ผู้เขียน หัวข้อ: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"  (อ่าน 26241 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 1 การณ์เป็นไปเช่นนั้น

ความอุดมสมบูรณ์แห่งผืนดิน ทำให้ต้นไม้ได้แผ่กิ่งก้าน ผลิใบบางต่อยอดต่อกิ่งของมันออกไป สายฝนที่โปรยปรายตามฤดูกาล ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่อย่างสม่ำเสมอ รากของต้นไม้เร่งทำหน้าที่ของมันดูดซับน้ำหล่อเลี้ยงลำต้น เมื่อมันเป็นวาระแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่มาเยี่ยมเยือน ต้นไม้มันก็พร้อมแสดงศักยภาพในความงดงามของมันออกมา ปุ่มเล็กๆค่อยๆทแยงดันออก จากข้อต่อระหว่างใบไม้และเปลือกหุ้มลำต้น การเจริญเติบโตเป็นไปด้วยความเหมาะสมบนกาลเวลา เป็นความพร้อมที่จะผลิตดอกออกผลมา ความสมบูรณ์อย่างเต็มที่ก็ทำให้เปลือก ที่เป็นปุ่มที่หุ้มเนื้อเยื่อมันปริออก เยื่อที่แผ่กลีบบางๆมีสีสันสวยงาม มันบานออกเพื่อความงามของมันตามรูปทรงแห่งธรรมชาติ มันคือดอกไม้ที่ธรรมชาติแห่งต้นแม่ได้รังสรรค์ปั้นแต่งขึ้น นี่คือความเป็นของดอกไม้

                         

ไข่อ่อนของตัวหนอนไหมที่ถูกแม่ไข่ทิ้งไว้ มันสามารถเจริญเติบโตของมันเองตามธรรมชาติ สัญชาตญาณจะพาให้มันเลี้ยงดูหากินด้วยตัวมันเอง เมื่อมันเติบโตพอมันจึงหาอาหารกินใบไม้ เพื่อพ่นเส้นใยทำรังห่อหุ้มตัวของตัวเอง อวัยวะเริ่มแปรเปลี่ยนสภาพไปจากความเป็นหนอน หู ตา แขน ขา และปีก เริ่มแทงทะลุเหยียดออกมาจากลำตัว เมื่อความพร้อมมาเยือนสำหรับการเริ่มต้น ของชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งของดักแด้นั้น การลอกคราบ เพื่อโบยบินกระพือปีกไป ในความเป็นอิสรเสรีบนโลกกว้าง ก็เริ่มขึ้น นี่คือความเป็นไปแห่งผีเสื้อ

                 

เมื่อดอกไม้และผีเสื้อ ยังคงปรากฏในความเป็นไปตามธรรมชาติอยู่เช่นนี้ ความสัมพันธ์ของสองสิ่ง ที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงโดยรูปลักษณ์ จึงเข้ามาเกี่ยวพันกันด้วยเหตุปัจจัยที่ถึงพร้อม ในความเป็นของมันเองทั้งสอง ดอกไม้ก็ชูช่อบานไสวท้าทายแดดลม อวดโฉมความงามของมันโดยไม่สนใจใคร ผีเสื้อก็โบกบินไปภายใต้ผืนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล เมื่อดอกไม้ทำหน้าที่เบ่งบานออกมาในยามเช้าแห่งอรุณรุ่ง และผีเสื้อก็ปรากฏกาย ณ ที่นั้น ถึงแม้ทั้งสองจะไม่มีใจถวิลหาต้องการซึ่งกันและกัน แต่ความมีหน้าที่ต่อกันตามธรรมชาติจึงทำให้เป็นไปเช่นนั้นเอง ดอกไม้บานเพื่อแสดงให้เห็นละอองเกสรของมัน ผีเสื้อก็ก้มดูดกินน้ำหวานที่ซ่อนอยู่ในเกสรของดอกไม้นั้น มันดูดกินดอกแล้วดอกเล่า เป็นการผสมพันธุ์ให้ต้นไม้นั้นผลิเป็นผลดอกออกมา ธรรมชาติได้ดึงดูดให้สองสิ่งทำหน้าที่ต่อกันอย่างลงตัว ดอกไม้ไม่เคยเชื้อเชิญผีเสื้อสักครั้งเดียว และผีเสื้อก็ไม่มีความตั้งใจถวิลหาดอกไม้ แต่เมื่อเหตุและปัจจัยเป็นไปตามธรรมชาติ ดอกไม้จึงบานออก ผีเสื้อจึงบินมาวน การณ์จึงเป็นไปเช่นนั้น เป็นไปอยู่แบบนั้น


: F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
26 มกราคม 2557

                         
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 22, 2014, 11:31:20 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ กระตุกหางแมว

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 943
  • พลังกัลยาณมิตร 545
    • ดูรายละเอียด
Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2014, 03:01:39 pm »
อนุโมทนาครับพี่แป๋ม  :45: :13:
อัน1เพ ของดี มีตำหนิ แต่พอใจ
-อยากอยู่อย่างเพียงพอ แต่ใจไม่ยอมพอเพียง-

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: บทที่ 2 เซนในสายเลือด
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2014, 03:20:52 pm »

                 

บทที่ 2 เซนในสายเลือด
เมื่อครั้งที่ฉันยังปฏิบัติธรรมฝึกฝนตนเองอยู่ที่อินเดีย ท่านอาจารย์สอนให้ฉันรู้จักความเป็นตัวตนที่แท้จริงของฉันเอง ได้รู้จักหน้าตาที่แท้จริงของธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ที่อยู่มากับตัวฉันเองโดยตลอดตั้งแต่ต้น อาจารย์ท่านได้มีความเมตตากรุณาถ่ายทอดธรรมชาตินั้น มาสู่เนื้อหาความเป็นธรรมชาติในความเป็นฉันเอง เพื่อให้ฉันได้ตระหนักว่าแท้จริงชีวิตซึ่งเป็นชีวิตจริงๆของฉันนั้นคืออะไร และควรดำเนินชีวิตนี้ไปในทางใดลักษณะใด

 หลังจากนั้นต่อมา ฉันจึงได้รู้อย่างแจ้งชัดแล้วว่า การเห็นธรรมชาติแห่งตนเองนั้นก็คือ เซน ความที่เป็นธรรมชาติแห่งการไม่เคยคิดถึงอะไรเลยก็คือ เซน ทุกสิ่งที่ฉันทำก็คือ เซน เพราะเซนก็คือความเป็นธรรมชาติที่ฉันเป็นอยู่นั่นเอง หน้าที่แห่งการชำระจิตใจอันแปดเปื้อนสกปรกโสมมของฉัน ก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ แต่หน้าที่แห่งการที่จะต้องดำเนินชีวิตต่อไปนี้ ก็สุดแล้วแต่โชคชะตาจะพาฉันไป

ฉันมาสู่ประเทศจีน ก็ด้วยเหตุผลเพียงประการเดียว คือการทำหน้าที่เผยแผ่ถ่ายทอดธรรมอันบริสุทธิ์ ซึ่งคือธรรมชาตินี้ให้ไปสู่แก่ชนรุ่นหลัง ด้วยเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะทำให้ความรู้ อันเป็นเหตุให้ได้ตระหนักรู้อย่างชัดแจ้งในธรรมชาติดั้งเดิมแท้นี้ มีการสืบทอดคงอยู่ตลอดไปแบบไม่ขาดสาย

                   

ความเป็นเนื้อนาบุญแห่งการรักษาจิตใจของตน ไม่ให้เศร้าหมองเพื่อกั้นจิตไม่ให้ตกไปสู่ภพภูมิที่ลำบากนั้น ฉันไม่ค่อยเป็นห่วง เหล่าโพธิสัตว์ทั้งหลายในรุ่นก่อนๆก่อนหน้าที่ฉันจะมาสู่ที่นี่ ก็ได้ทำหน้าที่ของตนเอง ในการเผยแผ่พระธรรมคำสอนได้อย่างดีที่สุดแล้ว การบำเพ็ญบริจาคทานและการรักษาศีลในจีนนั้น เป็นไปด้วยความมีศรัทธาอย่างกว้างขวางในหมู่บรรพชิตนักบวช และอุบาสกอุบาสิกาผู้ที่มีความตั้งใจมั่นยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ฉันรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก และเป็นเหตุปัจจัยเดียวที่ทำให้ฉันมาเหยียบแผ่นดินนี้

 ก็คือความที่ไม่มีใครเลยสักคนเดียว ที่รู้จักคำสอนอันเป็นแก่นแท้ของตถาคตเจ้าอันคือธรรมชาตินี้ ไม่มีใครสักคนที่รู้จักความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงของตนเองเลย ทุกคนเอาแต่ใฝ่บุญ ซึ่งเป็นการสร้างเหตุปัจจัยชั่วคราวแบบไม่ยั่งยืนแต่เพียงเท่านั้น แท้จริงแล้วความเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าชีวิตและความตาย ที่มันยืนรอเราอยู่เบื้องหน้า ชีวิตที่ก่อเกิดเป็นอยู่และกำลังดำเนินไปอยู่นั้น มันเป็นชีวิตที่เสมือนแขวนไว้อยู่บนเส้นด้าย เมื่อเส้นด้ายซึ่งมีเพียงสภาพอันเปราะบางนั้นขาดลง ก็ทำให้เราพลัดตกลงไปสู่ภพภูมิต่างๆ ที่รอการเกิดใหม่อยู่เบื้องหน้าซึ่งเป็นหนทางที่ยากลำบาก

ความเป็นทุกข์เพราะการไปเกิดในสังสารวัฏอันนับไม่ถ้วนนั้น ทำให้ต้องเร่งรีบย้อนกลับมามองดูตนเองว่า เสี้ยวเวลาแห่งชีวิตที่เหลืออยู่อันน้อยนิดนั้น เราควรที่จะดำเนินชีวิตไปด้วยความไม่ประมาทอย่างยิ่ง ไม่ประมาทด้วยการใฝ่หาประโยชน์อันสูงสุด นำมาสู่ชีวิตอันมีค่าประเสริฐยิ่งของพวกเรา อันจะทำให้เราพ้นออกมาจากพงหนาม ที่เราได้เหยียบย่ำไปในที่รกชัฏแห่งวัฏสังสารการเวียนว่ายตายเกิด ด้วยอำนาจแห่งความโง่เขลาของเราเอง


เมื่อฉันมาที่นี่ผู้เดียว ฉันจึงเป็นอาจารย์แต่ผู้เดียวที่สามารถสั่งสอนพวกเธอได้ ฉันได้รับวิธีการใดมาจากอาจารย์ของฉัน ฉันก็จะสอนพวกเธอไปแบบนั้น คำเทศนาที่พรั่งพรูออกมาจากหัวใจแห่งพุทธะของฉัน ที่พวกเธอได้ตั้งใจฟังนั้น มันเป็นคำสอนที่ล้วนออกมาจากสายเลือดแห่งความเป็นเซนของฉันเอง มันเป็นเลือดทุกหยดซึ่งคือประสบการณ์ในชีวิตของฉันทั้งชีวิต และเลือดแห่งเซนนี้ ก็นำพาฉันมาที่นี่เพื่อมาเป็นครูสอนพวกเธอโดยเฉพาะ ก็ทั้งร่างกายและจิตใจของฉันทั้งหมดนี่แหละ คือเซน คือธรรมชาติแห่งเซน พวกเธอทั้งหลายล้วนอย่าได้มีความวิตกกังวลใดๆเลย จงโปรดมอบความไว้วางใจนั้นหยิบยื่นมาให้แก่ฉัน ในฐานะที่ฉันเป็นอาจารย์ผู้ชี้หนทางอันสว่างให้แก่พวกเธอ ธรรมชาติที่ฉันตั้งใจจะมาถ่ายทอดให้กับพวกเธอนี้ ล้วนเป็นธรรมชาติอันสืบทอดมาโดยตรงจากองค์พระศาสดา อันจะทำให้พวกเธอไม่มีวันได้หลงออกไปจากหนทางที่แท้จริงนี้ได้อีก และมันจะทำให้พวกเธอได้ทำหน้าที่ของพวกเธอเองได้อย่างถูกต้อง

