ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129505 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 9 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #350 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2014, 06:48:20 pm »
ระวัง! ผู้มีคอเลสเตอรอล-ไตรกลีเซอร์ไรด์สูง ควรกินไอศกรีมแต่พอดี

-http://club.sanook.com/30475/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A5/-



ในช่วงที่อากาศร้อนจัดแบบนี้ วิธีดับร้อนอย่างง่าย ของหลายๆคน คงเป็นการหาน้ำเย็นๆมาดื่มกัน นอกจากนี้ขนมยอดฮิตก็คงไม่พ้นไอศกรีม จริงไหมคะ ด้วยความหอมหวาน และความเย็นของไอศกรีมบางครั้งก็อาจส่งผลร้ายต่อบางคนได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับคอเลสเตอรอล และไขมัน

 

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง มีไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ และน้ำหนักเกิน ควรกินไอศกรีมเป็นครั้งคราวและจำกัดปริมาณ เหตุส่วนผสมของไขมันและน้ำตาลที่มีปริมาณมากทำให้ระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูงขึ้นได้


ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่าไอศกรีมเป็นของหวานที่สร้างความสดชื่นในช่วงหน้าร้อนได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีส่วนประกอบหลักคือ ครีม น้ำนม หรือผลิตภัณฑ์นม เช่น ครีม นมผง หางนม โยเกิร์ต นมเปรี้ยว และมีส่วนผสมของสารให้รสหวานนอกจากน้ำตาล ยังมีกลูโคสไซรับ ฟรุกโตส น้ำผึ้ง หรืออาจมีไขมันพืช ไข่ กะทิเพิ่มด้วย ซึ่งส่วนประกอบต่างๆล้วนแต่เพิ่มน้ำหนักให้กับผู้บริโภคทั้งสิ้น จึงควรเลือกชนิดของไอศกรีมที่เหมาะสมหรือหลีกเลี่ยงไอศกรีมชนิดที่มีไขมันสูง เพราะไอศกรีมบางประเภทโฆษณาว่ามีไขมัน 0% แต่กลับมีน้ำตาลสูงถึง 3.5-6.5 ช้อนชา จึงควรระมัดระวังและไม่ควรกินบ่อย

 

ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อไปว่า ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง ควรเลือกไอศกรีมที่มีส่วนผสมที่มีไขมันน้อย หรือไอศกรีมที่ไม่มีไขมันเลย เช่น ไอศครีมเชอร์เบท หรือไอศครีมหวานเย็น สำหรับผู้ที่มีไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ ควรกินไอศกรีมเป็นครั้งคราวและจำกัดปริมาณไอศกรีมทุกชนิด เนื่องจากส่วนผสมของไขมันและน้ำตาลที่มีอยู่ในปริมาณมากมีผลทำให้ระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูงขึ้นได้ และสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ควรหลีกเลี่ยงไอศกรีมทีมีไขมันสูง หรือไอศกรีมที่มีน้ำตาลสูง ทั้งนี้ ไอศกรีมดัดแปลง 1 แท่งประกอบด้วยไขมันอิ่มตัว นมผง หางนม น้ำตาล ให้พลังงาน 150-230 กิโลแคลอรี่ น้ำตาล 4-5.5ช้อนชา และไอศครีมหวานเย็น บางประเภทแม้จะมีไขมันศูนย์เปอร์เซ็นต์ แต่ประกอบด้วยน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ ให้พลังงาน 60-100 กิโลแคลอรี่ น้ำตาล 3.5-6.5 ช้อนชา ซึ่งใน 1 วันเราไม่ควรกินน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา ในขณะเดียวกันควรดูฉลากโภชนาการเป็นส่วนประกอบก่อนการบริโภค เพื่อให้ทราบปริมาณพลังงาน น้ำตาลหรือไขมัน จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้กินมากเกินไป และเลือกกินไอศกรีมจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ เพื่อลดความเสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหารที่เกิดจากไอศกรีมไม่สะอาด

 

