ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129465 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #100 เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2012, 10:00:24 am »
การเตรียมหมักเนื้อต่างๆ
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7026.0.html-

การเตรียมหมักเนื้อต่างๆ
หมูกะทะ

1. วิธีที่1 ให้ใช้หมูหมักกับไข่ ผสมเกลือนํ้าตาลและนํ้าปลาให้เข้ากัน
เอาหมูไปผสมกับเกลือนํ้าปลานํ้าตาลที่ผสมแล้ว ก็จะออกมาเป็น
หมูหมักที่แสนอร่อย เก็บไว้นานโดยแช่เย็นห้ามเกิน 2วันนะค่ะ

2. วิธีที่2 MK SUKI ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าจะหมักหมูให้นุ่ม
ควรใส่แป้งมันเล็กน้อย น้ำสะอาด ซอสปรุงรส ซีอิ้ว และน้ำตาล
หมักไว้อย่างน้อย 3 ชม . ในช่องของตู้เย็นที่ไม่เย็นมากนัก


เนื้อ หมูจะนุ่มโดยไม่ต้องพี่งสารเคมี (ผงหมักหมู) สะอาดมาที่ 1 ตาม
มาด้วยโภชนการ ความอร่อยและน่ารับประทานจ๊ะ เห็นชาวต่างชาติ
บางคนใส่โค๊ก หมักใส่เครื่องปรุงแบบคุณหมึกหมดและเติมน้ำมันงา
ลงไปด้วยนะคะ แบบ MK เลยค่ะ แต่จิ๊กกี๋จะหมักทิ้งไว้1คืนนะค่ะ จ
นุ่ม เคี้ยวหนึบหนับแต่ไม่เหนียวเลย


3. วิธีที่3 หมักน้ำสับปะรดค่ะ หมูจะนิ่มระทดระทวย อร่อยด้วย ลดเวลา
ที่หมักหมูในน้ำสับปะรดลง เพียงแค่สักสองชั่วโมงก็พอแล้วล่ะค่ะ ขี้น
อยู่กับหมูที่คุณใช้ด้วย ว่าเหนียวมากน้อยเท่าใด ?


4. วิธีที่4 หมักหมูให้นุ่มก็ต้องใช้นำมันช่วยค่ะ โดยส่วนใหญ่ก็ใช้นำมัน
งาแต่ถ้าไม่ชอบกลิ่นมันก็เปลี่ยนเป็นนำมันพืชแทนก็ได้นะคะ หรือไม่ก็
ใช้ไข่ไก่หมักก็ได้ จะให้ดีต้องหมักค้างคืนค่ะ รับรองนุ่มแน่นอน


5. วิธีที่ 5 หมักง่ายๆก็ใส่ไข่ขาวลงไป ตามด้วยแป้งมัน แป้งข้าวโพดอย่าง
ละช้อน เติมน้ำมันงาลงไป แต่ถ้าต้องการเอาไปทำอาหารที่ไม่อยากให้มี
กลิ่นน้ำมันงา ก็เติมน้ำมันพืชนี่ค่ะลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน จะหมักไปกับ
น้ำปลา ซี อิ๊ว น้ำตาล หรืออะไรก็ตามต้องการได้เลยค่ะ


6. วิธีที่6 หมูหมักกับซีอิ้วขาว น้ำมันพืช น้ำมันหอย นมสด(สุดยอดแล้ว)


7. วิธีที่7 สูตรของหมึกแดงทีมค่ะ ไก่หรือหมู 1 กก.


ส่วนประกอบ
1. ไก่, หมู 1 kg.
2. แป้งข้าวโพด 10 gm.
3. โซเดียมไบคาร์บอเนต 10 gm.
4. MSG PLUS (ผงชูรสจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้0.5gm.
5. ซีอิ๊วขาว 20 gm.
6. น้ำมันงา20gm.
7. น้ำเย็น 100 gm.

วิธีทำ
1. หั่นหมูหรือไก่ให้เป็นชิ้น
2. นำส่วนผสมที่ 2+3+4 ผสมให้เข้ากัน นำไปละลายในน้ำเย็น
3. ชั่งส่วนผสมที่ 5+6 ผสมให้เข้ากันทั้งหมดที่ทำมาข้างต้น
4. หมักทิ้งไว้ 1 ชม.
5. นำไปประกอบอาหาร





น้ำจิ้มหมูกะทะ (สูตร1)
1. พริกขี้หนูสับละเอียด 3 ชต.
2. งาขาวคั่ว 2 ชต.
3. น้ำตาลทราย 5 ชต.
4. นำส้มสายชู 5 ชต.
5. รากผักชี 2 ชต.
6. กระเทียม 3 ชต.
7. มะนาว 2 ชต.
8. เกลือ 1 ชต.


น้ำจิ้ม หมูกระทะ (สูตรสอง)
1.กระเทียม 2หัว
2.พริกขี้หนูตามชอบ
3.งาคั่ว
4. ซ๊อสพริกยี่ห้อที่ชอบ 200cc.กะๆเอา
5. น้ำตาลทราย
6.ชีอิ้วขาว
7.น้ำมะขามเปียก(น้ำส้มสายชูก็ใด้)
ทั้งหมดปั่นในเครื่อง ผสมอาหาร ชิมดูตามชอบ
ใด้ที่อย่าลืมผักชีสับนะคะ


น้ำจิ้มหมูกระทะ (สูตรสาม)
1.ซ้อสพริกศรีราชา 1 ช้อนโต๊ะ
2.ซ้อสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ
3.ซ้อสถั่วเหลือง 1 ช้อนชา
4.เต้าหู้ยี้ 1 ก้อน
5.ผงชูรส (ตัวเลือก) 1 ช้อนชา
6.พริกไทยป่น และผงพะโล้ นิดหน่อย
7.นำส่วนผสมทั้งหมด ตั้งไฟจนเดือด พักไว้


น้ำจิ้มหมู่กระทะ (สูตรสี่)
1.ซอสมะเขือเทศ
2.พริกขี้หนู
3.ข่า
4.รากผักชี
5.มะนาวเล็กน้อย
6.เกลือ
7.น้ำตาล
ผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน จะตำหรือจะปั่น
ก็แล้วแต่ความสะดวก ปรุงรสตามชอบใจ
โรยหน้าด้วยผักชีซอยละเอียด และงาขาว ก็เป็นอันกินได้


โดยคุณ me_mokarubbie

***ที่มา: นายเหลือง.คอม www.9leang.com

.


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #101 เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2012, 10:01:50 am »
การหมักเนื้อสเต็กให้นุ่มอร่อย

-http://hilight.kapook.com/view/27211-

วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ขอเสนอวิธีหมักเนื้อสเต็กให้นุ่มอร่อย...หากเดินไปถามร้านของชำ ว่าทำยังไงให้เนื้อสเต็กนุ่ม เขาก็อาจจะแนะนำให้ใช้ ผงทำให้เนื้อเปื่อย หรือผงเนื้อนุ่ม ซึ่งผงดังกล่าว ก็คือ โซดาผง ที่ทำให้เนื้อสัตว์นุ่มได้ แต่ประสิทธิภาพอาจมีมากกว่านั้น ก็คือทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร และลำไส้ เปื่อยนุ่มไปด้วย

วิธีทำให้เนื้อสเต็กนุ่ม คือ เริ่มจากซื้อเนื้อแล้ว (จะเนื้อหมูหรือเนื้อวัวก็ได้) และก็อย่าลืมแวะไปซื้อสัปปะรดด้วย ถ้าขี้เกียจปอกจะเอาแบบ ที่เค้าปอกแล้วก็ได้ เวลาหมักก็ให้ใส่ น้ำสัปปะรดลงไปในน้ำหมักด้วย ในสัดส่วน น้ำสัปปะรด 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำหนักเนื้อ ประมาณ 1 กิโลกรัม หมักทิ้งไว้ประมาณ 5 ชั่วโมง และใส่กล่องปิดฝาเข้าตู้เย็นช่องธรรมดา

เพียงเท่านี้ก็จะมีเนื้อสเต็กที่นุ่มไว้ทานกันแล้ว และถ้าทานไม่หมด ก็ให้ใส่ถุงพลาสติก เรียงเข้าช่องแช่แข็งไว้ เวลาจะใช้ก็ค่อยเอาออกมา

รู้อย่างนี้แล้วต้องลองทำดู !


ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #102 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2012, 06:52:52 pm »

7 ยอดอาหารคุณประโยชน์สูงที่ควรเลือกทาน
-http://men.kapook.com/view44421.html-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ในโลกของเราใบนี้มีอาหารมากมายที่ให้คุณได้เลือกสรรที่จะทาน แต่ความคิดในการเลือกอาหารที่มีประโยชน์เพื่อมาใส่ท้องของคุณมักจะถูกมองข้ามเสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีอาหารแปลกใหม่เกิดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย ให้ได้เลือกชิมลิ้มรสกันจนลืมนึกถึงสารอาหารที่อยู่ในสิ่งที่คุณรับประทาน ดังนั้นเราจึงขอแนะนำอาหาร 7 ชนิดที่คุณคุ้นเคยและควรเลือกทานดังนี้




ไข่

          ไข่ คืออาหารที่ให้พลังงานโปรตีนที่ดีสุด ซึ่งมีโคลีนและสารต้านอนุมูลอิสระมากมายที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งทรวงอกและโรคทางประสาทตา ผู้คนมักไม่ชอบทานไข่เพราะเชื่อว่ามีคลอเรสเตอรอลสูงเกินไปนั้นเป็นความเชื่อที่ผิด การทานไข่ 1 ฟองต่อวัน ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยให้สุขภาพผิวหนังและผมดีขึ้น แต่สำหรับผู้มีปัญหาด้านหัวใจควรทานเพียง 2 ฟองต่อสัปดาห์เท่านั้น




นม

          ถ้าคุณเป็นคนชอบดื่มนมตั้งแต่สมัยเด็กแล้วล่ะก็ยิ่งดีมาก เพราะในนมนั้นอุดมไปด้วยแคลเซียมและไม่ทำให้อ้วน (หากดื่มแบบพร่องมันเนย) สำหรับผู้สูงอายุสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนและไขข้อต่าง ๆ ได้ด้วย ฉะนั้นควรหันมาดื่มนมทุกวันทั้งตอนเช้าและก่อนนอน เพียงเท่านี้คุณก็ได้รับสารอาหารที่ร่างกายต้องการแล้ว



ปลาแซลมอน

          ปลาแซลมอนนั้นเป็นอาหารจากธรรมชาติที่มีคุณค่าสูงมาก อุดมไปด้วยวิตามินดี และโอเมก้า 3 และยังมีกรดไขมันจำเป็นที่ช่วยลดคลอเรสเตอรอล บำรุงหัวใจ ช่วยให้ผิวพรรณดี แก้โรคไขข้อ ช่วยลดน้ำหนักและบำรุงสมอง อีกทั้งยังย่อยช้าซึ่งทำให้คุณอิ่มได้นานขึ้น ถือเป็นสุดยอดอาหารแคลลอรี่ต่ำได้เลย



ถั่ว

          ยากจะหาอาหารใดที่มีคุณค่าได้เทียบเท่ากับถั่ว ซึ่งมากไปด้วยไฟเบอร์ โปรตีน แคลเซียม แมกนีเซียม และโปแตสเซียม นอกจากนี้ถั่วยังถือเป็นอาหารที่คุณสามารถทานเล่นได้ และมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะสามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ โดยการทานถั่วที่มีมากมายหลายชนิดในโลกนี้เพียงแต่ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เท่านี้ก็ได้คุณค่าทางอาหารที่คุณต้องการ



ข้าวโอ๊ต

          ข้าวโอ๊ตมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและโรคเบาหวาน ที่สำคัญยังจัดว่าเป็นอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการมาก ซึ่งอุดมไปด้วยไฟเบอร์ โดยข้าวโอ๊ตเป็นอาหารที่ช่วยรักษาเบาหวานในขั้นที่สองง่ายที่สุด การทานข้าวโอ๊ตปราศจากน้ำตาลคู่กับโยเกิร์ตและผลไม้ในตอนเช้า ถือว่าเป็นยอดอาหารรสเลิศที่ให้ประโยชน์เป็นอย่างดี



น้ำมันมะกอก

          น้ำมันมะกอกจัดเป็นเครื่องปรุงชั้นเยี่ยมที่ช่วยรักษาโรคหัวใจได้ดี  พิสูจน์ได้เพราะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวและสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยป้องการเกิดโรคหัวใจและอัลไซเมอร์ การทำอาหารโดยใช้น้ำมันมะกอกไม่ได้ช่วยแค่ทำให้อาหารอร่อยเท่านั้น แต่ยังช่วยในการดูดซึมของสารเบต้าแคโรทีนอีกด้วย



ผลอะโวคาโด

          บางคนอาจคิดว่าผลอะโวคาโดนี้ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายเท่าไหร่นัก ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดถนัด เพราะในผลอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี โฟเลทและโปแตสเซียม ทั้งนี้ อะโวคาโดยังสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและตาบอดได้ ทานสด ๆ หรือใส่คู่กับสลัดนอกจากจะทำให้รสชาติดีขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มการดูดซึมของสารเบต้าแคโรทีนได้เช่นกัน

          อาหารทั้ง 7 ชนิดนี้ถือว่าเป็นยอดอาหารที่ไม่เพียงแต่มีรสชาติอาหารแสนอร่อยอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางอาหารมากมายที่ช่วยรักษาและป้องกันโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย ขอเพียงแค่คุณเลือกรับประทานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เชื่อได้เลยว่าคุณจะมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง และไม่มีโรคภัยถามหาไปอีกนาน


http://men.kapook.com/view44421.html

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #103 เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2012, 09:54:42 pm »
อร่อยที่สุดในโลก “เป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์” คู่ขวัญเมืองลอนดอน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
30 กรกฎาคม 2555 17:51 น.    

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000092637-



     เพื่อเป็นการต้อนรับมหกรรมกีฬาของมนุษยชาติ โอลิมปิก ลอนดอน 2012 “108 เคล็ดกิน” ก็ขอเกาะกระแสกับเขาบ้าง ด้วยการพาไปทำความรู้จักกับ “เป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์” ที่อยู่เป็นคู่ขวัญของกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มากว่า 20 ปีแล้ว
       
       สำหรับคนไทยนั้น(โดยเฉพาะบรรดาเศรษฐี นักการเมือง) ใครๆ ก็ว่า หากไปถึงลอนดอนแล้ว ก็ต้องไปลิ้มลองเป็ดย่างที่ร้านโฟร์ซีซั่นส์ให้ได้ มิเช่นนั้นจะถือว่าไปไม่ถึงเป็นเด็ดขาด ด้วยการรับประกันจาก “หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์” ที่ยกย่องให้เป็ดย่างที่โฟร์ซีซั่นส์ เป็น “เป็ดย่างที่อร่อยที่สุดในโลก” แต่เรื่องนี้ก็แล้วแต่ลิ้นของแต่ละคน ลางเนื้อชอบลางยา “108 เคล็ดกิน” คงจะรับประกันไม่ได้ว่าอร่อยถูกปากทุกคนหรือไม่
       