 และด้วยภาระหน้าที่อันสาหัสสากรรจ์ ฉันก็จะใช้ความอดทนและรอคอย ต่อความเป็นไปใน "การนับหนึ่ง" เพื่อให้ถึงความสมบูรณ์พร้อมในวันข้างหน้า ฉันเป็นเพียงฐานะตัวแทนแห่งกลีบเดียวของดอกไม้ดอกนั้น กาลเวลาและเหตุปัจจัย ในการลงมาทำหน้าที่ของเหล่าโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่พวกเขาเหล่านี้ "ผูกใจไว้" ด้วยความศรัทธายิ่งต่อพระตถาคตเจ้า การสืบสายธรรมของเหล่าโพธิสัตว์ทั้งหลายนี้ ก็จะเป็นไปอย่างบริบูรณ์พรั่งพร้อมในวันข้างหน้า เมื่อกลีบดอกไม้รวมได้ครบหกกลีบ และดอกไม้นั้นได้ผลิบานออกมา มันจึงเป็นนิมิตหมายถึงเมล็ดพันธุ์พืชแห่งพุทธะอันจำนวนมากมาย ที่สามารถแพร่กระจายเจริญเติบโต กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ไปทั่วดินแดนแห่งจีนนี้ อันสามารถเติบโตเป็นร่มเงาที่พึ่งให้แก่พุทธศาสนิกชน ผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาทั้งหลายในรุ่นหลังๆ ให้เข้ามาพึ่งพิงพักพิงตลอดสืบไป



   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
   : อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   28 มกราคม 2557

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: บทที่ 3 ปรมาจารย์ตั๊กม้อ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2014, 03:38:08 pm »

                 

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 3 ปรมาจารย์ตั๊กม้อ

ท่านโพธิธรรมหรือปรมาจารย์ตั๊กม้อ ท่านถือกำเนิดเมื่อปี พุทธศักราช 440 ณ เมืองคันธารราช (Kanchi) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของดินแดนปัลลวะ อันเป็นที่อยู่ของชาวพื้นเมืองกลุ่มใหญ่ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย ท่านเกิดในวรรณะกษัตริย์ โดยเป็นราชโอรสองค์ที่ 3 ของพระเจ้าสิงหวรมัน ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินของแคว้นคันธารราช ก็ครั้งเมื่อพระองค์มีพระชนมายุวัยเยาว์ ท่านมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ท่านมีความแตกฉานในคัมภีร์ไตรเภท ของศาสนาพราหมณ์ที่ท่านเคยนับถือมาแต่เดิม เพราะพระบิดาได้ส่งท่านไปเรียนในสำนักตักศิลา ในฐานะราชบุตรที่จะได้ขึ้นปกครองมีอำนาจสืบต่อความเป็นกษัตริย์ แทนพระบิดาท่านต่อไปในภายภาคหน้า

 แต่เมื่อท่านเติบโตเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ ท่านได้มีความศรัทธาหันมานับถือพระพุทธศาสนา เหตุเพราะในครั้งนั้นพระบิดาของท่าน ได้อาราธนาท่านพระอาจารย์ปรัชญาตาระเถระ (Prajnatara) ซึ่งเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ผู้มีความแตกฉานในคัมภีร์ต่างๆและมีลูกศิษย์มากมาย และเป็นภิกษุที่อาศัยอยู่ในแคว้นมคธ ดินแดนแห่งพุทธธรรมที่ยังคงฝังรากลึกอยู่ที่นั่นในเวลานั้น ให้ท่านเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเมืองคันธารราช เพื่อที่จะให้คำสอนอันคือธรรมชาตินี้ ได้เผยแผ่ไปทั่วดินแดนแห่งปัลลวะของท่าน

ก็เพราะด้วยคำสอนที่ตรงต่อความเป็นจริงตามธรรมชาติ จึงเป็นเหตุให้ท่านโพธิธรรมซึ่งเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ที่นับถือศาสนาพราหมณ์มาโดยเคร่งครัด ได้ละทิ้งทิฐิเดิมของตนหันหน้ามานับถือศาสนาพุทธอย่างจริงจัง ด้วยความมีศรัทธาอันแรงกล้าต่อคำสอนที่แท้จริงของตถาคตเจ้า ครั้งเมื่อพระบิดาของท่านได้เสด็จสิ้นพระชนม์ ก็เกิดการแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างรัชทายาทเพื่อขึ้นปกครองเป็นกษัตริย์ ท่านโพธิธรรมหามีความปรารถนาต้องการ จะยื้อแย่งชิงมายาแห่งสมบัติเลือดนั้นไม่

 ท่านจึงตัดสินใจหลบหนีภยันตรายอันใหญ่หลวงนี้ ไปหลบลี้ภัยและฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อศึกษาธรรมอย่างแท้จริง กับพระอาจารย์ปรัชญาตาระเถระผู้ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของพระบิดาท่าน และพระอาจารย์ปรัชญาตาระเถระนี้เอง เป็นภิกษุผู้รับสืบทอดวิถีธรรมอันคือธรรมชาติซึ่งเป็นธรรมอันแท้จริง มาจากสังฆปรินายกองค์ก่อนๆแห่งนิกายเซน ซึ่งเป็นการสืบทอดด้วยการถ่ายทอดธรรมแก่กันและกันเป็นรุ่นๆ สืบต่อกันมาตลอดโดยไม่ขาดสาย ซึ่งท่านพระอาจารย์ปรัชญาตาระเถระนั้น นับว่าท่านเป็นสังฆปรินายก องค์ที่ 27

ต่อมาเมื่อท่านโพธิธรรมได้บรรลุธรรมอันคือ ธรรมชาติ ที่มันมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น ด้วยอุบายการคุ้ยเขี่ยธรรมให้ตรงต่อความเป็นจริง ซึ่งเกิดจากการชี้แนะสั่งสอนของพระอาจารย์ปรัชญาตาระ เมื่อท่านรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นี้แล้ว ท่านจึงได้ตัดสินใจอุปสมบทเป็นภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา เป็นการบวชที่ถึงพร้อมไปด้วยการตระหนักชัดแจ้ง และรู้แจ้งในความเป็นจริง และท่านก็ได้สำเร็จลุล่วงในความเป็นธรรมแห่งอภิญญา ตามบุญวาสนาของท่านในธรรมชาติแห่งฌานชั้นสูงนั่นเอง ท่านจึงเป็นพระภิกษุผู้บรรลุอรหันต์ และสำเร็จอภิญญามีฤทธิ์นานาประการ ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ท่านจะเดินทางมาสู่ประเทศจีนแล้ว

ด้วยเส้นทางบุญบารมีของท่านโพธิธรรม ที่ลงมาทำหน้าที่แห่งตนในฐานะโพธิสัตว์ ผู้ที่ผูกใจซึ่งเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาของตนไว้ต่อตถาคตเจ้า และได้อธิษฐานต่อหน้าองค์พระพักตร์แห่งพระศาสดาเจ้า ครั้งเมื่อพระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ ใต้ต้นสาละคู่นั้นแห่งเมืองกุสินารา ว่าตนจะลงมาทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมคำสั่งสอนอันแท้จริงนี้ ตามวาระกรรมแห่งบุญวาสนาที่เคยได้สั่งสมมาไว้

 เมื่อกิจคือหน้าที่ที่ตนต้องชำระความมัวหมองแห่งใจตน ได้สำเร็จลุล่วงแล้ว พระอาจารย์ปรัชญาตาระเถระจึงได้ทำการ "มอบบาตรและจีวรของตถาคตเจ้า" ที่ได้สืบทอดรับมอบต่อกันมาเป็นช่วงๆ มาตั้งแต่รุ่นที่หนึ่งคือ พระมหากัสสปะเถระ ที่ท่านได้รับมอบบาตรและจีวรนี้ "มาโดยตรง" จากองค์พระศาสดาตถาคต พระโพธิธรรมหรือปรมาจารย์ตั๊กม้อจึงถูกนับเข้าเป็น พระสังฆปรินายกองค์ที่ 28 แห่งนิกายเซน และท่านเองก็ได้รับหน้าที่ ให้เผยแผ่พระธรรมคำสอนที่แท้จริงตามธรรมชาตินี้ ให้คงอยู่ต่อสืบไปอย่างไม่มีวันที่ขาดสายลงไปได้

เมื่อท่านโพธิธรรมได้เดินทางมาเมืองจีนแล้ว ชาวจีนได้เรียกท่านด้วยความเคารพว่า "ปรมาจารย์ตั๊กม้อ" และถึงแม้ว่าคำสอนของท่านยังไม่เป็นที่เข้าใจแพร่หลาย และท่านก็มีลูกศิษย์เป็นจำนวนน้อยมาก แต่การสืบทอดคำสอนของท่าน ก็ยังคงดำเนินต่อไปโดยอยู่ภายใต้ "เงื่อนไข" ในกรรมวิสัย แห่งโพธิสัตว์รุ่นหลังทั้งหลาย ที่จะลงมาเกิดและเข้ามารับธรรม เพื่อสืบต่อไปเป็นรุ่นๆจนถึงรุ่นที่หก ก็ในคราวนั้นท่านเว่ยหล่างหรือฮุ่ยเหนิง ซึ่งเป็นโพธิสัตว์ผู้ที่มีปัญญามากและมีบริวารมากเช่นเดียวกัน ก็จะลงมาเกิดเพื่อทำหน้าที่แห่งตน

 และในคราวนั้น คำสอนอันคือหลักธรรมชาติแห่งนิกายเซนนี้ จะถูกแพร่ขยายสืบต่อไปตามสายธารธรรมแห่งลูกศิษย์ท่าน และจะเป็นที่ยอมรับนับถือกันไปอย่างกว้างขวาง ทั่วทุกหนทุกแห่งในผืนแผ่นดินจีน และก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยสืบต่อกันไป จนเป็นศาสนาประจำชาติหยั่งรากลึกลงถึงอย่างมั่นคงในประเทศญี่ปุ่นสืบต่อไปในภายภาคหน้า เมื่อคำสอนแห่งนิกายเซนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ด้วยบุญบารมีแห่งท่านเว่ยหล่าง จึงมีการจัดลำดับ "คณาจารย์" ผู้ที่ได้รับสืบทอดคำสอนที่แท้จริงอันคือธรรมชาตินี้ และได้รับบาตรและจีวรแห่งตถาคตเจ้าสืบมา โดยที่ท่านโพธิธรรมหรือปรมาจารย์ตั๊กม้อ เป็นผู้ที่ได้รับสืบทอดเป็นองค์ที่ 28 และทางคณาจารย์ทั้งหลายแห่งเซนในประเทศจีน ได้ยกย่องให้ท่านเป็น สังฆปรินายก องค์ที่ 1 แห่งนิกายเซนประเทศจีน



การจัดลำดับคณาจารย์ ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดธรรมเพื่อสืบทอดธรรมอันคือธรรมชาตินี้ ให้อยู่ตลอดสายอย่างถาวรในความเป็นเซน จนกว่าจะสิ้นอายุแห่งบวรพระพุทธศาสนา เมื่อครบ 5,000 ปี นับแต่พระพุทธองค์ได้ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน จึงมีดังนี้