“สิ่งที่ช่วยคลายร้อนได้ดีอีกอย่างหนึ่ง คือ น้ำแข็ง แต่ควรเลือกบริโภคน้ำแข็งที่มีวิธีการผลิตที่ถูกสุขลักษณะได้มาตรฐาน GMP เพื่อลดปัญหาการปนเปื้อนจากเชื้อจุลินทรีย์ และเมื่อน้ำแข็งละลายจะต้องใส ไม่มีตะกอนขาวขุ่น ๆ อยู่ก้นแก้ว เพราะความเย็นของน้ำแข็งไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหารได้ โดยเฉพาะเชื้ออหิวาตกโรคสามารถมีชีวิตอยู่ในน้ำแข็งเป็นเวลานานถึง 2 วัน ก่อนจะดื่มน้ำที่ผสมน้ำแข็งจึงต้องคำนึงถึงความสะอาดปลอดภัยด้วย” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด

 

ข้อมูลจาก :: กรมอนามัย


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #351 เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2014, 05:53:50 am »
ประโยชน์ของมังคุด ราชินีแห่งผลไม้ไทยที่ต้องลิ้มลอง

-http://health.kapook.com/view93601.html-





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ประโยชน์ของมังคุด สรรพคุณของมังคุด มีมากหลาย วันนี้เรามีบทความเกี่ยวกับมังคุดมาฝาก         

          ย่างเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว นับว่าเป็นข่าวดีของคนทำไร่ทำสวน เพราะจะมีผลไม้ผลิดอกออกผลมาจำหน่ายแก่ผู้บริโภคมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เงาะ น้อยหน่า หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งมังคุดซึ่งถือว่าเป็นผลไม้ที่อร่อยมาก และยังได้ชื่อว่าเป็นราชินีของผลไม้ในประเทศไทยอีกด้วย วันนี้ ทางกระปุกดอทคอมจึงได้นำความรู้และประโยชน์ของมังคุดมาฝากกันค่ะ


มังคุดกับความเป็นมา

          มังคุด เป็นผลไม้ที่อยู่คู่คนไทยมานาน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักมังคุดได้เป็นอย่างดี ซึ่งมังคุดมีชื่อเรียกต่าง ๆ และมีความเป็นมา ดังนี้

          มังคุด ชื่อภาษาอังกฤษคือ mangosteen มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Garcinia mangostana Linn. มีชื่อเรียกในภาษามลายูว่ามังกุสตาน manggustan ภาษาอินโดนีเซียเรียกมังกีส ภาษาพม่าเรียกมิงกุทธี ภาษาสิงหลเรียกมังกุส เป็นพันธุ์ไม้ไม่ผลัดใบเขตร้อนชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ที่หมู่เกาะซุนดาและหมู่เกาะโมลุกกะ แพร่กระจายพันธุ์ไปสู่หมู่เกาะอินดีสตะวันตกเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 24 แล้วจึงไปสู่กัวเตมาลา ฮอนดูรัส ปานามา เอกวาดอร์ ไปจนถึงฮาวาย

          ในประเทศไทยมีการปลูกมังคุดมานานแล้วเช่นกัน เพราะมีกล่าวถึงในพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ในสมัยรัชกาลที่ 1 นอกจากนั้น ในบริเวณโรงพยาบาลศิริราชยังเคยเป็นที่ตั้งของวังที่มีชื่อว่า "วังสวนมังคุด" ในจดหมายเหตุของราชทูตจากศรีลังกาที่เข้ามาของพระสงฆ์ไทย ได้กล่าวว่ามังคุดเป็นหนึ่งในผลไม้ที่นำออกมารับรองคณะทูต




ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของมังคุด

          มังคุด มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ดังนี้

          มังคุดเป็นไม้ยืนต้น สูง 10-12 เมตร ทุกส่วนมียางสีเหลือง ใบเดี่ยว เนื้อใบหนาและค่อนข้างเหนียวคล้ายหนัง หลังใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบสีอ่อนกว่า ดอกเดี่ยวหรือเป็นคู่ ออกที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง สมบูรณ์เพศหรือแยกเพศ กลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลืองติดอยู่จนเป็นผล กลีบดอกสีแดง ฉ่ำน้ำ ผลเป็นผลสด ค่อนข้างกลม เปลือกนอกค่อนข้างแข็ง เมื่อแก่เต็มที่มีสีม่วงแดง ยางสีเหลือง มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-6 เซนติเมตร เนื้อในมีสีขาวฉ่ำน้ำ อาจมีเมล็ดอยู่ในเนื้อผลได้ ขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของผล จำนวนกลีบของเนื้อจะเท่ากับจำนวนกลีบดอกที่อยู่ด้านล่างของเปลือก เส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 เซนติเมตร

