ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129455 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: สิงหาคม 27, 2010, 07:12:14 pm »
ประโยชน์จากงาขาวและงาดำ

ทราบหรือไม่ว่า งาขาวและงาดำมีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาบอก

- งาดำและงาขาวมีฤทธิ์เป็นกลาง รสหวาน ส่วนน้ำมันงามีฤทธิ์เย็น แก้อาการท้องผูก ทำให้ลำไส้ชุ่มชื้น ลดกรดในกระเพาะอาหาร ลดการอักเสบของทางเดินอาหารและกระเพาะปัสสาวะ บำรุงตับและไต

- เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

- รักษาอาการเคล็ดขัดยอก บำรุงรากผมและผิว ช่วยให้หลับได้ดี
 
- รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกและแผลเปื่อยติดเชื้อ

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาทานงาขาวและงาดำกันดูได้.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=87680
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: สิงหาคม 27, 2010, 09:50:39 pm »
 :45: ขอบคุณครับพี่หนุ่ม
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: สิงหาคม 30, 2010, 06:28:59 pm »
ค้นพบ กะเพราศักดิ์สิทธิ์ พืชชนิดใหม่ของโลก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

คณะสำรวจพรรณไม้ค้นพบ พรรณพืชชนิดใหม่ 4 ชนิด หนึ่งในนั้นคือ กะเพราศักดิ์สิทธิ์

          วันนี้ (30 สิงหาคม) มีการแถลงข่าวการค้นพบพรรณพืชชนิดใหม่ของโลก 4 ชนิด โดนนายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า คณะสำรวจพันธุ์พืช ของกรมอุทยานฯ ที่นำโดย ดร.สมราน สุดดี ผู้เชี่ยวชาญพรรณไม้วงศ์กะเพราของไทย ได้ค้นพบ พรรณไม้สกุลโมก 3 ชนิด คือ โมกการะเกตุ , โมกพะวอ , โมกนเรศวร และ กะเพรา 1 ชนิด ที่บริเวณเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูวัว จ.หนองคาย

          โดย กะเพรา ที่ถูกค้นพบในครั้งนี้ เป็นกะเพรา ชนิด Labiatae ซึ่งจะขึ้นอยู่ตามดินตื้น  ๆ บนภูเขาหินทรายตามป่าเต็งรัง ลักษณะเป็นดังนี้

           มีลำต้นเป็น สี่เหลี่ยม

           สูงประมาณ 50-60 เซ็นติเมตร

           กิ่งมีขนสั้น ๆ นุ่ม ๆ

           ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยวมีขนสาก ๆ ด้านบน เรียงตรงสลับตั้งฉาก ยาว 0.4 – 1 เซ็นติเมตร

           กลิ่นไม่ฉุนเหมือนใบกะเพราทั่วไป

           ออกดอกผล ตอนช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม

           ยังไม่ทราบว่ารับประทานได้หรือไม่

          ซึ่งในขณะกำลังตีพิมพ์ประกาศเป็นพืชชนิดใหม่ของโลก ในวารสาร Thai Forest Bulletin ( Botany )เล่มที่ 38 ภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ผ่านการตรวจค้นข้อมูลแล้ว ไม่พบว่ากะเพราชนิดใหม่ที่พบเจอนี้ ไปซ้ำหรือใกล้กับกะเพราของชาติอื่น จึงสามารถเรียกได้ว่า เป็นกะเพราะชนิดใหม่ของโลก ที่จัดเป็นพืชหายากและใกล้สูญพันธุ์

          ส่วนชื่อเรียกสำหรับกะเพราชนิดใหม่นี้ อธิบดีกรมอุทยานฯ ตั้งให้ว่า กะเพราศักดิ์สิทธิ์ (Platostoma tridechii Suddee ) เพื่อเป็นการระลึกถึง ดร.ศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช อธิบดีกรมอุทยาน ที่เพิ่งเสียชีวิตไปจากการประสบอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่ จ.น่าน ที่ทำหน้าที่ในการปกป้องดูแลสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างเต็มความสามารถ จนกระทั่งจบชีวิตลงขณะปฏิบัติหน้าที่

