อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล

คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง (นิสัยเถื่อน)‏

<< < (5/7) > >>

lek:
มืดมา  มืดไป (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)

                วิธีที่จะดับทุกข์  มีพร้อมอยู่แล้ว 
ยังขาดการกระทำจริงอยู่อย่างเดียว

                ไม่มีกำลังของใครจะมาช่วยทำลายกิเลสของเราได้ 
แม้จะมีฤทธิ์เดช  บุญ  วาสนา  บรรดาศักดิ์เท่าไรๆ 
ก็มาทำอะไรกับกิเลสไม่ได้

                จะต้องใช้สติปัญญาของตัวเราเท่านั้น  จึงจะทำลายได้ 
มันจึงน่าสนใจ  น่าใฝ่หาการปฏิบัติจริงๆ  กันเหลือเกิน

                ถ้าไม่ทำแล้วก็เป็นการหมดราคม  ของการเกิดมาเป็นมนุษย์
ได้พบพระพุทธศาสนา  เรียกว่ามืดมา  มืดไป

                การจะละอะไรจากจิตใจได้  ก็พยายามกันเสียให้เต็มที่
อย่าได้มีการประมาทเพลิดเพลินไปเลย

                ทุกเวลานาทีของชีวิตมันเป็นของไม่เที่ยง 
อย่านึกจะอยู่เอาสบายๆ  กันนัก

                ความสบายมันเป็นของลวงหลอก  ทำให้หลง

                เรื่องติดสุขนี้เป็นเรื่องมายาทำให้แย่

                พยายามทำให้ทันก่อนที่ความเจ็บ  ความตายมันมาปล้นชีวิตไป

                ควรต้องให้รุ้เรื่องเท็จจริงภายในเสียก่อน  ก่อนที่ลมหายใจจะหมดไป

                อย่าไปผลัดเพี้ยนเลย  ถ้าผลัดเพี้ยนต่อไป 
ก็คงจะมีเพียงแต่คำว่า  “เสียใจ”  หลงเหลืออยู่
ในท่ามกลางความเสียดายของตัวเองเพียงเท่านั้น!

ขอบพระคุณ คุณนริศรา

lek:
เทวดาในเมืองมนุษย์ (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)‏

                ธรรมดาสัตว์ที่ไปเกิดในนรกก็มีแต่ไฟ  มีแต่ทุกข์ 
มันไม่สามารถที่จะพิจารณาให้เห็นทุกข์ได้

                ทั้งๆ ที่อยู่ในกองทุกข์  มันก็ร้องแต่ว่าทุกข์ 
แต่ว่ามันก็ไม่มีสติปัญญาที่จะไปดับทุกข์ได้ 
เพราะว่ามันเต็มปรี่ไปด้วยทุกข์ทั้งนั้น

                ส่วนเหล่าเทวาที่ได้ไปเกิดในชั้นเทพ  ก็มีแต่ความสนุกสนาน 
มีกามคุณเป็นที่เป็นทิพย์  ก็พากันมัวเมาเพลิดเพลินไป 
เลยไม่มีโอกาสที่จะเกิดความเข้าใจไปรู้เรื่องของอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตาได้ 
นอกเสียจากเทวดาพวกที่เป็นพระอริยบุคคลเท่านั้นจึงจะรู้ได้

                ดูพวกเทวดาในเมืองมนุษย์เป็นตัววอย่างบ้างก็ได้ 
หนุ่มสาวที่กำลังอยู่ในวัยสวยวัยงาม  ปราดเปรียวเพรียวลม 
ถ้าจะไปบอกว่า  ความสวย  ความงามของเขานั้น  ไม่เที่ยง  เป็นทุกข์
และก็ไม่ใช่ตัวตน  พวกเขาก็คงไม่ยอมรู้ประสีประสาด้วยเหมือนกัน

                มนุษย์ธรรมดานี่ยังหลงใหลอยู่ในความสวยงาม 
ก็ล้วนเห่อเหิมเพิ่มเชื้อ  เชื่อมั่นอยู่กับตัวตนกันอยุ่ทั้งนั้น 
นี่ก็หลงกันอยู่เท่าไหร่แล้ว

                ความหลงเช่นนี้มันเป็นธรรมดากันไปหมดสิ้นแล้ว 
มีแต่จะหลงตามๆ  กันหนักเข้า

                แถมยังว่าโลกเจริญ  มันก็เจริญไปด้วยความหลง 
ไม่ใช่เจริญด้วยความรู้ชัด  ที่จะมองเห็นความเสื่อมสิ้น 
ไม่ค่อยมีใครจะรู้ได้