       ปัจจุบัน เป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์ มีอยู่ 3 สาขา ในกรุงลอนดอน ส่วนใครที่ไม่อยากบินไปไกล ก็ยังมีสาขาอยู่ที่ประเทศไทยอีก 2 สาขา ด้วยกัน คือที่สยามพารากอนและที่เมกะ บางนา ซึ่งก็เหมือนกับยกเป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์ที่ลอนดอนมาไว้ที่กรุงเทพฯ เลยทีเดียว เพราะมีการควบคุมคุณภาพและรสชาติตามแบบต้นฉบับ
       
       เป็ดย่างของโฟร์ซีซั่นส์นั้น ผ่านการคัดเลือกสายพันธุ์เป็ด หมักกับเครื่องเทศ จากนั้นก็นำไปผ่านกรรมวิธีการย่าง แล้วก็จะเสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำราดเป็ดสีออกน้ำตาลเข้มๆ หรือสีดำ ซึ่งวิธีทำทั้งเป็ดย่างและน้ำราดเป็ดนั้นถือว่าเป็นเคล็ดลับเฉพาะของทางร้าน
       
       นอกจากจะกินเนื้อนุ่มๆ หนังกรอบๆ ของเป็ดย่าง ที่ร้านโฟร์ซีซั่นส์ ก็ยังขายอาหารจีนประเภทอื่นๆ อีกด้วย

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #104 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2012, 06:45:06 am »
.

4 สุดยอดสมุนไพรจีนสารพัดประโยชน์อันน่าทึ่ง
-http://men.kapook.com/view44943.html-



4 สุดยอดสมุนไพรจีนสารพัดประโยชน์อันน่าทึ่ง (Men's Health)
เรื่อง TA dynamic

          ใบแปะก๊วย หรือเห็ดหลินจือทุกวันนี้ชื่อเหล่านี้อาจไม่ได้แปลกหูอะไร แต่ถ้าหากคุณเบื่อการพล่ามสรรพคุณแบบครอบจักรวาล ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ครั้งนี้เราจะสกัดเน้น ๆ ให้เห็นกันว่า แท้จริงแล้วอะไร คือไม้เด็ดที่ทำให้ "จตุรเทพ" ในตำนานได้ใจโลกสุขภาพยุคใหม่ไปเต็ม ๆ



ใบแปะก๊วย

          ชื่ออื่น ๆ: กิงโกะ ไบโอบา (Gingko Biloba) มรดกสำคัญจากการแพทย์แผนจีนตั้งแต่หลายพันปีที่แล้ว ทุกวันนี้สารสกัดจากใบแปะก๊วยได้กลายเป็นอาหารเสริมสมุนไพรที่ติดท็อปชาร์ตของชาวอเมริกันและชาวยุโรป ในแง่การกระตุ้นความจำและลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมหลายชนิด แต่ เจ้ากิงโกะยังมีทีเด็ดอื่น ๆ อีกด้วย จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ปัจจุบันแพทย์ในแถบประเทศยุโรปได้นำสารสกัดจากใบแปะก๊วยเข้ามาช่วยในการรักษาโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral Artery Disease หรือ PAD) ที่ทำให้มีอาการเจ็บหรือปวดเท้าเวลาเดิน รวมถึงปวดขา และเป็นตะคริวบ่อย ๆ โรคนี้หนุ่ม ๆ ที่มีน้ำหนักมาก ติดบุหรี่ หรือความดันโลหิตสูง ต้องระวังให้ดีนะครับ

          ด้วยคุณสมบัติในการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ขยายหลอดเลือด ทำให้มีการพูดถึงคุณสมบัติในการเสริมสมรรถภาพทางเพศ (ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ในสหรัฐฯ ระบุว่าต้องใช้สารสกัดจากใบแปะก๊วย 50-100 มิลลิกรัมต่อวัน จึงอาจมีผลดังกล่าว) ใบแปะก๊วยยังเป็นที่ยอมรับในเรื่องของการลดอนุมูลอิสระตัววายร้ายบ่อนทำลายเซลล์ในร่างกายเราจนถึงระดับดีเอ็นเอ นั่นหมายถึงช่วยลดความเสี่ยงตั้งแต่โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และหลอดเลือด จอประสาทตาเสื่อม รวมถึงความถดถอยของสมอง ถึงผลการศึกษาพบว่า แม้จะได้รับสารสกัดจากแปะก๊วยเต็มอัตราที่แนะนำต่อวัน (120 มิลลิกรัม) ต่อเนื่องหลายปี ก็จะไม่สามารถ “ฟื้นฟู” อาการสมองเสื่อมในผู้ป่วยสูงอายุได้ แต่คุณสมบัติที่หาตัวจับยากของกิงโกะในการกระตุ้นหลอดเลือด และปกป้องเซลล์ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มันเป็นหนึ่งในสุดยอดจอมยุทธในศึกสุขภาพของผู้คนยุคนี้





 เก๋ากี้

          ชื่ออื่น ๆ: โกจิเบอร์รี่ (Goji Berry) หรือวูล์ฟเบอร์รี่ (Wolfberry) ลูกเกดสีแสดที่พบเห็นได้ไม่ยากในหลากเมนูเด็ดย่านเยาวราช เก๋ากี้ เบอร์รี่แห่งเอเชียที่กำลังมาแรงสุด ๆ ผลตากแห้งสามารถนำมาทานเล่น ใส่ในเมนูอาหารตำรับไทย จีน และฝรั่ง หรืออาจมาในรูปของน้ำผลไม้ ทุกวันนี้เก๋ากี้ถูกตอกหมุดให้เป็นหนึ่งใน "ซูเปอร์ฟู้ด" ด้วยทีเด็ดอย่างวิตามินซี  วิตามินเอ และสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มแคโรทีนอยด์ อย่างเบต้าแคโรทีนที่อัดแน่น มีการนำงานวิจัยของสถาบันวิจัยโภชนาการปักกิ่งในปี ค.ศ. 1988 มากล่าวอ้างกันอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับการค้นพบ (ที่ยังไม่มีการรับรอง และมีการถกเถียงโจมตี) ว่าผลเก๋ากี้ตากแห้งนั้นเมื่อเทียบจากน้ำหนักที่เท่ากัน จะให้เบต้าแคโรทีนสูงกว่าแครอท และมีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึงห้าร้อยเท่า ซึ่งวิตามินซีนั้นทุกวันนี้เรารู้กันดีว่าเป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงอานุภาพในด้านคงความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารที่สำคัญมากมาย ช่วยป้อนออกซิเจนใส่เกียร์ความแรงในการออกกำลังกาย แถมยังลดอาการปวดเมื่อยหลังออกกำลังกาย

          เมื่อศึกษาวัดค่า ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) หรือค่าประสิทธิภาพในการดูดจับอนุมูลของออกซิเจน ซึ่งเป็นวิธีที่พัฒนาโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทัฟส์ เมืองบอสตัน พบว่า โกจิเบอร์รี่ให้ค่า ORAC สูงกว่าบรรดาเบอร์รีที่โดดเด่นด้านสารต้านอนุมูลอิสระ อาทิ บลูเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ หรือแครนเบอร์รี่ อยู่หลายช่วงตัว การศึกษาในประเทศญี่ปุ่นชี้ว่า การรับประทานโกจิเบอร์รี่ประมาณ 10-30 กรัม ต่อวันถือว่ากำลังดี ส่วนศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ผู้โด่งดังอย่าง คริส คิลแฮม ในรัฐแมสซาซูเซตส์ กล่าวกับนิตยสาร Growing สหรัฐฯ ว่า แน่นอนว่าไม่ได้รักษาทุกโรค แต่ต้องยอมรับว่าโกจิเบอร์รี่ถือเป็น "สุดยอดในด้านสารต้านอนุมูลอิสระโดยเฉพาะสารซีแซนทีนที่ดีอย่างมากต่อดวงตา





