่งเปาให้ลูกหลานที่ทำงานแล้ว ก็เป็นการอวยพรให้หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า มีสุขภาพแข็งแรง และหากลูก ๆ ที่ทำงานแล้ว หรือแต่งงานไปแล้วมอบอั่งเปาให้พ่อแม่ ก็เป็นการแสดงถึงความกตัญญูกตเวที อวยพรให้พ่อแม่มีอายุยืนยาว ซึ่งการที่ลูก ๆ ให้อั่งเปาพ่อแม่ และพ่อแม่ก็ให้อั่งเปาลูก ๆ ด้วย จะต้องเป็นเงินของใครของมันเท่านั้น หากลูกให้พ่อแม่แล้ว พ่อแม่นำกลับมาให้ลูกต่ออีกที แบบนี้ไม่ได้ค่ะ

  ทีนี้ หลายบ้านอาจจะสงสัยกันว่า ควรจะให้อั่งเปาเป็นเงินเท่าไหร่ดีนะ ถึงจะเป็นสิริมงคล ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ให้อั่งเปามักจะนิยมใส่จำนวนเงินเป็นเลขคู่ค่ะ เพราะคนจีนถือว่าเลขคู่เป็นเลขมงคล อีกทั้งหมายถึงทวีคูณ โชคสองต่อ โชคสองชั้น แต่จะให้จำนวนเงินเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับรายได้ด้วยเหมือนกันนะ ถ้ารายได้ไม่มาก หรือให้เด็กเล็ก ๆ ก็อาจใส่ซองสัก 200 400 800 ถ้ารายได้มาก ให้ผู้ใหญ่ ก็อาจใส่จำนวนมากขึ้นตามแต่กำลังค่ะ

          แต่ถ้าพูดถึงจำนวนที่คนจีนนิยมให้ "แต๊ะเอีย" เลข 8 ดูน่าจะเป็นจำนวนยอดนิยมที่สุด เพราะในภาษาจีนเลข 8 อ่านออกเสียงคล้ายกับคำที่มีความหมายว่า ความร่ำรวย ความรุ่งโรจน์ ความรุ่งเรือง หรืออาจจะให้เป็นจำนวนเลข 2 ซึ่งหมายถึงคู่ก็ได้ ขณะที่บางบ้านก็เลือกให้จำนวนเลข 4 ซึ่งเรียกว่า "ซี่สี่" หมายถึง คู่สี่ เพราะถือเป็นสิริมงคล อย่างเช่นให้แต๊ะเอีย 400 ก็จะให้เป็นธนบัตร 100 บาท จำนวน 4 ใบ หรือจะให้เป็นสองเท่า หรือสามเท่าของ "ซี่สี่" ก็ได้ เช่น ให้ 800 หรือ 1,200 บาท ก็เป็นสิริมงคลเหมือนกันค่ะ

          อย่างไรก็ตาม สำหรับบางคนจะเหลือเงินแต๊ะเอียที่ได้รับมาบางส่วนเก็บไว้ในซอง เพราะถือว่า เงินแต๊ะเอียคือความเป็นสิริมงคล และเป็นเงินขวัญถุง เพื่อความเจริญรุ่งเรืองในวันปีใหม่นั่นเอง

          เอ้า...เข้าใจเรื่อง "แต๊ะเอีย" กับ "อั่งเปา" กันแล้วนะ ยังไงตรุษจีนปีนี้ ก็ขอให้เพื่อน ๆ ได้แต๊ะเอีย ได้อั่งเปากันเต็มกระเป๋านะจ๊ะ..."ซินเจียหยู่อี้ ซินนี้ฮวดไช้ อั่งเปาตั่วตั่วไก๊"





คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
5 สารอันตราย ภัยร้ายที่แฝงในอาหารตรุษจีน

-http://health.kapook.com/view54218.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          อาหารมากมายที่เราซื้อหามาประกอบพิธีเซ่นไหว้ในตรุษจีนนั้น ก็ต้องระวังไม่ต่างจากอาหารทั่วไปด้วยค่ะ โดยเฉพาะอาหารบางชนิดที่อาจมีสารอันตรายปะปนมากับความอร่อยของจานนั้นโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว ทางสำนักคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงได้ออกมาเตือนให้ประชาชนระมัดระวัง 5 สารอันตรายที่อาจจะปนเปื้อนในอาหารซึ่งพบได้บ่อยในช่วงเทศกาลตรุษจีน ประกอบด้วย