          ส่วนของเนื้อผลที่กินได้ของมังคุดเป็นชั้นเอนโดคาร์ป (endocarp) ซึ่งพัฒนามาจากเปลือกหุ้มเมล็ดเรียกว่า aril มีสีขาว มีกลิ่นหอม ส่วนล่างสุดของผลที่เป็นแถบสีเข้มที่ติดอยู่เรียงเป็นวงพัฒนามาจากปลายยอดเกสรตัวเมีย (stigma) มีจำนวนเท่ากับจำนวนเมล็ดภายในผล เมล็ดมังคุดเพาะยากและต้องได้รับความชื้นจนกว่าจะงอก เมล็ดมังคุดเกิดจากชั้นนิวเซลลาร์ ไม่ได้มาจากการปฏิสนธิ เมล็ดจะงอกได้ทันทีเมื่อออกจากผลแต่จะตายทันทีที่แห้ง

          มังคุดมีพันธุ์พื้นเมืองเพียงพันธุ์เดียว แต่ถ้าปลูกต่างบริเวณกันอาจมีความผันแปรไปได้บ้าง ในประเทศไทยจะพบความแตกต่างได้ระหว่างมังคุดในแถบภาคกลางหรือมังคุดเมืองนนท์ ที่ผลเล็ก ขั้วยาว เปลือกบาง กับมังคุดปักษ์ใต้ที่ผลใหญ่กว่า ขั้วผลสั้น เปลือกหนา





ประโยชน์ของมังคุด สรรพคุณเพียบ

          มังคุดเป็นผลไม้จากเอเชียที่ได้รับความนิยมมาก ได้รับขนานนามว่าเป็น "ราชินีของผลไม้" อาจเป็นเพราะด้วยลักษณะภายนอกของผลที่มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่หัวขั้วของผลคล้ายมงกุฎของพระราชินี ส่วนเนื้อในก็มีสีขาวสะอาด มีรสชาติที่หวานอร่อย
 
          เนื้อมังคุด

          มีการนำมังคุดมาประกอบอาหารบ้างทั้งอาหารคาว เช่น แกง ยำ และอาหารหวาน เช่น มังคุดลอยแก้ว แยมมังคุด มังคุดกวน มังคุดแช่อิ่ม ในจังหวัดนครศรีธรรมราชมีการทำมังคุดคัด ด้วยการแกะเนื้อมังคุดห่ามออกมาเสียบไม้รับประทาน ในขณะที่ส่วนใหญ่จะนิยมรับประทางมังคุดสุกเป็นผลไม้ ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย มีส่วนช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอย ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสอีก
 
          นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันอาการไข้ (ไข้ระดับต่ำ) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว ออกฤทธิ์ต้านสิวอักเสบได้ดี และมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้า ลดความเครียด

          การรับประทานมังคุดเป็นประจำ จะช่วยส่งเสริมให้มีสุขภาพจิตดี อารมณ์ดีอยู่เสมอ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย และลดไขมันที่ไม่ดีในเส้นเลือด มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดเนื้องอกในร่างกาย มีสวนช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ด้วยคุณสมบัติในการลดและควบคุมระดับน้ำตาลอีกด้วย

         เนื้อมังคุด มีเส้นกากใยสูง ช่วยเรื่องการขับถ่ายและมีวิตามินเกลือแร่สูงมาก เช่น กรดอินทรีย์ น้ำตาล แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก

          เปลือกมังคุด

         ส่วนเปลือกของมังคุดมีสารให้รสฝาด คือแทนนิน แซนโทน (โดยเฉพาะแมงโกสติน) ซึ่งแทนนินมีฤทธิ์ฝาดสมาน ทำให้แผลหายเร็ว ส่วนแมงโกสตินช่วยลดอาการอักเสบและมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองได้ดี ในทางยาสมุนไพร ใช้เปลือกมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำหรือย่างไฟ ฝนกับน้ำปูนใส แก้ท้องเสีย เปลือกแห้งฝนกับน้ำปูนใส ใช้รักษาอาการน้ำกัดเท้า แผลเปื่อย นอกจากนี้ เปลือกมังคุดมีสารป้องกันเชื้อราเหมาะแก่การหมักปุ๋ย ชาวโอรังอัสลีในรัฐเประ ประเทศมาเลเซีย ใช้เปลือกผลแห้งรักษาแผลเปิด

