ผู้เขียน หัวข้อ: ชัมบาลา : บทที่ ๑๒ ค้นหาอำนาจวิเศษ  (อ่าน 1984 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ชัมบาลา : บทที่ ๑๒ ค้นหาอำนาจวิเศษ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2011, 04:22:53 pm »


บทที่ ๑๒ ค้นหาอำนาจวิเศษ

“สัมผัสรับรู้ใดๆก็ตาม อาจเชื่อมโยงเราเข้ากับความเป็นจริง
ได้อย่างถูกต้องและเต็มเปี่ยม
สิ่งที่เราแลเห็นไม่จำเป็นต้องงดงามเป็นพิเศษ
แต่เราก็อาจชื่นชมในสรรพสิ่งใดๆ ซึ่งดำรงอยู่ ด้วยว่ามีหลักการของอำนาจวิเศษ
มีคุณสมบัติอันมีชีวิตชีวาแฝงอยู่ในทุกสิ่ง
มีบางสิ่งบางอย่างอันมีชีวิต มีบางสิ่งบางอย่างที่จริงยิ่งดำรงอยู่ในทุกๆสิ่ง”


......ในสังคมแห่งศตวรรษที่ยี่สิบ การแลเห็นคุณค่าของความเรียบง่ายเกือบจะสูญสิ้นไป ตั้งแต่ลอนดอนจนถึงโตเกียวเต็มไปด้วยปัญหาในการพยายามที่จะสร้างความสุขความสบายขึ้นมาจากความเร็วและความรีบเร่ง โลกได้กลายเป็นจักรกลไปจนถึงจุดที่คุณแทบจะไม่ต้องคิดอะไรเลย คุณเพียงแต่กดปุ่มแล้วคอมพิวเตอร์ก็ให้คำตอบออกมา คุณไม่จำเป็นต้องเรียนคิดเลข คุณเพียงแต่กดปุ่ม แล้วเครื่องก็คิดคำนวณให้ การแบ่งซอยออกเป็นเฉพาะด้านเล็กๆ ได้ทวีความนิยมขึ้น เพราะผู้คนพากันคิดถึงเรื่องประสิทธิภาพมากยิ่งกว่าความชื่นชม ทำไมจึงต้องมาผูกเนคไท ถ้าหากว่าจุดมุ่งหมายของการสวมใส่เสื้อผ้าก็เพียงแต่เพื่อห่อหุ้มร่างกาย ถ้าหากว่าเหตุผลในการกินอาหารเป็นเพียงแต่เติมกระเพาะให้เต็มเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย ดังนั้นเหตุใดจึงต้องเพียรเสาระหาเนื้อที่ดีที่สุด เนยและผักที่ดีที่สุด

......แต่ทว่าความเป็นจริงของโลกนี้มีอะไรที่มากกว่าแบบแผนชีวิตซึ่งโลก ในศตวรรษที่ยี่สิบได้ครอบงำไว้ ความสบายกายเป็นของเกลื่อนกลาด ความเบิกบานกลับลดน้อยลง และความสุขได้กลายเป็นกลไกไป จุดมุ่งหมายของความเป็นนักรบก็คือการเชื่อมโยงเข้ากับปัจจุบันขณะของความจริง เพื่อคุณจะสามารถก้าวต่อไปข้างหน้าโดยไม่ทำลายความเรียบง่าย ไม่ทำลายสายสัมพันธ์กับโลกนี้ลง ในบทที่แล้ว เราได้พูดกันถึงความสำคัญของปัจจุบันขณะในฐานะที่เป็นทางที่จะเชื่อมโยงปรีชาญาณของอดีตเข้ากับความท้าทายของปัจจุบัน ในบทนี้เรากำลังจะพูดคุยกันว่าทำอย่างไรจึงจะค้นพบรากฐานของปัจจุบันขณะ ในการที่จะค้นพบสิ่งนี้ได้ เราจำเป็นต้องมองย้อนกลับไป กลับไปสู่ที่ที่คุณจากมา กลับไปสู่สภาวะดั้งเดิม ในกรณีนี้การมองกลับไปมิใช่การมองย้อนกลับไปในอดีต กลับไปสู่กาลเวลานับพันปีก่อน หากว่าเป็นการมองย้อนกลับไปในจิตใจของตัวคุณเอง ก่อนที่ประวัติศาสตร์จะเริ่มต้นขึ้น ก่อนที่ความคิดใดๆ จะอุบัติขึ้น เมื่อคุณสามารถสัมผัสถึงรากฐานแรกเริ่มนี้ได้ เมื่อนั้นคุณก็จะไม่สับสนด้วยมายาภาพของอดีตและอนาคตอีก คุณย่อมสามารถดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องในปัจจุบันขณะ