 เจียวกู่หลาน

          ชื่ออื่น ๆ: เรียกทับศัพท์เป็นสากลว่า เจียวกู่หลาน (Jiaogulan) ในบ้านเราอาจเรียก ปัญจขันธ์ เมื่อปี ค.ศ. 1976 แพทย์ชาวญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยฮิริมา กำลังง่วนกับการควานหาพืชที่สามารถให้ความหวานแทนน้ำตาลได้  แต่กลับไปสะดุดตาพืชเถาที่ไม่ได้มีหน้าตาเหมือนหรือเกี่ยวข้องใด ๆ กับโสม แต่กลับมีสารเคมีสำคัญหลายชนิดที่คล้ายคลึงกับโสม แถมยังดูเหมือนจะเด็ดกว่า เรื่องของน้ำตาลในเจียวกู่หลานจึงชะงักอยู่เพียงเท่านั้น เมื่อพบสิ่งที่ใหญ่โตกว่ามีการขนานนามว่าเจียวกู่หลานคู่ "พืชแห่งความอมตะ" บ้างก็เรียก "น้ำพุแห่งความเยาว์วัย" สารสำคัญในเจียวกู่หลานอย่างซาโปนินที่พบมากกว่าโสมเกือบ 4 เท่าตัว พบว่ามีบทบาทในการควบคุมเกื้อหนุนการทำงานของร่างกายหลายด้านให้ดำเนินไปอย่างปกติ ที่สนใจกันมากคือการควบคุมความดันโลหิต และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ดูเหมือนว่าเจียวกู่หลานกับสารซาโปนินจะถูกพูดถึงในงานวิจัยหลายร้อยชิ้นทั่วโลก

          การที่เจียวกู่หลานมีบทบาทต่อระบบการทำงานที่สำคัญ ๆ ของร่างกาย โดยมีงานวิจัยยืนยันขยายวงกว้าง ทำให้กลายเป็นน้องใหม่ไฟแรงที่ติดในสมุนไพรกลุ่มปรับสมดุล หรือ Adaptogen (เช่นเดียวกับเห็ดหลินจือและใบแปะก๊วย) ซึ่งหมายถึงสมุนไพร ที่ช่วยให้ระบบประสาทและร่างกายยืนหยัด ตั้งรับภาวะตึงเครียดที่เกิดจากสิ่งเร้าแย่ ๆ ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นความเครียด มลภาวะการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และอายุที่เพิ่มขึ้น ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุของสภาพร่างกายที่โรยราก่อนวัย รวมถึงโรคร้ายต่าง ๆ สมุนไพรชนิดนี้มักใช้ชงเป็นชา หรือมาเป็นสารสกัดในรูปแบบเม็ด ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ประเทศไทย ศึกษาพบว่าการได้รับแคปซูลที่มีสารสกัดจิบเปโนไซด์ (Gypenosides สารกลุ่มซาโปนิน) จากเจียวกู่หลาน 40 มิลลิกรัม วันละ 1-2 แคปซูล ติดต่อกัน 2 เดือน ไม่พบผลข้างเคียงใด ๆ




 เห็ดหลินจือ

          ชื่ออื่น ๆ: ในภาษาอังกฤษอาจพบสองคำ ได้แก่ Lingzhi หรือ Reishi เห็ดหลินจือถูกยกให้เป็น "ยาในร่างกายของเห็ด" การศึกษาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือดำเนินมาอย่างเข้มข้นหลายทศวรรษแล้ว มีงานวิจัยหลายพันชิ้นทั่วโลกเกี่ยวกับเห็ดชนิดนี้ที่ยังทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่พบว่าเห็ดหลินจือมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง และช่วยกระตุ้นการตอบสนองต่อการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง รวมถึงการปกป้องหัวใจและหลอดเลือดล่าสุดมีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการสหราชอาณาจักร ซึ่งย้ำผลของเห็ดหลินจือสกัดในการลดไขมันร้ายอย่างไตรกลีเซอไรด์ (ที่มาจากการกินไขมันสัตว์ หรือไม่ออกกำลังกาย) ขณะที่เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดีหรือ HDL ให้สูงขึ้น ในกลุ่มตัวอย่างที่มีความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงและคอเลสเตอรอลสูง

          เห็ดหลินจือ รวมถึงเห็ดที่เพิ่งมาฮิตในเมืองไทย อย่างเห็ดไมตาเกะและเห็ดชิตาเกะ อุดมไปด้วยเบต้ากลูแตน โมเลกุลน้ำตาลเชิงซ้อน ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างสูงด้านการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย พร้อมควบคุมไม่ให้ภูมิคุ้มกันทำงานเกินพอดีจนทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง สารไตรเทอร์ปินอยด์ในเห็ดหลินจือยังช่วยกระตุ้นการทำงานของตับในการกำจัดสารพิษ และยังมีการพูดถึงประโยชน์ในการลดภาวะอุดตันของทางเดินปัสสาวะในเพศชายอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้ผลในด้านการต้านภูมิคุ้มกัน ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ในสหรัฐฯ แนะนำว่าคุณควรได้รับจากสารสกัดเม็ด 150-300 มิลลิกรัม 2-3 ครั้งในทุก ๆ วัน หรือแบบสกัดเข้มข้น ประมาณ 30-60 หยด 2-3 ครั้งต่อวัน



.












คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #105 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2012, 10:05:15 pm »
มาดูวิธีปลูกผักสวนครัวง่าย ๆ ที่คุณเองก็ทำได้

-http://home.kapook.com/view44743.html-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก วิกิพีเดีย

หากคุณเป็นคนที่มีใจรักในการปลูกต้นไม้ใบหญ้าและเป็นคนมือเย็น ปลูกอะไรก็ขึ้นก็งอกงามแล้วล่ะก็ เราขอแนะนำให้ปลูกผักสวนครัวกินเองเลยค่ะ เพราะบางต้นไม่เพียงนำมาประกอบอาหารได้เท่านั้น แต่ยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีมากด้วยนะคะ นอกจากนี้ บางต้นยังเหมาะกับการตกแต่งสวนหลังบ้านของเราด้วยค่ะ ส่วนจะเลือกผักหรือเลือกต้นไม้แบบไหนมาปลูกผักสวนครัวนั้น หลักการเลือกคือต้อง ปลูกง่าย ดูแลง่าย กินง่าย นะคะ ไม่ต้องซับซ้อนมาก เราจะได้มีเวลาดูแลยังไงล่ะคะ และวันนี้เราก็มีตัวเลือกผักสวนครัว พร้อมวิธีการปลูกผักสวนครัวแบบง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ จะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลยจ้า




1. ใบกะเพรา

สรรพคุณ

ใบกะเพราสด นำมาต้มให้เดือดและกรองเอาน้ำดื่ม เป็นยาแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง บำรุงธาตุ ขับผายลม แก้อาการจุกเสียดในท้อง นอกจากนี้ยังใช้ขับเสมหะ ขับเหงื่อ หรือ ใช้ทาภายนอกแก้โรค ผิวหนัง กลากเกลื้อนได้ สำหรับเมล็ดกะเพรามีสรรพคุณใช้พอกบริเวณตา ทำให้ผง หรือฝุ่น ละอองที่เข้าตาออกมาโดยไม่ทำให้ตาช้ำด้วย ส่วนรากที่แห้งแล้ว นำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ อย่างไรก็ตาม สรรพคุณสำคัญของใบกะเพรา ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้กันทั้งที่ใช้บริโภคกันอยู่ในชีวิตประจำวัน ก็คือ สรรพคุณขับไขมันและน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ตำรับอาหารไทยส่วนใหญ่มักมีใบกะเพราะเป็นส่วนผสมอยู่ด้วยนั่นเองค่ะ

