ประชาสัมพันธ์ > โครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ !

เหล่านักปฏิบัติจ๋าา มามะ มา ลวกน้ำร้อนขูดขน เอ๊ย มาคนค้นคน ชำแหละ .....

<< < (3/4) > >>

บัวผ่อง:
อนึ่ง นั่น คือ การจงใจ ทำให้ ศีลถลอก อีกดอกส์ ของอิฉันนะ
ส่วนเรื่อง สัจจะ นี่ก็ ถลอก บ่อย ๆ เหมือนกันจร้าาาาาา
เรื่องล่าสุด นี่ก็มีเรื่อง ไปสัญญิง สัญญาก๊ะ แควนคลับ
ว่าจา ตอบ จม. แควน ๆ ในทุกเรื่องทุกประเด็นที่ค้างคา
ให้เสร็จภายในอาทิตย์ก่อนนู้นนน
แต่ ก็ลากยาววววววววววววววววยิ่งเขียน ก็ยิ่งบาน
ปั่นน้ำลาย มาปิดงบประมาณไม่เสร็จซ้าที


จิง ๆ ถ้าจะสักแต่ว่าโพสเรื่อยเปื่อย
เน้นปริมาณ ไม่เน้นคุณภาพ
เพื่อรักษาสัจจะ อิฉันก็ทำได้นะ แต่ก็ทำไม่ลงว่ะ
เพราะมันเหมือนการทรยศแควน ๆ อ่ะคร้าาา


เฮ้อออ แต่นี่ ก็มิลู้เหมือนกันว่า
หายหน้าหายตาไปเป็นชาติงี้
แฟนานุแฟน มันจาเบื่อขี้หน้ากัน
จนแอบปันใจ หนีอิเจ้นู๋บี
ไปปลื้มอินังแพนเค้ก แทน อ๊ะปล่าวเนี่ย อ่ะซิก ๆ


อิอิ แพล่ม ๆ น้ำท่วมทุ่ง อีกแระ กรู
เอา ผักบุ้งมาฝาก มั่งก็ได้
สรุป สำหรับ อิฉัน แล้ว
ตอนนี้ สถานะของ ศีลข้อ 4 ค่อนข้างดีถึงดีมาก
แต่ก็มี วจีมุสา บ้าง ( ดังที่เล่า ไปข้างต้น )
ซึ่งก็คงต้อง ก้มหน้าก้มตารับวิบากกรรม ที่ได้กระทำนั้นไป
แล้ว ต่อไปก็คงต้อง พยามหลีกเลี่ยง
วจีที่ก่อให้เกิดการ มุสา ให้มากที่สุด
( เท่าที่พอจะกล้อมแกล้มทำได้ )

บัวผ่อง:
อ้อ มีเทคนิคเกี่ยวกับการรักษาศีลข้อนี้มาฝาก
กรณี ที่ต้องตอบคำถามที่ทำให้ลำบากใจ
และ รู้สึก อิหลักอิเหลื่อ ที่ต้องตอบความจริง
ที่มันอาจจะ ทำร้ายจิตใจคนฟัง ได้
ประมาณว่า พูดโกหก ก็ผิดศีล
พูดความจริงก็อาจจะผิดใจกัน  :'(


ถ้าเจอเหตุการณ์งี้  แนะนำว่า ให้พยามพูดความจริง
แต่ก็ต้องรักษา น้ำใจ คนฟัง แบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น
อาทิเช่น ถ้าเพื่อนเรา ถามว่า
ขนมที่เขาหัดทำ มาให้ลองชิม อร่อยไหม ?


แทนที่เราจะตอบว่า ตามที่ใจคิด ว่า
แมร่งไม่อร่อยเลย ว้อยยยยยยย
รับประทานแล้ว รสชาติหมาม่ายแหล่กเลยว่ะ
เราก็อาจจะ เลี่ยงไปตอบว่า
ขนมนี้ กินแล้ว รู้สึกว่า รสชาติ ยังไม่ถูกใจเราอ่ะ
เรารู้สึกว่า มันหวานไป เค็มไป ฯลฯ สำหรับเรานะ
แต่ก็ นานาจิตตัง อ่ะ คนอื่นกินแล้วอาจจะชอบก็ได้ ฯลฯ