พระพุทธเจ้า ได้ถ่ายทอดธรรมชาตินี้มาสู่
พระสังฆนายกที่ 1 พระอารยะ มหากัสสปะ
พระสังฆนายกที่ 2 พระอารยะ อานนท์
พระสังฆนายกที่ 3 พระอารยะ สันวสะ
พระสังฆนายกที่ 4 พระอารยะ อุปคุปต
พระสังฆนายกที่ 5 พระอารยะ ธริตกะ

พระสังฆนายกที่ 6 พระอารยะ มิฉกะ
พระสังฆนายกที่ 7 พระอารยะ วสุมิตร
พระสังฆนายกที่ 8 พระอารยะ พุทธนันทิ
พระสังฆนายกที่ 9 พระอารยะ พุทธมิตร
พระสังฆนายกที่ 10 พระอารยะ ปาสวะ

พระสังฆนายกที่ 11 พระอารยะ ปุนยยสัส
พระสังฆนายกที่ 12 พระโพธิสัตว์ อัศวโฆษ
พระสังฆนายกที่ 13 พระอารยะ กปิมละ
พระสังฆนายกที่ 14 พระโพธิสัตว์ นาคารชุน
พระสังฆนายกที่ 15 พระอารยะ คนเทว

พระสังฆนายกที่ 16 พระอารยะ ราหุลตะ
พระสังฆนายกที่ 17 พระอารยะ สังฆนันทิ
พระสังฆนายกที่ 18 พระอารยะ สังฆยสัส
พระสังฆนายกที่ 19 พระอารยะ กุมารตะ
พระสังฆนายกที่ 20 พระอารยะ ขยตะ

พระสังฆนายกที่ 21 พระอารยะ วสุพันธุ
พระสังฆนายกที่ 22 พระอารยะ มนูระ
พระสังฆนายกที่ 23 พระอารยะ อักเลนยสัส
พระสังฆนายกที่ 24 พระอารยะ สินหะ
พระสังฆนายกที่ 25 พระอารยะ วิสอสิต

พระสังฆนายกที่ 26 พระอารยะ ปุนยมิตร
พระสังฆนายกที่ 27 พระอารยะ ปรัชญาตาระ
พระสังฆนายกที่ 28 พระอารยะ โพธิธรรม (พระสังฆนายกองค์ที่ 1 ของจีน ปรมาจารย์ตั๊กม้อ)
พระสังฆนายกที่ 29 พระอาจารย์ เว่ยโห (พระสังฆนายกองค์ที่ 2 ของจีน)
พระสังฆนายกที่ 30 พระอาจารย์ ซังซาน (พระสังฆนายกองค์ที่ 3 ของจีน)

พระสังฆนายกที่ 31 พระอาจารย์ ตูชุน (พระสังฆนายกองค์ที่ 4 ของจีน)
พระสังฆนายกที่ 32 พระอาจารย์ ฮวางยาน (พระสังฆนายกองค์ที่ 5 ของจีน)
พระสังฆนายกที่ 33 พระอาจารย์เว่ยหล่าง (พระสังฆนายกองค์ที่ 6 ของจีน)


>>> : F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
29 มกราคม 2527
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 06, 2014, 09:11:41 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: บทที่ 4 เดินทางสู่การเพาะบ่ม
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2014, 07:40:59 pm »

                   

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 4 เดินทางสู่การเพาะบ่ม

ด้วยอนาคตังสญาณแห่งปรัชญาตาระเถระ ที่ได้ล่วงรู้ด้วยอำนาจอภิญญาแห่งตนว่า ผืนแผ่นดินแห่งปัลลวะจะลุกเป็นไฟ เพราะการณ์ข้างหน้าจะเกิดเหตุมีศึกสงครามครั้งใหญ่ นับแต่ท่านจะได้ดับขันธ์ล่วงไปแล้ว 67 ปี เมื่อไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงกรรรมวิบากแห่งสรรพสัตว์ ที่ต้องชดใช้ซึ่งกันและกันนี้ได้ เมื่อเกิดอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง ในการเผยแผ่ธรรมแห่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมหาปรัชญาตาระเถระจึงได้แนะนำให้ลูกศิษย์ของตน คือ ท่านโพธิธรรม ให้ตระเตรียมการไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อถ่ายทอดธรรมนี้ไปยังผู้ที่สมควร จะได้รับธรรมให้สืบต่อไปในภายภาคหน้า เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ท่านโพธิธรรมจึงวางแผนส่งพระภิกษุสองรูป ผู้ซึ่งบรรลุเป็นพระอรหันต์และแตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณ ให้เดินทางไปยังจีนล่วงหน้าก่อน เพื่อดูลาดเลาความเป็นไปในบ้านเมืองจีน


แต่การเดินทางมาถึงของภิกษุสองรูป กลับไม่ได้รับการต้อนรับจากชนชาวจีนแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะด้วยการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน แต่การเดินทางเพื่อมาสำรวจล่วงหน้าของภิกษุสองรูปนี้ ก็มิได้เป็นการเสียเวลาเปล่า ภิกษุสองรูปนี้ก็ยังได้ถ่ายทอดธรรมอันแท้จริง ให้แก่ภิกษุชาวจีนรูปหนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์มีลูกศิษย์มากมาย และเป็นเจ้าอาวาสวัดที่ภิกษุสองรูปได้เข้าพำนัก ซึ่งเป็นอารามที่อยู่บริเวณเทือกเขาหลู่ซัน ท่านพระอาจารย์รูปนี้มีนามว่า "ฮุ่ย เอวียน" ท่านฮุ่ย เอวียน เป็นพระที่เคร่งครัด ต่อการท่องสวดพระสูตรต่างๆในมหายาน เมื่อภิกษุสองรูปจากปัลลวะได้จาริกเดินทางมาถึงเขาหลู่ซัน และได้เข้าพำนักที่อารามแห่งนี้

 จึงได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ฮุ่ย เอวียน พระอาจารย์ฮุ่ย เอวียน จึงถามภิกษุสองรูปนี้ไปว่า พวกท่านมาเผยแผ่ธรรมที่จีนนี้ได้นำเอาธรรมชนิดไหนเข้ามา แล้วทำไมล่วงมาถึงป่านนี้ชาวจีนจึงยังไม่ศรัทธาพวกท่าน ภิกษุชาวปัลลวะทั้งสองจึงได้โต้ตอบออกไปทันควัน ด้วยภาษามือที่สื่อกันโดยไม่ต้องออกเสียง ด้วยการยื่นมือไปข้างหน้าแล้วดึงมือนั้นกลับมาอย่างรวดเร็ว และภิกษุทั้งสองก็ได้กล่าวว่า ไม่ว่าความเป็นพุทธะที่ท่านอาจารย์อยากจะรู้ มันมีสภาพไม่ต่างกันเลยจากความทุกข์ที่ท่านอาจารย์ยังคงแบกไว้ มันก็มีอาการเกิดขึ้นและดับไปรวดเร็ว เช่นเดียวกับมือของข้าพเจ้าที่ยื่นให้ท่านดู ด้วยการเกิดขึ้นแห่งมัน และชักกลับคืนมา ด้วยการดับไปแห่งมันเช่นกัน


 และสิ่งที่ท่านเห็นอยู่ต่อหน้าด้วยความว่างเปล่าในอากาศ ด้วยความไม่มีอะไรของมันเองอยู่อย่างนั้น นั่นแหละคือความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะ ที่ข้าพเจ้าทั้งสองได้นำมาเผยแผ่ แต่หาคนรับธรรมนี้แทบไม่มีเลยสักคน เมื่อท่านอาจารย์ฮุ่ย เอวียน ได้ฟังได้เห็นดังนั้นแล้ว จึงมีความเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ความอยากรู้ในสภาพธรรมที่แท้จริงของตนเองนั้น ที่จริงมันก็คือตัณหาใน "ความอยากรู้" และมันก็คือภาวะทุกข์ที่เกิดขึ้น และมันก็ไม่มีความแตกต่างจากความทุกข์เดิม ที่ตนเองมีก่อนอยู่แล้วและยังแบกมันอยู่ ด้วยภาวะแห่งการอยากแก้ไขทุกข์ของตน ด้วยการอยากรู้ธรรมอันแท้จริง กับภาวะทุกข์ที่ตนมีอยู่เดิม มันก็ล้วนเป็นความทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น

 ท่านจึงได้ตระหนักชัดรู้แจ้งในขณะนั้นเลยว่า แท้จริงธรรมชาติมันย่อมไม่มีอะไรอยู่แล้วโดยตัวมันเอง เหมือนอากาศที่มันว่างเปล่าที่อยู่ต่อหน้าท่าน ปราศจากมือที่ถูกชักกลับ แท้จริงธรรมชาติมันย่อมว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วโดยตัวมันเองอยู่อย่างนั้น แท้จริงธรรมชาติมันย่อมคือธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ อยู่แล้วโดยตัวมันเองเช่นกัน เมื่อท่านอาจารย์ฮุ่ย เอวียน ได้รู้แจ้งสว่างในธรรมแล้ว ท่านจึงได้นิมนต์ให้ภิกษุสองรูปชาวปัลลวะ ซึ่งกลายเป็นอาจารย์สอนธรรมท่านไปแล้วภายในพริบตาเดียว ได้พำนักอาศัยอยู่กับท่านที่นี่ และก็เป็นการมาที่มิได้ไปไหนอีกเลย



 ภิกษุสองรูปนี้ได้พำนักอาศัยอยู่ที่นี่ ตราบจนได้ดับขันธ์ทิ้งร่างสรีระไว้กลายเป็นศพ ถูกฝัง ณ เชิงเขาหลู่ซัน หลุมศพของภิกษุทั้งสองรูปนี้ ก็ยังปรากฏหลักฐานมาตราบจนทุกวันนี้ การตายของภิกษุทั้งสอง เป็นการตายเพื่อรอคอยพระอาจารย์ของตน คือท่านโพธิธรรมตั๊กม้อ มารับกลับไปเมืองปัลลวะที่อินเดีย เป็นการอยู่รอคอยถึงร้อยปี ณ หลุมฝังศพนั้น และภิกษุทั้งสองก็ได้เดินทางกลับปัลลวะพร้อมกับท่านโพธิธรรม เมื่อหลังจากที่ท่านโพธิธรรมได้เสียชีวิตลงแล้วศพหายไป

เมื่อภิกษุสองรูปได้เสียชีวิตลง โดยมิได้มีการส่งข่าวกลับมายังเมืองปัลลวะเลย เมื่อกาลเวลาได้ผ่านไปอยู่หลายปี ท่านโพธิธรรมจึงตัดสินใจโดยสารเรือ เพื่อมายังเมืองจีนด้วยตัวท่านเอง โดยครั้งนั้นท่านได้ลงเรือโดยสารมาลำเดียว กับภิกษุที่ชื่อ มหาปัลลิปุรัม (Mahaballipurum) ด้วยการเดินออกมาทางชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย มายังช่องแคบทางหมู่เกาะสุมาตรา (ปลายเกาะประเทศมาเลเซีย) และลัดเลาะไปทางมหาสมุทรแปซิฟิก เพื่อไปขึ้นแผ่นดินจีนทางตอนใต้เมืองกวางโจว โดยท่านใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 3 ปี


ก็ในสมัยนั้นประมาณพุทธศตวรรษที่สาม ประเทศจีนถูกแบ่งเป็นจีนสองราชวงศ์ คือราชวงศ์ไว่ และราชวงศ์ซ่ง โดยแบ่งเป็นราชวงศ์ฝ่ายเหนือและราชวงศ์ฝ่ายใต้ และก็ถูกแบ่งกันอย่างนี้มาเรื่อย ท่านโพธิธรรมได้เดินทางมาจีนเมื่อเข้าปลายพุทธศตวรรษที่ห้า คือประมาณปี พ.ศ. 475 ในขณะนั้นพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้ามายังจีน ก่อนหน้านั้นนานแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 65 ในพุทธศตวรรษแรก ด้วยการอุปถัมภ์ค้ำชูจากกษัตริย์ ผู้มีใจใฝ่บำรุงพระพุทธศาสนาในยุคนั้น และพระพุทธศาสนาได้ตั้งมั่นหยังรากลึก ลงไปในดินแดนแห่งจีนนี้มาโดยตลอด