......สภาวะแรกเริ่มของการดำรงอยู่นี้ อาจเปรียบเหมือนกระจกเงาแห่งปฐมกาลหรือกระจกเงาแห่งจักรวาล คำว่าปฐมกาลนี้ เราหมายถึงสภาวะที่ปราศจากเงื่อนไข ไม่ถูกกระทบด้วยเหตุและปัจจัยใดๆ สิ่งที่เป็นปฐมกาลนี้ย่อมไม่ตอบรับหรือขัดแย้งกับสถานการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ปัจจัยเงื่อนไขใดๆ ย่อมสืบเนื่องมาจากสิ่งที่ปราศจากเงื่อนไขทั้งสิ้น ถ้าจะพูดไปก็คือสิ่งใดๆ ที่ถูกสร้างขึ้น ย่อมอุบัติขึ้นมาจากสิ่งที่ยังมิไดสร้าง ถ้าสิ่งใดก็ตามถูกจำกัดด้วยเงื่อนไข ก็เป็นเพราะว่ามันได้ถูกสร้างขึ้นก่อรูปก่อร่างขึ้น ในภาษาอังกฤษ เราพูดกันถึงการก่อร่างทางความคิดหรือแผนการ หรือเราอาจกล่าวว่า "เราจะก่อร่างองค์การของเราขึ้นได้อย่างไร" หรือเราอาจพูดถึงการก่อตัวของเมฆ ทว่าตรงกันข้ามกับสิ่งนี้ สิ่งที่ปราศจากเงื่อนไขนั้นเป็นอิสระจากก่อรูปร่างใดๆ เป็นอิสระจาการสร้างสรรค์ สภาวะอันปราศจากเงื่อนไขนี้ ย่อมเหมือนกับกระจกเงาแห่งปฐมกาล ด้วยเหตุว่ามันเป็นเหมือนกับกระจกซึ่งพร้อมที่จะสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่แย่ที่สุดไปจนถึงสิ่งที่วิเศษที่สุดและมันก็ยังคงเป็นตัวของมันอยู่เช่นเดิม กรอบพื้นฐานของการนำไปเปรียบเทียบกับกระจกเงาแห่งจักรวาลนี้กว้างมาก และปลอดพ้นจากอคติใดๆ ปลดอพ้นจากการทำลายล้างหรือการเยียวยาบำบัด จากความหวังหรือความกลัว