วิธีการปลูก

วิธีการปลูกใบกะเพราก็ไม่ยากเลย เพียงแค่เริ่มจากเตรียมแปลงปลูก ก่อนหว่านเมล็ดลงไป แต่คุณอาจจะเริ่มจากการปักชำก้านที่เหลือจากการซื้อมาทำกับข้าวก็ได้นะคะ พอต้นโตออกดอก เมล็ดที่หล่นก็งอกต้นใหม่อีกหลายต้น หลังเพาะประมาณ 7 - 10 วัน เมล็ดเริ่มงอก พอผ่านไป 15 - 30 วัน จึงเริ่มใส่ปุ๋ยยูเรีย หรือแอมโมเนียมซัลเฟต 1- 2 ช้อนชาต่อน้ำ 10 ลิตร รดทุก 5 - 7 วันได้ สำหรับการรดน้ำ ให้รดน้ำอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอทุกวัน หลังปลูกไปประมาณ 30 - 35 วันก็เก็บกินได้แล้วค่ะ ส่วนเคล็ดลับที่จะทำให้ต้นกะเพราเก็บกินใบได้นาน ๆ ก็คือ อย่าให้ออกดอก พอออกดอกแล้วต้นจะโทรม อายุสั้น ถ้าออกดอกก็ให้หมั่นตัดทิ้งเป็นระยะ




2. โหระพา

สรรพคุณ

โหระพามีสรรพคุณทางยาสมุนไพรที่หลากหลาย ใบสดของโหระพามีสรรพคุณแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลมจากลำไส้ ต้มดื่มแก้ลมวิงเวียน ช่วยย่อยอาหาร แก้หวัด ขับเหงื่อ ถ้าเด็กปวดท้อง ใช้ใบโหระพา 20 ใบ ชงน้ำร้อนและนำมาชงนมให้เด็กดื่มแทนยาขับลมได้ ส่วนเมล็ดแก่ นำมาแช่น้ำตำพอกหรือประคบแก้ไขข้ออักเสบ แผลอักเสบ หรือ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะและยาระบายอ่อน ๆ เพื่อแก้อาการท้องผูก โดยนำเมล็ดแก่แช่น้ำให้พองตัวเต็มที่รับประทานกับขนมหวานโดยผสมกับน้ำหวาน และน้ำแข็ง นอกจากนี้ นำใบโหระพาแห้งมาบดเป็นผง ใช้รักษาอาการเหงือกอักเสบเป็นหนองได้

วิธีการปลูก

โหระพาเป็นพืชที่ปลูกครั้งเดียวสามารถเก็บเกี่ยวได้ 1 - 2 ปี เริ่มจากการเตรียมดินควรมีความร่วนซุย มีการระบายน้ำดี ต่อมาเริ่มขั้นตอนการปลูกควรทำในเวลาเย็น วิธีการปลูกที่นิยมมี 2 วิธีด้วยกัน คือ การปักชำและการเพาะเมล็ด โหระพาเป็นพืชที่ต้องการความชื้นสูงและสม่ำเสมอ ดังนั้นจึงควรมีการรดน้ำให้ทุกวัน แต่ระวังอย่าปล่อยให้มีการท่วมขังของน้ำในแปลง ในระยะแรกควรทำการพรวนดินและกำจัดพืชทุก ๆ 1 - 2 สัปดาห์ ถ้าจะใส่ปุ๋ยให้ใช้ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต ในอัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่ ละลายน้ำรดหลังปลูกประมาณ 15 - 20 วัน จะทำให้เจริญเติบโตดียิ่งขึ้น หลังจากปลูกประมาณ 30 - 35 วัน สามารถทำการเก็บเกี่ยวได้แล้วค่ะ เช่นเดียวกับใบกะเพราค่ะ อย่าให้ออกดอก ถ้าออกดอกก็ตัดทิ้ง ๆ เรื่อย ๆ นะคะ จะทำให้เก็บกินใบโหระพาได้นาน ๆ ค่ะ


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #106 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2012, 10:07:43 pm »
มาดูวิธีปลูกผักสวนครัวง่าย ๆ ที่คุณเองก็ทำได้

-http://home.kapook.com/view44743.html-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก วิกิพีเดีย



3. ผักบุ้ง

สรรพคุณ

สำหรับผักบุ้งที่ทานกันอยู่มี 2 ประเภท คือ ผักบุ้งไทย และ ผักบุ้งจีน ผักบุ้งไทยจะมีสรรพคุณทางยามากกว่าผักบุ้งอื่น แต่สำหรับผักบุ้งจีนจะมีแคลเซี่ยม และเบต้า-แคโรทีน มากกว่า ส่วนที่ใช้ประโยชน์ของผักบุ้งไทยต้นขาวคือ ดอก ใบ ต้น และราก ซึ่งแต่ละส่วนจะให้สรรพคุณแตกต่างกัน

- ดอก ใช้เป็นยาแก้กลากเกลื้อน

- ต้นสด ใช้ดับพิษ รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ลดอาการแพ้ อักเสบ บำรุงสายตา บำรุงเลือด บำรุงกระดูกและฟัน ช่วยรักษาโรคเบาหวาน เป็นยาดับร้อน แก้ปัสสาวะเหลือง - ทั้งต้น ใช้แก้โรคประสาท ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย แก้กลาก เกลื้อน แก้เบาหวาน แก้ตาอักเสบ บำรุงสายตา แก้เหงือกบวม แก้ฟกช้ำ ถอนพิษ

- ใบ ใช้ถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย นำใบสดมาตำ แล้วคั้นเอาน้ำมาดื่ม จะทำให้อาเจียน ถอนพิษยาเบื่อเมา แก้พิษของฝิ่นและสารหนู มีวิตามินเอสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

- ราก ใช้แก้ไอเรื้อรังและแก้โรคหืด ถอนพิษผิดสำแดง ใช้แก้สตรีมีตกขาวมาก เบาขัด เหงื่อออกมาก ลดอาการบวม

วิธีการปลูก

ผักบุ้งที่คนรับประทานส่วนใหญ่ คือ ผักบุ้งจีน ซึ่งปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว การดูแลรักษาง่าย สามารถปลูกได้ตลอดปี และขึ้นได้ในดินทุกชนิด เริ่มจากการหว่านเมล็ด ต้นกล้าจะเริ่มงอก 2 - 3 วันหลังหยอดเมล็ด ผักบุ้งชอบดินที่มีความชื้นสูง ดั้งนั้น ควรให้น้ำบ่อย ๆ อย่าให้ขาดน้ำ เพราะผักบุ้งอาจจะชะงักการเจริญ แคระแกรน และไม่จำเป็นต้องกำจัดศัตรูพืชเพราะเป็นผักที่มีอายุสั้นและเจริญเติบโตเร็ว มาก สามารถขึ้นคลุมพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว หลังจากหว่านเมล็ดประมาณ 25 - 30 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้โดยใช้มือถอนทั้งราก แล้วนำมาล้างให้สะอาด หรือหากไม่ถอน สามารถใช้มือเด็ดหรือมีดตัดยอดไปบริโภคและปล่อยโคนไว้




4. พริก

สรรพคุณ

นอกเหนือจากการเป็นเครื่องปรุงให้มีรสเผ็ด - รสแซ่บแล้ว พริก ยังมีสรรพคุณในทางการแพทย์ด้วย เช่น สารสำคัญที่มีในพริก คือ แคปไซซิน สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคกระเพาะอาหารได้ นอกจากนั้น พริกยังช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด ลดการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน อีกทั้งพริกยังช่วย ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง นอกจากนี้ สารแคปไซซินในพริกยังช่วยเสริมสร้างอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ เนื่องจากสารตัวนี้เป็นสารที่มีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟินซึ่งมีคุณสมบัติบางประการที่สำคัญคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น