หรือ บางครั้ง หาก มีคนมาถาม ในเรื่องบางเรื่อง
ที่ เราไม่อยากจะเปิดเผยความจริง
ให้เกิดการกระทบกระทั่ง
เราก็อาจจะพูดเลี่ยง ๆ
โดยใช้ประโยค ที่แสดงความรู้สึก
มาเป็นตัวช่วยในการตอบก็ได้นะ

อาทิเช่น  ลำบากใจจัง
ถ้าต้องมานั่งตอบคำถามนี้
ขออนุญาต ไม่พูดแล้วกันนะ 
ไปถามกันเอาเองแล้วกัน ฯลฯ


อิอิ แค่นี้ เราก็ สามารถพูดจาได้
 โดยที่ไม่ผิดศีล และ ผิดใจกันได้แล้วล่ะ
อืม...ไม่รู้สิ พอถือศีลข้อนี้บ่อย ๆ เข้า
สังเกต เห็นว่า จิตมันจะเกิดสติ ขึ้นมาเสมอ
เวลาเราจะอ้าปากพูด นะ
แถมยังมีการพัฒนา แทคติค สารพัด
เกี่ยวกับการหลบหลีก
ในเรื่องที่จะทำผิดศีล ข้อ4พวกนี้ ได้เองน่ะ


คือปากมันจะสามารถกลั่นกรอง
ตอบคำถามได้อย่างตรงไปตรงได้ง่ายขึ้น
และ ก็ไม่ทำให้ใครต้องเสียน้ำใจ ด้วยอ่ะ
อันนี้ เฉพาะ กรณี  ตั้งใจจะประนีประนอมอะนะ
แต่ถ้าหมั่นไส้ขึ้นมา อิฉันก็ เม้งแตก
แบ่บไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม เหมือนกันว่ะ  แหะ ๆ


เหอะ  จริง ๆ ถ้าครึ้ม ๆ ขึ้นมาวันไหน
ก็ว่า จะลอง ทำพิธี ปิดวาจา
เลิกเม้าส์แตกเป็นต่อยหอย ดูเหมือนกันนะ
อย่างน้อย ถ้าทำได้จริง ก็ลด การสร้างปฏิฆะ
ให้เกิดเป็นเวรเป็นกรรม ร่วมวัฏฏะ
ก๊ะ ชาวบ้าน ได้จมหู เรย เนอะ

บัวผ่อง:
ข้อ 5. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี ฯ
งดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท




อืม....นอกจากศีลข้อ 3 ( กาเม สุมิจฉาฯ ) แล้ว
ก็มี ศีล ข้อ 5 นี่แหล่ะ ที่ ถือได้แบ่บชิล ๆ  เป็นอันดับ 2
โดยไม่ต้องกลัว ว่า มันจะถลอกกกกกก อิอิ

เฮ้ออ อิฉันไม่ได้แตะ น้ำเมา มาหลายปีดีดัก แระ
แม้แต่ กระแช่ หรือ น้ำตาลเมา ก็ ไม่เอาทั้งน้านนน
โชคดีที่เป็นคนไม่นิยม บริโภค แอลกอฮอล์ เข้ากระแสเลือด อ่ะ
เลยไม่เคยต้องมา ทุกขัง กาละมัง เพราะ ศีลข้อนี้ซะที นะ





อ้อ เพิ่มเติม อีกสัก ดอกส์ สองดอกส์ แระกันเน๊าะ

ศีลข้อ 6 วิกาลโภชนา เวรมณี ฯ
เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล



อันนี้ ก็ กิน 2 มื้อ ( เช้า กับ เที่ยง ) จนเป็น ปกติแระ
เพราะ ถ้าพูดกันตาม หลักของวิทยาศาสตร์สุขภาพ
จริง ๆ แล้ว คนเรา กินอาหาร แค่ 2 มื้อ ก็เพียงพอนะ
แล้วก็ดี ต่อสุขภาพด้วย เพราะ กระเพาะลำไส้ จะได้พักมั่ง
ไม่ต้องมาวุ่นวายกับการ ย่อยและ ดูดซึมอาหาร มากเกินไป


เคย มีคนบอกว่า อาหารมื้อเช้า นี่
มันจะช่วย บำรุง สมอง เค้าจึงให้กิน หนัก ๆ
และ มื้อ เที่ยง นี่ก็ บำรุง กำลัง ต้องหม่ำแยะ ๆ
แต่ มื้อเย็น นี่ เค้าว่า บำรุงกาม ว่ะ
ดังนั้น ในมื้อเย็น นักปฏิบัติ อย่างเรา
ไม่ต้องโด๊ป แยะก้อด้ายยย
เด๋วไฟราคะมันกำเริบเสิบสาน อ่ะหุหุ