          น้ำมังคุด

          น้ำมังคุดช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล ด้วยการหลั่งสาร Interleukin Iและ Tumor Necrosis Factor ช่วยยับยั้งการหลั่งสารฮีสตามีน ลดอาการแพ้ภูมิตนเอง (ในโรค SLE) และลดการอักเสบ ในผู้ป่วยเบาหวาน ตับเสื่อม ไตวาย ข้อเข่าเสื่อม ความดันโลหิตสูง โรคพาร์กินสัน ไทรอยด์เป็นพิษ ความผิดปกติของสมองอันเนื่องจากการอักเสบ



         
มังคุดกินแล้วอ้วนไหม

          หลายคนสงสัยเหลือเกินว่ามังคุดกินแล้วจะอ้วนไหม เรามาดูกันดีกว่าว่าเป็นอย่างไร

         แม้มังคุดจะมีรสชาติหวานแต่มีพลังงานต่ำ แคลอรี่น้อย จึงไม่ต้องกลัวอ้วน แถมทางการแพทย์นั้นยังยืนยันว่ามังคุดเป็นอาหารเสริมที่ดีซึ่งช่วยลดความอ้วนได้ด้วยมังคุดเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยสูง จึงเป็นประโยชน์ต่อการขับถ่ายทำให้ท้องไม่อืด และป้องกันมะเร็งลำไส้ได้ จึงนับว่าเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก


มังคุดมีกี่กิโลแคลอรี่

          ในมังคุด 100 กรัม จะมีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้ 

          แคลอรี่ 60-63
          น้ำ 80.20-84.90 กรัม
          โปรตีน 0.50-0.60 กรัม
          ไขมัน 0.10-0.60 กรัม
          แคลเซียม 0.01-8.00 มิลลิกรัม
          เหล็ก 0.20-0.80 มิลลิกรัม
          กรดแอสคอร์ปิก 1.0-2.00 มิลลิกรัม
          คาร์โบไฮเดรต 14.30-15.60 กรัม
          ใยอาหาร 5.00-5.10 กรัม
          เถ้า 0.20-0.23 กรัม
          ซูโครส กลูโคส ฟรุกโตส 16.42-16.62 กรัม
          ฟอสฟอรัส 0.02-12.00 มิลลิกรัม
          ไทอามีน 0.03 มิลลิกรัม


มังคุดป้องกันเชื้อ HIV หรือเปล่า

          มังคุดมีประโยชน์นานัปการ ในส่วนของเชื้อเอชไอวี (HIV) นั้น มังคุดอาจจะไม่ได้ป้องกันเชื้อ HIV แต่ก็ช่วยยับยั้งเชื้อ HIV บางตัว โดย ศ.พิชญ์ ศุภผล อาจารย์วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวไว้ดังนี้

        เปลือกมังคุดมีคุณสมบัติมากหลาย หากนำเปลือกด้านในของมังคุดมาผ่านกรรมวิธีพิเศษทางเคมี จะสามารถสกัดได้สารแซนโทน (Xanthones) ในปริมาณสูง ซึ่งสารดังกล่าวมีสรรพคุณทางการแพทย์ที่สำคัญ คือ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ สมานแผล รักษาเซลล์มะเร็ง ฆ่าเชื้อก่อโรคทางเดินระบบหายใจร้ายแรงได้ และมีคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อไวรัส HIV บางตัว

        เช่นเดียวกับ นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 323 เขียนโดย ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร กล่าวว่า สารสกัดเมทานอลและสารจากเปลือกผลมังคุด ช่วยยับยั้งเอนไซม์โพรทีเอส (HIV-1 pro-tease) ซึ่งเป็นเชื้อที่จำเป็นต่อวงจรชีวิตของเชื้อ HIV และสารสกัดน้ำและสารสกัดเมทานอลจากเปลือกผลมังคุด ยังสามารถยับยั้งเอนไซม์รีเวอร์สทรานสคริปเทส (reverse transcriptase) ในเชื้อ HIV อีกด้วย