......หนทางที่นำไปสู่การมองย้อนกลับและเข้าถึงสภาวะการดำรงอยู่แบบกระจกเงาจักรวาลก็เพียงแต่ผ่อนคลายลงเท่านั้น การผ่อนคลายใน กรณีนี้แตกต่างจากความซึมเซา หรือการหยุดพักแสวงหาความสำราญด้วยการไปพักผ่อน ซึ่งเป็นวิธีคิดในโลกอาทิตย์อัสดง การผ่อนคลายในที่นี้หมายถึง การผ่อนคลายจิต การละวางเสียซึ่งความกลัดกลุ้มกังวล ความคิดและความเครียดซึ่งพันธนาการคุณไว้ การที่จะผ่อนคลายหรือพักจิตใจอยู่ในปัจจุบันขณะ ก็โดยอาศัยการปฏิบัติสมาธิ ในภาคแรกเราได้พูดกันถึงเรื่องว่า การปฏิบัติสมาธิเกี่ยวพันกับการลดทอนความคับแคบและขอบเขตส่วนตัวลงได้อย่างไร ในการปฏิบัติสมาธินั้น คุณมิได้ "ยอมรับ" หรือ "ปฏิเสธ" ประสบการณ์อันหนึ่งอันใดของตนเอง นั่นก็คือ คุณมิได้ชื่นชมหรือประณามความคิดหนึ่งใด ทว่าคุณได้เข้าหามันอย่างปราศจากอคติ คุณปล่อยให้สิ่งต่างๆ เป็นไปอย่างที่มันเป็น โดยไม่ไปตัดสิน และโดยวิธีการเช่นนี้เองคุณก็ได้เรียนรู้ที่จะเป็นและแสดงถึงภาวะการดำรงอยู่ของตนออกอย่างตรงไปมา โดยปราศจากความคิดมาเป็นข้อกำหนด นั่นคือภาวะในอุดมคติของการผ่อนคลายลง ซึ่งจะทำให้คุณสัมผัสได้ถึงปัจจุบันขณะของกระจกเงาแห่งจักรวาล โดยแท้ที่จริงแล้วภาวะนั้นเองคือ ประสบการณ์แห่งกระจกเงาจักรวาลนั่นเอง

......ถ้าคุณสามารถที่จะผ่อนคลาย-ผ่อนคลายโดยการมองดูเมฆ ผ่อนคลายโดยการมองดูหยาดฝนและสัมผัสได้ถึงความดีงานของมัน คุณก็อาจแลเห็นถึงสัจจะอันปราศจากเงื่อนไข ซึ่งดำรงอยู่อย่างง่ายๆ ในสรรพสิ่ง อย่างที่มันเป็น อย่างเรียบง่าย เมื่อคุณสามารถมองดูสรรพสิ่งโดยไม่ต้องกล่าวว่า "สิ่งนี้สอดคล้องกับฉันหรือต่อต้านฉัน" "ฉันเข้ากับสิ่งนี้ได้" หรือ "ฉันไม่สามารถไปกับสิ่งนี้ได้" เมื่อนั้นคุณก็ได้เข้าถึงสภาวะการดำรงอยู่ของกระจกเงาแห่งจักรวาล เข้าถึงปรีชาญาณของมัน คุณอาจเห็นแมลงวันบินหึ่งๆ อาจเห็นเกล็ดหิมะ อาจเห็นระลอกคลื่นบนผืนน้ำ คุณอาจเห็นแมลงมุมสีดำ อาจเห็นอะไรก็ตาม แต่คุณก็ยังอาจแลดูสิ่งต่างๆ เหล่านั้นอย่างง่ายๆ และธรรมดาสามัญ ทว่าแฝงไว้ด้วยสัมผัสรับรู้อันตระหนักซึ้งถึงคุณค่า
 
......คุณย่อมเข้าถึงอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลของสัมผัสรับรู้ ซึ่งคลี่คลายแผ่ปกออก เต็มไปด้วยโสตสัมผัส จักษุสัมผัสและรสสัมผัสอันปราศจากขอบเขต เต็มไปด้วยความรู้สึกรับรู้อันปราศจากขอบเขต เป็นอาณาจักรของสัมผัสรับรู้ซึ่งไร้ขอบเขต ไร้ขอบเขตจนกระทั่งว่าตัวการสัมผัสรับรู้นั้นก็ คือปฐมภาวะอันสุดคาดคิด มีสัมผัสรับรู้มากมายที่เกินจินตนาการ มีกระแสเสียงมากมาย มีกระแสเสียงซึ่งคุณไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย มีภาพและสีสันซึ่งคุณไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน มีความรู้สึกซึ่งคุณไม่เคยประสบมาแต่ก่อน เป็นอาณาจักรแห่งสัมผัสรับรู้อันไร้ที่สิ้นสุด