          อย่างไรก็ตาม นายจตุพร อธิบดีกรมอุทยานฯ ยังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า ที่ตั้งชื่อว่า กะเพราศักดิ์สิทธิ์ นั้นเป็นเพราะคุณศักดิ์สิทธิ์ ท่านชอบกินกะเพรามาก อีกทั้งสถานที่ที่ค้นพบกะเพราชนิดนี้ก็คือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่เป็นบ้านเกิดของท่านศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก คมชัดลึก

http://hilight.kapook.com/view/51651




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 07:46:36 pm »

"พริก" อุดมด้วยประโยชน์






คมชัดลึก :คน ไทยกับรสแซบนะคู่กันคู่กัน โดยเฉพาะรสเผ้ดของพริกถ้าไม่จัดจ้านถึงใจไม่มีที่จะอร่อยเด็ด(ยกเว้นคนไม่ กินเผ็ด) แต่รู้หรือไม่ว่านอกจากความเผ็ดแล้ว เจ้าพริกเม็ดเล็กๆ ยังอุดมด้วยประโยชน์มากมายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง!!! และในโอกาสที่เบอร์เกอร์ คิง เปิดตัวเบอร์เกอร์ คิง แองกรี้ วอปเปอร์ ที่นำพริกชี้ฟ้ามาเป็นส่วนสำคัญ พร้อมยังเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้เรื่องพริก



 นาวาอากาศโทแพทย์หญิง อรวรรณ กิจเชวงกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแบบองค์รวมและความงาม เผยว่า คนไทยคุ้นเคยกับรสชาติเผ็ดร้อนของพริกมานานแล้ว ซึ่งพริกถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มรสชาติอาหารไทยให้จัดจ้าน และทำให้เจริญอาหาร นอกจากนี้ในพริกยังมีส่วนประกอบของสารแคปไซซินในปริมาณสูง สารตัวนี้มีฤทธิ์ในการลดความเจ็บปวด ช่วยระบบย่อยอาหารและพริกยังสามารถสร้างสารเคลือบกระเพาะทำให้กรดกัดกระเพาะได้น้อยกว่าคนที่ไม่กินพริก รสเผ็ดร้อนในพริกยัง ช่วยบำรุงธาตุไฟ เพิ่มการเผาผลาญ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย จะสังเกตได้ว่าเมื่อทานเข้าไปร่างกายจะอบอุ่นขึ้น และยังช่วยขับเหงื่อ บรรเทาอาการหวัด ลดน้ำมูก ช่วยให้หลอดลมขยายตัวและช่วยในระบบการไหลเวียนของเลือด

 "ปัจจุบันพริกไม่ เพียงมีประโยชน์ทางด้านโภชนาการเท่านั้น แต่ในด้านการแพทย์ผิวหนังและด้านความสวยความงามยังสกัดสารแคปไซซินออกมาใน รูปแบบของครีม เจลเพื่อใช้บรรเทาอาการเจ็บปวดที่ผิวหนัง อาทิ ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก งูสวัด ฯลฯ และใช้ในการนวดสลายไขมัน ลดเซลลูไลท์ ทั้งนี้เชื่อว่าจะช่วยขยายเส้นเลือดบริเวณนั้น เมื่อใช้ร่วมกับตัวยาสลายไขมันอื่นๆ ด้วย

 นอกจากนี้ในแพทย์แผนจีนยังใช้ประโยชน์จากพริกเพื่อบำรุงพลังหยาง ในช่วงที่ผู้ป่วยเป็นหวัดหรือโดนความเย็นมากระทบ โดยให้ทานอาหารรสเผ็ดร้อน อาทิ พริก พริกไทย จะช่วยบรรเทาอาการหวัด  ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อร่างกายแล้ว ยังส่งผลต่อจิตใจทำให้คึกคัก สดชื่น กระฉับกระเฉง เลือดลมสูบฉีด ร่างกายและจิตใจตื่นตัวมากขึ้น แต่สำหรับคนที่ธาตุไฟแกร่งควรทานพริกแต่น้อย เพราะอาจเกิดพลังหยางมากเกินไป ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นและเป็นแผลร้อนในปากได้” ผู้เชี่ยวชาญ ให้ความรู้

.
http://www.komchadluek.net/detail/20101001/74888/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C.html

.