                จะพากันมองไปทางวัตถุด้วยกันทั้งนั้น 
หรือไม่ก็เป็นทางกามคุณทั้งหมด  หลงใหล  ใฝ่ฝัน 
มัวเมากันไปแต่ภายนอกตัวของตัวก็ไม่เคยจะเหลียวมามอง

                ไม่มีกำลังพอจะเข้าใจว่ารูปไม่เที่ยงเป็นอย่างไร 
เวทนาไม่เที่ยงอย่างไร  แยกแยะไม่ได้  อ่อนนิ่มกันไปหมด

                เพราะว่ามีแต่หลงมัวเมา  เพลิดเพลินไปตามอารมณ์
อยู่ท่ามกลางความหลง  เกินกว่าจะเชื่อความจริง

                อยู่ด้วยความหลง  ดำรงชีวิตด้วยความหลง 
ตายไปกับความหลง  แม้จะเกิดใหม่อีกก็ยังคงมีความหลงอยู่เหมือนเดิม 
คงจะต้องวนเวียนซ้ำๆ  ซากๆ  อยู่ในวัฎสงสาร 
นานจนกว่าจะยอมรู้ความจริงและช่วยตนได้ 
ซึ่งไม่รู้ว่าจะยาวนานอีกเพียงใด

                ดูเพียงเผินๆ  แล้ว  เทวดาน่าจะสุข 
แต่พระพุทธองค์ท่านกล่าวว่า  “สุขนั้นไม่ยั่งยืนจะเวียนไปสู่ความทุกข์” 
ดังนั้นถ้าจะบอกว่า  เทวดานั้นก็คือ  สัตว์นรก
ที่ถูกปลดปล่อยมาชั่วขณะ  ก็คงไม่ผิด

                และถ้าตามดูให้ดีก็จะเห็นว่า  เทวดาในเมืองมนุษย์นี้ 
ไม่ช้าเกินรอ  ก็จะพากันกลับตกลงไปในนรกโลกันต์
ให้เห็นนั้นมีอยู่มากมายไม่น้อยเลย

                การปฏิบัติที่เป็นไปให้รู้จักทุกข์ในอริยสัจจ์ 
เพื่อความบริสุทธิ์เท่านั้นที่พอจะช่วยได้!

ขอบพระคุณ คุณนริศรา
 

lek:
ของศักดิ์สิทธิ์(คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)

                คนส่วนมากชอบเรื่องของศักดิ์สิทธิ์  ของขลัง 
เพราะมันเป็นเรื่องของลาภสักการะ

                สมัยนี้จึงมีระบาดทั่วไปกันหมด

                ถ้าใครเชื่ออย่างนี้ก็ไม่เรียกว่าได้เข้ามาอยู่ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า 
เป็นคนนอกธรรมวินัย

                เพียงความเชื่ออย่างนี้เท่านั้น  ก็ทำให้ไตรสรณาคมน์เศร้าหมองแล้ว

                ถ้าใครเชื่ออยู่ถึงจะมาบวชเรียน  มาสวมเครื่องแบบชาวพุทธ 
ก็คงเป็นได้เฉพาะเครื่องแบบ

                แต่ความเชื่อของเขาเป็นความเชื่ออย่างพวกชาวผี 
เป็นชาวปีศาจที่จะคอยหลอกหลอนอยู่  ไม่มีธรรมวินัย  เชื่อเรื่อยไป

                อยู่วัดไปจนตาย  ก็อยู่ไปอย่างนั้นเอง  เหมือนกับแมว  ไก่  มด 
ปลวก  มันก็อยู่กัน  แต่มันก็ไม่รุ้อะไร  ไม่เข้าใจธรรมวินัยคำสอนอะไร

                ทำไปทำมาคนพวกนี้  เสร็จแล้วก็ไปตอดอยู่กับเวทย์มนต์
ติดอยู่กับภูตผีปีศาจอยู่นั่นเอง  ไม่ทำศีลให้บริสุทธิ์ขึ้นมาได้ โสมมจมโคลน

                จะเชื่อคำสอนอยู่บ้างก็เชื่อนิดๆ  หน่อยๆ 
ไมได้ถูกช่องร่องรอยคำสอนแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา

                ไม่ต่างกับพวกหน้าไหว้หลังหลอก  เดี๋ยวก็เชื่อพระเดี๋ยวก็เชื่อผี

                จิตใจอ่อนแอกลับกลอกหลอกลวง  แล้วจะได้ประโยชน์อะไร

                การที่จะเข้ามาศึกษาอบรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น 
ก็ควรจะทำความเห็นได้ถูกตรงและทำศีลให้บริสุทธิ์เป็นพื้นฐานขึ้นมาเสียก่อน 
นั่นแหละจึงจะพ้นอบายภูมิได้

                ถ้ายิ่งปฏิบัตินานๆ  แล้ว  ยิ่งหมักหมมหนักเข้า 
โลภก็จัด  โกรธก็จัด  หลงก็จัด  มันก็แย่!