 จนกระทั่งจวบถึงวาระแห่งท่านโพธิธรรม ที่ได้นำคำสอนที่แท้จริงมาโปรยธรรมธาตุไว้ เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้สืบทอดศึกษาธรรมอันคือธรรมชาตินี้ ให้คงอยู่สืบต่อไป โดยในขณะนั้น จีนได้มีการก่อสร้างวัดวาอารามอย่างมากมายจนถึงหมื่นวัด ซึ่งเป็นจำนวนที่รวบรวมไว้แล้วทั้งจีนตอนเหนือและจีนตอนใต้ และนักบวชที่เป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาจริงๆ ไม่รวมนักบวชลัทธิเต๋าและขงจื้อ มีจำนวนมากกว่าสองล้านรูป เมื่อท่านโพธิธรรมเดินทางมาถึงกวางโจวใหม่ๆ ท่านได้ขึ้นฝั่งที่ท่าเรือหนานไห่ และท่านก็ได้รับการนิมนต์ให้อยู่ที่ศูนย์พระพุทธศาสนา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจีน และในโอกาสนี้เองเมื่อได้พำนักอยู่ที่นี่ ท่านโพธิธรรมจึงได้มีเวลาศึกษาเรียนรู้ภาษาจีน จนท่านมีความคล่องแคล่วสามารถสื่อสารภาษาจีนกับชนชาวจีน ได้สะดวกและมีความหมายที่ถูกต้อง

                   

ต่อมาท่านได้ย้ายเข้าไปอยู่เมืองหลวงที่ชื่อว่า เฉียนกัง (Chienkang) ทั้งนี้เป็นกิจอันสำคัญยิ่งที่ท่านได้รับนิมนต์ ให้เข้าไปแสดงธรรมต่อหน้าองค์จักรพรรดิในเวลานั้น แต่ก็ไม่เกิดประสพความสำเร็จแต่อย่างใด เพราะจักรพรรดิหามีความเข้าใจธรรมอันคือธรรมชาติที่แท้จริง ที่ท่านโพธิธรรมได้เทศนาออกไปไม่ ท่านโพธิธรรมจึงเดินทางออกมาจากเมืองหลวง ด้วยไร้ซึ่งความหวัง เพราะถ้าหากองค์จักรพรรดิได้รู้แจ้งตระหนักชัดในธรรมที่ท่านได้เทศนา การเผยแผ่ธรรมในจีนโดยเฉพาะทางจีนตอนใต้ คงเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว เพราะอาจได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากผู้ที่มีอำนาจปกครอง ซึ่งคือกษัตริย์ในยุคนั้น

ท่านจึงเดินทางลงมาและข้ามแม่น้ำที่เมืองแยงซี และได้เข้าไปพำนักอาศัยอยู่ที่เมืองโลหยาง (Loyang) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโล และเป็นเมืองหลวงใหม่ที่พึ่งถูกย้ายมา และถูกสถาปนาความเป็นเมืองหลวงขึ้น ด้วยจักรพรรดิ เฉาเวน (Hsiao-wen) และหลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์ให้ท่าน ต้องอยู่ใกล้ๆวัดเส้าหลิน และนั่งสมาธิหันหน้าเข้าหากำแพงโดยไม่ไหวติงถึงเก้าปีเต็ม เป็นเวลายาวนานถึงเก้าปีแห่งการรอคอย เพื่อเพาะบ่มเมล็ดพันธุ์พืชแห่งพุทธะเมล็ดหนึ่ง ที่ชื่อ เสินกวง(ฮุ่ยเค่อ)



   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   30 มกราคม 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2014, 08:51:57 pm »

                 

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 5 บัวบานกลางหิมะสีแดงฉาน

ท่านโพธิธรรมหรือที่ชาวจีนในยุคนั้นเรียกท่านว่า "ปรมาจารย์ตั๊กม้อ" ท่านเป็นพระภิกษุผู้มีดวงตากลมใหญ่ผิวสีดำคล้ำ และด้วยเอกลักษณ์ของท่านเวลาที่ท่านเดินทางไปไหนมาไหน เมื่อถึงคราวต้องตากแดดที่มีสภาพร้อนจัด ท่านจึงมักจะเอาชายจีวรที่อยู่เบื้องล่างขึ้นมาคลุมศีรษะ เพราะฉะนั้นภาพวาดส่วนใหญ่ที่ศิลปินผู้มีเซนอยู่ในสายเลือด ได้วาดขึ้นเพื่อเป็นภาพประกอบโกอานไขปริศนาธรรม หรือวาดขึ้นโดยเฉพาะเพื่อเป็นสัญลักษณ์ สื่อความหมายไปในทางธรรมนั้น ก็จะปรากฏเป็นภาพของปรมาจารย์ตั๊กม้อที่มีร่างกายสูงใหญ่ และมีหนวดเครารุงรัง และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือมีการวาดภาพโดยมีผ้าคลุมศีรษะ และอยู่ในท่านั่งสมาธิหันหน้าเข้ากำแพงเสียเป็นส่วนใหญ่


 เหตุที่ทำให้ท่านโพธิธรรมตั๊กม้อ ได้นั่งอยู่ในฌานสมาธิถึงเก้าปีเต็มนั้น เป็นเพราะวาระกรรมได้แสดงถึง เนื้อหากรรม ให้เป็นไปในภาวะที่ยืดเยื้อ และเป็นไปในระหว่างบุคคลสองคนที่มีกรรมต่อกัน ทั้งในด้านกุศลและกรรมวิบาก และเป็นวาระกรรมที่มีความสำคัญยิ่งสำหรับการเริ่มต้นนับ "หนึ่ง" ซึ่งถือเป็นก้าวย่าง ที่ได้ก้าวไปข้างหน้าแล้วอย่างแท้จริง สมดั่งเจตนารมณ์ในการที่ท่านโพธิธรรมได้มาเหยียบแผ่นดินจีนในครั้งนี้ เหตุเพราะท่านได้พบลูกศิษย์คนสำคัญของท่าน ซึ่งลูกศิษย์คนนี้เป็นลูกศิษย์คนแรกและคนเดียวที่เข้าใจท่าน และสามารถรับการถ่ายทอดธรรมอันคือธรรมชาติ เป็นทายาทที่แท้จริงในการสืบต่อธรรม ด้วยการผ่านสู่ "ใจต่อใจ" ระหว่างครูกับศิษย์ และเป็นเหตุให้ธรรมนั้นได้สืบต่อกันไปจนเป็นที่แพร่หลาย ยอมรับกันอย่างทั่วไปภายในแผ่นดินจีนตอนใต้หลังจากนั้น แต่ด้วยเหตุปัจจัยเป็นกุศลกรรมอันสำคัญยิ่งนี้ ได้เกิดขึ้นจากกรรมวิบากนั้น

ก็หลังจากที่ท่านโพธิธรรมได้เดินทางออกมาจากพระราชวัง ในคราวที่ท่านได้รับกิจนิมนต์เพื่อไปเทศนาธรรมให้องค์จักรพรรดิฟัง ท่านก็ออกเดินทางรอนแรมไปเรื่อย หลังจากที่ท่านได้อุปสมบทให้กับลูกศิษย์เป็นพระรูปหนึ่งที่ชื่อ เชง ฟุ ท่านโพธิธรรมก็ได้พำนักพักอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของเมืองหลวง เป็นระยะเวลานานนับสิบปี และภายในปี พ.ศ. 496 จักรพรรดิก็ได้รับสั่งให้สร้างวัด เพื่อถวายเป็นราชกุศลขึ้น เป็นการก่อสร้างที่อยู่ติดกับบริเวณภูเขาซ่งที่อยู่ทางเมืองโหหนาน ซึ่งเมืองนี้อยู่ทางทิศใต้ของเมืองโลหยางซึ่งเป็นเมืองหลวง วัดนี้องค์จักรพรรดิสร้างขึ้นเพื่อให้นักบวชพระภิกษุสงฆ์ในนิกายเซน เข้ามาพักอาศัยเพื่อเป็นที่หลบลี้และได้ขัดเกลาจิตใจของตนเอง วัดแห่งนี้นี่เองที่ชื่อว่า "วัดเส้าหลิน" เป็นวัดซึ่งท่านโพธิธรรมได้มาสอนการฝึกออกกำลังกายแบบโยคะ ให้แก่ภิกษุในภายหลังที่ท่านได้ออกจากสมาบัติแล้ว



เมื่อท่านโพธิธรรมได้ทราบข่าวว่าวัดเส้าหลินได้สร้างเสร็จแล้ว และเป็นวัดที่มีความสวยงามอยู่กลางหุบเขา และบริเวณเทือกเขาเหล่านั้นเป็นที่สงบวิเวก เหมาะสำหรับการปลีกตัวออกจากหมู่คณะเพื่อเก็บตัวบำเพ็ญภาวนา ท่านโพธิธรรมจึงตัดสินใจเดินทางมายังบริเวณหุบเขาแห่งนี้ เพื่อหาที่สงบพักผ่อนใจให้กับตนเอง แต่ในระหว่างทางก่อนถึงแม่น้ำแยงซี เพื่อจะข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งหุบเขาเฉาฉือ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาซ่ง ท่านก็ได้พบพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้เป็นธรรมทายาทเพื่อสืบสายโลหิตแห่งเซน ภิกษุรูปนี้มีชื่อว่า "เสินกวง" ท่านเสินกวงเป็นเจ้าอาวาสวัดที่ท่านโพธิธรรมได้แวะพักอาศัย ก่อนที่จะเดินทางไปถึงจุดหมาย เสินกวงเป็นพระที่มีความจดจำพระสูตรได้แม่นยำ และเป็นนักเทศนาธรรมตัวยงในแถบนั้นโดยหามีใครเทียบไม่ ก็ในขณะนั้นเป็นวันที่ท่านโพธิธรรมเดินทางมาถึง และท่านเสินกวงกำลังขึ้นเทศน์ธรรม ให้แก่สาธุชนผู้มีศรัทธาได้ฟังกันภายในหอประชุมบริเวณวัด

 ท่านเสินกวงถึงแม้จะมีสัญญาความจำได้หมายรู้อย่างยอดเยี่ยม แต่ท่านก็ยังมิใช่เนื้อนาบุญอย่างแท้จริง ท่านเสินกวงมีความสามารถอ่านอธิบายธรรมในพระสูตรได้ แต่ท่านเสินกวงกลับไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจตระหนักชัด ในธรรมที่ท่านกำลังสาธยายเลย เมื่อท่านเสินกวงได้เทศนาธรรมจบแล้วจึงเดินลงมาจากพระธรรมาสน์ เพื่อพูดคุยกับอาคันตุกะภิกษุแปลกหน้าผู้มาเยือนในเช้าของวันนั้น แต่การพูดคุยกลับกลายเป็นเหตุให้ท่านเสินกวง ได้ทำร้ายร่างกายพระอาคันตุกะซึ่งมาจากเมืองปัลลวะอินเดียรูปนี้ โดยการสนทนาธรรมนั้น ท่านโพธิธรรมได้พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า ท่านเสินกวงถึงแม้จะเป็นพระนักเทศน์ ที่สามารถเทศนาธรรมได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ก็ยังมิได้บรรลุธรรมอะไรเลย