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 08:04:37 pm »
 :06: เวลาผมสั่งข้าวขาหมูผมชอบทานพริกสดเม็ดสีเขียวเล็กๆ นะครับ ได้รสชาติดีครับ
แต่ถ้าอาหารอื่น อย่างสมตำนี่ผมไม่ค่อยใส่ เยอะ บอกเค้าใส่แค่เม็ดเดียวตลอด..
ขอบคุณครับพี่หนุ่ม^^
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2010, 10:05:01 pm »
กิน"ขิง" สู้หนาว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 พฤศจิกายน 2553 17:14 น.



น้ำท่วมยังไม่คลาย ลมหนาวก็ย่างกรายมาเยือน ชนิดที่ทำท่าว่าปีนี้จะหนาวเอาเรื่อง เพราะน้ำเยอะ อากาศโลกเปลี่ยน
       
       เมื่อลมหนาวพัดมา หลายคนมักจะเกิดอาการคั่นเนื้อคั่นตัวเป็นหวัดเอาได้ง่ายๆ นั่นจึงทำให้คนโบราณเขาเลือกการกินอย่าง“ขิง” เป็นหนึ่งในวิธีสู้หนาว เพราะขิงเป็นสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์อุ่น รสร้อน
       
       โดยในขิงจะมีน้ำมันหอมระเหย ประกอบด้วย Gingerol และ Shogaol ที่จะช่วยขับเหงื่อและทำให้ร่างกายอบอุ่น ทั้งยังช่วยบรรเทาพิษไข้ เวลาหนาวๆ หากใครได้น้ำขิงร้อนๆมาจิบสักแก้วก็จะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้มาก ทั้งยังช่วยลดอาการไอและระคายคอจากการมีเสมหะได้ด้วย
       
       นอกจากนี้ ขิงยังมีสรรพคุณช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ทำให้เลือดไหลเวียนดี ลดความดัน และลดคอเลสเตอรอลได้ และจากนั้นการศึกษาวิจัยยังพบว่า ขิงมีสรรพคุณในการช่วยรักษาและบำบัดโรคข้ออักเสบอีกด้วย เพราะขิงมีฤทธิ์แก้ปวดและต้านการอักเสบได้
       
       และนี่ก็เป็นหนึ่งในวิธีสู้หนาวด้วยการกินสมุนไพรใกล้ตัว ซึ่งสำหรับหนาวนี้ใครจะลองนำไปปฏิบัติก็ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากยากเย็นแต่ อย่างใด ส่วนใครที่หนาวนี้ไม่เพียงแต่หนาวกาย หากแต่มีอาการหนาวใจตามไปด้วย งานนี้ “108 เคล็ดกิน” ขอบอกว่าคงต้องตัวใครตัวมัน เพราะช่วยกันไม่ได้จริงๆ

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000155911

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2010, 10:14:20 pm »
 :45: ขอบคุณครับพี่หนุ่ม หลังบ้านผมก็ปลูกขมิ้นกับขิงครับ แต่คงต้องขุดยากหน่อย เพราะโดนดินถมลึกซะแล้ว
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2010, 06:58:28 pm »
มะพร้าว : พฤกษาแห่งชีวิต
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 พฤศจิกายน 2553 12:01 น.