ประโยชน์ของมังคุด


มังคุดกับการรักษาโรคมะเร็ง

           นอกจากจะยับยั้งเชื้อ HIV บางตัวแล้ว มังคุดยังสามารถป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งเกือบทุกชนิดได้ โดยศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) และ ม.เชียงใหม่ ได้ค้นพบสูตรสารต้านมะเร็งจากมังคุดทั้งลูก

          โดยสารสกัดจากมังคุดช่วยสร้างเม็ดเลือดขาวชนิด ทีเอช 1 (Th1) และ ทีเอช 17 (Th17) ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยกำจัดและป้องกันการก่อเกิดเซลล์มะเร็งเกือบทุกชนิดได้ และน้ำมังคุดยังสร้างเม็ดเลือดขาวชนิดเทร็ก (Treg) ที่ช่วยจัดระเบียบให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสมดุล ขณะที่ผลทดลองกับผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะสุดท้ายพบว่า คนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

          นอกจากนี้หัวหน้าทีมวิจัย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ผู้ก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย กล่าวว่า สารสกัดจากมังคุดสามารถสร้างเม็ดเลือดขาว TH-1 ที่เป็นสารช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย และสามารถป้องกันโรคได้โดยเฉพาะเซลล์มะเร็ง


มังคุดต้มสุก หรือ มังคุดนึ่ง ดีจริงหรือ?

          ปัจจุบันคนไทยมักนิยมวิธีการดูแลสุขภาพที่หลากหลาย การนำเอามังคุดมาต้มหรือนึ่ง เพื่อได้ประโยชน์จากเปลือกมังคุดก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมกัน ทำให้มีการแชร์วิธีนี้ในโลกสังคมออนไลน์และมีผู้พูดถึงกันอย่างมาก เพราะเชื่อกันว่ากินมังคุดด้วยวิธีนี้แล้วจะช่วยป้องกันได้สารพัดโรค ผิวพรรณจะสวย ผ่องใส ซึ่งวิธีดังกล่าวได้มีการอธิบายไว้ ดังนี้

          เนื้อเปลือกของมังคุดมีสารแซนโทนมากกว่า 40 ชนิด หนึ่งในสารดังกล่าวมีสารแอลฟา-แมงโกสติน ซึ่งเป็นผลึกสีเหลืองอยู่ภายในเนื้อเปลือก เป็นสารแซนโทนตัวหนึ่งในกลุ่มสารแซนโทนที่มีอยู่ทั้งหมด ซึ่งละลายได้ในน้ำร้อน ทั้งนี้ยังมีสารแซนโทนตัวอื่น ๆ อีก ที่อยู่ในรูปของไกลโคไซด์ ละลายได้ในน้ำ นอกจากกลุ่มสารแซนโทนแล้ว ในเนื้อเปลือกผลมังคุดยังมีกลุ่มสารแอนโทไซยานิและกลุ่มสารแทนนิน แยกเป็นคอนเดนซ์แทนนิน ไฮโดรไลซาเบิลแทนนิน ซึ่งเป็นสารพวกโพลีฟีนอล เมื่อรวมกันเข้าแล้วจึงมีคุณสมบัติร่วมกันอย่างที่นำไปใช้กันอยู่

           การต้ม หรือ การนึ่ง เป็นการทำเพื่อให้สารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเนื้อเปลือกมังคุดซึมออกมา การสกัดสารแบบนี้อาจจะได้สารที่เป็นประโยชน์ไม่มากนัก แต่ก็เพียงพอต่อการนำไปใช้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพ ซึ่งสามารถทำได้ง่าย

          อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ยังไม่มีข้อมูล งานวิจัยหรือการทดลองที่แน่ชัด ควรหาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนนำไปปฏิบัติ


น้ำหมักเปลือกมังคุดมีประโยชน์หรือโทษกันแน่

          น้ำหมักเปลือกมังคุด คืออะไร มีประโยชน์หรือโทษอย่างไร มีการอธิบายไว้ ดังนี้

          มังคุดเป็นผลไม้ที่เปลือกมีคุณประโยชน์สูง บางข้อมูลอ้างว่าหมักแค่เปลือกก็ได้คุณประโยชน์มหาศาล ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางก็นิยมนำเปลือกไปสกัดสารออกฤทธิ์เพื่อใช้ในการผลิตเครื่องสำอาง แม้แต่น้ำมังคุดยังมีออกจำหน่ายเป็นบิวตี้ดริงค์ ในมังคุดมีสารที่เรียกว่า แซนโทน (xanthones) ซึ่งมีมากในเปลือก ผล และเมล็ด มีน้อยในเนื้อผล ทำให้หลายคนที่มีความเชื่อเรื่องคุณประโยชน์ในเปลือกมังคุด นิยมทำน้ำหมักเปลือกมังคุดรับประทาน