......สัมผัสรับรู้ในที่นี้มิใช่เป็นเพียงแค่เป็นการรับรู้ ทว่าเป็นทั้งหมดของตัวการรับรู้ เป็นกระบวนการสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องระหว่างจิตสำนึก ประสาทสัมผัสและขอบข่ายของสัมผัสหรือตัวสิ่งที่ถูกรับรู้นั้น ในหลักการของศาสนาบางสายประเพณี สัมผัสรับรู้ถูกถือเป็นตัวที่ก่อให้เกิดปัญหา ด้วยเหตุที่มันเป็นตัวปลุกเร้าโลกียกิเลส อย่างไรก็ตาม ในสายความคิดชัมบาลาซึ่งเป็นแนวความคิดยิ่งกว่าจะเป็นศาสลา สัมผัสรับรู้ถูกถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่ดีงามโดยพื้นฐาน มันเป็นของประทานจากธรรมชาติ เป็นศักยภาพตามธรรมชาติซึ่งมนุษย์มีอยู่ในตัว มันเป็นแหล่งกำเนิดแห่งปรีชาญาณ ถ้าคุณไม่อาจมองเห็นภาพใดๆ ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ไม่อาจลิ้มรสอาหารใดๆ คุณก็ไม่มีทางที่จะสื่อสารกับโลกแห่งปรากฎการณ์นี้ได้เลย ทว่าอาศัยความกว้างใหญ่ไพศาลของสัมผัสรับรู้ คุณจึงอาจสื่อสารกับโลกได้อย่างลึกซึ้ง โลกแห่งภาพ โลกแห่งกระแสเสียงต่างๆ ซึ่งเป็นโลกอันยิ่งใหญ่กว่า

......กล่าวอีกนัยหนึ่ง พลังแห่งการสัมผัสรับรู้ของคุณได้เปิดช่องทางแห่งความเป็นไปได้ในอันที่จะดิ่งลงสู่มิติของการรับรู้ที่ลึกขึ้น เหนือขึ้นไปจากสัมผัสรับรู้ตามปกติยังมีเสียงที่เหนือเสียง กลิ่นที่เหนือกลิ่น และความรู้สึกที่เหนือขึ้นไปดำรงอยู่ในสภาวะการดำรงอยู่ของคุณ สิ่งเหล่านี้อาจเข้าถึงได้ก็เพียงผ่านการฝึกฝนตนเองอย่างลึกซึ้งในสมาธิภาวนา ซึ่งจะช่วยชำระล้างความสับสนหมองมัวของสัมผัสรับรู้ ทำให้มันกลับเที่ยงตรงชัดเจนแหลมคมและเต็มไปด้วยปัญญาอันอาจเข้าถึงปัจจุบันขณะแห่งโลกของคุณ

......ในการทำสมาธิ คุณจะได้สัมผัสถึงความสม่ำเสมอของลมหายใจ เข้า-ออก คุณอาจรู้สึกถึงลมหายใจตัวเองได้ :นั่นเป็นสิ่งวิเศษมาก คุณผ่อนลมหายใจออก ค่อยๆ จางไป นั่นเป็นสัมผัสที่ละเอียดและยอดเยี่ยมมาก นับเป็นสิ่งพิเศษทีเดียวที่สิ่งอันธรรมดาสามัญได้กลับกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ดังนั้นเองการปฏิบัติสมาธิจึงนำไปสู่สิ่งเหนือธรรมชาติ ถ้าจำต้องใช้ถ้อยคำนี้ แต่ใช่ว่าคุณจะแลเห็นภูติผีหรือสามารถส่งกระแสจิตสื่อสารกันได้ก็หาไม่ เพียงแต่สัมผัสรับรู้ของคุณได้กลายเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ เพียงแต่แหลมคมและลึกซึ้งเป็นพิเศษเท่านั้น