นัก โภชนาการยังได้พบอีกว่า เนื้อมะพร้าวมีคาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไขมัน ไยอาหาร แคลเซียม โปแตสเซียม เหล็ก วิตามิน A. B1, B2 และ C (Robert Wetzlmayr)



สำหรับคนไทยก็เชื่อว่า มะพร้าวเป็นไม้มงคล จึงนิยมปลูกทางทิศตะวันออกของบ้าน เพราะคิดว่าจะทำให้เจ้าของบ้านอยู่เย็นเป็นสุข



คนไทยเรียกมะพร้าวหลายชื่อเช่น หมากอุ๋น หมากอูน โพล หรือถุง แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์แล้ว มะพร้าวมีชื่อว่า Cocos nucifera ในวงศ์ Palmae เพราะมาจากคำ cocos ซึ่งเป็นคำในภาษาโปรตุเกส
       
       นักประวัติศาสตร์ได้พบหลักฐานที่แสดงว่า มะพร้าวมีถิ่นกำเนิดในอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ นิวซีแลนด์ และ Marianas เมื่อ Marco Polo เดินทางเยือนจีนในคริสต์ศตวรรษที่ 9 เขาได้บันทึกการเห็นมะพร้าวว่ามีลำต้นประหลาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ครั้นเมื่อชาวสเปนได้เห็นมะพร้าวที่ชาวโปรตุเกสนำมาจากเอเชีย จึงได้นำมะพร้าวไปปลูกใน West Africa และอเมริกาใต้ จากนั้นมะพร้าวก็ได้แพร่พันธุ์ไปทั่วโลก
       
       ตามปรกติมะพร้าวชอบขึ้นในแถบร้อน โดยเฉพาะในบริเวณชายทะเลที่มีดินร่วนปนทราย และในที่ ๆ มีฝนตกน้อยกว่า 60 เซนติเมตร/ปี นักชีววิทยาบางคนไม่คิดว่ามะพร้าว คือ ต้นไม้ เพราะลำต้นไม่มีกิ่ง และไม่มีเปลือกเหมือนต้นไม้ทั่วไป แต่เป็นทรงกระบอกที่มีขนาดค่อนข้างสม่ำเสมอ และไม่มีวงปี นอกจากนี้ ลำต้นก็ไม่มีตาสำหรับให้ใบแตกแขนง คือ ใบจะแตกที่ยอด ซึ่งจะเติบโตสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมะพร้าวไม่มีวงปี ดังนั้น เวลานักพฤกษศาสตร์ต้องการรู้อายุของต้นมะพร้าว เขาจะใช้วิธีนับรอยแผลที่เกิดจากการหลุดร่วงของใบ ทั้งนี้เพราะมะพร้าวจะผลัดใบราว 12-14 ใบในแต่ละปี ดังนั้นในปีหนึ่ง ๆ รอยแผลที่ลำต้นจะมีตั้งแต่ 12-14 แผล
       
       ใบมะพร้าวเป็นใบประกอบ แบบขนานโดยแตกเป็นคู่ ๆ ใบมีขนาดใหญ่และยาว ตั้งแต่ 4.5-6.0 เมตร ใบอ่อนเกิดที่ใจกลางของยอดและมีลักษณะเรียวยาวคล้ายดาบ ใบที่ยังอ่อนจะมีกาบใบหุ้ม แต่เมื่อใบมีอายุมากขึ้น ใบอ่อนจะแผ่ขยายกว้าง และเอนออกจากลำต้น ดอกมะพร้าวมีกลีบดอก 6 กลีบ ดอกมีสีครีม หรือเหลืองนวล ดอกมี 3 ประเภทคือ ดอกตัวผู้ ดอกตัวเมีย และดอกกะเทย ซึ่งมักอยู่แยกกัน ถึงจะอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกออกเป็นช่อ และเป็นส่วนที่ชาวสวนเรียกว่า จั่น ซึ่งเมื่อโตเต็มที่จั่นจะยาวตั้งแต่ 0.75-2.00 เมตร โดยทั่วไปดอกมะพร้าวจะเริ่มบานจากปลายมาโคนจั่น ดอกตัวเมียมีขนาดตั้งแต่ 1-3 เซนติเมตร ส่วนดอกกะเทยจะใหญ่ประมาณ 10-55% ของดอกตัวเมีย มะพร้าวต้นหนึ่งมีดอกตัวผู้ตั้งแต่ 200-300ดอก
       