          ทั้งนี้ อย. ได้มีการให้ข้อมูลว่า ในมังคุด มีสารแซนโทน (xanthones) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ ลดความดันโลหิต ต้านมะเร็ง และแก้แพ้ อย่างไรก็ตาม ยังขาดข้อมูลการทดลองทางคลินิกที่สนับสนุนว่าการบริโภคมังคุดสามารถมีฤทธิ์รักษาโรคดังกล่าวได้ จึงได้เตือนประชาชนผู้บริโภคว่า อย่าหลงเชื่อการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง โดยเฉพาะการหวังผลในการบำบัดรักษา หรือบรรเทาอาการของโรค





เมล็ดมังคุดทานได้ไหม

          หลายคนชอบทานมังคุดเป็นอย่างมาก พอทานแล้วเคี้ยวเพลิน ๆ ก็อยากจะเคี้ยวเมล็ดมังคุดลงไปด้วย ทั้งนี้การทานเมล็ดมังคุดนั้นไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เพียงแต่เมล็ดมังคุดอาจมีรสฝาด ทำให้ไม่นิยมทานกันเท่าที่ควร และอาจยังทำให้ติดคอเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นหลีกเลี่ยงการกลืนเมล็ดมังคุดเมล็ดใหญ่ ๆ ย่อมจะเป็นการดีกว่า

          ทั้งนี้ กองโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลว่า ปกติหลายคนมักจะทิ้งเปลือกและเมล็ดมังคุดไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะไม่ทราบประโยชน์ ซึ่งความจริงแล้วในเมล็ดมังคุดมีกรดไลโนเลอิก ที่ร่างกายต้องการและสร้างขึ้นไม่ได้ ต้องรับจากอาหารภายนอกเท่านั้น หากรับประทานมังคุดแล้วเคี้ยวเมล็ดกลืนไปด้วยจะได้รับประโยชน์จากกรดนี้

          นอกจากนี้ นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 323 เขียนโดย ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร ให้ข้อมูลว่า บางประเทศนิยมนำเมล็ดของมังคุดมาต้มหรือคั่วกินเป็นของว่างอีกด้วย





โทษของมังคุด

          ในมังคุดมีสารแซนโทน (Xanthone) ในปริมาณมาก แม้จะมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบ ลดความดันโลหิต ช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง และอาการแพ้ต่าง ๆ แต่ก็ยังขาดข้อมูลในการสนับสนุนว่ามังคุดจะสามารถรักษาอาการต่าง ๆ เหล่านี้ได้จริง ถึงแม้ยังไม่มีรายงานการศึกษาความเป็นพิษในมนุษย์ แต่ก็พบอาการไม่พึงประสงค์หลายอย่างในแต่ละบุคคล เช่น มีอาการผิวหนังบวมแดง เป็นผื่นคันขึ้นตามตัว ปวดศีรษะ ปวดบริเวณข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ท้องเสีย ถ่ายเหลว ลำไส้แปรปรวน เป็นต้น

          นอกจากนี้มังคุดยังมีสารแทนนิน (Tannin) ที่อยู่ในเปลือกของมังคุด หากบริโภคมากเกินไปและต่อเนื่อง อาจจะทำให้เกิดเป็นพิษต่อตับ ไต การเกิดมะเร็งในร่องแก้ม ในทางเดินอาหารส่วนบน และยังไปลดจำนวนของเม็ดเลือดขาวจนทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำลงจากปกติ

          ดังนั้นการรับประทานที่ดีที่สุดคือการรับประทานอย่างมีสติ ด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานผลไม้ให้หลากหลาย ไม่ซ้ำกัน ไม่อย่างนั้นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมายมันอาจจะกลายเป็นโทษต่อร่างกายเสียเอง

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #352 เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2014, 11:12:09 pm »
เล็บครุฑ - เรื่องน่ารู้


-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/254640/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%91+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-


มีคุณสมบัติในเรื่องความเย็น แก้ร้อนใน ดับอาการกระหายน้ำและคลายร้อน ลดไข้ ถอนพิษต่าง ๆ และสามารถนำมาเป็นส่วนของการถนอมอาหารเพื่อลดการเกิดเชื้อราในอาหาร
วันศุกร์ 25 กรกฎาคม 2557 เวลา 00:00 น.