วิธีการปลูก

การปลูกพริกนั้นทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่นำเมล็ดพริกไปหยอดในหลุมที่เตรียมไว้หลุมละ 3 - 5 เมล็ดกลบแล้วก็รดน้ำ สำหรับพริกเป็นพืชที่ทนแล้งดีกว่าทนน้ำ แต่ในระยะที่พริกเริ่มออกดอก พริกจะต้องการน้ำมากกว่าปกติ ช่วง 3 วันแรกควรให้น้ำวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น และค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ จนผ่านไป 7 สัปดาห์ก็ให้น้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง พริกจะเริ่มให้ผลผลิตหลังจากปลูกแล้ว 2 เดือนครึ่งถึง 3 เดือน ในระยะแรกผลผลิตจะได้น้อยและจะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ควรเก็บเกี่ยวอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ทั้งนี้ผลผลิตจะเริ่มลดลงเมื่อพริกเริ่มแก่




5. สะระแหน่

สรรพคุณ

สะระแหน่ ใช้เป็นยาคลายความกดดันของกล้ามเนื้อที่เกิดจากความเหนื่อยล้าและความเครียด น้ำมันสาระแหน่ช่วยขจัดลมร้อน ใช้เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ รักษาอาการหวัดลมร้อน สามารถรักษาอาการปวดศีรษะ หน้ามืดตาลาย ปวดฟัน เจ็บคอ เจ็บปาก เจ็บลิ้น โดยดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่ 5 กรัม กับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง นำใบสะระแหน่ต้มดื่มแต่น้ำช่วยรักษาอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับลมในกระเพาะ บิด ท้องร่วง อุจจาระเป็นเลือด หรือ แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย โดยตำใบสะระแหน่ให้ละเอียด พอกบริเวณที่โดนกัด ทั้งยังช่วยห้ามเลือดกำเดาได้ โดยใช้สำลีชุบน้ำที่คั้นจากใบสะระแหน่ หยอดที่รูจมูก และสะระแหน่ยังใช้ไปทำน้ำมันหอมระเหยเพื่อใช้ในการทำสุคนธบำบัด อีกทั้งยังใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์

วิธีการปลูก

ใช้การปักชำ โดยเลือกกิ่งที่ไม่อ่อนหรือไม่แก่เกินไป ปักจิ้มลงไปในแปลงเพาะชำหรือแปลงปลูกที่มีดินร่วนซุย ปักให้กิ่งเอนทาบกับดิน รดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าให้ถึงกับแฉะแล้วโรยแกลบทับกลบดินเพื่อรักษาความชุ่ม ชื้นให้หน้าดิน ประมาณ 4 - 5 วันก็จะ แตกใบ แตกยอดเลื้อยคลุมดิน ต้นสะระแหน่ชอบดินร่วนซุยที่ระบายน้ำได้ดี และต้องการแสงสว่าง แต่ไม่ต้องการแดดที่ร้อนจัดจนเกินไป จะปลูกในที่ร่มหรือในที่แดดก็ได้ ควรรดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ จะทำให้สะระแหน่เจริญเติบโตเร็วขึ้น




6. ตะไคร้

สรรพคุณ

ทั้งต้นตะไคร้ ใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือทำเป็นยาทานวดก็ได้ และยังใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่นรักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และขับเหงื่อ ส่วนหัวตะไคร้ ใช้เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้อาการขัดเบา ถ้าใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะเป็นยาแก้อาเจียน แก้ซาง ลดความดันสูง แก้ลมอัมพาต แก้กษัยเส้น และแก้ลมใบ แก้โรคหนองใน และนอกจากนี้ยังใช้ดับกลิ่นคาวด้วย ใบสด ๆ จะช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้ ส่วนราก ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ ปวดท้องและท้องเสีย

วิธีการปลูก

ตะไคร้เป็นพืชที่มีอายุหลายปี ปลูกง่ายเจริญได้ดีในดินแทบทุกชนิด เริ่มจากการเตรียมดิน โดยใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักคลุกเคล้าให้เข้ากับดินขุดหลุมปลูก นำพันธุ์ตะไคร้ที่เตรียมไว้ตัดใบออก ให้เหลือต้นยาว ประมาณ 30 - 40 เซนติเมตร มาแช่น้ำประมาณ 5 - 7 วัน เพื่อให้รากงอก รากที่แก่เต็มที่จะมีสีเหลืองเข้ม นำไปปลูกในแปลง วางต้นพันธุ์ให้เอียง 45 องศาไปด้านใดด้านหนึ่งแล้วกลบดิน จากนั้นรดน้ำให้ชุ่ม หลังปลูกได้ประมาณ30 วัน ก็ควรใส่ปุ๋ยสูตร 15 - 15 - 15 หรือ 46 - 0 - 0 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ ควรให้น้ำพอหน้าดินชื้น ประมาณ 1 - 2 วันจึงรดน้ำครั้งหนึ่ง เก็บเกี่ยวเมื่อตะไคร้อายุประมาณ 90 วัน
.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #107 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2012, 10:09:51 pm »
มาดูวิธีปลูกผักสวนครัวง่าย ๆ ที่คุณเองก็ทำได้

-http://home.kapook.com/view44743.html-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก วิกิพีเดีย




7. มะกรูด

สรรพคุณ

ใช้ผลสด นำมาประกอบอาหาร หรือนำมาดองใช้เป็นยาฟอกเลือดในสตรี ขับลมในลำไส้ ขับระดู แก้ลมจุกเสียด แก้โรคลักปิดลักเปิด และใช้บำรุงประจำเดือน หรือใช้ผลสด นำมาผิงไฟให้เกรียมแล้ว ละลายให้เข้ากับน้ำผึ้ง ใช้ทาลิ้นให้เด็กที่เกิดใหม่ นอกจากนี้ ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้แน่น แก้เสมหะ โดยฝานผิวมะกรูดสดเป็นชิ้นเล็ก ๆ 1 ช้อนแกง เติมการบูร หรือ พิมเสน 1 หยิบมือ ชงด้วยน้ำเดือด แช่ทิ้งไว้ ดื่มแต่น้ำรับประทาน 1 - 2 ครั้ง หรือนำมาใช้สระผมทำให้ผมสะอาดชุ่มชื้น เป็นเงางาม ดกดำ ผมลื่นด้วย หรือใช้มะกรูดเผาไฟ นำมาผ่าซีกใช้สระผม จะรักษาชันนะตุ ส่วนน้ำมะกรูดใช้ถูฟัน แก้เลือดออกตามไรฟันได้ด้วยนะ

วิธีการปลูก

มะกรูดปลูกได้ดีในดินทุกชนิด ควรปลูกด้วยกิ่งตอน ก่อนจะปลูกควรนำปุ๋ยคอกมาใส่ผสมกับดิน เพื่อให้ดินมีอาหารอุดมสมบูรณ์ดี ในระยะที่ปลูกมะกรูดใหม่ ๆ ต้องหมั่นรดน้ำให้ความชุ่มชื้นแก่พืช จะทำให้พืชตั้งตัวได้เร็ว แตกใบอ่อนกิ่งอ่อนดี ควรใส่ปุ๋ยเพิ่มธาตุอาหารให้พืชเป็นครั้งคราว ซึ่งอาจเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และปุ๋ยชีวภาพก็ได้ หรือปลูกมะกรูดด้วยเมล็ด ให้นำเมล็ดไปแช่น้ำประมาณ 6 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มความชื้นภายในเมล็ดทำให้เมล็ดงอกได้ง่าย นำเมล็ดไปปลูกลงในถุงเพาะชำแกลบดำประมาณ 3 - 4 เมล็ดต่อถุง ทำการรดน้ำทันที เพราะในแกลบดำจะมีความโปร่งมาก ไม่อมน้ำ ประมาณ 20 - 25 วันเมล็ดมะกรูดก็จะงอกออกมา หลังจากนั้นประมาณ 1 - 2 เดือนก็สามารถนำไปปลูกลงดินได้