 เพราะท่านโพธิธรรมได้นั่งฟังธรรมเทศนาอยู่ด้วย โดยท่านได้นั่งอยู่แถวหลังสุดและได้ฟังธรรมเทศนานั้น จนทำให้ท่านรู้ได้ด้วยเนื้อหาธรรมที่ถูกเทศน์ออกมาในขณะนั้นว่า ท่านเสินกวงยังไม่ได้ตระหนักชัดรู้แจ้งภายในธรรมชาติดั้งเดิมแท้เลย เมื่อท่านได้พูดออกไปแบบนี้อย่างตรงๆไม่อ้อมค้อม ก็เป็นเหตุให้ท่านเสินกวงเกิดโทสะ เอาสายลูกประคำเม็ดใหญ่ฟาดเข้าไปที่ปากของท่านโพธิธรรม จนเป็นเหตุให้เลือดไหลออกมากลบปาก และฟันด้านหน้าของท่านหักออกไปถึงสองซี่ เมื่อเหตุการณ์ซึ่งเป็นกรรมวิบากได้เกิดขึ้นเช่นนี้แล้ว ท่านโพธิธรรมจึงหันหลังออกไปจากที่นั่นไปโดยมิได้กล่าวลา

 แต่หลังจากนั้นด้วยความสำนึกผิดของท่านเสินกวง ในการล่วงละเมิดประทุษร้ายพระอาคันตุกะผู้มีปัญญา และด้วยความที่ทราบต่อมาภายหลังว่าพระอินเดียรูปนั้น ก็คือท่านพระอาจารย์โพธิธรรมซึ่งเดินทางมาจากเมืองปัลลวะ เพื่อเข้ามาเผยแผ่ธรรมอันคือคำสอนตามธรรมชาติที่แท้จริง ให้แก่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ท่านเสินกวงจึงรู้สึกเสียใจในการกระทำของตน และท่านเสินกวงมีเจตนาที่จะกราบขอขมาลาโทษ และมีความตั้งใจจริงที่จะฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน และมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยวที่จะดูแลรับใช้ท่านโพธิธรรม จนตราบที่ท่านโพธิธรรมจะหมดลมหายใจละจากโลกใบนี้ไป ท่านเสินกวงเมื่อรู้สึกตัวและมีความละอายใจ จึงรีบเดินทางออกตามหาท่านโพธิธรรม

                 

 เมื่อท่านโพธิธรรมได้เดินทางจนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำแยงซี แต่ตอนนั้นเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เรือข้ามฝากไปฝั่งโน้นก็หามีไม่ ท่านโพธิธรรมจึงได้หยิบต้นอ้อมากำหนึ่ง และเหยียบอ้อกำนั้นข้ามฝั่งไป ก็ด้วยน้ำหนักคนมีน้ำหนักมาก หากเหยียบไปบนต้นอ้อซึ่งมีน้ำหนักเบา ต้นอ้อก็ต้องจมน้ำไปเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ด้วยอำนาจแห่งอภิญญาของท่านโพธิธรรม ท่านสามารถเหยียบขึ้นยืนบนต้นอ้อกำนั้นและไม่ตกจมลงไปในน้ำ ด้วยฤทธิ์แห่งอภิญญาที่ท่านสำเร็จ ก็ในขณะที่ท่านกำลังอยู่กลางแม่น้ำแยงซีด้วยอำนาจจิตที่ยิ่งใหญ่ ท่านเสินกวงจึงได้เดินทางมาถึงพอดี และท่านเสินกวงได้เห็นอภินิหารของท่านโพธิธรรมแล้ว จึงก้มหน้าร้องไห้ในความสำนึกผิดแห่งตน และท่านเสินกวงจึงหาทางข้างฝั่งแม่น้ำแยงซี ด้วยการมัดหญ้าคากำใหญ่และพยุงลอยตัวเอง จนข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้อย่างปลอดภัย และเร่งรีบติดตามท่านโพธิธรรมไปอย่างไม่ลดละ

เมื่อท่านโพธิธรรมได้เดินทางมาถึงเทือกเขาซ่ง แถวบริเวณหมู่บ้านลั่วหยางซึ่งอยู่ใกล้วัดเส้าหลิน ท่านโพธิธรรมจึงได้เข้าพักอาศัย ณ ถ้ำซึ่งมีความเป็นธรรมชาติแห่งหนึ่งซึ่งอยู่แถวบริเวณหลังวัด และท่านก็ตัดสินใจนั่งสมาธิเข้าฌานสมาบัติ โดยนั่งหันหน้าเข้าหาผนังถ้ำ และตัดสินใจที่จะนั่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีกำหนดออกเลย ท่านนั่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาถึงเก้าปีโดยไม่ไหวติง มันเป็นระยะเวลานานมากจนกระทั่ง เงาร่างที่ถูกแสงแดดสาดส่องเข้ามาอยู่ตลอดเวลานั้น มันทาบลงไปบนฝาผนังและฝังรอยเป็นเงาอยู่อย่างนั้น ตราบจนสามารถเห็นได้จนถึงทุกวันนี้ ชาวบ้านแถบนั้นเรียกมันว่า "ผนังเงาศิลา"
           
ท่านเสินกวงเมื่อได้ติดตามท่านโพธิธรรมมา และได้สอบถามชาวบ้านในละแวกนั้น จึงได้รู้ว่าท่านโพธิธรรมได้หลบหนีผู้คนเข้าไปนั่งสมาธิในฌานแล้ว เมื่อเสินกวงตามไปพบและรอคอยท่านโพธิธรรม เพื่อให้ออกมาจากฌานสมาบัติ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปอย่างเนิ่นนานก็ไม่มีวี่แวว ว่าท่านโพธิธรรมจะลุกขึ้นมาจากจุดที่ท่านนั่ง เสินกวงจึงตัดสินใจที่จะรับใช้ดูแลท่านโพธิธรรม อยู่ ณ ภายในถ้ำนั้น โดยท่านเสินกวงมีหน้าที่ดูแลรักษาความสะอาดภายในบริเวณถ้ำ และเมื่อเสร็จภารกิจในแต่ละวันแล้ว ท่านเสินกวงก็จะออกมานั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าถ้ำ โดยท่านเสินกวงจะนั่งตั้งแต่เช้าไปจนจรดเย็นและค่ำมืด ท่านเสินกวงจะนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนี้ทุกวัน เพื่อเป็นการขอขมาลาโทษต่อท่านโพธิธรรม และเพื่อรอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเรียนรู้ธรรมอันแท้จริงกับท่าน


 และแล้วความพยายามของท่านเสินกวงก็ประสพความสำเร็จ ด้วยระยะเวลาแห่งการรอคอยมันผ่านพ้นมานานถึงเก้าปีเต็มๆ ก็ช่วงสายในวันหนึ่งของวันที่ 29 ปีไท่เหอที่สิบ ในขณะที่ภิกษุเสินกวงได้ทำความสะอาดถ้ำและฉันอาหารเสร็จแล้ว จึงได้มานั่งคุกเข่าอยู่หน้าถ้ำ ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงของกลางฤดูหนาว ที่มีหิมะโปรยปรายตกลงมาปกคลุมเต็มอยู่หน้าถ้ำ แต่ท่านเสินกวงก็นั่งอยู่ตรงหน้าถ้ำนั้นมิได้ลุกหนีไปไหน จนหิมะมันได้ท่วมขึ้นมาจนถึงหัวเข่า และแล้วตรงปากถ้ำก็ได้ปรากฏกายของท่านโพธิธรรม ผู้ซึ่งพึ่งออกจากฌานสมาบัติที่ตนได้นั่งเข้าสมาธิแบบลืมวันลืมปี เมื่อท่านโพธิธรรมได้เห็นท่านเสินกวง ผู้ซึ่งเคยทำร้ายร่างกายท่านจนฟันหักถึงสองซี่

 ท่านจึงเกิดความสงสารที่เห็นพระรูปนี้มานั่งตากหิมะอยู่หน้าถ้ำ ท่านจึงถามเสินกวงไปว่า "เธอมานั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางหิมะด้วยมีความต้องการอะไร" เมื่อท่านเสินกวงได้ยินเสียงท่านโพธิธรรมกล่าวดังนั้น ก็มีความปีติยินดีและได้ก้มกราบขอขมาลาโทษ ในการกระทำไม่ดีไม่ควรของตน และก็เอ่ยปากขอร้องให้ท่านโพธิธรรมรับตนเป็นศิษย์ ท่านโพธิธรรมได้ฟังดังนั้นจึงได้พูดตอบท่านเสินกวงไป ด้วยความที่จะทดสอบความเด็ดเดี่ยว ในความตั้งมั่นแห่งศรัทธาที่จะมุ่งมั่นปฏิบัติธรรม ท่านจึงบอกภิกษุเสินกวงไปว่า "ให้นั่งคุกเข่าอยู่เช่นนี้ตลอดไป จนกว่าหิมะที่อยู่ต่อหน้ากองนี้จะกลายจากสีขาวเป็นสีแดง" แต่การทดสอบความมีศรัทธาในหัวใจแห่งพุทธะของเสินกวง กลับไปกระตุ้นอนุสัยซึ่งเป็นเนื้อหาสะสมกรรมวิบากของเสินกวงในอดีตที่มีต่อท่านโพธิธรรมครั้งในอดีตชาติที่ผ่านมานับไม่ถ้วน ออกมาให้ได้ชดใช้กรรมกันในขณะนั้น

                 

 โดยเมื่อเสินกวงได้ฟังท่านโพธิธรรมพูดออกมาดังนั้น กรรมวิบากจึงดลให้ท่านเสินกวงเกิดความหุนหันพลันแล่น คว้าไปหยิบมีดผ่าฟืนซึ่งมีความคมกริบนั้นขึ้นมา เฉือนมือข้างซ้ายของตนจนขาดวิ่น และท่านก็ได้หยิบแขนซ้ายของตนข้างนั้น ที่ตกลงอยู่กับพื้นส่งให้ท่านโพธิธรรม โดยท่านเสินกวงได้กล่าวขึ้นระคนไปด้วยความเจ็บปวดว่า "ท่านพระอาจารย์โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย เพราะบัดนี้กองหิมะกองนี้มันได้กลายเป็นสีแดงหมดแล้ว" ก็เพราะด้วยการตัดแขนของเสินกวงซึ่งมีเจตนา จะทำให้เลือดของตนชะล้างความเป็นสีขาวของหิมะออกไปให้หมด เพราะความที่มันถูกกลบไปด้วยความเป็นสีแดงแห่งเลือดตน ที่หลั่งรินไหลออกมานองพื้นเป็นสีแดงฉานไปทั่วบริเวณนั้น

 มันเป็นเลือดแห่งความเป็นพุทธะ ที่มันพุ่งออกมาจากสายเลือดแห่งความใฝ่ดีของท่าน ที่บ่มเพาะตัวเองด้วยความมีขันติอย่างยิ่ง ในการรอคอยเพื่อก้าวข้ามไปสู่ประตูดินแดน "ธรรมชาติแห่งพุทธะ" ถึงเก้าปีเต็มๆ เป็นการรอคอยที่ใช้ความอดทนด้วยความสิ้นหวังตลอดเวลาที่ผ่านมา เลือดทุกหยดนี้มันจึงเป็นเลือดทุกหยดแห่งเซน ที่มันจะทาบทาไปทั่วผืนแผ่นดินจีน ด้วยเหตุปัจจัยอันเกิดจากภิกษุเสินกวงรูปนี้นั่นเอง