                จิตใจมัวคล้อยไปในการหวังพึ่งแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 
ก็จึงไม่ยอมที่จะคิดพึ่งตัวเอง

                ถ้าไม่เชื่อว่าทุกคนมีกรรมเป็นของของตน
มีกรรมเป็นมรดกตกทอดมาจากการกระทำของตน 
ความเชื่ออย่างนั้นมันก็ปีนเกลียวคำสอนของพระพุทธเจ้า

                สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวิเศษที่ไหนก็จะมาทำลายล้างกรรมของตนไปไม่ได้

                ทางถูก ทางเจริญที่เราควรชอบ  ควรเชื่อ  คือ  พยายามละชั่ว 
หมั่นทำความดี  และพยายาฝึกใจให้บริสุทธิ์  สงบ  ตามแนวทางพระพุทธศาสนา

ขอบพระคุณ คุณนริศรา
 

lek:
ศีล (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)

             ทุศีลนี่พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องไปอบายภูมิ

                ถ้าว่าเรากลัวทุกข์โทษ  มีการทนทุกข์ทรมานเพราะความทุศีล 
เราก็ต้องมีการสำรวมระวังให้มากขึ้น

                ความเสียหายที่ต้องตกนรก  ใครก็ช่วยไม่ได้ 
มันเป็นความทุกข์ทรมานของตัวเองแท้ๆ

                ที่จะไม่ไปสู่อบายภูมิ  ก็เพราะมีศีลบริสุทธิ์

                แม้นว่าจะมีราคะ  โทรสะ  โมหะอยู่ 
แต่ว่าศีลบริสุทธิ์ก็ยังปิดอบายภูมิได้  ไม่ต้องไปรับทุกข์ยาก 
ทุกข์แล้วทุกข์อีกที่ใครก็ช่วยไม่ได้

                การลูบคลำศีลเป็นเรื่องต้องห้าม

                เรื่องความเชื่อของศักดิ์สิทธิ์มากมาย  การเสก  เป่า 
และการเล่นอบายมุข  เป็นการเชื่อที่อนอกรีตนอกรอย
เป็นไปตามประสาโลกๆ  ถ้าจะมาปฏิบัติกันจริงๆ 
แล้วก็ต้องทิ้งทั้งหมด  เรื่องงมงายอย่างนั้น

                “คราเกิดเคระห์ภัยเป็นไปหมด  พวกแม่มดว่าวุ่นถูกคุณผี

                โหรก็ว่าเทวดาเข้าราวี  เหล่าเมธีบอกว่ากรรมที่ทำมา!

             ถ้าเชื่อเรื่องกรรมก็เป็นเรื่องของพุทธศาสนา 
                 เชื่อการทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว

                แต่ก็ยังเป็นขั้นต่ำอยุ่เหมือนกัน  ไม่ถึงขั้นสูงอะไร

                กรรมที่เป็นขั้นสูงนั้น  เป็นการเจริญมรรค  คือศีล  สมาธิ  ปัญญา!

 
ขอบพระคุณ คุณนริศรา

lek:
ทวนกระแส(คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)

                การยึดถือตัวตนมันอยู่ในส่วนลึก  เราต้องทวนกระแสเข้าไป 
ที่มันบอกว่าดี  จะต้องกลับเป็นไม่ดีทั้งหมด  อย่าไปตามใจมันเลย 
ถ้าผิดไปจากนี้แล้วก็คิดดูเอาก็แล้วกัน

                เมื่อกระทบกระทั่ง  ตัวตนมันก็ปรากฏออกมาเรื่อย 
เวลาที่มันยังไม่ก่อเกิดอะไรขึ้นมารุนแรง  มันก็ยังว่างอยู่ 
มันยังเยือกเย็นอยู่ได้ก็เหมือนกับว่า  ว่างจากตัวตน

                มันอาศัยกระทบผัสสะ  แล้วมันก็ก่อเกิดเป็นตัวตนขึ้นมา
เกิดขึ้นมาแล้วก็ดิ้นรนร้อนเผ่า เ ผาอะไรต่ออะไรวินาศไป  ซ้ำๆ  ซากๆ