8. ข่า

สรรพคุณ

ใช้เหง้าข่าแก่สด ตำให้ละเอียด เติมน้ำปูนใส ใช้น้ำยาดื่ม ครั้งละครึ่งถ้วยแก้ว วันละ 3 เวลา หลังอาหาร รักษาท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม แก้ท้องเดิน (ที่เรียกโรคป่วง) แก้บิด อาเจียน ปวดท้อง หรือ ใช้เหง้าข่าแก่ๆ ที่สด 1 แง่ง ตำให้ละเอียด เติมเหล้าโรงพอให้แฉะ ๆ ใช้ทั้งเนื้อและน้ำ รักษาลมพิษ โดยทาบริเวณที่เป็นลมพิษบ่อย ๆ จนกว่าจะดีขึ้น นอกจากนี้ยังใช้รักษากลากเกลื้อน โรคผิวหนัง โดยใช้เหง้าข่าแก่ เท่าหัวแม่มือ ตำให้ละเอียดผสมเหล้าโรง ทาที่เป็นโรคผิวหนัง หลาย ๆ ครั้งจนกว่าจะหาย

วิธีการปลูก

ข่าเป็นพืชกินหัวหรือเหง้าส่วนที่อยู่ใต้ดิน เราใช้หัวหรือแง่งแก่จัดของข่าเดิม ซึ่งที่หัวแม่นี้จะมีข้อและที่ข้อจะมีตา และที่ตานี่เองจะงอกเป็นหน่อโผล่พ้นดินขึ้นมา จากนั้นก็จะแตกหัวแขนงออกมาอีก จากหลาย ๆ หน่อที่ปลูกก็จะแตกออกกลายเป็นกอใหญ่ที่มีหัวหรือเหง้าจำนวนมาก ธรรมชาติของพืชหัวหรือเหง้า จะเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย ต้องการความชื้นสม่ำเสมอและต้องการแสงแดด 100% สำหรับในช่วงอากาศหนาวเย็นการเจริญเติบโตจะช้าลง หลังจากปลูกไปแล้วประมาณ 15 - 20 วัน รากจะเริ่มเดิน ในช่วงนี้ควรให้น้ำ 2 - 3 วัน/ครั้ง และให้น้ำผสมปุ๋ยน้ำทำเอง 7 - 10 วันครั้ง การขุดขึ้นมาแต่ละครั้ง ไม่ควรขึ้นขึ้นมาหมดทั้งกอ ให้เหลือไว้ 3 - 4 แง่ง เพื่อเป็นต้นพันธุ์




9. กระเฉด

สรรพคุณ

ช่วยในการดับพิษร้อน พร้อมกับสามารถถอนพิษไข้และพิษเบื่อเมาได้ และในผักกระเฉดนั้น ยังมีประโยชน์และมีวิตามิน ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ แคลเซียม รวมถึงธาตุเหล็กด้วย

นอกจากนี้ ผักกระเฉดนั้นยังเป็นพืชผักที่มีแร่ธาตุ พร้อมทั้งวิตามินที่สูงและที่สำคัญก็คือ มีแคลเซียมพร้อมทั้ง มี ฟอสฟอรัส ที่ยังเป็นแร่ธาตุเหล็กมีปริมาณที่สูงมาก ทั้งยังมีวิตามินซี ไนอะซิน คือวิตามินบีชนิดหนึ่ง ฉะนั้นแล้วจึงมีประโยชน์สำหรับกระบวนการ การเผาผลาญของสารอาหารที่สร้างพลังงานในร่างกายของคนเราเป็นอย่างดีด้วย

วิธีการปลูก

การเตรียมพื้นที่ที่จะปลูกผักกระเฉด เริ่มจากการหาพื้นที่ที่มีคันดินกั้นน้ำได้ สูงประมาณ 1 เมตร อาจทำการปลูกแบบลอยแพหรือดำกอในสระได้ ต่อมาเตรียมพันธุ์ผักที่อวบใหญ่ มีปล้องยาว และไม่มีโรค ใบเหลือง ใบหยิก เพื่อทำการปลูก สำหรับวิธีการบำรุง คือ นำน้ำที่ได้จากการหมักจากผัก ผลไม้เหลือทิ้ง + น้ำตาล + หัวเชื้อ ลงไปพร้อมกับน้ำที่เติมลงในสระ ส่วนวิธีการกำจัดศัตรูพืช คือ ให้ใช้ผงสะเดา ผสมในอัตราส่วน 30 - 40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ทำการพ่นทุก ๆ วัน หรือหากพบปัญหาโรคโคนเน่า แก้ไขด้วยการปรับสภาพน้ำให้เป็นกลางด้วยซิลิเกตและพ่นยากำจัดเชื้อรา เริ่มต้นจากการปลูกรอประมาณ 3 เดือน ก็สามารถตัดยอดอ่อนแรกได้แล้วค่ะ




10. ผักหวาน

สรรพคุณ

- ราก แก้ไข้ ระงัดความร้อน ถอนพิษไข้ แก้ไข้กลับ เนื่องจากกินของแสลง รักษาโรคอีสา แก้โรคมะเร็งคุด รักษาโรคคางทูม

- ใบ รับประทานแก้ปวดเมื่อยร่างกาย เป็นยาบำรุงสุขภาพหลังคลอดบุตร

- ใบและราก ใช้ตำพอกแผล ฝี

- ยอด โรคโลหิตจาง ผิวหนังแห้ง ไข้ร้อนใน ตามัว

วิธีการปลูก

นำกิ่งพันธุ์ผักหวานที่ได้ทำการขยายพันธุ์โดยการปักชำ นำมาปลูกในแปลงยกร่อง แล้วคลุมด้วยฟาง เพื่อรักษาความชื้นและป้องกันวัชพืชขึ้น ระยะแรกควรให้น้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หลังจากผักหวานมีอายุได้ 2 – 3 เดือน ก็ให้น้ำวันละ 1 ครั้ง เมื่อผักหวานอายุ 1 เดือน ควรกำจัดวัชพืช พร้อมใส่ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยชีวภาพอัดเม็ด อัตราต้นละ 1 กำมือ หรือประมาณ 50 กิโลกรัม/ไร่ ผักหวานจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 2 – 3เดือน โดยเว้นระยะห่าง 7 วัน เก็บได้ 1 ครั้ง หลักจากเก็บเกี่ยวยอดผักหวานได้ 4 - 5 ครั้ง ให้ตัดแต่งกิ่งต้นผักหวาน โดยให้ผักหวานเหลือความสูง 50 - 60 เซนติเมตร แล้วใส่ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยชีวภาพอัดเม็ด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
myveget.com , aopdh06.doae.go.th , kasetorganic.com

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #108 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2012, 09:12:11 pm »
.
กิน “เจ” ให้สุขใจ
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123689-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
9 ตุลาคม 2555 17:57 น.