       ผลมะพร้าวทุกผลมีเปลือกหุ้ม โดยชั้นนอกเป็นใยเหนียวแข็ง มีสีเขียว แดง เหลือง หรือน้ำตาล ชั้นกลางเป็นเส้นใยที่หนาพอประมาณ ส่วนชั้นในหรือที่เรียกว่า กะลานั้นแข็งมาก สำหรับเมล็ดมะพร้าวนั้นก็คือ เนื้อมะพร้าวรูปแบบหนึ่ง ขณะผลยังอ่อนอยู่ ภายในเมล็ดจะมีน้ำมะพร้าวเต็ม แต่เมื่อผลแก่ น้ำมะพร้าวส่วนหนึ่งจะแห้งไป
       
       ประเทศไทยมีสวนมะพร้าวประมาณ 2.5 ล้านไร่ ในพื้นที่ภาคกลาง และใต้ หรือตามบริเวณชายทะเล เพราะต้นมะพร้าวขึ้นได้ดีในแถบร้อน และตามที่สูงตั้งแต่ที่ระดับน้ำทะเลจนถึง 900 เมตร หรือตามชายฝั่งที่มีการระบายน้ำดี และมีน้ำใต้ดินผ่าน ส่วนบริเวณที่มีฝนตกมากกว่า 100 เซนติเมตร/ปี และมีอุณหภูมิตั้งแต่ 20-34 องศาเซลเซียสนั้นเป็นพื้นที่ ๆ เหมาะสำหรับการปลูก เพราะไม่ร้อนจัดและไม่เย็นจัด นอกจากนี้ ชาวสวนยังพบอีกว่า มะพร้าวต้องการแดดมาก ดังนั้นต้นที่ปลูกในที่ร่มจะเติบโตช้า กว่าต้นที่ถูกแดดตลอดเวลาส่วนลมที่พัดในสวนก็สมควรเป็นลมอ่อน ๆ เพราะถ้าลมพัดแรงต้นมะพร้าวอาจล้ม
       โรคที่มะพร้าวเป็นคือโรคยอดเน่า ส่วนศัตรู คือ ด้วงมะพร้าว ซึ่งชาวสวนสามารถกำจัดได้โดยใช้ยากำจัดแมลง
       
       ในการคัดเลือกพันธุ์มาปลูกตามปรกติชาวสวนจะใช้ผลที่มีหน่อแก่จัดและโคนหน่อมีขนาดใหญ่ และมี
       ลำต้นอวบ ผลมะพร้าวที่มีขนาดเล็ก และมีน้ำน้อยจะไม่ถูกเลือกมาเพาะ อนึ่งเวลาจะเพาะมะพร้าวชาวสวนจะเลือกสถานที่ใกล้น้ำ และดินเป็นดินทราย ในตอนต้นฤดูฝน ชาวสวนจะนำหน่อที่ต้องการปลูกใส่ในหลุม แล้วกลบดินให้เสมอผิว และรดน้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง พร้อมกับทำความสะอาดหลุมปลูก ไม่ให้มีหญ้ารกรุงรัง สำหรับแบบแผนปลูกนั้น ชาวสวนนิยมปลูกแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยให้มีระยะห่างระหว่างต้นเท่า ๆ กัน คือห่างตั้งตา 9-12 เมตร
       
       วิถีชีวิตของมะพร้าว มีรูปแบบในทำนองเดียวกับคน คือ จะออกผลเต็มที่เมื่ออายุ 12-13 ปี และให้ผลจนอายุ 60 ปี จากนั้นก็หยุดและตายเมื่ออายุตั้งแต่ 80-90 ปี โดยต้นที่ได้ปุ๋ยดีจะให้ผลตั้งแต่ 70-120 ลูก/ปี อนึ่งเวลาเก็บผลชาวสวนมักคอยจนผลตกจากต้น
       