......โดยปกติแล้ว เรามักจะจำกัดขอบข่ายของการรับรู้เอาไว้ อาหารเตือนเราให้รำลึกถึงการกิน ความสกปรกกระตุ้นเราให้ทำความสะอาดบ้าน หิมะบอกให้เรารู้วาเราจะต้องเช็ดล้างรถเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงาน ใบหน้าของคนมักเตือนใจเราให้นึกถึงความรักความชัง อาจกล่าวได้ว่าเราจัดวางสิ่งที่เราเห็นเข้าไว้ในขั้นตอนที่เราเคยชิน เราปิดกั้นความเป็นไปได้และความกว้างใหญ่ไพศาลของสัมผัสรับรู้อันลึกซึ้งเอาไว้ ปิดบังไว้จากหัวใจของตนเองโดยการจดจ่ออยู่กับการตีความหมายของปรากฏการณ์ตามอำเภอใจแต่ก็เป็นไปได้ที่จะหลุดพ้นจากการตีความแบบอัตวิสัยเช่นนั้น โดยการยอมให้ความกว้างใหญ่ไพศาลท่วมท้นเข้ามาในหัวใจผ่านสัมผัสรับรู้ เรามีทางเลือกอยู่เสมอ เราอาจจำกัดสัมผัสรับรู้เอาไว้และปิดกั้นความไพศาลมิให้ไหลบ่าเข้ามา หรืออาจยอมให้ความกว้างไพศาลนั้นมาสัมผัสถูก มาแตะเนื้อต้องตัวเรา

......เมื่อเรารวบรวมเอาพลังและความลึกซึ้งของความกว้างใหญ่ไพศาลประมวลลงมาในการรับรู้เพียงหนึ่งเดียว เมื่อนั้นเองที่เราได้ค้นพบอำนาจวิเศษ อำนาจวิเศษนี้มิได้หมายถึงอำนาจเหนือธรรมชาติอันอยู่เหนือปรากฎการณ์ของโลก หากเป็นเพียงแต่การค้นพบปรีชาญาณปฐมกาลซึ่งมีอยู่ในโลกมาแล้วแต่แรกเริ่ม ปรีชาญาณที่เราค้นพบนี้คือปรีญาณที่ปราศจากต้นกำเนิด เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เต็มไปด้วยธรรมชาติของความรอบรู้ เป็นปรีชาญาณของกระจกเงาแห่งจักรวาล ในธิเบต สภาวะอันพิเศษหรือปรีชาญาณธรรมชาตินี้ เรียกกันว่า ดราละ ดรา หมายถึง "ศัตรู" หรือ "ปฏิปักษ์" และ ละ หมายถึง "อยู่เหนือ" ดังนั้น ดราละ จึงหมายความว่า "อยู่เหนือศัตรู" ดราละคือปรีชาญาณและพลังของโลกที่ปราศจากเงื่อนไข ซึ่งอยู่เหนือการแบ่งแยกใดๆ ดังนั้นดราละจึงอยู่เหนือศัตรูและความขัดแย้งทั้งปวง มันเป็นปรีชาญาณเหนือความก้าวร้าว เป็นปรีชาญาณและพลังที่ดำรงอยู่เองของกระจกเงาแห่งจักรวาลซึ่งสะท้อนอยู่ในตัวเรา และในโลกแห่งสัมผัสรับรู้ของเรา

