ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129466 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #110 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2012, 09:22:23 pm »
ข้อห้ามการกินเจ หลักปฏิบัติง่าย ๆ กินเจห้ามกินอะไรบ้าง
-http://health.kapook.com/view49094.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบจาก Glitter.kapook.com

         สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งจะเข้าร่วมเทศกาลกินเจในปี 2555 เป็นปีแรกนั้น อาจจะยังไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อห้ามการกินเจเท่าใดนัก หรือยังไม่ทราบข้อปฏิบัติในการกินเจอย่างถูกวิธี ดังนั้น เพื่อเป็นการต้อนรับเทศกาลกินเจ 2555 ในวันที่ 15-23 ตุลาคมนี้ ทีมงานกระปุกดอทคอม จึงได้รวบรวมรายละเอียดเกี่ยวกับ ข้อห้ามการกินเจ มาฝากกันค่ะ มาดูกันว่า กินเจห้ามกินอะไรบ้าง 


ข้อห้ามการกินเจ

         1. งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์

         2. งดนม เนย หรือน้ำมันที่มาจากสัตว์

         3. งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก

         4. งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม, หัวหอม, หลักเกียว, กุยช่าย และใบยาสูบ

         5. ไม่ใช้จานชามปะปนกัน และต้องกินอาหารที่คนกินเจด้วยกันเป็นผู้ปรุงขึ้นมา (สำหรับคนที่เคร่ง)

         ทั้งนี้ เมื่อพูดถึงการกินเจ หรือ อาหารเจ หลายคนมักนึกถึงแต่การหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ทุกชนิด ซึ่งบางคนอาจสงสัยว่า ทำไมข้อห้ามการกินเจ จึงต้องห้ามกินผักบางประเภทด้วย โดยเฉพาะผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม, หัวหอม, หลักเกียว, กุยช่าย, ใบยาสูบ หรือบางครั้งอาจรวมถึงเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน




         ซึ่งสาเหตุที่ห้ามกินผักฉุนทั้ง 5 ชนิดนั้น เป็นเพราะผักฉุนดังกล่าว เป็นผักที่มีรสหนัก มีกลิ่นเหม็นคาวรุนแรง ดังนั้นจึงอาจส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของผู้กินเจได้ นอกจากนี้ ชาวจีนยังเชื่อกันว่า ผักฉุนดังกล่าวมีพิษทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย ส่งผลให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ โดยสามารถแจกแจงรายละเอียดของผักแต่ละประเภทได้ ดังนี้


 

         1. กระเทียม ทั้งหัวกระเทียม ต้นกระเทียม อาจส่งผลกระทบต่อธาตุไฟของร่างกาย แม้ว่ากระเทียมจะมีสารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล แต่กระเทียมมีความระคายเคืองสูง อาจไปทำลายการทำงานของหัวใจได้ ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร หรือโรคตับ ไม่ควรรับประทานกระเทียมมาก



         2. หัวหอม รวมไปถึงต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่ ซึ่งตามหลักการแพทย์โบราณของจีนเชื่อว่า หัวหอม จะกระทบกระเทือนต่อธาตุน้ำในร่างกาย และไปทำลายการทำงานของไต แม้ว่าหอมแดง จะมีฤทธิ์ช่วยขับลม แก้ท้องอืด แก้ปวดประจำเดือน แต่ไม่ควรบริโภคมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดอาการหลงลืมได้ง่าย นอกจากนี้ อาจส่งผลให้มีอาการตาพร่ามัว รวมทั้งมีกลิ่นตัวแรงกว่าปกติด้วย

         3. หลักเกียว หรือที่รู้จักว่า กระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียมที่พบเห็นทั่วไป แต่จะมีขนาดเล็ก และยาวกว่า ในทางการแพทย์ของจีนเชื่อว่า หลักเกียว ส่งผลกระทบกระเทือนต่อธาตุดินในร่างกาย และไปทำลายการทำงานของม้าม

         4. กุยช่าย เชื่อกันว่า กุยช่าย จะไปกระทบกระเทือนต่อธาตุไม้ในร่างกาย และทำลายการทำงานของตับ

         5. ใบยาสูบ ไม่ว่าจะเป็นยาเส้น บุหรี่ หรือของเสพติดมึนเมา เนื่องจากสิ่งเสพติดเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อธาตุโลหะในร่างกาย และทำลายการทำงานของปอด

         นอกจากการห้ามกินผักฉุนทั้ง 5 ชนิดแล้ว การให้งดเว้นเนื้อสัตว์นั้น ก็มีที่มาที่ไปเช่นกัน โดยสืบเนื่องมาจากคนจีนเชื่อกันว่า ก่อนตายสัตว์จะอยู่ในอาหารตกใจกลัว เมื่อเรากินมันเข้าไป อาจจะทำให้เรามีบาปติดตัวไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่คนจีนถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดมาจนถึงปัจจุบัน
 
         ในขณะเดียวกัน การห้ามรับประทานอาหารรสจัด ทั้งอาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก และเปรี้ยวมาก เนื่องมาจากปกติคนจีนจะไม่กินอาหารรสจัดอยู่แล้ว เพราะเชื่อว่าอาหารรสจัดจะเข้าไปทำลายสุขภาพในร่างกาย เช่น หากกินเผ็ดจัดก็จะไปทำลายกระเพาะ กินเค็มจัดจะไปทำลายไต ซึ่งข้อห้ามเหล่านี้ถือว่าถูกหลักของการแพทย์ แต่บางคนที่ปฏิบัติไม่เคร่งครัดนัก เช่น ชอบรสเค็มจัดก็สามารถใช้เกลือแทนน้ำปลา
 
         ส่วนเรื่องห้ามใช้ถ้วยชามปนกัน สำหรับผู้ที่กินเจอย่างเคร่งครัดนั้น เพราะคนจีนเชื่อกันว่าการใช้ภาชนะใส่อาหารคาว ซึ่งชาวจีนเรียกว่า  ชอ  นั้น ไม่ควรนำมาปะปนกับอาหารชนิดอื่น แม้จะล้างสะอาดหมดจดแล้วก็ตาม โดยผู้กินเจในปัจจุบัน อาจไม่เคร่งครัดในเรื่องนี้มากนัก เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อหลักในการกินเจมากเท่าใดนัก เช่นเดียวกับหลักที่ว่าต้องกินอาหารเจ โดยคนปรุงที่กินเจ ซึ่งนับเป็นเรื่องยากที่จะตรวจสอบว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่




 
         ทั้งนี้ สำหรับคอกาแฟทั้งหลายที่กำลังสงสัยว่า ในช่วงกินเจสามารถดื่มกาแฟได้หรือไม่นั้น ในเบื้องต้นมีข้อมูลว่า ในกาแฟสำเร็จรูป ทั้งประเภทซอง หรือประเภทกระป๋อง รวมทั้งครีมเทียม มักมีส่วนผสมของนมผงอยู่ด้วย นอกจากนี้ บางร้าน บางยี่ห้อ อาจมีการนำเมล็ดกาแฟไปคั่วกับเนย เพื่อเพิ่มความหอมมัน ดังนั้น ผู้ที่ไม่เคร่งมาก อาจเลือกดื่มกาแฟที่ชงเอง เช่น กาแฟดำ หรือ โอเลี้ยง หรืออาจใช้กาแฟประเภทซองที่เขียนว่า เจ หรือ การใช้ครีมเทียมที่ทำจากถั่วเหลือง แต่สำหรับผู้ที่เคร่งมาก ๆ อาจต้องงดเว้นกาแฟในช่วงนี้เพื่อความสบายใจ
 
         จากข้อห้ามการกินเจในเบื้องต้นนี้ จะเห็นได้ว่า การกินอาหารเจที่ถูกวิธีนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด และข้อห้ามต่าง ๆ ได้ถูกกำหนดขึ้นจากการคำนึงถึงสุขภาพของผู้บริโภคเป็นหลัก ซึ่งผู้ที่กินเจ นอกจากจะได้บุญ จากการลดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว การกินเจยังถือเป็นช่วงปรับสมดุลในร่างกาย เพื่อให้ผู้กินเจ มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง ในระยะยาวนั่นเอง




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #111 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2012, 09:33:17 pm »
สารพันเรื่องราว "อาหารเจ"
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7911.msg31304/topicseen.html#msg31304-

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7911.msg31304/topicseen.html#msg31304



เทศกาลถือศีลกินเจ
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6319.0.html-

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6319.0.html

.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #112 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2012, 09:00:11 pm »
อย. แนะ ล้างผักผลไม้ให้สะอาดลดสารพิษตกค้าง ช่วงเทศกาลกินเจ
-http://www.fda.moph.go.th/www_fda/data_center/ifm_mod/nw/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89_%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%88.pdf-

เทศกาลกินเจ อย. แนะผู้บริโภคล้างผักผลไม้ให้สะอาด เพื่อลดสารพิษตกค้าง หากได้รับสารพิษเข้าไป
สะสมในร่างกายเป็นจำนวนมาก อาจทำให้ระบบอวัยวะของร่างกายทำงานผิดปกติได้

นพ. บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลถือศีล กินเจ
มีผู้บริโภคจำนวนมากเข้าร่วมเทศกาลเพื่อทำบุญ โดยการงดเว้นกินเนื้อสัตว์และหันมารับประทานพืชผักผลไม้ หรือ
การกินมังสวิรัติ ซึ่งในส่วนของผักผลไม้นั้น ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีการ
ตรวจสอบผักผลไม้อย่างต่อเนื่องและยังคงพบการตกค้างของสารฆ่าแมลงในผักผลไม้บางชนิดอยู่ ดังนั้น เพื่อความ
ปลอดภัย เมื่อซื้อผักผลไม้มา ควรทำความสะอาดก่อนปรุงหรือบริโภคเพื่อลดสารพิษตกค้าง โดยการใช้น้ำส้มสายชู
ที่มีกรดน้ำส้มความเข้มข้น 5% ผสมน้ำในอัตราส่วน 1:10 แช่นาน 10-15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด สามารถลด
ปริมาณสารพิษลง 60-84% หรือใช้ด่างทับทิม 20-30 เกล็ด ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างด้วย
น้ำสะอาดสามารถลดสารพิษลงได้ 35-43% หรือล้างผักโดยน้ำไหลผ่าน โดยเด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะแกรงโปร่งเปิด
น้ำให้แรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผักและถูไปมาบนผิวใบของผักผลไม้นานประมาณ 2 นาที สามารถลด
สารพิษลงได้ 25-63% หรือใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด
สามารถลดสารพิษลงได้ 27-38% หลังจากนั้นค่อยนำไปปรุงอาหาร หรือนำไปแช่เก็บไว้ในตู้เย็น เพียงเท่านี้
ก็สามารถช่วยลดปริมาณสารพิษที่ตกค้างในพืชผักได้

นอกจากนี้ ยังมีการนำผักแห้ง เช่น เก๋ากี้ ดอกไม้จีน เยื่อไผ่ เห็ดหูหนูขาว เห็ดหอม มาเป็นส่วนประกอบ
ของอาหาร ซึ่งผักแห้งดังกล่าว อย. เคยตรวจพบการตกค้างของสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ดังนั้น ก่อนนำผักแห้ง
เหล่านี้มาประกอบอาหารควรทำความสะอาดเพื่อลดสารตกค้างก่อน เช่น ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต (เบ็คกิ้งโซดา)
1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอุ่น 1 กะละมัง (20 ลิตร) แช่นาน 15 นาที แล้วนำไปล้างด้วยน้ำสะอาดอีกหลายๆครั้ง
วิธีนี้สามารถลดปริมาณสารพิษลงได้ถึง 90-95% หรือกรณีเห็ดหูหนู ควรนำมาล้างน้ำและลวกในน้ำเดือด 2 นาที
ก่อนนำไปปรุงอาหารจะทำให้สามารถลดปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้เช่นกัน

เลขาธิการ ฯ อย. กล่าวต่อไปว่า หากผู้บริโภครับประทานผักผลไม้ที่มีสารฆ่าแมลงตกค้างอยู่และสะสมอยู่
ในร่างกายเป็นจำนวนมากจะส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร อาจทำให้ระบบอวัยวะต่างๆของร่างกายทำงานผิดปกติ
และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลจนกลายเป็นมะเร็งลุกลามไปยังส่วนต่างๆของร่างกายได้ ส่วนกรณีสาร
ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จะทำลายเยื่อบุทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ กล้ามเนื้อหดเกร็ง กล่องเสียงและ
หลอดลมใหญ่อักเสบ และเกิดอาการบวมน้ำ ฉะนั้น ผู้บริโภคควรให้ความสำคัญกับการล้างผักให้สะอาดถูกวิธี
เพื่อที่จะได้รับคุณค่าสารอาหารทั้งวิตามินและแร่ธาตุ จากพืชผักผลไม้อย่างครบถ้วนและปราศจากสารพิษตกค้าง

---กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค วันที่ 10 ตุลาคม 2555 ข่าวแจก 4 / ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556---

-http://www.fda.moph.go.th-

http://www.fda.moph.go.th
.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #113 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2012, 09:22:44 pm »
.
หลักการ '5 ขีด 5 ผลไม้' ในวันที่ทานเจ
-http://www.manager.co.th/Taste/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123833-
โดย Taste    12 ตุลาคม 2555 16:59 น.




 ในช่วงเทศกาลอิ่มบุญกินเจที่กำลังจะมาถึงนี้ เรามี 5 ผลไม้ ที่แนะนำให้คุณเลือกกินร่วมกันให้ได้เพียงวันละ 5 ขีด จะช่วยให้ร่างกายของคุณแข็งแรง ชลอความชรา และสดใส ยิ้มรับกับเทศกาลกินเจ
       
       แอปเปิ้ล
       แอปเปิ้ลผลไม้ซึ่งมากด้วย เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ “เพคติน” เจ้าตัว “เพคติน” นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนักและลดโคเลสเตอรอล ถ้าคุณเกิดหิวจนตาลายละก็ลองหยิบแอปเปิ้ลมาทานสัก 1 ผล จะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวซึ่งจะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ความอยากอาหารจึงลดลงทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิด หรืออ่อนเพลีย (แอปเปิ้ล 2 - 3 ผลต่อวันช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้)



ฝรั่ง
       ไม่น่าเชื่อว่าผลไม้ธรรมดาๆอย่างฝรั่งจะมีวิตามินสูงมาก ขนาดฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีนี้มีหน้าที่ในการสร้างคอลลาเจนซึ่งทำให้ผิวพรรณคุณไม่แก่ก่อนวัย และถ้าคุณไม่อยากดูแก่ก่อนวัยริ้วรอยมาก่อนกำหนด ฝรั่งคือตัวช่วยชั้นเลิศที่ควรหามาทานในทุกวัน



ส้ม
       ส้ม ผลไม้ที่าทานง่ายในราคาย่อมเยาว์ คือสุดยอดของแหล่ง วิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ ถ้าในการรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้ เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็วเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ถ้าคุณเกิดอยากกินอาหารมื้อใหญ่แต่กำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนักลองหยิบส้มมากินดูเพราะมันจะช่วยลดความอยากของคุณลงเยอะ



 ลูกพรุน
       ลูกพรุนแหล่งของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญ พรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาดสดใสซึ่งไม่จำเป็นที่ต้องคุณผู้หญิงเท่านั้นที่ต้องทานลูกพรุ่น เพราะทั้งชายและหญิงร่างกายย่อมเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลาเช่นกัน แต่เจ้าลูกพรุ่นจะเข้าไปช่วยชลอความสดใสของผิวพรรณให้คุณหล่อและสวยได้นานขึ้น( พรุน เป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามินซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย )



กล้วยไข่
       กล้วยทุกชนิดดีต่อร่างกายทั้งนั้น แต่กล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนมากถึง 492 มิลลิกรัม ซึ่งจะดีเป็นพิเศษในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระ เพราะเบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาตินี้จะช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอในร่างกาย พร้อมกันนั้นยังมีความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระเป็นพิเศษ ซึ่งในกล้วยไข่มากไปด้วย สารแอนตี้ออกซิแดนท์ แล้วอย่างนี้คุณจะไม่ลองปลอกกล้วยหอมมากินสักหน่อยหรอครับ


http://www.manager.co.th/Taste/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123833
.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #114 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2012, 09:53:19 pm »
ว่านห่างจระเข้ สมุนไพรสารพัดประโยชน์
-http://health.kapook.com/view41336.html-
-http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_17_3.htm-
-http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89-





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          สมุนไพรไทย ๆ ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับหางแหลม ๆ ของจระเข้ จนได้ชื่อเรียกที่บ่งบอกถึงลักษณะได้ดีว่า ว่านห่างจระเข้ คืออีกหนึ่งพรรณไม้ไทยที่นิยมปลูกไว้ติดบ้าน นอกจากจะใช้ประดับตกแต่งเพื่อความสวยงามแล้ว สรรพคุณต่าง ๆ ของว่านหางจระเข้ยังคุ้มค่าอีกด้วย ส่วนจะมีทีเด็ดขนาดไหนนั้น เราไปทำความรู้จักกับว่านหางจระเข้ให้มากขึ้นกันดีกว่า ..

          ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) คือ พืชชนิดหนึ่งที่ถูกจัดอยู่ในประเภทพืชล้มลุก สีเขียว มีลักษณะลำต้นเป็นข้อปล้อง ใบเดี่ยว ใบหนายาวและโคนใบใหญ่ ปลายแหลม ขอบใบมีหนามห่างกันเป็นระยะ เรียงเป็นชั้น ข้างในใบเป็นวุ้นใสสีเขียวอ่อน มีเมือกเหนียว สามารถออกดอกสีแดงอมเหลืองที่ปลายยอดได้ มีถิ่นกำเนิดมาจากแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและตอนใต้ของทวีปแอฟริกา สามารถปลูกได้ง่ายในดินทราย หรือในกระถางก็ได้ เป็นพืชชอบน้ำ แต่ต้องมีทางระบายน้ำได้ดี ป้องกันไม่ให้อมน้ำมากเกินไปจนรากเน่า


สรรพคุณว่านหางจระเข้

          ว่านหางจระเข้นั้น จัดเป็นพืชที่มีสรรพคุณต่าง ๆ มากมาย สามารถใช้บรรเทาโรคทั้งภายนอกและภายในร่างกาย อีกทั้งยังใช้บำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย ดังนี้

ประโยชน์ภายนอก

          1.รักษาแผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก โดยปอกเปลือกนอก นำวุ้นสดภายในใบไปล้างยางออกให้สะอาด แล้วนำไปประคบแผลตลอด 2 วันแรก จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน สมานแผลให้เร็วขึ้น และไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นอีกด้วย

          2.ป้องกันและบรรเทารอยไหม้จากการออกแดด นำใบสด ๆ ของว่านหางจระเข้ผสมกับโลชั่นทาลงบนผิวหนังก่อนออกแดด จะช่วยป้องกันแสงแดดได้ แต่ถ้าหากเกิดรอยไหม้ขึ้นบนผิวหนังหลังออกแดดแล้ว ให้ใช้วุ้นที่ล้างสะอาดมาทาเพื่อลดอาการอักเสบ ถ้าจะให้ดีลองผสมกับน้ำมันพืช หรือ น้ำมันมะกอก เพื่อลดอาการผิวแห้งตึงจนเกินไป

          3.บรรเทารอยไหม้จากการฉายรังสีของผู้ป่วย โดยใช้วิธีการนำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างสะอาดมาประคบที่รอยไหม้จากการทำคีโม จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน และทำให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

          4.สมานแผลจากของมีคมและแผลถลอก หากได้รับบาดเจ็บจากของมีคม ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ที่ยังมีเมือกอยู่ แปะลงไปบนแผล จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสมานแผลให้เร็วขึ้นได้

          5.รักษาฝีและโรคริดสีดวงทวาร ทำความสะอาดบริเวณที่เกิดโรคให้แห้งแล้ว นำวุ้นไปแปะลงบนแผล หากเป็นทวารหนักให้ปอกวุ้นให้เป็นแท่งแล้วล้างให้สะอาด นำไปแช่เย็นให้แข็ง เพื่อสอดเหน็บในช่องทวารหนักวันละ 1-2 ครั้ง อาการริดสีดวงจะดีขึ้น

          6. รักษาตาปลาและฮ่องกงฟุต นำเนื้อวุ้นที่ล้างทำความสะอาดแล้ว ไปแปะลงบริเวณที่เกิดโรค หมั่นเปลี่ยนเนื้อวุ้นบ่อย ๆ โดยหากเป็นตาปลาส่วนที่แห้งลงจะเกิดรูบุ๋มขึ้น ให้ใช้ว่านหางจระเข้ประคบต่อไปจนกว่ารอยบุ๋มจะสมานและเล็กลง ส่วนฮ่องกงฟุตให้ด้วยว่านหางจระเข้เอาไว้จนกว่าแผลจะแห้งลงและอาการดีขึ้น

           7.แก้ปวดศีรษะ ตัดใบสดจากต้นว่านหางจระเข้ แล้วนำปูนแดงทาบริเวณวุ้น ถือใบสดแล้วนำวุ้นผสมปูนแดงประคบบริเวณขมับหรือท้ายทอย ตามจุดที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้

            8.บรรเทาอาการปวดฟัน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ออกเป็นแท่งเล็ก ๆ ประมาณ 2-3 เซ็นติเมตร นำไปเหน็บไว้ตามซอกฟันที่มีอาการปวด หรือประคบไว้ก็ได้ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที อาการปวดจะค่อย ๆ บรรเทาลง


ประโยชน์ภายใน

          1.บรรเทาอาการปวดข้อ นำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างทำความสะอาดแล้วไปแช่ตู้เย็น และรับประทานเพื่อบรรเทาอาการปวดตามข้อต่าง ๆ โดยสามารถใช้ได้ทั้งเนื้อวุ้น และน้ำวุ้น หากอยากให้รับประทานง่ายขึ้น สามารถนำไปปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ ก็ช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน

          2. ใช้เป็นยาถ่าย โดยเลือกตัดว่านหางจระเข้พันธุ์เฉพาะที่ใบใหญ่และมีน้ำยางสีเหลืองในปริมาณมาก อายุประมาณ 9 เดือนขึ้นไป รองน้ำยางที่ไหลออกมาจากใบ แล้วนำไปเคี่ยวให้ข้น เทลงในพิมพ์ขนาดเล็กให้แข็งเป็นก้อนรับประทานเป็นยาได้ ซึ่งเม็ดยาจะมีสีแดงอมน้ำตาลไปจนถึงดำ เรียกว่า ยาดำ แบ่งรับประทานครั้งละประมาณ 0.25 กรัม (250 มิลลิกรัม) จะเป็นขนาดที่เหมาะสมในการใช้เป็นยาถ่าย หากต้องการรับประทานแบบสด ๆ ก็สามารถทำได้ โดยการตัดวุ้นที่ล้างสะอาดแล้วออกเป็นขนาด 3-4 เซ็นติเมตร แบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร

          3. แก้กระเพาะอักเสบและลำไส้อักเสบ ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ นำวุ้นที่ได้ไปล้างให้สะอาด แล้วนำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินอาหารได้

          4. ป้องกันโรคเบาหวาน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร นำไปรับประทานทุกวัน หรือจะปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ เพื่อรับประทานก็ได้ โดยอาการเบาหวานจะทุเลาลงสำหรับผู้ที่เป็นในระยะแรก ส่วนผู้ที่ต้องการรับประทานเพื่อป้องกัน สามารถรับประทานในปริมาณที่น้อยลงได้

          5.แก้และป้องกันอาการเมารถเมาเรือ ท่านที่มีปัญหาในการเดินทาง เกิดอาการเมารถเมาเรืออยู่เป็นประจำ ให้ลองรับประทานเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้ หรือน้ำว่านหางจระเข้ ก่อนออกเดินทางจะช่วยบรรเทาให้เกิดอาการดังกล่าวน้อยลงได้ แต่หากเกิดอาการเมารถเมาเรือขึ้นแล้ว ลองทานน้ำว่านหางจระเข้เย็น ๆ ให้ชื่นใจ แล้วนั่งพักสักครู่ จะรู้สึกดีขึ้น



ประโยชน์ด้านความงาม

          1.บำรุงเส้นผมให้เงางามและช่วยขจัดรังแค ตัดใบสดมาทาลงบนเส้นผม หรือถ้าไม่สะดวกให้นำวุ้นว่านหางจระเข้ไปปั่นให้ละเอียดจะได้ใช้ง่ายขึ้น จากนั้นนำมาชโลมผมให้ทั่วเพื่อให้ผมสลวยเงางาม หากนวดบริเวณรากผมจะช่วยให้รากผมเย็นลง ช่วยบำรุงหนังศีรษะ รักษาแผลบนศีรษะ และขจัดรังแคได้ด้วย

          2.รักษาสิวและรอยด่างดำ ประโยชน์ข้อนี้คนที่อยากหน้าใสตั้งใจอ่านให้ดี เพราะว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ และมีกรดอ่อน ๆ ช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ นำเนื้อวุ้นที่ล้างสะอาดทาบริเวณใบหน้าวันละ 2 ครั้ง ใช้เวลาสัก 1-2 เดือน จะเริ่มเห็นผลว่ารอยต่าง ๆ ดูจางลง

          3.บำรุงผิวกาย เพียงแค่นำว่านหางจระเข้สด มาปอกเปลือกและล้างให้สะอาด จากนั้นหั่นเป็นชิ้นนำไปใส่ไว้ในถุงผ้ากอซขนาดเล็ก แล้วนำไปหย่อนไว้ในอ่างอาบน้ำ หรือถ้าไม่มีถุงผ้ากอซ ให้นำวุ้นไปแช่ไว้ในอ่างอาบน้ำเลยก็ได้เหมือนกัน โดยระหว่างอาบน้ำให้ใช้เนื้อวุ้นถูกตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เน้นที่รอยแห้งกร้านอย่างข้อศอก หัวเข่า ส้นเท้า เป็นต้น จะช่วยให้ผิวพรรณเนียนนุ่ม และเต่งตึงขึ้น

          4. เติมน้ำให้ผิว ความชุ่มชื้นในผิวหน้าและผิวกาย มักจะค่อย ๆ ลดลงตามวัย และไลฟ์สไตล์ของคุณ ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตกันอยู่ในห้องแอร์จนผิวขาดความชุ่มชื้น หากนำเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้มาพอกหน้าก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยเติมน้ำให้ผิวของคุณได้ โดยล้างวุ้นให้สะอาด แล้วฝานบาง ๆ มาโปะให้ทั่วหน้า หลับตาพริ้มรอสัก 15 นาที ก็ไปล้างหน้าให้สะอาดได้ ผิวของคุณจะรู้สึกชุ่มชื้น เต่งตึงขึ้น หากจะใช้กับผิวกายให้ลองนำเนื้อไปปั่นหยาบ ๆ แล้วนำมาพอกตัว ก็ใช้ง่ายดีเหมือนกัน


ว่านหางจระเข้ทาหน้า

สูตรพอกหน้าด้วยว่านหางจระเข้

          นอกจากสรรพคุณทางยาต่าง ๆ แล้ว ว่านหางจระเข้ก็ยังนำไปประยุกต์ใช้เพื่อความสวยความงามได้เช่นกัน สูตรว่านหางจระเข้พอกหน้า จึงขาดไม่ได้สำหรับคนรักสวยรักงาม เตรียมปากกาจดสูตรกันได้เลยจ้า

          1.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะนาว 1 ช้อนชา, น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันแล้วใช้พอกหน้าเพื่อลดความมัน และจุดด่างดำได้

          2.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 1.5 ช้อนโต๊ะ, ไข่ขาว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ ทำให้เกิดสิวลดลง

          3.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 1.5 ช้อนโต๊ะ, น้ำแตงกวาสด 1-2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันนำไปพอกหน้า จะช่วยลดความมันบนใบหน้า และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ให้ผิวหน้าสดชื่นขึ้น

          4.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 1 ช้อนโต๊ะ, นมสด 1.5 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันแล้วนำไปพอกหน้า จะช่วยให้ใบหน้ากระจ่างใสขึ้น และลดความมันบนใบหน้าด้วย

          5.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้ 1 ช้อนโต๊ะ, ขมิ้นผง 2 ช้อนชา, นมสด 1.5 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน แล้วพอกหน้าเพื่อลดความมัน และเพิ่มความกระจ่างใส โดยสามารถฝานแตงกวาเป็นแว่นมาแปะไว้บริเวณรอบดวงตาก็ได้


ครีมว่านหางจระเข้

ผลิตภัณฑ์จากว่านหางจระเข้

          เมื่อสรรพคุณของว่านหางจระเข้มีอยู่มากมายรอบด้านขนาดนี้ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากว่านหางจระเข้ก็ย่อมต้องทยอยออกมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคมากขึ้น ปัจจุบันจึงมีผลิตภัณฑ์ที่ถูกแปรรูปจากว่านหางจระเข้อยู่หลากหลาย ดังนี้

          1.เจลว่านหางจระเข้ สรรพคุณ ใช้ทาเพื่อลดอาการบวม เป็นครีมทาใต้ตา บำรุงผิวหน้า เพิ่มความชุ่มชื้น ใช้ผสมกับส่วนผสมต่าง ๆ พอกหน้าแทนวุ้นว่านหางจระเข้ได้ ทั้งยังใช้ทาแผลพุพอง แผลสด เพื่อบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้อีกด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งผ่านการยิงเลเซอร์ และมีรอยไหม้แดงบนใบหน้า จะทำให้บรรทาอาการลงและฟื้นตัวเร็วขึ้น

          2.ครีมว่านหางจระเข้ ก็มีสรรพคุณเดียวกันกับเจลว่านหางจระเข้ แตกต่างกันที่เนื้อผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์เข้มข้นกว่า อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีหน้ามัน เพราะเนื้อครีมจะให้ความรู้สึกหนักกว่าเนื้อเจล แต่ค่อนข้างเหมาะกับผู้ที่มีหน้าแห้ง เพราะจะให้ความชุ่มชื้นที่มากกว่า

          ทั้งนี้นอกจากเจลว่านหางจระเข้และครีมว่านหางจระเข้แบบทั่วไปแล้ว ยังถูกต่อยอดออกไปเป็นเจลล้างหน้าว่านหางจระเข้ เจลและครีมว่านหางจระเข้แบบผสมสารกันแดด นอกจากนี้ยังมีน้ำว่านหางจระเข้สำหรับดื่มอีกด้วย โดยสรรพคุณไม่แตกต่างจากว่านหางจระเข้สดมากนัก

          รู้จักสรรพคุณและสูตรต่าง ๆ ของว่านหางจระเข้กันแล้ว คงต้องเตรียมหาว่านสารพัดประโยชน์ชนิดนี้มาปลูกไว้คู่บ้านกันบ้างแล้วล่ะ รับรองได้ว่าคุ้มเกินคุ้มจริง ๆ จ้า
.



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #115 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2012, 08:15:57 am »
.
มาปฏิวัติชีวิต ปฏิวัติสุขภาพกันเถอะ
-http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000128112-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 ตุลาคม 2555 12:00 น.

 คำกล่าวที่ว่า "อโรคยา ปรมาลาภา การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดก็ยังเป็นคำพูดที่ไม่ล้าสมัย เพราะคงไม่มีใครปฏิเสธว่าการมีสุขภาพที่ดี มีค่ายิ่งกว่าการมีเงินทองร้อยล้านด้วยซ้ำ เพราะแม้จะมีเงินมากมายมหาศาลก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีได้ ซึ่งตัวเราเองเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
       
       วันนี้ทีมงาน Life & Family มีเคล็ดลับอายุยืนอย่างมีสุขภาพดีจาก นายแพทย์บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ ผู้หันหลังให้กับการรักษาแผนปัจจุบันและหันไปใช้การรักษาแบบธรรมชาติบำบัด "ปฏิรูปจิต" สู่การ "ปฏิวัติชีวิต" อีกทั้งยังเป็นผู้เขียนหนังสือแนวส่งเสริมสุขภาพเล่มล่าสุด "ปฏิวัติชีวิต ปฏิวัติสุขภาพ" รวมไปถึงเทคนิคดี ๆ จากคนรักสุขภาพอีก 2 ท่านที่หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกบ้านไม่มากก็น้อย
       
       คุณหมอบุญชัย เปิดเผยข้อเท็จจริงให้ฟังว่า ปัจจุบันมีคนไทยประมาณ 20 ล้านคนป่วยเป็นโรคเมตาบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวเนื่องมาจากการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน ประกอบด้วย โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระดับไขมันผิดปกติ ซึ่งโรคเหล่านี้ ตำราการแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด ต้องควบคุมอาหาร ควบคุมน้ำหนักตัว และต้องกินยาควบคุมตลอดชีวิตเท่านั้น
       
       "ถ้าเรายังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ เราอาจเป็นโรคที่ต้องกลายเป็นคนตาบอดเป็นเวลาถึง 20 ปี หรือต้องฟอกไตตลอด 20 ปี กว่าที่จะล้มหายตายจาก ซึ่งเป็นการใช้ชีวิตที่น่าอนาจใจก่อนตาย"
       
       อย่างไรก็ดี การทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดี คุณหมอท่านนี้บอกว่า ต้องแก้ที่จิตใต้สำนึก ซึ่งเป็นการแก้ทุกปัญหาสุขภาพอย่างถาวร เรียกว่าแก้ที่นิสัยถาวรหรือแก้ที่สันดาน ซึ่งตัวคุณหมอเองยอมรับว่าเป็นกบฎต่อการใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปที่ส่วนใหญ่กินเนื้อสัตว์ทุกประเภท เป็นเลือกกินเนื้อสัตว์บางประเภทเท่านั้น
       
       "คนเราไม่ควรทานสัตว์ตระกูลเดียวกับเรา คือ ไม่ควรทานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ดูลิงกอริลล่าเป็นตัวอย่าง มันยังเป็นสัตว์กินพืช คนเราทานอาหารไม่ถูก คนอเมริกันเป็นโรคหัวใจกันเยอะ เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ 40 เปอร์เซ็นต์ และ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง 35 เปอร์เซ็นต์ เพราะรับประทานเนื้อสัตว์พวกวัวและหมูมาก สัตว์เมื่อจะถูกฆ่าจะกลัวและเครียด ก็จะหลั่งสารก่อมะเร็งออกมา และเมื่อเรากินเข้าไป จะสะสมไปเรื่อยๆ พอถึงวันหนึ่งก็ป่วยเป็นมะเร็ง"
       
       แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ คุณหมอท่านนี้เคยรอให้ตัวเองล้มป่วยด้วยโรคร้ายที่กล่าวมาเสียก่อนถึงค่อยคิดได้ และด้วยความที่ไม่อยากกินยาไปตลอดชีวิต จึงหันมาปฏิวัติตัวเองครั้งใหญ่ โดยใช้วิธีปฏิรูปจิต เปลี่ยนนิสัยและการดำเนินชีวิต และหันมาใช้ชีวิตตามวิถีธรรมชาติ หรือธรรมชาติบำบัดอย่างจริงจัง
       
       "ผมใช้เวลาเพียง 4 เดือนเท่านั้น เมื่อกลับมาตรวจสุขภาพอีกครั้ง ก็ไม่พบโรคร้ายเหล่านั้นอีกเลย ที่สำคัญที่สุดคือ รางวัลตอบแทนที่ได้รับคือมีสุขภาพดีขึ้นมากอย่างเหลือเชื่อ แถมโรคตับอักเสบเรื้อรังและโรคเม็ดเลือดแดงมากเกินไป ที่เป็นมามากกว่า 20 ปี ก็หายไปด้วย"
       
       ส่วนเคล็ดลับที่คุณหมอใช้ปฏิรูปจิตตัวเองจนประสบความสำเร็จนั้น มีเคล็ดลับง่าย ๆ คือ คนเราจะมีสุขภาพดีหรือไม่ดีอยู่ที่จิตใจ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว จิตสามารถกำหนดได้ว่าตัวเราจะเป็นอย่างไร ถ้าเปลี่ยนจิตใต้สำนึกของตัวเองได้ก็สามารถปฏิรูปชีวิตได้ ใจเป็นสุข กายก็เป็นสุข เริ่มจากคิดดี เป็นผู้ให้ จะทำให้เราไม่ทุกข์

   นอกจากนี้ คุณหมอบุญชัยยังฝากด้วยว่า เวลาทำอะไรไปหรือคิดอะไรจิตใต้สำนึกจะบันทึกไว้หมด ดังนั้น ต้องคิดดีไว้ก่อน อย่าเอาเรื่องไม่ดีเข้ามาใส่ตัว กินอยู่ให้ดี ปฏิบัติตัวให้ดี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี แล้วเราจะซึมซับสิ่งที่ดีใส่ตัว ส่วนตัวไม่ชอบคำว่าควบคุม แต่ใช้คำว่าปฏิวัติชีวิตตัวเอง เมื่อทำไประยะหนึ่งมันจะเข้าไปสู่จิตใต้สำนึกและมันจะเปลี่ยนไปเอง เราจะเป็นคนใหม่โดยไม่ต้องบังคับตัวเอง
       
       ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รองประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ถือเป็นคนที่มีสุขภาพดีมาก เดินตัวตรง กระฉับกระเฉง แม้จะมีอายุเกือบ 80 ปีแล้ว แต่ก็คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งอาหารหลักของครอบครัวในวัยเด็กคือผักตามท้องนา และเนื้อสัตว์ที่หามาได้คือ ปลา กุ้ง ที่อยู่ในนา
       
       "สมัยเด็ก ครอบครัวยากจน ไม่มีโอกาสได้รับประทานเนื้อสัตว์ ผมจึงชอบทานผักสด และทานมาตั้งแต่เด็กๆ อาหารจานหลักคือผักสดที่ปลูกเองที่บ้าน ชีวิตก็รับประทานผักมาตลอด เมื่อไปเรียนต่างประเทศก็ไม่มีปัญหา ใครๆ ดื่มไวน์ก็ดื่มน้ำเปล่า หรือใครที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บลัดดี้แมรี่ก็จะเลือกดื่มน้ำมะเขือเทศ และไม่ดื่มกาแฟ"
       
       ปัจจุบัน ดร.วิจิตร มีสวนผักอยู่ข้างบ้าน ทำเป็นโรงเรือนปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ เอาไว้แจกเพื่อนบ้านด้วย ล่าสุดเพิ่งกลับมาจากประเทศฝรั่งเศส ขณะที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศสก็รับประทานอาหารได้อร่อยและมีความสุข เพราะเลือกทานปลาทั้ง 7 วัน 7 ชนิดไม่ซ้ำกันเลย
       
       เมื่อถามลึกลงไปถึงหลักการดูแลชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดร.วิจิตร บอกว่า มีอยู่ 3 ประการหลัก ๆ ที่ให้ความสำคัญ คือ 1. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย ไม่กินเนื้อสัตว์ประเภทสัตว์ใหญ่ และรับประทานผักผลไม้ให้มาก 2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น ว่ายน้ำ หรือเต้นรำ ซึ่งปัจจุบันเป็นนายกสมาคมลีลาศด้วย และ 3. พักผ่อนให้เพียงพอ คนที่เครียด คือ คนพักผ่อนไม่พอ ต้องระวังอย่าให้เครียด
       
       ปิดท้ายกันที่เทคนิคดี ๆ จาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สุพร เกิดสว่าง สูตินรีแพทย์อาวุโส นายกสมาคมประสานงานองค์กรเอกชนเพื่อการสาธารณสุข ที่ให้เคล็ดลับดูแลสุขภาพไว้ว่า เวลาเหนื่อยให้นอนพัก ถ้านอนหลับลึกๆ สัก 5-10 นาทีก็จะดีขึ้น
       
       "ผมเริ่มดูแลตัวเองเมื่ออายุมากขึ้น เพราะเมื่อก่อนทำงานเยอะมาก สังเกตว่าตอนที่อายุน้อยๆ กินเท่าไรก็ไม่อ้วน แต่พออายุมากขึ้น กินเหมือนเดิมก็อ้วน เพราะว่าระบบเผาผลาญมันแย่ลง ก็ต้องออกกำลังกายมากขึ้น และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลักสำคัญคือ กินให้ถูก อยู่ให้ดี หลับนอนให้เพียงพอ รู้จักหาความสุขใส่ตัวทั้งภายนอกคือการสุขกาย และภายใน คือ การได้ช่วยเหลือผู้อื่น ความสุขจากภายใน ไม่มีใครจะโขมยไปจากเราได้" นี่คือสิ่งที่คุณหมอท่านนี้ให้ความสำคัญ ซึ่งนับเป็นเคล็ดลับง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง


นายแพทย์บุญชัย อิศราพิสิษฐ์

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000128112
.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #116 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2012, 08:57:52 am »
ไส้กรอก

-http://how2healthy.blogspot.com/2010/05/blog-post_10.html-






http://how2healthy.blogspot.com/2010/05/blog-post_10.html
.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #117 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2012, 09:19:39 pm »

มะกอกน้ำ - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2555 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/agriculture/165722-





มะกอกน้ำเป็นไม้ยืนต้น สูง 7-12 เมตร เปลือกลำต้นสีเทาหรือน้ำตาลแดง ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ก้านใบยาว ใบย่อยรูปไข่ค่อนข้างเรียวแหลม ขอบใบหยักเล็กน้อย ดอก ออกเป็นช่อแบบเพนิเคิล ตามปลายยอด ดอกย่อยมีกลีบดอก 5 กลีบ สีขาว ฐานรองดอกมีสีเหลือง เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ผล รูปไข่หรือรูปกระสวย มียางคล้ายไรไข่ปลา ผลอ่อนมีสีเขียวเข้ม ผลแก่มีสีเขียวอมเหลือง สุกมีสีส้ม เมล็ด กลมรี เปลือกหุ้มเมล็ดแข็งและมีขนแข็งที่เปลือกหุ้มเมล็ด

ผลมีรสเปรี้ยวฝาด หวานชุ่มคอ บำบัดโรคธาตุพิการ โดยน้ำดีไม่ปกติ และมีประโยชน์แก้โรคบิดได้ด้วย น้ำคั้นใบมะกอก ใช้หยอดหู แก้ปวดหูดี ผลมะกอกสุก รสเปรี้ยว อมหวาน รับประทานทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำได้ดี เช่นผลมะขามป้อม เปลือกฝาด เย็นเปรี้ยว ดับพิษกาฬ แก้ร้อนในอย่างแรง แก้ลงท้องปวดมวน แก้สะอึก เมล็ดเมื่อนำมาสุมไฟให้เป็นถ่าน นำมาแช่น้ำ เอาน้ำรับประทานแก้ร้อนใน แก้หอบ แก้สะอึกใช้ผสมยา มหานิล ใบอ่อน รับประทานเป็นผักแกล้มอาหาร.


http://www.dailynews.co.th/agriculture/165722
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #118 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2012, 09:21:12 pm »
ถั่วแดง - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2555 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/165567-



ถั่วแดงมีโปรตีนและมีคุณค่าทางอาหารสูง นำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ดี โดยต้มให้เปื่อยก่อนนำไปเลี้ยงสัตว์ แต่ต้องระวังอย่าให้สัตว์กินมากเกินไป เพราะจะทำให้ท้องอืด ถั่วแดงสามารถนำมาใช้เป็นอาหารของมนุษย์ได้ทั้งที่เป็นผักสดและเมล็ดแห้ง ประเทศแถบยุโรปหรืออเมริกา นิยมบริโภคเมล็ดถั่วแดง ทั้งเป็นอาหารคาวและหวาน  มีประโยชน์ในด้านใช้เป็นอาหารลดความอ้วนและสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน แต่ในประเทศไทยเริ่มมีผู้นิยมบริโภคมากขึ้น เช่น ถั่วแดงต้มน้ำตาล หมูอบถั่วแดง ถั่วแดงอบ แกงถั่วโอสถ ห่อหมก ถั่วเสวย ซุปถั่วแดง เป็นต้น.

http://www.dailynews.co.th/agriculture/165567

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #119 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 04:01:26 am »
“น้ำปลา-ปลาร้า” วัฒนธรรมร่วมของชาวอาเซียน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
21 พฤศจิกายน 2555 17:47 น.



การที่ 10 ประเทศในอาเซียนจะรวมกันเป็นประชาคม แน่นอนว่าย่อมต้องมีเอกลักษณ์ร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องอาหารการกิน ประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกันก็จะมีวัฒนธรรมในการกินคล้ายคลึงกันไปด้วย ซึ่งชาวอาเซียนเราก็มีทั้ง “น้ำปลา” และ “ปลาร้า” ที่เป็นวัฒนธรรมการกินร่วมกัน มีให้กินคล้ายๆ กันในหลายประเทศ
       
       เริ่มต้นที่ “น้ำปลา” ที่เป็นส่วนผสมของปลา เกลือ และน้ำเกลือเข้มข้น ผ่านการหมักบ่มนานนับปี ก็จะได้หัวน้ำปลาอย่างดี จากนั้นก็นำกากปลาที่เหลือมาผสมกับน้ำเกลือเข้มข้นแล้วหมัก ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะได้น้ำปลาเกรดสอง, สาม, สี่,... ไปจนกระทั่งกากปลาย่อยสลายไปหมด
       
       น้ำปลานั้นเป็นสิ่งที่ช่วยชูรสชาติให้จัดจ้านกลมกล่อมขึ้น จากที่เป็นอาหารจืดๆ ใส่น้ำปลาลงไปก็เพิ่มความอร่อย อย่างที่ประเทศไทยเรียกว่าน้ำปลา เพื่อนบ้างเราก็กินน้ำปลาแต่มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปในแต่ละภาษา อย่างเช่น เวียดนามเรียกว่า “Nuoc Mam” ฟิลิปปินส์ เรียกว่า “Patis” ลาว เรียกว่า “น้ำปา” พม่า เรียกว่า “Ngan Bya Yay”
       
       ส่วน “ปลาร้า” นั้นก็ไม่ได้มีเพียงเฉพาะที่ภาคอีสานของไทย แต่เกิดขึ้นได้ทั่วทุกมุมโลก จากการที่ต้องเก็บถนอมปลาเอาไว้กินในยามขาดแคลน และใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้ว คือ ปลา เกลือ และข้าว
       
       ในประเทศไทย เรียกว่า “ปลาร้า” ส่วนบ้านพี่เมืองน้องของเรา ลาว เรียกว่า “ปลาแดก” ปลาร้าเขมร คือ “ปราฮ็อก” ฟิลิปปินส์ เรียกว่า “บากุง” เวียดนาม เรียกว่า “มาม” มาเลเซีย เรียกว่า “เปกาซัม” อินโดนีเซีย เรียกว่า “บากาแซ็ง” พม่า เรียกว่า “งาปิ๊”
       
       จะเห็นว่าชาวประชาคมอาเซียนนั้นก็มีวัฒนธรรมในการกินที่คล้ายคลึงกัน เพราะมีวัตถุดิบจากธรรมชาติที่ใกล้เคียงกัน นั้นก็คือ ปลา เกลือ และข้าว ซึ่งแต่ละชาติจะประดิษฐ์ประดอยออกมาได้รสชาติหรือหน้าตาแบบไหน ก็ต้องไปลองหาชมหาชิมกันเอาเอง


-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000141192-

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)