       ในบทบาทที่เป็นอาหารนั้น ชาวสวนพบว่าเวลาเอามีดตัดปลายจั่นมะพร้าว แล้วนำไปนวดจะมีน้ำหวานไหลออกมา ซึ่งน้ำหวานนี้สามารถนำไปทำน้ำตาล ดื่ม หรือทำเหล้าได้ น้ำมะพร้าวสามารถใช้รับประทานสดได้ส่วนเนื้อมะพร้าวสดใช้ปรุงอาหาร ทำขนม หรือน้ำมัน สำหรับกากมะพร้าวใช้เป็นอาหารสัตว์ และยอดอ่อนใช้เป็นอาหาร
       
       นักโภชนาการยังได้พบอีกว่า เนื้อมะพร้าวมีคาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไขมัน ไยอาหาร แคลเซียม โปแตสเซียม เหล็ก วิตามิน A. B1, B2 และ C สำหรับบทบาทที่เป็นยา แพทย์ชาวบ้านก็ได้พบว่า เปลือกต้นมะพร้าวเมื่อนำมาเคี้ยว สามารถใช้เป็นยาแก้ปวดฟันได้ ส่วนเถ้าที่เกิดจากการเผาลำต้น ก็สามารถนำมาทำยาสีฟันได้ ดอกมะพร้าวใช้เคี้ยวแก้เจ็บปาก เจ็บคอ ท้องเสีย ร้อนใน กระหายน้ำ ขับเสมหะ และบำรุงโลหิต เนื้อมะพร้าวมี glycerine ที่ทำหน้าที่บำรุงกำลัง ขับปัสสาวะ เป็นอาหารคาว หวาน ใช้ทำกะทิ ทำสบู่ น้ำมะพร้าวใช้แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้พิษ น้ำมันมะพร้าวใช้ยาบำรุงกำลัง ทำไขมัน ทำเนยเทียม แก้ปวดกระดูก ถ่านกะลาใช้ดูดควันพิษ รากมีรสฟาก แก้ท้องเสีย ทำน้ำอมปาก แก้เจ็บคอ ใบใช้มุงหลังคา จักสาน ห่อขนม ก้านใบใช้ทำไม้กวาด หมวก กระเป๋าถือ ตะกร้า ไม้จิ้มฟัน ทำไซดักปลา ไม้กลัด ทำของเล่นเด็ก กะลาใช้ทำจาน แก้วน้ำ ซ้อน มีด ที่เขี่ยบุหรี่ ของที่ระลึก ทำกระดุมและหัวเข็มขัด ลำต้นแก่ใช้ประดิษฐ์เป็นเครื่องเรือน เป็นวัสดุก่อสร้าง ที่อาศัย เก้าอี้ เตียง ฟูก เปลือกมะพร้าวใช้สกัดเป็นใย ใชทำเชือก พรม วัสดุยัดเบาะ ในสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 แพทย์ทหารใช้น้ำมัดมะพร้าว ต่างสารละลาย glucose เพื่อฉีดเข้าเส้นเลือดของทหาร
       คุณประโยชน์ที่มหาศาลเช่นนี้ ได้ทำให้ชาวฟิลิปปินส์ชื่นชมและยกว่า มะพร้าวว่าเป็นพฤกษาแห่งชีวิต
       