 เมื่อท่านโพธิธรรมได้ยื่นมือรับแขนของเสินกวง และรับท่านเสินกวงเป็นศิษย์แล้ว ท่านจึงช่วยทำแผลห้ามเลือดให้ ในขณะที่กำลังทำแผลนั้นท่านเสินกวงได้รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา จึงร้องขึ้นมาอย่างดังว่า "พระอาจารย์ช่วยศิษย์ด้วย ศิษย์มีความเจ็บปวดมาก ศิษย์จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว จงโปรดช่วยให้ศิษย์เกิดความสงบด้วย" ในขณะนั้นท่านโพธิธรรมจึงหยุดการทำแผล แล้วพูดกับท่านเสินกวงขึ้นมาว่า "เสินกวง เธอจงเอาจิตของเธอออกมาสิ จิตอันเจ็บปวดนั้น แล้วฉันจะทำให้มันสงบ" เสินกวงได้ฟังดังนั้นจึงได้บรรลุธรรมรู้แจ้งชัดในเวลานั้นเอง เพราะแท้จริงจิตมันไม่มีตัวตน และไม่สามารถเอาออกมาแสดงให้กับท่านโพธิธรรมได้

 หลังจากเสินกวงได้ทำแผลเสร็จ ท่านโพธิธรรมจึงได้ถ่ายทอดอธิบายธรรมอันคือธรรมชาติที่แท้จริง และในคืนนั้นเองด้วยวิถีแห่งความเป็นธรรมชาตินี้ จึงได้ถูกส่งตรงมายังภิกษุเสินกวง ด้วยความบริบูรณ์พรั่งพร้อมในธรรมชาติของมัน ด้วยโพธิปัญญาแห่งภิกษุเสินกวง คือความเป็นเซนในสายเลือด ที่มาพร้อมกับกรรมวิบากที่ต้องใช้คืน แขนซ้ายที่ขาดวิ่นพร้อมกับเลือดที่หลั่งริน คือ "บัวบานกลางหิมะสีแดงฉาน"



   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   31 มกราคม 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 08:17:04 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: บทที่ 6 ตายเพื่ออิสรภาพที่แท้จริง
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2014, 08:26:36 pm »
                 

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 6 ตายเพื่ออิสรภาพที่แท้จริง

ด้วยกรรมที่เคยทำกันมา จึงได้ก่อให้เกิดธรรมธาตุ ที่ยังแสดงลักษณะไปในทิศทางของมันอยู่เสมอๆ ด้วยความที่ท่านโพธิธรรมเคยประกอบบุญกุศล ช่วยเหลือบรรดาสรรพสัตว์ให้รอดพ้นจากภยันตรายมานับไม่ถ้วน ครั้งเมื่ออดีตชาติที่ผ่านมาหลายภพหลายชาติ รูปแบบแห่งการกระทำกุศลกรรมแห่งการช่วยเหลือนั้น มันจึงตามมาแสดงผลแบบได้กระทำซ้ำอยู่อย่างนั้น ก็ด้วยบุญชนิดหนึ่งที่ท่านโพธิธรรม ได้ช่วยเหลือบรรดาสรรพสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก เพื่อให้พ้นภยันตรายด้วยความมีอิสระ อันเนื่องมาจากการทำอุบายด้วยการแกล้งตาย จึงทำให้ท่านโพธิธรรมได้รับกุศลผลกรรมในชาติสุดท้ายนี้ของท่านด้วย

                         

 กล่าวคือครั้งเมื่อท่านโพธิธรรมพึ่งได้เดินทางมาเมืองจีน และในระหว่างทางแห่งการจาริกไป ท่านได้ไปเจอนกแก้วอยู่ตัวหนึ่งซึ่งเป็นนกโพธิสัตว์ ที่กำลังได้รับความตกระกำลำบาก ต้องเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานในชาตินี้ และถูกกักขังอยู่ในกรงอย่างนี้มานานแสนนานแล้ว และด้วยผลบุญในครั้งเก่าก่อนที่นกแก้วโพธิสัตว์ตัวนี้ เคยมีต่อท่านโพธิธรรม เมื่อเส้นทางบุญได้นำพาท่านโพธิธรรมมาเจอะเจอกับมันอีกที่เมืองจีน เมื่อมันเห็นท่านโพธิธรรมเดินผ่านมา มันจึงพูดขึ้นในใจเป็นภาษานกว่า "ข้าแต่นายท่าน จงโปรดมีความเมตตาช่วยเหลือข้าที ข้าอยากมีความเป็นอิสระ ข้าถูกเจ้าของจับมาขังไว้อย่างนี้มานานแสนนานมากแล้ว"

                 

 ท่านโพธิธรรมซึ่งเป็นภิกษุผู้มีอภิญญาสูงส่ง สามารถฟังภาษาสัตว์รู้เรื่อง ท่านจึงกำหนดจิตบอกนกแก้วตัวนั้นไปว่า "สองขาเหยียดตรง สองตาปิดสนิท" แล้วท่านโพธิธรรมก็ได้เดินจากนกแก้วตัวนั้น ไปตามทางจาริกของท่าน นกแก้วตัวนั้นด้วยความที่เกิดมาเป็นโพธิสัตว์ ลงมาเกิดเพื่อชดใช้กรรมแห่งตน เมื่อมันได้ฟังท่านโพธิธรรมได้บอกกล่าวเป็นความหมายนัยยะ มันจึงรู้แจ้งถึงอุบายในการเป็นอิสระแห่งมัน

ก็ในเช้าวันรุ่งขึ้นนั่นเองก่อนที่เจ้าของจะเอาอาหารมาให้มันที่กรง นกแก้วโพธิสัตว์อันเป็นผู้มีเชาว์ปัญญา มันจึงแกล้งเหยียดขาสองข้างของมันให้ตรงออก และแกล้งปิดตาทั้งสองข้างของมันให้หลับลงสนิท ประหนึ่งว่ามันได้นอนตายด้วยตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น เมื่อเจ้าของเอาอาหารมาให้ และเห็นนกของตนเหยียดขานอนตายปิดตาลงด้วยตัวแข็งทื่อ ก็คิดว่านกของตนได้ตายแล้ว จึงเอามือล้วงหยิบมันออกมาจากกรงขังเพื่อที่จะนำร่างของมันไปฝัง เมื่อเจ้าของวางมันลงไว้กับพื้น นกแก้วตัวนั้นที่แกล้งตาย จึงบินหนีจากที่นั่นไป ด้วยความมีอิสรเสรีตามที่มันมุ่งหวัง และมันก็รู้สึกขอบคุณท่านโพธิธรรม ที่ได้โปรดช่วยชี้ทางอันคือความพ้นจากภยันตราย จากการโดนขังลืมในกรงอยู่เป็นเวลานาน


ด้วยผลบุญผลกรรมที่ท่านโพธิธรรม ได้ทำกุศลช่วยเหลือบรรดาสรรพสัตว์ให้เป็นอิสระ ด้วยการแกล้งทำเป็นตาย ผลบุญนั้นก็ทำให้ท่านโพธิธรรม ได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันไปทั่วแผ่นดินจีน ในความเกี่ยวพัน "ในความตายของท่าน" ที่ท่านแกล้งตายและศพท่านได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ความเป็นจริงก็ยังมีผู้คนจากจีนเดินทางไปอินเดีย หลังจากที่ท่านโพธิธรรมเสียชีวิตไปแล้วเป็นเวลาหลายร้อยปี และไปพบเจอท่านโพธิธรรมอยู่ที่นั่นท่านยังมีชีวิตอยู่ การตายของท่านโพธิธรรมจึงเป็นการแกล้งตาย ที่ทำให้ท่านโพธิธรรมเองมีชีวิตอยู่ อยู่ด้วยความเป็นอิสระในอมตธรรมแห่งนิพพานอยู่อย่างนั้น ตราบจนถึงทุกวันนี้

                 

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   2 .2. 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 26, 2014, 06:10:32 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2014, 04:09:40 pm »
หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 7 แต่งตั้งธรรมทายาท

ก่อนหน้าที่ท่านโพธิธรรมจะละทิ้งสังขารลาจากโลกนี้ไป ท่านได้เรียกประชุมบรรดาศิษยานุศิษย์ ผู้ที่มีความรู้ทางธรรมและอาจได้รับการสืบทอดให้เป็นทายาท ผู้สืบสานการเผยแผ่วิถีธรรมอันคือธรรมชาติ ให้คงดำรงอยู่ต่อสืบไปในภายภาคหน้า ท่านโพธิธรรมจึงได้ถามขึ้นกลางที่ประชุมว่า "ธรรมที่แท้จริงมันคืออะไร" หากพวกท่านตอบได้ เราจะมอบบาตรและจีวรของตถาคตเจ้านี้ให้ เพื่อเครื่องหมายแห่งการทำหน้าที่ ในวิถีธรรมต่อไปสืบไปในภายภาคหน้า

ภิกษุนาม "เต๋า หู" ได้ตอบว่า "การไม่ยึดติดในคัมภีร์หรือแม้แต่ตัวอักษร แต่ก็ไม่ได้ทิ้งความหมายที่แท้จริงในตัวอักษรนั้นเลย ธรรมชาติที่แท้จริงอยู่เหนือการยอมรับและอยู่นอกเหนือการปฏิเสธ" ท่านโพธิธรรมจึงได้พูดขึ้นว่า "เต๋า หู เธอได้หนังของฉันไป"

ต่อมาศิษย์ผู้มีอาวุโสเป็นคนที่สอง เป็นภิกษุณีรูปเดียวในที่ประชุมนี้ มีนามว่า "จิ้งที้" ได้กล่าวตอบว่า "ธรรมที่แท้จริง เหมือนดังพุทธะภาวะแห่งตถาคตเจ้า ที่ได้เห็นเพียงครั้งเดียวและจะเป็นการได้เห็นมันอยู่ตลอดไปเจ้าค่ะ" ท่านโพธิธรรมจึงได้พูดต่อภิกษุณีจิ้งที้ว่า "ที่เธอกล่าวนั้นถูกต้องแล้ว เธอได้เนื้อของฉันไป"

ส่วนศิษย์คนที่สาม นามว่า "เต๋ายก" ได้ตอบว่า "ทุกสรรพสิ่งนี้ล้วนคือความว่างเปล่าตามธรรมชาติ ขันธ์ธาตุนั้นเป็นของว่างเปล่ามาแต่เดิม ก็ในธรรมชาติที่มันว่างเปล่าไร้ตัวตนอยู่อย่างนั้น นั่นแหละคือธรรม" ท่านโพธิธรรมได้พูดขึ้นมาว่า "เธอได้กระดูกของฉันไป"

                                   

ส่วนศิษย์คนที่สี่ คือ เสินกวง เป็นผู้ซึ่งท่านโพธิธรรมได้เปลี่ยนชื่อให้ ตอนที่ท่านรับเป็นศิษย์ใหม่ๆว่า "ฮุ่ยเค่อ" เมื่อถึงลำดับที่ฮุ่ยเค่อจะต้องตอบคำถามว่าธรรมที่แท้จริงคืออะไร ฮุ่ยเค่อก็เอาแต่นิ่งหุบปากปิดปาก และเม้มปากของตนให้สนิทอยู่อย่างนั้น แล้วจ้องมาทางท่านโพธิธรรมโดยมิได้กล่าวอะไรออกมาเลย ท่านโพธิธรรมเมื่อเห็นฮุ่ยเค่อทำกริยาดังกล่าวและนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นโดยมิได้กล่าวพูดอะไรออกมา ท่านโพธิธรรมจึงพยักหน้ารับและพูดขึ้นมาว่า "ฮุ่ยเค่อ เธอได้ไขกระดูกของฉันไป"