......กุญแจซื่งไขไปสู่การประจักษ์ในหลักการดราละก็คือ การตระหนักว่าปรีชาญาณของคุณในฐานะที่เป็นมนุษย์มิได้แยกออกจากพลังของสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงเงาสะท้อนของปรีชาญาณอันปราศจากเงื่อนไขของกระจกเงาแห่งจักรวาล ดังนั้นจึงไม่มีทวิภาวะหรือการแบ่งแยกระหว่างตัวคุณกับโลกดำรงอยู่จริงๆ เลย เมื่อคุณสามารถสัมผัสถึงสิ่งทั้งสองสิ่งได้พร้อมๆ กันในความเป็นหนึ่งเดียว เมื่อนั้นคุณก็ได้เข้าถึงญาณทัศนะและพลังมหาศาลอันดำรงอยู่ในโลก คุณจะค้นพบว่ามันเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงอยู่กับญาณทัศนะและตัวตนของคุณมาตั้งนานแล้ว นี่เองคือการค้นพบอำนาจวิเศษ เรามิได้กำลังพูดถึงการประจักษ์แจ้งแบบปัญญาชนแต่เรากำลังพูดถึงประสบการณ์จริงๆ เรากำลังพูดกันว่าจะสามารถเข้าถึงความจริงได้อย่างไร การค้นพบดราละอาจจะปรากฎมาในรูปของกลิ่นชนิดพิเศษ กระแสเสียงอันไพเราะ สีสันอันเจิดจ้าหรือรสชาติอันประหลาดส้ำ สัมผัสรับรู้ใดๆก็ตาม อาจเชื่อมโยงเราเข้ากับความเป็นจริงได้อย่างถูกต้องและเต็มเปี่ยม สิ่งที่เราแลเห็นไม่จำเป็นต้องงดงามเป็นพิเศษ แต่เราก็อาจชื่นชมในสรรพสิ่งใดๆ ซึ่งดำรงอยู่ ด้วยว่ามีหลักการของอำนาจวิเศษ มีคุณสมบัติอันมีชีวิตชีวาแฝงอยู่ในทุกสิ่ง มีบางสิ่งบางอย่างอันมีชีวิต มีบางสิ่งบางอย่างที่จริงยิ่งดำรงอยู่ในทุกๆสิ่ง

......เมื่อเราแลเห็นสิ่งต่างๆ ดังที่เป็นจริง สิ่งเหล่านั้นล้วนมีความหมายต่อเรา ไม่ว่าจะเป็นลีลาพริ้วไหวของใบไม้ยามต้องลม ไม่ว่าจะเป็นความเปียกชื้นของก้อนหินยามที่เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมา เราจะเห็นถึงว่าสรรพสิ่งได้แสดงออกถึงความกลมกลืนและความสับสนในขณะเดียวกัน ดังนั้นเราจึงมิได้ถูกจำกัดอยู่ภายใด้ขอบเขตของความงดงามเท่านั้น แต่เราจะยอมรับถึงคุณค่าความหมายในทุกๆ แง่มุมของความเป็นจริงอย่างถี่ถ้วน

......มีนิทานและบทกวีสำหรับเด็กหลายชิ้นที่กล่าวถึงประสบการณ์ในการปลุกอำนาจวิเศษแห่งสัมผัสรับรู้ชนิดพื้นๆขึ้นมา ตัวอย่างอันหนึ่งก็คือการ "เฝ้ารอที่หน้าต่าง" จากบทกวี "Now We Are Six" ซึ่งเขียนโดย A.A. Milne บทกวีนี้บรรยายถึงการเฝ้ามองออกไปนอกหน้าต่างนานหลายชั่วโมงในวันที่ฝนตก เฝ้ามองหยาดน้ำฝนไหลย้อยลงมาวาดลวดลายไว้บนกระจก หากได้อ่านบทกวีบทนี้แล้วคุณก็จะแลเห็นภาพหน้าต่าง เห็นภาพวันที่ฝนพร่างพรม และเห็นภาพใบหน้าของเด็กที่แนบชิดอยู่กับกระจก เฝ้ามองหยาดฝนหยดย้อยลงมา และคุณก็อาจรู้สึกได้ถึงความรู้สึกเบิกบานและความพิศวงของหนูน้อย ทั้งบทกวีของ Robert Louis Stevenson ในหนังสือ A Child's Garden Of Verse ก็มีคุณลักษณะเช่นเดียวกันนี้ โดยการใช้ประสบการณ์พื้นๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งของมิติสัมผัส ในบทกวี "My Shadow" "My Kingdom" และ "Armies in the Fire" ย่อมเป็นตัวอย่างที่ชี้ชัดได้ ความไพศาลของโลกมิอาจแสดงออกได้ตรงๆ ผ่านถ้อยคำ ทว่าอาจแสดงออกผ่านวรรณกรรมเด็กๆ และมีอยู่บ่อยครั้งที่อาจแสดงถึงความกว้างใหญ่ไพศาลนั้นออกมาผ่านความเรียบง่าย