อีกอย่าง ในกรณีที่เราไม่ได้ ใช้แรงงาน ไปขนอิฐขนปูน
มื้อเย็นนี่ มันก็เหมือนการบริโภคอาหารที่เกินจำเป็นนะ
กินเสร็จ ก็นอนอึดทึด เกิดเป็นไขมันสะสม
จนอ้วนตุ้ย ส่งผลเสียต่อ สุขภาพ อีกแหน่ะ
ด้วยเหตุนี้ อิฉันจึง หันมา กิน 2 มื้อ น่ะในวันธรรมดา อ่ะ


ส่วนถ้าวันหยุดที่ไม่ขึ้นเวร นี่ ก็ จะ กินมื้อเดียว
เพราะ ไม่ค่อยได้ใช้แคลอรี่ มาก
และหลังจาก เวลาอาหารมื้อเที่ยง ของตัวเองนี่
จะกินเฉพาะ น้ำเปล่า นะ  น้ำปานะ ก็ งดดื่ม
เนื่องจากไม่ต้องการ ดื่ม เพราะ ความอยาก น่ะ
แต่บางที ถ้าเสบียงแยะ เคลียร์สต๊อกของกินไม่ทัน
อาทิเช่น ขนมปังที่ซื้อมาใกล้หมดอายุ ฯลฯ
ก็ ขยายเวลา เป็น กิน 2 มื้อ
คือ เช้า เที่ยง เหมือนวันปกติ อ่ะ



เท่าที่ ทำ ๆ มา ก็โอเคนะ
เพียงแต่ เวลาในการกินอาหาร
อาจจะ คลาดเคลื่อนจากที่ควรจะเป็น ไปมั่ง
ก็ตาม สภาพ การทำงาน นั่นแหล่ะ
บางวันคนไข้แยะ ก็ลงพักเที่ยงช้า
เกาะกินข้าวเที่ยง ตอนบ่ายโมงกว่า
( แต่พยาม ไม่ให้เกิน บ่าย 2 โมง )


แต่ ในวันหยุด บางทีก็ตื่นสาย โร่
ตารางเวลาการกิน ก็เลยต้องปรับ
ให้มันเหมาะสม กับสภาพโดยยึดตามหลักของ นาฬิกาชีวิต อ่ะ
คือ ปกติ จะกำหนดเวลากิน
ให้อยู่ในช่วง 7.30 น. ถึง 9.30 น. น่ะ
เพราะ ถ้า เกินกว่านั้น ก็จะมีผลกระทบต่อสุขภาพ
แต่พอตื่นสาย หรือ ทำอะไรเพลิน เกินเวลากิน
ก็จะเลื่อนไปกิน มื้อเดียว ตอนเที่ยง แทนอ่ะ


ส่วน ระหว่าง รอกินมื้อ เที่ยง นี่
ก็ จะอาศัยกินน้ำหวาน สัก แก้ว สองแก้ว
ไปเพิ่มน้ำตาลในเลือด แก้โมโหหิวแป๊บ ๆ
หรือ บางที ก็หา ขนมเบา ๆ กิน เป็น ออร์เดิร์ฟ
แต่ส่วนใหญ่ จะเน้นให้กิน น้ำหวาน อ่ะ
เพราะวันหยุด ตั้งใจจะกินมื้อเดียว
ไม่อยากกินจุบกินจิบ จร้าาาา
มันเสียอิมเมจ นักปฏิบัติ 555 :39:

บัวผ่อง:
ศีลข้อ 7
นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา
มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี ฯ


เว้นจากพูด ฟัง ฟ้อนรำ ขับร้องและประโคมเครื่องดนตรีต่าง ๆ
และดูการเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศล และทัดทรงตกแต่งร่างกาย
ด้วยเครื่องประดับและดอกไม้ของหอม
เครื่องทาเครื่องย้อม ผัดผิวให้งามต่าง ๆ)