 ในแต่ละปีจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่หลายคนหันมาถือศีลกินผัก หรือจะเรียกว่าอยู่ในช่วง “เทศกาลกินเจ” อันมีกำหนด 9 วัน คือ เริ่มตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน ซึ่งในแต่ละปีก็จะอยู่ในช่วงวันที่แตกต่างกันไป โดยในปีนี้อยู่ในช่วงระหว่างวันที่ 15-23 ตุลาคม 2555 (แต่บางคนอาจจะเริ่มกินเจล่วงหน้า 1 วัน หรือที่เรียกว่า “ล้างท้อง”)
       
       แม้ว่าบางคนจะถือศีลกินเจกันเป็นประจำทุกปี แต่ก็อาจจะลืมไปแล้วว่าการกินเจที่แท้จริงเป็นอย่างไร “108 เคล็ดกิน” ก็เลยมาทบทวนกันเสียหน่อย กินเจปีนี้จะได้ถูกต้องตามหลัก และสุขกายสุขใจกันถ้วนหน้า
       
       ตำนานการเกิดขึ้นของการกินเจนั้นมีหลากหลายความเชื่อ แต่จุดประสงค์หลักที่เหมือนกันก็คือ การงดกินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์ รวมถึงการดำรงตนให้อยู่ในศีลธรรมอันดี มีความบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา และใจ
       
       บางคนอาจจะกินเจตามความเชื่อของครอบครัว บ้างก็กินเจเพื่อสุขภาพ เนื่องจากเจเป็นอาหารชีวจิต หากกินติดต่อกันในช่วงเวลาหนึ่งจะช่วยปรับสมดุลให้ร่างกาย และช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย หรือบางคนอาจกินเจด้วยจิตเมตตา ละเว้นการสร้างกรรม จากการกินสัตว์ต่างๆ
       
       ดังนั้น อาหารเจจึงเป็นอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ และส่วนประกอบที่มาจากสัตว์ทุกประเภท รวมถึงไม่มีผักฉุนทั้ง 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยฉ่าย และใบยาสูบ และหันมากินโปรตีนจากถั่วชนิดต่างๆ รวมไปถึงเต้าหู้ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และในปัจจุบันก็มีการผลิตเนื้อสัตว์เจในรูปแบบต่างๆ ทั้งกุ้ง ปลา ปลาหมึก หมู ไก่ และอีกนานาชนิด ที่มีหน้าตาและกลิ่นใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงเป็นอย่างมาก ซึ่งก็เป็นทางเลือกหนึ่งของคนกินเจ
       
       ส่วนใครที่ยังกังวลว่าการกินเจนั้นจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารเพราะต้องงดเนื้อสัตว์ ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะระยะเวลาการกินเจเพียง 9-10 วันนั้น ยังไม่นานพอที่จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร อีกส่วนคือ วัตถุดิบหลักในการปรุงอาหารเจ นอกจากจะใช้ผักชนิดต่างๆ แล้ว ก็ยังมีเต้าหู้ ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพ หรับให้ร่างกายนำไปใช้ได้เช่นเดิม
       
       สุดท้าย การกินเจนั้นหากจะให้ได้บุญจริงๆ นอกจากจะไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว ก็ต้องรักษาศีลธรรม ทำบุญ ทำทาน รักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ แบบนี้จึงจะเรียกว่าเป็นการกินเจที่แท้จริง


http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123689

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #109 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2012, 06:34:02 am »
อาหารฟาสต์ฟู้ดทำเด็กไอคิวต่ำ?
-http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123482-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
9 ตุลาคม 2555 18:02 น.


ขอบคุณภาพจากเดลิเมล



ครอบครัวใดที่มีทัศนคติเกี่ยวกับการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดว่าเป็นช่วงเวลาดี ๆ หรือเป็นช่วงเวลาแห่งการแบ่งปันความสุขอาจต้องคิดใหม่ เมื่อมีงานวิจัยเผยว่า เด็กที่ต้องรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดบ่อย ๆ นั้นอาจมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน
       
       การศึกษานี้ได้มีการเปรียบเทียบความสามารถในการเรียนรู้ และการเจริญเติบโตของร่างกายในเด็กชาวสก็อตจำนวน 4,000 คนที่มีอายุระหว่าง 3 - 5 ปี โดยแบ่งเป็นกลุ่มเด็กที่ได้รับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดบ่อย ๆ กับเด็กที่ได้รับประทานอาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบสดใหม่ หรืออาหารที่ปรุงภายในครอบครัว ซึ่งพบว่า การที่พ่อแม่ให้ลูกรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดนั้นมีผลต่อระดับสติปัญญาของเด็ก และอาจทำให้เด็กมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อนที่ไม่ได้รับประทานประมาณ 2 - 5 คะแนนเลยทีเดียว
       
       นอกจากนั้นนักวิจัยยังพบว่า ฐานะทางเศรษฐกิจของพ่อแม่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน โดยพ่อแม่ที่มีฐานะดี จะเลือกปรุงอาหารที่ทำจากวัตถุดิบสดใหม่ให้ลูกรับประทาน ขณะที่พ่อแม่ที่ฐานะไม่ค่อยดีนั้น จะเน้นให้ลูกบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นหลักเนื่องจากตนเองต้องทำงานไม่มีเวลาเตรียมอาหารให้ลูก ๆ
       
       ดร. Sophie von Stumm จากแผนกจิตวิทยาของ Goldsmiths มหาวิทยาลัยลอนดอน เจ้าของผลการวิจัยดังกล่าวเผยว่า พ่อแม่ทุกคนล้วนตระหนักดีในการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ให้ลูกรับประทาน เพราะมีผลต่อการพัฒนาของสมอง การศึกษานี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าการบริโภคฟาสต์ฟู้ดในเด็ก ๆ โดยเฉพาะในอังกฤษควรจะลดปริมาณลง
       
       ดร. von Stumm เน้นย้ำด้วยว่า ในการวิจัยของเธอนั้น พบปัญหาทางสังคมที่น่ากังวลยิ่ง นั่นก็คือ พ่อแม่ที่มีฐานะไม่ค่อยดีมักจะไม่มีเวลาปรุงอาหารจากวัตถุดิบสดใหม่ให้ลูกรับประทานมากนัก และพบว่าเด็ก ๆ กลุ่มนี้ได้คะแนนจากการทดสอบระดับสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อน ๆ และมักประสบปัญหาในการเรียนอยู่เสมอ
       
       "ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า ความสดใหม่ของอาหาร และคุณภาพของอาหารนั้นมีความสำคัญมากกว่าการรับประทานให้อิ่มท้องแต่เพียงอย่างเดียว เพราะเด็กนั้นต้องการการเจริญเติบโตในทุก ๆ ด้านของร่างกาย"
       
       นอกจากนี้ ก็มีงานวิจัยของออสเตรเลียที่พบว่า เด็ก ๆ ที่รับประทานขนมหวาน หรือน้ำอัดลมเป็นประจำ ก็มีโอกาสที่ระดับสติปัญญาจะต่ำลงเมื่อพวกเขาโตขึ้น
       
       โดยเป็นรายงานของมหาวิทยาลัย Adelaideที่สำรวจพบว่า ในเด็กอายุ 8 ปีที่รับประทานอาหารขยะเป็นประจำนั้นจะมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อนที่รับประทานอาหารที่มีประโยชน์อยู่ถึง 2 คะแนน
       
       ด้านการศึกษาของอเมริกันซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร the Journal of Epidemiology & Community Health in 2010 ก็พบความเชื่อมโยงดังกล่าวเช่นกัน โดยพบว่า เด็กที่รับประทานอาหารขยะ เช่น พิซซ่า มันฝรั่งทอด ก่อนอายุ 3 ขวบอาจจะมีระดับไอคิวต่ำกว่าเพื่อนที่รับประทานอาหารที่ปรุงโดยฝีมือคุณแม่ที่บ้าน
       
       อีกทั้งยังพบว่า เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี เด็กกลุ่มนี้มีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อน ๆ ที่รับประทานอาหารมีประโยชน์อยู่ประมาณ 5 คะแนน
       
       บางทีคนเป็นพ่อแม่ก็ต้องแยกแยะความจริงความลวงจากสื่อโฆษณาให้ออก แล้วเราจะมองเห็นโทษของอาหารที่ไม่มีประโยชน์มากขึ้น
       
       เรียบเรียงจากเดลิเมล

.




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)