1.ฟอร์มาลิน

          เป็นสารเคมีมีพิษ มีลักษณะเป็นน้ำใส มีกลิ่นฉุน บ่อยครั้งถูกนำไปใช้แช่ผัก แช่ปลา แช่เนื้อสัตว์ อาหารทะเล เพื่อรักษาความสด แต่จริง ๆ แล้ว สารฟอร์มาลินนี้ หากแค่สัมผัสมากเกินไปก็เกิดพิษได้แล้ว ถ้าดม หรือหายใจเข้าไปมาก ๆ จะทำให้ระคายเคืองตา และระบบทางเดินหายใจ ทำให้คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ปวดท้อง นอนไม่หลับ มีน้ำตาไหล เพลีย เพราะฉะนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ถ้ารับประทานเข้าไปจะมีผลร้ายแรงมากขนาดไหน โดยมีข้อมูลระบุว่า หากรับประทานเข้าไปเกิน 60-90 ซีซี จะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เลย เพราะจะมีอาการแน่นหน้าอก หัวใจเต้นเร็ว เกิดแผนในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก ส่งผลต่อตับ ไต สมอง ฯลฯ

          ทั้งนี้ หากซื้อผักสด หรือเนื้อสัตว์มาแล้วสงสัยว่ามีการแช่ฟอร์มาลิน ให้ลองดมกลิ่นของสดนั้นดู และตรวจดูว่า ผักและเนื้อสัตว์มีลักษณะแข็งผิดปกติหรือไม่ แต่ถ้าไม่แน่ใจก็ควรล้างน้ำหลาย ๆ ครั้งก่อนนำมาประกอบอาหาร เพื่อล้างพิษสารฟอร์มาลิน

2.บอแรกซ์

          บอแรกซ์ หรือ น้ำประสานทอง สารนี้ได้ยินบ่อยว่าถูกผสมในอาหารจำพวกลูกชิ้น เพื่อให้ลูกชิ้นเด้งกรอบ แต่ในเทศกาลตรุษจีนนี้ อาหารที่เสี่ยงต่อการผสมบอแรกซ์ก็คือพวกขนมตรุษจีนทั้งหลาย เช่น ขนมฟักแห้ง ที่เคี้ยวแล้วกรุบกรอบ อาจเป็นเพราะผู้ผลิตบางรายผสมสารชนิดนี้ลงไปก็เป็นได้ นอกจากนี้ ยังพบการนำสารบอแรกซ์มาผสมน้ำ ใช้รดผัก หรืออาหารทะเล ก่อนวางจำหน่าย เพื่อนำให้อาหารดูสด น่าเลือกซื้ออีกด้วย

          อย่างไรก็ตาม สารบอแรกซ์ ถือเป็นสารพิษอันตรายที่ถูกสั่งห้ามนำมาผสมในอาหาร โดยหากบริโภคเข้าไปเพียง 0.1-0.5 กรัม ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม (เช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม บริโภคเข้าไป 5-25 กรัม) ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้แล้ว เพราะจะทำให้กรวยไตอักเสบ ระบบทางเดินอาหารระคายเคือง กระเพาะอาหารอักเสบ ลำไส้อักเสบ ปวดท้อง อาเจียน คลื่นไส้ ตับถูกทำลาย จนถึงชัก หมดสติ

          วิธีเลี่ยงก็คือ ไม่ควรทานอาหารที่มีลักษณะหยุ่นกรอบนานผิดปกติ และควรล้างเนื้อสัตว์ที่ซื้อมาให้สะอาดก่อนนำไปหั่น หรือสับ แต่หากรับประทานบอแรกซ์เข้าไปแล้ว ให้ดื่มน้ำตามเข้าไปมาก ๆ แล้วรีบไปพบแพทย์