       สำหรับคนไทยก็เชื่อว่า มะพร้าวเป็นไม้มงคล จึงนิยมปลูกทางทิศตะวันออกของบ้าน เพราะคิดว่าจะทำให้เจ้าของบ้านอยู่เย็นเป็นสุข ในพิธีเทศกาลชาวบ้านมักใช้ใบตกแต่งซุ้ม แห่ขันหมาก คนภาคใต้นิยมให้หญิงมีครรภ์ดื่มน้ำมะพร้าว เพราะเชื่อว่าสามารถทำให้ประจำเดือนหยุดก่อนวัยอันควร แต่คนภาคกลางนิยมให้สตรีมีครรภ์ดื่มเพราะเชื่อว่า จะทำให้ผิวทารกที่คลอดใหม่สดใส และคนที่เป็นแม่จะคลอดลูกได้สะดวก นอกจากนี้ คนบางคนยังเชื่ออีกว่า น้ำมะพร้าวที่สะอาด จะสามารถใช้อาบศพได้ด้วย
       
       ในบทบาทที่เกี่ยวกับความงามโดยทั่วไป ที่หาดเวลาลมพัดเบา ๆ ใบมะพร้าวจะโบกไปมา และส่งเสียงเบา ๆ ลำต้นที่ตั้งตรงทำให้ดูเสมือนต้นมะพร้าวกำลังเต้นบัลเลท์ หรือเวลาพระอาทิตย์ตกดินในบรรดาหาดทรายขาวซึ่งมีน้ำทะเลสีน้ำเงิน คงไม่มีหาดใดที่สวยงามเท่าหาดที่มีทิวมะพร้าวขึ้นเรียงรายตามชายหาดเป็นแน่
       
       ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมานี้ มะพร้าวจึงสมควรที่ได้ชื่อว่า เป็นต้นไม้แห่งชาติฟิลิปปินส์ เพราะในชาติทุกคนผูกพันกับมะพร้าวมาก และใครก็ตามที่นับดาวได้ทั่วฟ้า เขาก็จะรู้ประโยชน์ของมะพร้าวได้มากเท่านั้น
       
       ในวารสาร Current Biology ฉบับที่ 19 หน้า R1069 ปี 2010 Julian Finn แห่ง Museum Victoria ที่ Melbourne ใน Australia ได้รายงานว่า ปลาหมึก Amphioctopus marginatus ที่มีหนวดขนาด 8 เส้น รู้จักใช้กะลามะพร้าวเป็นเกราะกำบังตัว นี่เป็นหลักฐานชิ้นแรกของโลก ที่แสดงว่า สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังก็รู้จักใช้อุปกรณ์ เพราะนักชีววิทยาคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่รู้จักใช้อุปกรณ์เป็นสัตว์ฉลาด เช่น มนุษย์ ลิง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และนก ต่างก็รู้จักใช้อุปกรณ์เช่นกัน ดังนั้นตามคำจำกัดความนี้ ปลาหมึก ที่ใช้กะลามะพร้าวปกป้อง และเป็นที่อยู่โดยการแฝงตัวในกะลาครึ่งซีกจึงเป็นสัตว์ฉลาด เพราะเวลาศัตรูเข้ามาใกล้ ปลาหมึกจะพลิกตัวเข้าไปในกะลาให้หุ้มเพื่อปกป้องตัวมันและเมื่อศัตรูเดินไป ไกลแล้ว มันก็จะทิ้งกะลาไปเพื่อจะได้ใช้ในกะลานั้นให้หุ้มปกป้องมันโอกาสต่อไป
       
       ณ วันนี้ น้ำมะพร้าวกำลังเป็นที่นิยมดื่มในอเมริกามาก หลังจากที่ดาราดังเช่น Madonna, Matthew McConaughey และ Demi Moore ได้ออกมาสนับสนุน ว่า น้ำมะพร้าวที่บรรจุในกล่องกระดาษของบริษัท Vita Coco เป็นน้ำดื่มสุขภาพที่ควรได้รับความนิยม เพราะมีแคลอรีน้อยและมีสารอาหารเช่นโปแตสเซียม มากกว่ากล้วย อีกทั้งมีน้ำตาลน้อยกว่า น้ำอัดลมทั่วไป ดังนั้น จึงสามารถใช้ดื่มสำหรับคนที่เป็นโรคอ้วนได้
       
       สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.

.


http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9530000156291

.