และในเวลานั้นเอง ท่านโพธิธรรมจึงได้ส่งมอบบาตรและจีวร ซึ่งเป็นของตถาคตเจ้าที่ตนได้รับสืบทอดมาและครอบครองไว้นั้น ส่งมอบต่อให้กับฮุ่ยเค่อต่อหน้าที่ประชุมของศิษยานุศิษย์ และท่านโพธิธรรมก็ได้กล่าวให้โอวาทแก่ที่ประชุมนั้น โดยกล่าวว่า ศิษย์ทุกคนของท่านล้วนแต่เป็นผู้ที่มีสติปัญญาความรู้ ในที่นี้ไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มืดบอดไร้ซึ่งปัญญาอันรู้แจ้งเลย พวกเธอทั้งหลายก็ล้วนแต่มีความเป็นบัณฑิตพร้อมด้วยกันทั้งสิ้น พวกเธอจงนำประสบการณ์ของพวกเธอเหล่านี้ที่ขึ้นตรงต่อธรรมชาติ

 จงออกโปรดบรรดาสรรพสัตว์ผู้ยากไร้ พวกเธอจงดำรงตนตั้งมั่นในความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนี้ และจงช่วยกันถ่ายทอดธรรมชนิดนี้ให้ออกไปอย่างแพร่หลาย อย่าให้มันขาดสายสูญสลายหายไป ส่วนฮุ่ยเค่อเธอเป็นศิษย์ผู้ที่มีปฏิภาณในการตอบคำถามของฉัน และเธอก็เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้ง เป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดในธรรมธาตุแห่งธรรมชาตินี้อย่างไม่เป็นที่สงสัย ก็ขอให้เธอจงทำหน้าที่ของเธอในการเป็นธรรมทายาทผู้สืบต่อจากฉัน การใดๆก็อย่าพึ่งเร่งรีบเพราะนับสืบต่อจากนี้ไป บ้านเมืองก็จะเกิดความวุ่นวาย ขอให้เธอจงเผยแผ่ธรรมในโอกาสที่เหมาะสม

ภายหลังต่อมาไม่นาน ท่านโพธิธรรมก็เสียชีวิตลง เพราะสาเหตุมาจากที่ท่านถูกผู้ไม่ประสงค์ดี ปองร้ายวางยาพิษในอาหารที่ท่านฉัน จนท่านล้มเจ็บป่วยลงและได้จากลาโลกนี้ไป เมื่อท่านมีอายุได้ 150 ปี
                       
   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   3 .2. 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 26, 2014, 08:41:46 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: บทที่ 8 การจากไปด้วยรองเท้าข้างเดียว
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2014, 06:30:56 pm »


หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 8 การจากไปด้วยรองเท้าข้างเดียว

หลังจากที่ท่านโพธิธรรมได้ทิ้งสังขารแล้ว ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วแผ่นดินจีน ว่าท่านโพธิธรรมได้เสียชีวิตเพราะถูกลอบวางยาพิษ ข่าวนี้ได้ดังไปถึงเมืองหลวง พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ซึ่งต่อมาภายหลัง ได้เกิดความศรัทธาอย่างมากต่อท่านโพธิธรรม จึงได้พระราชทานสมณศักดิ์จารึกไว้ที่เจดีย์บรรจุศพ ณ เชิงเขาอู่ซัน เมืองอี๋หยาง มณฑลเหอหนาน และต่อมาภายหลังองค์จักรพรรดิถังไถ่จง ได้พระราชทานนามในสมณศักดิ์ให้แก่ท่านโพธิธรรม ณ หลุมฝังศพนั้นว่า "พระฌานาจารย์สัมมาสัมโพธิญาณ"

หลังจากที่ศพฝังไว้ในสุสานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อจากนั้นมาอีกหนึ่งเดือน มีเรื่องเล่ากันว่า มีขุนนางผู้หนึ่งได้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ ทางตอนเหนือของประเทศจีน ขุนนางผู้นี้มีนามว่า "ช่งหวิน" เขาได้พบกับท่านโพธิธรรมพร้อมหมู่คณะภิกษุที่นั่น แต่ช่งหวินมาราชการเป็นเวลานานแล้ว และไม่รู้เลยว่าท่านโพธิธรรมได้เสียชีวิตไปแล้ว ช่งหวินได้พบท่านโพธิธรรมเดินธุดงค์ผ่านมา ด้วยไม้เท้าที่แขวนด้วยรองเท้าข้างเดียวของท่าน ท่านช่งหวินคนนี้เป็นข้าราชการที่มีความสนิทสนม รู้จักท่านโพธิธรรมเป็นอย่างดี จึงร้องถามขึ้นว่า "ท่านพระอาจารย์จะไปไหน" ท่านโพธิธรรมจึงพูดขึ้นว่า "ฉันจะกลับไปอินเดียกลับไปปัลลวะบ้านเกิดของฉัน แต่ตอนนี้ให้เธอรีบกลับไปเมืองหลวงเถิด เพราะที่นั่นกำลังเกิดเหตุการณ์ใหญ่ เป็นเพราะฮ่องเต้องค์จักรพรรดิได้เสด็จสวรรคตแล้ว" ช่งหวินจึงถามท่านโพธิธรรมว่า "เมื่อท่านเร่งด่วนกลับไปปัลลวะแบบนี้ ใครจะเป็นผู้สืบต่อธรรมทายาทของท่านเล่า" ท่านโพธิธรรมจึงตอบไปว่า "ก็นับแต่นี้ไปอีกสี่สิบปีในวันข้างหน้าภิกษุรูปนั้นจักปรากฏตัว"

                   

เมื่อช่งหวินได้กลับไปยังเมืองหลวง ก็มีความตกตะลึง เมื่อทราบข่าวความจริงว่า ท่านโพธิธรรมได้เสียชีวิตมาเกือบสามเดือนแล้ว แต่ช่งหวินไม่เชื่อเพราะตนพึ่งพบเจอท่านโพธิธรรมเมื่อสองเดือนที่แล้ว จึงนำความนี้เข้าไปบอกยังในพระราชสำนัก พวกขุนนางและชาวบ้านต่างก็ไม่เชื่อคำพูดของช่งหวิน จึงได้พากันมาขุดหลุมฝังศพในสุสานเพื่อเปิดโลงศพออกดู จึงปรากฏความเป็นจริงขึ้นมาว่า ภายในหลุมฝังศพนั้นมีแต่โลงเปล่าๆ ศพของท่านโพธิธรรมได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย คงเหลือแต่รองเท้าข้างเดียว ที่ท่านโพธิธรรมทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าในโลงนั้น

การจากไปด้วยรองเท้าเพียงข้างเดียว เพื่อกลับสู่ปัลลวะแห่งชมพูทวีป เป็นการจากไปสู่ความเป็นนิรันดร บนเส้นทางอมตธรรม เพราะหลังจากนั้นมาอีกเกือบสี่ร้อยปี การส่งมอบบาตรและจีวรก็ได้ผ่านมาถึงสี่ห้าชั่วคน นับแต่ท่านโพธิธรรมได้เสียชีวิตไปแล้ว และด้วยกาลเวลาที่ผ่านมาถึงสองร้อยกว่าปีแล้ว บาตรจีวรและความเป็นผู้นำในการเผยแผ่ธรรม ได้ตกทอดมาถึงสังฆปรินายกองค์ที่หกแห่งนิกายเซน ที่ชื่อ เว่ยหล่าง ในขณะที่ท่านเว่ยหล่างได้เข้าอุปสมบทเป็นพระ อยู่ทางใต้ของแผ่นดินจีนแล้ว และทำหน้าที่สังฆปรินายกอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ในตำบลโซกาย แห่งเมืองชิวเจา ก็อยู่มาวันหนึ่งมีภิกษุรูปหนึ่งเป็นพระชาวเสฉวนชื่อ "ฟองบิน" ได้เดินทางมากราบคาราวะท่านเว่ยหล่าง

                   

 เมื่อทั้งคู่ได้สนทนากันจึงทราบได้ว่า ท่านฟองบินนี้ก่อนที่ท่านจะได้เข้ามาอุปสมบทเป็นพระ ท่านเคยเป็นพ่อค้าและเดินทางไปค้าขาย ที่เมืองปัลลวะทางอินเดียตอนใต้ ท่านฟองบินกล่าวว่า ท่านเคยเจอภิกษุรูปหนึ่งชื่อท่านโพธิธรรม โดยท่านโพธิธรรมได้แนะนำให้ท่าน กลับมายังจีนบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อบวช และท่านยังแนะนำให้มาหาท่านเว่ยหล่างเพื่อศึกษาเล่าเรียน และมาปฏิบัติอยู่ด้วยกับท่านที่วัดนี้ โดยท่านโพธิธรรมได้กล่าวกับฟองบินว่า หัวใจแห่งธรรมอันถูกต้องพร้อมทั้งบาตรและจีวร อันท่านโพธิธรรมเองได้รับมอบต่อๆกันมาจากพระมหากัสสัปปะเถระนั้น บัดนี้ได้ถูกส่งมอบสืบทอดมาถึงท่านเว่ยหล่างแล้ว ท่านฟองบินจึงได้กล่าวกับท่านเว่ยหล่างว่า ขอให้ท่านได้เห็นบาตรจีวรและธรรมอันถูกต้องด้วยเถิด


ด้วยคำพูดของภิกษุฟองบิน ภิกษุชาวจีนแห่งเมืองเสฉวน ที่เคยค้าขายอยู่ที่เมืองปัลลวะและเจอท่านโพธิธรรมที่นั่น ความจริงก็คือความเป็นจริงอยู่อย่างนั้น นับแต่ที่ท่านโพธิธรรมได้เสียชีวิตไป เมื่อท่านโพธิธรรมพึ่งได้เสียชีวิตใหม่ๆ หลังจากนั้นสามเดือน ก็ยังมีคนเคยเห็นท่านเดินทางไปกับหมู่คณะ และท่านก็ถือไม้เท้าที่แขวนด้วยรองเท้าข้างเดียว และหลังจากนั้นมาอีกเกือบสามร้อยปี ภิกษุฟองบินก็ไปเจอท่านที่เมืองปัลลวะแห่งอินเดียตอนใต้ และท่านโพธิธรรมผู้ซึ่งตายไปนานแล้วแต่ยังมีชีวิตอยู่ ยังได้แนะนำให้ภิกษุฟองบินกลับมารับธรรม รับการถ่ายทอดวิถีธรรมอันคือธรรมชาติ จากท่านเว่ยหล่างผู้ซึ่งเป็นสังฆปรินายกในขณะนั้น

เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันจึงเป็นไปได้ กาลเวลาก็ทำหน้าที่เพียง เดินไปข้างหน้า โดยไม่รั้งรอใครอะไรทั้งนั้น แต่ความเป็นอมตธรรมนั้น มันอยู่นอกเหนือกาลเวลา ท่านโพธิธรรมมิได้จากไปไหน รองเท้าในโลงศพของท่านข้างนั้นมันยังอยู่ มันรอท่านโพธิธรรม เพื่อให้ท่านกลับมาใส่มัน ให้ครบทั้งสองข้าง ในกาลเวลาเหมาะสม ท่านโพธิธรรม ยังคงอยู่



   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   4 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: บทที่ 9 พระมหากัสสปะ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2014, 02:30:47 pm »


หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 9 พระมหากัสสปะ

ปิปผลิมาณพ เกิดในตระกูลกัสสปะเป็นบุตรชายของกปิลพราหมณ์ แต่คนทั่วไปมักเรียกท่านว่า "กัสสปะ" ตามวงศ์ตระกูลของท่าน เมื่อท่านอายุได้ 20 ปี ได้ทำการอาวาหมงคลกับนางภัททกาปิลานี ซึ่งเป็นสาวงามวัย 16 ปี นางเป็นกุลธิดาของพราหมณ์ตระกูลโกลิยะ แห่งเมืองสาคลนคร แคว้นมคธ ต่อมาทั้งคู่เกิดความเบื่อหน่ายในการครองเรือนใช้ชีวิตคู่ จึงพากันสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ญาติและบริวาร ทั้งคู่จึงพากันออกบวชตามทิฐิของตนเพื่อแสวงหาโมกขธรรม เมื่อต่างคนต่างโกนผมและนุ่งห่มผ้าย้อมฝาดแล้วและตระเตรียมบริขาร จึงชวนพากันเดินออกจากหมู่บ้านไป