 3.สารกันรา

          สารกันรา หรือ สารกันบูด เรียกอีกชื่อว่า กรดซาลิซิลิค เป็นสารอาหารที่ อย. ห้ามใช้ แต่ก็มีผู้ลักลอบนำไปดองผักผลไม้ให้ดูสดใหม่อยู่เสมอ หากบริโภคเข้าไปจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร และลำไส้เป็นแผล ทำให้ความดันโลหิตต่ำจนช็อกได้ โดยกรดซาลิซิลิคถ้าเข้าสู่ร่างกาย 25-35 มิลลิกรัม ต่อเลือด 100 มิลลิตร จะทำให้อาเจียน หูอื้อ มีไข้ จนถึงแก่ชีวิตได้

          หากไม่อยากเผชิญกับสารกันราในอาหารต้องทำอย่างไร? แนะนำให้เลือกซื้ออาหารที่สดใหม่อยู่เสมอ ไม่ควรบริโภคอาหารจำพวกหมักดอง หากจะบริโภคควรซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

4.สารฟอกขาว

          สารฟอกขาว หรือ สารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ เป็นสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย และเป็นสารกันหืน ปกตินำไปใช้ฟอกแห อวน เครื่องหนัง กระดาษ แต่ก็มีแม่ค้าพ่อค้าบางคนนำมาฟอกอาหารให้มีสีขาว ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง พบได้ในอาหารอย่าง ถั่วงอก เต้าหู้ หน่อไม้จีน ขิงซอย กระท้อน และเส้นก๋วยเตี๋ยว หากเข้าสู่ร่างกายจะเกิดอาการอักเสบบริเวณอวัยวะที่ได้สัมผัส เช่น ปาก กระเพาะอาหาร แน่นหน้าอก ปวดท้อง อาเจียน และอาจเสียชีวิตได้ถ้าบริโภคเกิน 30 กรัม

          ทั้งนี้ หากใครกิน หรือกลืนสารฟอกขาวเข้าไป ขอให้รีบล้างปากด้วยน้ำ และนำไปส่งแพทย์โดยเร็ว หากสัมผัสถูกผิวหนัง หรือ ตา ให้ใช้น้ำสะอาดในปริมาณมาก ๆ ฉีดล้างทำความสะอาดทันที อย่างน้อย 15 นาที ถอดเสื้อผ้ารองเท้าที่เปรอะเปื้อนสารประเภทนี้ออกให้หมด แล้วรีบไปพบแพทย์




5.ยาฆ่าแมลง

          เพื่อให้ผักผลไม้สวย ไร้แมลงไต่ตอม ทำให้ชาวสวนบางคนนำยาฆ่าแมลงมาฉีดพ่นพืชที่ปลูกไว้ แต่ยาฆ่าแมลงทุกชนิดถือว่าเป็นอันตรายต่อมนุษย์ โดยหากได้รับยาฆ่าแมลงในปริมาณมาก ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อสั่น ชักกระตุก หายใจขัด หมดสติ และอาจทำให้เป็นโรคมะเร็งได้

          เพื่อหลีกเลี่ยงยาฆ่าแมลงที่แฝงมาในผักผลไม้ ควรล้างผักให้สะอาดทุกครั้งก่อนนำไปปรุงอาหาร โดยวิธีที่ดีที่สุดคือ ให้แช่ผักนาน 15 นาที ในกะละมังที่ผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร และโซเดียมไบคาร์บอเนต หรือ ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ จะช่วยลดสารพิษได้มากถึงร้อยละ 90-95 หรือถ้านำผักไปแช่ในน้ำ 2 ลิตร ผสมน้ำส้มสายชู 250 ซีซี แช่ไว้นาน 5 นาที ก็จะช่วยลดสารพิษได้เกือบหมด

          เห็นพิษร้ายของสารพิษทั้ง 5 ชนิดแล้ว ก่อนเลือกซื้ออาหารสด อาหารแห้ง ไปไหว้ตรุษจีนปีนี้ ก็อย่าลืมตรวจสอบให้ดี ๆ นะคะ จะได้รับประทานอาหารตรุษจีนได้ปลอดภัยไร้กังวล


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.doctor.or.th/article/detail/3244-
-http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7-
-http://www.fda.moph.go.th/-
  , กรมอนามัย , คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)