.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2010, 09:18:03 pm »
กระเจี๊ยบแดง-พุทราจีน ลดไขมันในเลือด




‘มุมสุขภาพ-กินดี’ ส่งท้ายวันทำงานก่อนไปหยุดพักผ่อน ด้วยเมนูเครื่องดื่มสุขภาพ ‘น้ำกระเจี๊ยบแดงและพุทราจีน’ ที่ช่วยลดไขมันในเลือด หินปูนในหลอดเลือด และบำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ เผื่อผู้อ่านรักษ์สุขภาพจะได้นำไปลองปรุงดื่มกันดู

สำหรับสรรพคุณของกระเจี๊ยบแดงนั้น ช่วยลดไขมันในหลอดเลือด ลดความดันเลือด ลดความข้นในกรณีที่เลือดหนืด ป้องกันเส้นเลือดเสื่อมสภาพ ช่วยให้ตับหลั่งน้ำดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ และลดน้ำหนัก ส่วนพุทราจีน มีประโยชน์ช่วยบำรุงเลือด ลดโอกาสเสี่ยงผนังเส้นเลือดแข็งตัว ป้องกันหลอดเลือดหัวใจและสมองตีบตัน

ขั้นตอนในการทำง่ายแสนง่าย เพียง เตรียมกระเจี๊ยบแดง พุทราจีน ในสัดส่วนที่เท่ากัน จากนั้นนำไปต้มกับน้ำสะอาดในปริมาณที่พอเหมาะ เติมน้ำตาลทรายแดงลงไปเล็กน้อย เมื่อน้ำตาลทรายแดงละลายก็เป็นอันเสร็จ สามารถเติมน้ำแข็งเพื่อเพิ่มความสดชื่นและดื่มได้ทันที หรือแช่ตู้เย็นเก็บไว้ดื่มได้.

takecareDD@gmail.com

http://www.dailynews.co.th/newstartp...ntentId=106394

.


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2010, 09:13:26 am »
น้ำมะเขือเทศ ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         นัก วิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษเผยสรรพคุณสุดมหัศจรรย์ของน้ำมะเขือเทศ ว่าเป็นผลไม้ที่สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูก และป้องกันโรคกระดูกพรุนได้

         โดยในมะเขือเทศนั้น มี ไลโคพีน และสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย และป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วย

         ซึ่ง นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต แคนาดา ได้ทำการวิจัยและพบว่า ปัจจุบันนี้มีผู้ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนกว่า 3 ล้านคนทั่วประเทศอังกฤษ จึงได้ทำการทดสอบกับผู้หญิงวัยทอง (50-60 ปี) จำนวน 60 คนทั่วประเทศ โดยให้พวกเธองดกินมะเขือเทศเป็นเวลา 1 เดือน และจากการวิจัยดังกล่าว ให้ผลออกมาว่า ผู้หญิงที่ไม่ได้กินมะเขือเทศเลย จะมีระดับ N-telopeptide ในเลือดสูงขึ้น โดย N-telopeptide นี้จะทำให้กระดูกเปราะได้ง่าย

         จากนั้น ทีมวิจัยได้ให้ผู้หญิงกลุ่มเดิมรับประทานมะเขือเทศที่มีปริมาณไลโคพีน 15 มิลลิกรัม ทั้งในรูปแบบแคปซูล และรูปแบบอื่น ๆ ซึ่งผลก็พบว่ามะเขือเทศสามารถลดระดับ N-telopeptide ในเลือดให้ลดลงได้

         จากการวิจัยดังกล่าว นักวิจัยจึงสรุปได้ว่า มะเขือเทศนั้นมีคุณประโยชน์ต่อกระดูกมากมาย ดังนั้น การรับประทานมะเขือเทศสกัดในรูปแคปซูล หรือจะเป็นน้ำมะเขือเทศคั้นสดวันละ 2 แก้ว ก็สามารถเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงขึ้น และยังลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย

http://health.kapook.com/view19008.html

.



.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)