......หนังสือ เจ้าชายน้อย ของ อังตวน เดอ แซงแต๊กซูเปรี ก็เป็นตัวอย่างของวรรณกรรมมเด็กอันมหัศจรรย์ชิ้นหนึ่ง ที่สามารถปลุกอำนาจวิเศษรากฐานขึ้นมาได้ ในตอนหนึ่งของเรื่อง เจ้าชายน้อยได้พบกับสุนัขจิ้งจอก เจ้าชายน้อยรู้สึกเหงามากและอยากจะให้หมาจิ้งจอกเป็นเพื่อนเล่น แต่หมาจิ้งจอกกลับบอกว่าตนไม่อาจเล่นด้วยได้ จนกว่าตนจะได้ถูกทำให้เชื่อยงเสียก่อน เจ้าชายน้อยถามความหมายของคำว่า "เชื่อง" หมาจิ้งจอกอธิบายว่า มันหมายถึง "การสร้างสายสัมพันธ์ขึ้น" ในทำนองที่ทำให้หมาจิ้งจอกเป็นสิ่งพิเศษสำหรับเจ้าชายน้อย และเจ้าช้ายน้อยก็เป็นสิ่งพิเศษสำหรับหมาจิ้งจอก ครั้นต่อมาเมื่อหมาจิ้งจอกเชื่องแล้วและเจ้าชายน้อยจะต้องจากไปหมาจิ้งจอกได้บอกให้รู้ถึงสิ่งที่เรียกว่า "ความลับของฉัน ความลับง่ายๆ" ซึ่งก็คือ "ผ่านดวงใจเท่านั้นที่เราอาจแลเห็นได้อย่างเที่ยงตรง สิ่งที่เป็นเนื้อแท้นั้นมิอาจแลเห็นได้ด้วยสายตา"

......แซงแต๊กซูเปรี ใช้ถ้อยคำที่ต่างออกไปในการพูดถึงการค้นพบอำนาจวิเศษ หรือ ดราละ ทว่าโดยตัวประสบการณ์แล้วเป็นสิ่งเดียวกัน การค้นพบดราละ ก็คือการสร้างสายใยเชื่อมโยงกับโลกของคุณ เพื่อว่าทุกๆ สัมผัสรับรู้จะได้กลายเป็นสิ่งพิเศษ นั่นคือการแลเห็นด้วยใจ เพื่อว่าสิ่งที่มิอาจแลเห็นได้ด้วยสายตา จะได้ปรากฎขึ้นดังประหนึ่งอำนาจวิเศษแห่งความจริง แม้อาจจะมีการรับรู้ต่างๆ กันไปนับพันนับล้าน ทว่าล้วนประมวลลงเป็นหนึ่งเดียว ถ้าคุณแลเห็นถึงเทียนเล่มหนึ่ง คุณย่อมรู้ชัดได้ว่าเทียนทั้งมวลในโลกเป็นเชนไร มันล้วนประกอบขึ้นด้วยไฟและเปลว การแลเห็นถึงหยดน้ำหยดหนึ่งก็ย่อมเห็นถึงน้ำทั้งหมด

......แทบจะกล่าวได้ว่า ดราละเป็นสิ่งมีตัวตนดำรงอยู่ แต่มิใช่อยู่ในระดับของพระเจ้าหรือเทพ หากแต่เป็นพลังอำนาจอิสระซึ่งดำรงอยู่ ดังนั้น เราจึงมิได้พูดกันแค่หลักการของดราละ หากพูดถึงการพบกับดราละโดยตรง ดราละคือธาตุมูลของความจริง เป็นน้ำแห่งน้ำ ไฟแห่งไฟ และดินแห่งดิน เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาสัมพันธ์กับคุณด้วยคุณสมบัติมูลธาตุของความจริง เป็นสิ่งใดๆ ก็ตามซึ่งเตือนใจให้รำลึกถึงมิติรับรู้อันลึกซึ้ง มีดราละดำรงอยู่ในก้อนหิน ในต้นไม้ใบหญ้า ในภูเขา ในเกร็ดหิมะหรือแม้ในก้อนขี้ดิน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่มีอยู่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่คุณผ่านพบในชีวิตสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นดราละแห่งความเป็นจริงทั้งสิ้น เมื่อคุณได้เชื่อมโยงเข้ากับลักษณะมูลธาตุของโลก คุณก็ได้พบดราละ ณ ที่นั้น ตรงนั้นเองที่คุณได้พบมัน สิ่งนั้นเองเป็นภาวะรากฐานซึ่งมนุษย์ทุกคนสามารถไปถึงได้เรามีทางที่จะค้นพบอำนายวิเศษอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในสมัยกลางหรือในศตวรรษที่ยี่สิบ อำนาจวิเศษก็อาจเข้าถึงได้เสมอ