                ถ้าไม่คิดแก้ไขเรื่องนี้แล้ว  ไม่มีการที่จะพ้นจากทุกข์ออกไปได้

                ความเหนียวแน่นของการยึดถือตัวตน  มันมีฤทธิ์เดชมากมาย 
มายาของความมีตัวตนมันลึกซึ้งอยู่ในตัวเอง 
และมีเล่ห์กลมารยาสาไถยอยู่มากมายเหลือเกิน

                ตัวกูนี้สำคัญนัก  มีโลภจัด มีโกรธจัด  มีหลงจัด  ก็เพราะตัวกูนี้

                ตัวหาเรื่อง  ตัวอวดดี  อวดเก่ง  ถ้าไม่คอยสับสนลงไป  ก็ยากที่ใครจะมาสับได้

                ต้องอาศัยธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำมาคอยสับทำลายมันด้วยตนเอง 
                ให้มันยับย่อยให้ได้

                ให้กำลังมันมามากแล้ว  ยิ่งให้กำลังมัน  มันก็เป็นยักษ์เป็นมารไปใหญ่โต

                คราวนี้ถ้ามันจะเพ่ง  จะปรุงเอาอะไร  เราก็จะต้องคอยตัดรอนตัดกำลังมันเรื่อยไป

                ปฏิบัติธรรมขัดใจตัวตน  กินอยู่อย่างต่ำ  มุ่งกระทำอย่างสูง 
ตามแบบของผู้ปฏิบัติธรรมแท้ๆ  ไม่ตามใจตัว  ทำอะไรก็ต้องรู้ตัว  รู้ตน 
มีสติตามรักษา  มีปัญญาตามรับรู้

                ทวนกระแสกิเลสไป  เสียลสะตัวตนไป  ไม่ต้องปรารถนาเอาอะไร 
ให้กลัดกลุ้มใจ  ทำงานเพื่อหน้าที่ของชีวิตทำเพื่อเกื้อกูลเพื่อนร่วมทุกข์ 
ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น  ทำงานเพื่อให้รู้จักปลดปล่อยตัวเองให้เป็น

 

หัดกลัวไว้บ้าง

                การไถ่ถอนอุปาทาน  ทียึดมั่นถือมั่น  มีตัวเรา  ตัวเขา 
ของเรา  ของเขา  ต้องทำกันด้วยการใช้สติปัญญาจริงๆ 
มิฉะนั้นมันจะคุ้นเคยอยู่อย่างเดิม  ไม่เปลี่ยนนิสัยเดิมออกไปได้

                การปฏิบัติก็ยังป้วนเปี้ยน  วนเวียนอยู่ในกองทุกข์กองไฟนั่นเอง 
ค่อยจะกลัวกันเลย  กลับกล้าไปเสียด้วยซ้ำ

                ต้องสังวรระวังจิตใจด้วยการใช้สติปัญญา  พอมันคุ้นเคยมาทางนี้ได้ 
มันก็ค่อยเห็นโทษ  แม้พอจะผิดพลาดไปมันก็เห็นโทษได้เร็ว 
เช่นเคย  สังวรวาจา  เป็นคนพูดน้อย  มัธยัสถ์คำพูด ถ้าไปเผลอไผลพูดมากเข้า 
ก็จะรู้สึกตัวว่า  “เราพูดไม่เป็นการเหมาะสม  ไม่เป็นการสมควรเลย”

                ต้องคอยพิจารณาตัวเองอยู่  ทำตัวเองให้มีธุระน้อยที่สุด
ศีลจึงจะค่อยบริสุทธิ์  ผุดผ่องขึ้นมาได้  พร้อมทั้งกายวาจาใจ 
สติปัญญาจะได้มีโอกาสพิจารณาตัวเอง

                อะไรมันก็สกปรกไปหมดตั้งแต่ต้นแล้ว

                เมื่อเป็นอย่างนี้  จะให้ใครจะมาชำระสะสางให้  ฟอกให้ 
ตัวเองต้องใช้สติปัญญา  ต้องใช้ธรรมะเป็นเครื่องซักฟอกตัวเอง

                การเจริญวิปัสสนา  ถ้าไม่ได้ทำไปเพื่อให้รู้เรื่องทุกข์โทษของกิเลส 
เพื่อทำลายกิเลส  จะมุ่งทำให้ไปรู้ไปเห็นอะไรกัน  จะทำให้เป็นคนวิเศษประเภทไหน

                ขอให้ผู้ปฏิบัติพิจารณาดูเอาเอง  และมีการสนใจในเรื่องทุกข์นี้
ให้มากเป็นพิเศษ  อยู่ในทุกๆ  ขณะจิตเถิด

ขอบพระคุณ คุณนริศรา

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version