ข้อนี้ ยังทำไม่ได้ อ่ะ ไอ้เรื่อง งดดูละเม็งละคร
 และ ระบำรำฟ้อน เนี่ย ไม่ยากนะ อยากทำเมื่อไรก็ทำได้
แต่ ว่าไอ้เรื่องจะให้ เลิกใช้ โรออน ดับกลิ่นเต่า
หรือ งดทาแป้งกันเหนียวตัว เนี่ย มันก็ ลำบากใจพิลึก
เพราะ ด้วย สภาพงาน ที่ต้องนั่งจ่ายยางก ๆ ให้คนไข้
ขืนปล่อยเนื้อปล่อยตัว ให้เหม็นตลบ หรือ
ก็สงสารคนไข้ ที่มารับยาด้วย อ่ะ แหะ ๆ


และ ถึงจะ ใช้สารส้ม ระงับกลิ่นเต่าเอา
แต่ ไอ้แป้ง และ สบู่ถูตัวเนี่ย ที่วางขายอยู่ เนี่ย
มันก็มีแต่สารพัดกลิ่นหอม 
ครั้นจะไปหาซื้อแบบปราศจากน้ำหอม หรือ
มันก็รู้สึกว่า มันวุ่นวายและยุ่งยาก จังเลยอ่ะ
ก็เลย ยังไม่คิดจะถือศีล ข้อนี้ อย่างจริงจัง


อีกอย่าง ไอ้เรื่องเครื่องประทินกลิ่นหอม
และ เครื่องสำอางค์ทั้งหลายเนี่ย มันไม่ค่อยมีอิทธิพลอะไร
กับ คนที่ไม่ค่อยจะใส่ใจ กับเรื่องความสวยความงาม อย่างอิฉัน หร็อก
ใช้ก็ได้ ไม่ใช้ก็ไม่เป็นไร  ดังนั้น ข้อ 7 นี่จะถือเมื่อไรก็ได้
( แต่ตอนนี้ ยังขี้เกียจ ถือ  แหะ ๆ )

บัวผ่อง:
ศีลข้อ 8 อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี ฯ
เว้นจากนั่ง นอน เหนือเตียง ตั่ง มีเท้าสูงเกินประมาณ
และที่นั่ง ที่นอนอันสูงใหญ่ ภายในใส่นุ่นและสำลี ฯ





อันนี้ ก็ลองทำ ดูแระ 
แต่ดันรู้สึก ว่า ศีลข้อนี้ กระจอกเกินไป 
ไม่มี อะไร ท้าทาย เอาซะเรย อ่ะ
เลย หาเรื่อง ไม่ทำ ซะงั้น 555555


คือมันไม่ได้รู้สึกว่า จะลำบากลำบนอะไรเล๊ย
ที่ต้องนอนพื้น น่ะ ก็แค่ต้องคอยระวังนิดหน่อย
เวลาขยับตัวเปลี่ยนท่านอน
กระดูกซี่โครงมันจะได้ ไม่ ครูดกับพื้น
จนเจ็บ  ก็แค่นั้น


ที่สำคัญ สมัย สิบปีก่อน ตอนเริ่มทำงานใหม่ ๆ
ตอนที่ยัง จัดข้าวของ ไม่เข้าที่เข้าทาง
( และยังไม่ได้ ซื้อเตียง ซื้อที่นอนมาใช้ )
อิฉันก็เคย เอาผ้าห่มผืนบาง ๆ มาปู
แล้วนอนเกลือกกลิ้งกับพื้น ตั้งหลายเดือน นิ
ตอนนั้น ยังไม่รู้จัก คำว่า ถือศีลปฏิบัติธรรม ด้วยซ้ำ
ก็นอนได้สบาย ๆ ไม่เห็นมันจะลำบาก อะไร ตรงไหน เลย


คือ บังเอิญ เป็น พวกปรับตัวเก่ง เหมือน จิ้งจก น่ะ
เวลาปกติ ก็จะเป็น พวก ลัทธิ เสพสุข
จู้จี้เรื่องการกินการอยู่ได้สารพัด
( ต้องกินดี ๆ อยู่ดี ๆ นอนดี ๆ )


แต่ครั้น เมื่อไรต้องอยู่ในสถานะการณ์ คับขัน
ร่างกายมันก็สามารถ ปรับสภาพ
ให้กินง่าย  อยู่ง่าย นอนง่าย ได้เฉยเลยอ่ะ
จึงรู้สึกว่า ไอ้การ ถือศีลข้อนี้
สำหรับอิฉัน แล้ว มัน ไม่ได้ช่วย
ในเรื่อง ของการฝึกตน ที่ตรงไหน
ก็เลยไม่คิดจะ ถือศีลข้อนี้ อ่ะ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version