......มีตัวอย่างหนึ่งของการพบดราละในประสบการณ์ส่วนตัวของข้าพเจ้า ก็คือในศิลปะการจัดดอกไม้ ไม่ว่ากิ่งไม้ใดๆ ที่คุณพบ จะไม่มีกิ่งไหนที่ถูกปฏิเสธว่าน่าเกลียด มันอาจนำมาจัดแต่งนำมาผนวกรวมเข้าด้วยกันได้เสมอ คุณจำเป็นต้องเรียรู้ทีจะมองเห็นตำแหน่งแง่มุมอันเหมาะสมของมัน นี่เองคือประเด็นสำคัญที่สุด ดังนั้นคุณจึงไม่จำเป็นต้องปฏิเสธสิ่งใดๆเลย นั่นคือวิธีการที่จะเชื่อมโยงเข้ากับดราละแห่งสัจจะ

......พลังของดราละนั้นคล้ายกับดวงอาทิตย์ ถ้าคุณมองดูท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ก็อยู่ที่นั่น โดยการมองดู คุณไม่ได้สร้างดวงอาทิตย์ขึ้นมาใหม่ คุณอาจรู้สึกไปว่าคุณได้สร้างดวงอาทิตย์ขึ้นมาในวันนี้โดยการมองดู แต่ที่จริงดวงอาทิตย์ดำรงอยู่ที่นั่นตลอดกาล เมื่อคุณค้นพบดวงอาทิตย์ในฟากฟ้า คุณก็เริ่มที่จะสื่อสารกับมัน ดวงตาของคุณเริ่มจะสัมพันธ์กับแสงแดดในทำนองเดียวกันนี้ หลักการของดราละก็ดำรงอยู่ทีนั่นเสมอ ไม่ว่าคุณจะใส่ใจที่จะสื่อสารกับมันหรือไม่ก็ตาม พลังอำนาจและปรีชาญาณแห่งสัจจะของมันก็ยังคงดำรงอยู่ที่นั่นตลอดมา ปรีชาญาณนั้นพำนักอยู่ในกระจกเงาแห่งจักรวาล โดยการผ่อนคลายดวงจิตลง คุณก็อาจเชื่อมโยงเข้ากับรากฐานดั้งเดิมอันเป็นปฐมกาล ซึ่งบริสุทธิ์ สะอาดหมดจดและเรียบง่ายยิ่ง จากสิ่งนั้นเอง โดยอาศัยการสัมผัสรับรู้เป็นสื่อ คุณก็อาจค้นพบอำนายวิเศษ หรือดราละได้ คุณอาจเชื่อมโยงธรรมชาติที่แท้แห่งปรีชาญาณของคุณ เข้ากับญาณทัศนะหรือปรีชาญาณอันยิ่งใหญ่เหนือขึ้นไปกว่าตัวคุณเอง

......คุณอาจจะคิดว่าคงมีสิ่งพิเศษสุดเกิดขึ้นเมื่อคุณค้นพบอำนาจวิเศษนั้น บางสิ่งบางอย่างอันพิเศษสุดนั้นย่อมเกิดขึ้นจริงๆ คุณเพียงแต่ค้นพบตัวเอง ในอาณาจักรแห่งความจริงอันยิ่ง ความจริงอันสมบูรณ์และถี่ถ้วน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 21, 2011, 04:27:41 pm โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...