 เมื่อทั้งคู่มาถึงทางสามแพร่งจึงได้ตกลงแยกย้ายกันไป ปิปผลิไปทางขวาและนางภัททกาปิลานีไปทางซ้าย ในขณะนั้นพระพุทธองค์ยังไม่ทรงอนุญาต ให้สตรีเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาได้ นางจึงไปขออยู่ในสำนักปริพาชก ต่อมาเมื่อพระนางปชาโคตมีได้บวชแล้ว นางจึงได้ตัดสินใจเข้ามาขอบรรพชาอุปสมบท ในสำนักขององค์พระศาสดา ภายหลังจากนั้นนางได้ศึกษาธรรมกรรมฐานและเจริญวิปัสสนา ก็ได้บรรลุเป็นอรหัตผล



ส่วนปิปผลิเดินทางไปจนได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ทรงเสด็จประทับที่ภายใต้ร่มไทร ในหนทางระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทา เมื่อปิปผลิได้เห็นพระพุทธองค์จึงเกิดความศรัทธาเลื่อมใส พระพุทธองค์จึงได้แสดงธรรมสั่งสอน และเรียกปิปผลิเข้ามาอุปสมบทไปในคราวเดียวกัน ด้วยทรงพระราชทาน "โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา" 3 ข้อ

ข้อ 1 กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เธอควรตั้งความละอายและความเกรงใจไว้ ในภิกษุทั้งที่เป็นพระเถระ พระผู้มีพรรษาปานกลาง และพระนวกะผู้บวชใหม่
ข้อ 2 กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เธอควรตั้งใจฟังธรรมบทใดบทหนึ่งด้วยความเคารพ และพิจารณาจดจำทำความเข้าใจเนื้อความแห่งธรรมบทนั้น
ข้อ 3 กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เธอจะไม่ละสติไปในกาย

เมื่อท่านกัสสปะได้รับโอวาท และบวชเป็นพระภิกษุต่อหน้าพระพุทธองค์แล้ว จึงได้หลีกเร้นทำความเพียร ก็ด้วยกุศลกรรมอันคือจริตของภิกษุกัสสปะ ที่เคยสั่งสมมาในการพิจารณาถึง ความไม่เที่ยงแห่งกาย ความไม่ยั่งยืนอยู่แห่งความเป็นขันธ์ธาตุ แม้กระทั่งในชาติสุดท้ายนี้เอง ท่านก็มีความเบื่อหน่ายในกายในสังขารของท่าน ก็เป็นเหตุให้ท่านได้ทิ้งการครองเรือนเพื่อมาบวช เพราะท่านเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตคู่ จนถึงกับทำให้ท่านนอนหันหลังให้กับภรรยาของตนทุกคืน ไม่เคยมีความยุ่งเกี่ยวจับเนื้อต้องตัวภรรยาในฐานะที่ตนเองเป็นสามีเลย ด้วยจริตนี้ พระพุทธองค์จึงทรงให้โอวาทเป็นธรรม เพื่อให้ภิกษุกัสสปะนำมาพิจารณา คือ ให้พึงมีสติไปในกาย

ก็อันว่าด้วยกายนี้ เป็นเพียงการประกอบเข้าแห่งขันธ์ธาตุ คือ ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พระพุทธองค์ทรงให้ภิกษุกัสสปะ พึงมีธรรมชาติแห่งการระลึกรู้อยู่อย่างนั้นว่า แท้จริงความเป็นขันธ์ทั้งห้า มันย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้ว ขันธ์ทั้งห้าที่เกิดขึ้นย่อมตั้งมั่นเป็นตัวเป็นตนอยู่ได้ไม่นาน มันย่อมแปรปรวนไป มันย่อมมีความไม่เที่ยงแท้แน่นอนในความที่เข้าไปยึดเป็นตัวเป็นตน แท้จริงขันธ์ทั้งห้านี้ย่อมไม่มีตัวตน ตามธรรมชาติแห่งความเป็นจริง มันย่อมไม่เคยมีขันธ์ทั้งห้าเกิดขึ้นมาก่อน ธรรมชาติมันย่อมมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น ตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว

                         

เมื่อภิกษุกัสสปะได้น้อมนำธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอน และได้เห็นตามความเป็นจริงเข้าใจอย่างตระหนักชัดแจ้งแล้วว่า แท้จริงกายนี้ก็ได้แต่เพียงอาศัยเพื่อดำรงชีวิตอยู่ แท้จริงการที่เรายังเห็นว่า กายนี้คือเรา เพราะเราหลงไปเห็นว่ามันมีความเกิดขึ้นแห่งขันธ์ธาตุทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และหลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นสำคัญผิดว่า นี่คือเรา นี่คือกายเรา นี่คือความเป็นเรา เมื่อภิกษุกัสสปะเข้าใจตรงต่อความเป็นจริงแล้วว่า มันเป็นเพียงปรากฏการณ์เกิดขึ้นแห่งกายที่หลงเข้าไปยึด แท้จริงขันธ์ทั้งห้าหามีความเป็นตัวตนไม่ แท้จริงขันธ์ทั้งห้าย่อมเป็นความว่างเปล่า ตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น แท้จริงธรรมชาติมันคงมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน ตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว เมื่อภิกษุกัสสปะได้ตระหนักอย่างชัดแจ้ง และได้รู้แจ้งในธรรมชาติแล้ว ท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในวันที่แปด นับแต่ท่านได้เข้ามาบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา


เมื่อภิกษุกัสสปะได้บรรลุธรรมแล้ว จึงได้มีความขวนขวายสั่งสอนธรรมแก่ภิกษุและพุทธบริษัทอื่นๆ จนกระทั่งท่านเป็นพระอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ เข้ามาปฏิบัติธรรมด้วยเป็นจำนวนมาก และภิกษุกัสสปะนี้ท่านมีศรัทธา ที่จะรักษาประพฤติข้อวัตรแห่งธุดงค์ ท่านจึงตั้งใจสมาทานไว้ 3 ประการอย่างเคร่งครัด คือ

1. การถือเอาการนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นข้อวัตร
2. การถือเอาการบิณฑบาตเป็นข้อวัตร
3. การถือเอาการอยู่ป่าเป็นข้อวัตร

การถือข้อวัตรเหล่านี้ด้วยความเคร่งครัด เพื่อที่จะให้เป็นแบบอย่างแก่ภิกษุรุ่นหลังๆ ตามเจตนารมณ์ของภิกษุกัสสปะท่าน พระพุทธองค์จึงตรัสสรรเสริญและยกย่องท่าน ให้เป็นภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางเป็นภิกษุผู้ทรงธุดงควัตร และต่อมาพุทธบริษัททั้งหลายได้เรียกชื่อท่านว่า "พระมหากัสสปะ"

ครั้งหนึ่งพระมหากัสสปะได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ และพระองค์มีความประสงค์ที่จะทรงทอดพระวรกาย เพื่อบรรทมในท่าสีหไสยาสน์ พระมหากัสสปะจึงได้ถอดผ้าจีวรสังฆาฏิของตนออก แล้วพับเป็นสี่ชั้นเพื่อให้พระพุทธองค์ทรงสีหไสยาสน์ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทอดพระวรกายแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า "กัสสปะ ผ้าสังฆาฏิของเธอมีความนุ่มดี" พระมหากัสสปะจึงพูดว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์จงโปรดเอาไปใช้สอยเถิด พระเจ้าข้า" พระพุทธองค์จึงทรงถวายผ้าสังฆาฏิของพระองค์ ประทานให้แก่พระมหากัสสปะไว้ใช้สอยเช่นกัน ก็ผ้าสังฆาฏิผืนนี้พระมหากัสสปะได้เอามาใช้สอย และไม่เคยเปลี่ยนสังฆาฏิอีกเลย ครั้งเมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพาน บริขารทั้งหลายของพระพุทธองค์นั้น ถูกเก็บรักษาไว้ด้วยพระเถระ มีผู้กล่าวกันต่อมาว่า พระมหากัสสปะได้เอาบาตรของพระพุทธองค์มาเก็บเอาไว้ด้วย

ต่อมาพระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน และหลังจากถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว ท่านพระมหากัสสปะได้ชักชวนพระเถระผู้เป็นพระอรหันต์ ประชุมกันทำปฐมสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัย ตั้งไว้เป็นหมวดหมู่ เพื่อเป็นตัวแทนองค์พระบรมศาสดาปกครองหมู่สงฆ์ต่อไป

                 

สาระสำคัญของปฐมสังคายนา
1. พระมหากัสสปะเถระ เป็นประธาน มีหน้าที่ซักถามเกี่ยวกับพระธรรมวินัย 2. พระอุบาลี เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับขอบัญญัติพระวินัย
3. พระอานนท์ เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับพระสูตร
4. กระทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา แห่งภูเขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์
5. พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นองค์ศาสนูปถัมภก
6. กระทำอยู่ ๗ เดือน จึงสำเร็จ

พระมหากัสสปะเถระ เมื่อทำหน้าที่เป็นประธาน
ในการทำปฐมสังคายนาแล้ว ได้พักอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ดำรงอยู่ถึง ๑๒๐ ปี
ก่อนที่ท่านจะนิพพาน ๑ วัน ท่านได้ตรวจดูอายุสังขารของท่านแล้ว ทราบว่าจะอยู่ได้อีกเพียงวันเดียวเท่านั้น ท่านจึงประชุมบรรดาภิกษุผู้เป็นศิษย์ของท่าน แล้วให้โอวาทเป็นครั้งสุดท้าย สั่งสอนภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนมิให้เสียใจกับการจากไปของท่าน ให้พยายามทำความเพียรและอย่าประมาท
แล้วพระเถระก็เข้าไปถวายพระพรลาพระเจ้าอชาตศัตรู จากนั้นท่านได้พาหมู่ภิกษุไปยังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพต แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ และให้โอวาทแก่พุทธบริษัทแล้ว อธิษฐานจิตขอให้ภูเขาทั้งสามลูกมารวมเป็นลูกเดียวกัน ซึ่งในภูเขาทั้งสามลูกนั้น มีภูเขาเวภารบรรพตสถานที่ทำปฐมสังคายนารวมอยู่ด้วย แล้วท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ณ ที่นั้น
ท่านยังอธิษฐานขอให้สรีระของท่านยังคงสภาพเดิมไม่สูญสลาย จนกระทั่งพระศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย
ซึ่งพระองค์จะพาหมู่ภิกษุสงฆ์มายังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพตแล้ว ยกสรีระของพระเถระวางบนพระหัตถ์ขวาชูขึ้น ประกาศสรรเสริญคุณของพระเถระแล้ว เตโชธาตุก็จะเกิดขึ้นเผาสรีระของท่าน บนฝ่าพระหัตถ์ของพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้านั้น

หลังจากที่พระมหากัสสปะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานแล้ว สังฆาฏิและบาตรของพระพุทธองค์ที่พระมหากัสสปะได้เก็บไว้นั้น ก็ได้ถูกส่งต่อสืบทอดกันมาในหมู่คณาจารย์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระมหากัสสปะท่าน การครอบครองบาตรและจีวร เป็นการได้ครองด้วยการสืบทอดธรรมอันเป็นธรรมชาติ ด้วยการชี้ตรงผ่านสู่ใจต่อใจ เป็นการถ่ายทอดธรรมให้แก่กันเป็นรุ่นๆ มิให้ขาดสายไป



   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   5 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน