อาหาร "ช่วยคลายหนาว"
-http://campus.sanook.com/1370443/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-
ช่วงอากาศหนาวร่างกายโหยหาความอบอุ่นเสื้อผ้าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายและอีกอย่างที่สำคัญเช่นกันคือการดูแลสุขภาพการกินอาหารก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะช่วยสร้างความอบอุ่นให้ยามหนาวได้ นั่นคือการเลือกกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงาน เช่น แป้ง ข้าว อาหารที่มีไขมัน เป็นต้น แต่หากกินอาหารที่ให้พลังงานสูง และไม่ออกกำลังกายอาจส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้
ดังนั้นการกินอาหารในช่วงอากาศหนาวคนโบราณและแพทย์แผนไทยแนะนำให้กิน เช่น น้ำขิง ,บัวลอยงาดำในน้ำขิง หมี่เย็น หมี่หวาน ข้าวมันไก่ เป็นต้น หากเป็นผักสมุนไพร โดยเฉพาะพวกขี้เหล็ก ดอกแค สะเดา ซึ่งเป็นพืชผักที่ขึ้นในฤดูหนาว สามารถนำมาประกอบอาหารเป็นแกงส้ม แกงสะเดา ก็จะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายได้
นอกจากนี้ยังมีผักสมุนไพรอาหารทั่วๆ ไป ที่กินได้ทังวัน และช่วยสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย ได้แก่ ผักชี, อบเชย, ข้าวเจ้า, ข้าวเหนียว, ข้าวโพด, ข้าวสาลี, ขิงสด, พริกไทย, พริกหอม, เทียนสัตตบุษย์, ต้นหอม, ขึ้นไช่, ผักกวางตุ้ง, กุยไช่, เผือก, งา, ลิ้นจี่, เนยใสผสมน้ำผึ้ง, เนื้อวัว, เนื้อแพะ, เขากวางอ่อน, โสม, ดีปลี
และผลไม้ในช่วงหน้าหนาวนี้ คือสับปะรด แต่ไม่ควรกินมากเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูงควรเลือกกินครั้งละ 6-8 คำ
**สิ่งสำคัญอีกประการคือการเลือกกินอาหารที่ปรุงสุก สะอาด และสดใหม่**
-----------------------------------------------------------
แบบว่า กินไม่ได้ แต่ขออนุญาตลงครับ
--------------------------------------
ออกกำลังกายสมอง แก้ปัญหาคิดช้า มึนงง หลงๆ ลืมๆ
-http://campus.sanook.com/1370441/%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%A1%E0%B8%B6%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%87-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B9%86-%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%A1%E0%B9%86/-
1.ท่าบริหารปุ่มสมอง นวดไหปลาร้า 30วินาที เป็นการกระตุ้นให้เลือกไปเลี้ยงสมองได้ดี
2.ท่าบริหารปุ่มขมับ ใช้นิ้วนวดขมับเบาๆ 30วินาที เพื่อให้สมองสองซีกทำงานสมดุลกัน
3.ท่าบริหารท่าจีบ L มือหนึ่งจีบ อีกมือหนึ่งทำเป็นรูป L ทำสลับไปมา 10ครั้ง เพื่อกระตุ้นการทำงานที่สัมพันธ์ของมือกับตา
--------------------------------------
ระวัง! 7 ข้อห้ามการอบสมุนไพร
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ธันวาคม 2556 07:21 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000159445-
การอบสมุนไพรเป็นวิธีการบำบัดรักษา และส่งเสริมสุขภาพตามหลักของการแพทย์ไทยด้วยสมุนไทยๆที่หาได้ตามท้องถิ่น โดยใช้การอบสมุนไพรนั้นมีประมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย ช่วยทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น ช่วยให้ร่างกายขับเหงื่อออกมากขึ้น ขยายรูขุมขน ทำให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้น ช่วยละลายเสมหะ ลดอาการอักเสบและบวมที่เหยื่อบุทางเดินหายใจตอนบน ลดการระคายเคืองในลำคอ อีกทั้งเมื่ออบแล้วจะทำให้รู้สึกสบายตัว ลดอาการปวดศีรษะด้วย
ลักษณะสมุนไพรที่ใช้ในการในการอบนั้น แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 สมุนไพรที่มีกลิ่นหอม กลุ่มนี้มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์เป็นน้ำมันหอมระเหย ซึ่งจะช่วยรักษาโรคต่างๆ เช่นโรคผิวหนัง ปวดเมื่อย หวัดคัดจมูก ตัวอย่างสมุนไพรเช่น ไพล ขมิ้นชัน
กลุ่มที่ 2 สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว กลุ่มนี้มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆซึ่งจะช่วยชะล้างสิ่งสกปรก และเพื่อมความต้านทานโรคให้กับผิวหนัง ตัวอย่างเช่น ใบมะขาม ใบและฝักส้มป่อย
กลุ่มที่ 3 เป็นสารประกอบที่ระเหิดได้เมื่อถูกความร้อนและมีกลิ่นหอม เช่นการบูร พิมเสน
กลุ่มที่ 4 สมุนไพรที่ใช้รักษาเฉพาะโรค เช่นรักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน จะต้องใช่เหงือกปลาหมอเป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะอบสมุนไพร เราทำความรู้จักสรรพคุณของสมุนไพรแต่ละตัวกันก่อนสักเล็กน้อย เพื่อที่เราจะเลือกสมุนไพรมาอบให้ถูกกับความต้องการ เช่น "ไพล" แก้อาการปวดเมื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว "ขมิ้นชัน" แก้โรคผิวหนังสมานแผล "กระชาย" แก้ปากเปื่อย ปากแตกเป็นแผล ใจสั่น "ตะไคร้" ดับกลิ่นคาว บำรุงธาตุไฟ "ใบมะขาม" แก่อาการคันตามร่างกาย "ใบเปล้าใหญ่" ช่วยถอนผิดสำแดง บำรุงผิวพรรณ "ใบ-ลูกมะกรูด" แก้ลมวิงเวียน ช่วยระบบทางเดินหายใจ "ใบหนาด" แก้โรคผิวหนัง พุพองน้ำเหลืองเสีย "ใบส้มป่อย" แก้หวัด แก้ปวดเมื่อย "ว่านน้ำ" ช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้ "พิมเสน การบูร" บำรุงหัวใจ รักษาโรคผิวหนัง "เหงือกปลาหมอ" แก้โรคผิวหนัง พุพองน้ำเหลืองเสีย "ชะลูด" แก้ร้อนในกระสับกระส่าย ดีพิการ "กระวาน" แก้เจ็บตา ตาแฉะ ตามัว และ "เกษรทั้ง 5" ช่วยระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น
ทั้งนี้ โรคทุกไม่สามารถรักษาด้วยสมุนไพรได้หมด แต่โรคและอาการที่เหมาะแก่การรักษาด้วยการอบสมุนไพร ได้แก่ โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด ในระยะอาการที่ไม่รุนแรง เป็นหวัด น้ำมูกไหล โรคที่ไม่ได้เป็นการเจ็บเฉพาะที่ หรือเป็นเฉพาะที่มีหลายตำแหน่ง เช่นอำมพาต ปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือาการบางอย่าง เช่น ยอก โรคเรื้อรังต่างๆ เช่นโรคเบาหวาน โรคเก๊าท์ ซึ่งโรคเหล่านี้อาจจะต้องใช้การอบสมุนไพรร่วมกับการรักษาอื่นๆตามความเหมาะสม อย่างเช่น หัตเวชกรรม ประคบสมุนไพร นอกจากนี้การอบสมุนไพรยังช่วยในเรื่องของสุขภาพแม่หลังคลอดบุตรด้วย
แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ การอบสมุนไพรยังมีข้อควรระวังอยู่ โดยข้อห้ามสำหรับการอบสมุนไพร มีทั้งหมด 7 ข้อ คือ
1.ไม่ควรทำการอบสมุนไพรขณะมีไข้สูง(มากกว่า 38 องศาเซลเซียส) เพราะอาจมีการติดเชื้อ
2.ผู้ที่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงทุกชนิด
3.มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคไต โรคหัวใจ โรคลมชัก โรคหอบหืดระยะรุนแรง โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่รุนแรง ในรายที่มีความดันโลหิตสูง 180 มิลลิเมตรปรอท สามารถอบได้ตามดุลยพินิจของแพทย์แต่ต้องได้รับการดูแลอย่างไกล้ชิด
4.ผู้หญิงที่มีประจำเดือน ร่วมกับมีอาการไข้ร่วมด้วย
5.มีการอักเสบจากบาดแผลต่างๆ
6.อ่อนเพลีย อดนอน อดอาหาร หรือหลังรับประทานอาหารใหม่ๆ
และ 7.ปวดศระษะชนิดรุนแรง คลื่นใส้
หากคุณผ่านฉลุยสำหรับข้อห้ามในการอบสมุนไพร ก็ลงมืออบสมุนไพรได้เลย ซึ่งมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. อาบน้ำ เพื่อชำระสิ่งสกปรกที่อาจติดอยู่ตามรูขุมขน และเพื่อเป็นการเตรียมเส้นเลือดให้พร้อมต่อการยืดขยายและหดตัว แล้วแต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น 2.เข้าอบตัวในห้องสมุนไพรที่มีการควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ระหว่าง 42-45 องศาเซลเซียส ใช้เวลาในการอบ 30 นาที โดยอบสองครั้ง ครั้งละ 15 นาที และออกมาพัก 3-5 นาทีพร้อมทั้งดื่มน้ำทดแทนแต่ไม่ควรเป็นน้ำเย็นจัด สำหรับบุคคลที่ไม่เคยอบควรจะให้อบ ครั้งละ 10 นาที 3 ครั้ง และ 3.หลังการอบสมุนไพรแล้วไม่ควรอาบน้ำทันทีให้นั่งพัก 3-5 นาทีหรือจนเหงื่อแห้งแล้งจึงอาบน้ำอีกครั้งเพื่อชำระคราบเหงื่อไคลและสมุนไพร และช่วยให้เส้นเลือกหดตัวลงเป็นปกติ เท่านี้คุณก็สามารถอบสมุนไพรได้อย่างปลอดภัย ช่วยให้ร่างกายสบาย ได้รับสรรพคุณต่างๆ จากสมุนไพรอย่างเต็มที่