เล็บครุฑเป็นพืชที่รับประทานได้ นิยมนำมาประกอบอาหาร ภาคใต้นิยมนำมาทำทอดมัน ใช้แกง เช่น แกงคั่ว หรือรับประทานแบบสด ๆ เป็นผักแกล้มกับขนมจีน  มีคุณสมบัติในเรื่องความเย็น แก้ร้อนใน ดับอาการกระหายน้ำและคลายร้อน ลดไข้ ถอนพิษต่าง ๆ และสามารถนำมาเป็นส่วนของการถนอมอาหารเพื่อลดการเกิดเชื้อราในอาหาร เช่น นำมาผัดกับ หอม กระเทียม ตะไคร้ ส่วนผสมของน้ำพริกก่อนตำเพื่อให้น้ำพริกมีอายุการใช้งานได้นานขึ้นโดยไม่ต้องใช้สารกันบูดเป็นต้น


------------------------------------------------------

ฟักทอง - เรื่องน่ารู้

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/254476/%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

มีกากใยสูงสามารถช่วยระบบขับถ่ายได้ดี เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง
วันพฤหัสบดี 24 กรกฎาคม 2557 เวลา 00:00 น.

ฟักทอง ถ้าเอามาแกงเรียกเป็นผัก ถ้าเอามาทำขนมเรียกเป็นผลไม้ ในทาง สมุนไพรไทย ฟักทองเป็นพืชที่ให้พลังงานต่ำ มีไขมันน้อย เหมาะแก่คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก มีกากใยสูงสามารถช่วยระบบขับถ่ายได้ดี เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี.

--------------------------------------------------------------------

ข้าวโอ๊ต - เรื่องน่ารู้

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/254193/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%8A%E0%B8%95+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

ความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ จึงลดลงด้วย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ส่วนเส้นใยที่ยังหลงเหลืออยู่ก็เป็นการเพิ่มปริมาณกากอาหาร
วันพุธ 23 กรกฎาคม 2557 เวลา 00:00 น.

คุณสมบัติเด่นของข้าวโอ๊ตคือมีเส้นใยอาหารสูง เมื่ออาหารเดินทางเข้าสู่ลำไส้ที่มีน้ำ เส้นใยอาหารก็จะกลายสภาพคล้ายวุ้นเมือกไปจับกับน้ำดี ซึ่งร่างกายใช้คอเลสเตอรอลในเลือดเป็นตัวหลักในการสร้างน้ำดีเมื่อน้ำดีถูกจับ ร่างกายก็จะดึงคอเลสเตอรอลในเลือดมาสร้างน้ำดีใหม่ คอเลสเตอรอลในกระแสเลือดก็จะลดลง ความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ จึงลดลงด้วย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ส่วนเส้นใยที่ยังหลงเหลืออยู่ก็เป็นการเพิ่มปริมาณกากอาหาร กระตุ้นให้อยากถ่ายเร็วขึ้น ช่วงเวลาที่สารพิษและสารกระตุ้นมะเร็งในอุจจาระสัมผัสลำไส้มีน้อยลง ลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากข้าวโอ๊ตจะเป็นอาหารเพื่อบำรุงร่างกายแล้ว ยังช่วยดูแลความสวยความงามได้อีกด้วย เนื่องจากวิตามินอีในข้าวโอ๊ตเป็นกลีเซอรีนธรรมชาติที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น (ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://prayod.com/).

------------------------------------------------------------------------

มอลต์ - เรื่องน่ารู้

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/253909/%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B9%8C+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-


มอลต์ยังให้กากใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร มอลต์ยังให้วิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญมากมาย ได้แก่ โปรตีนที่เสริมสร้างการเติบโต แคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก วิตามินเอบำรุงสายตา
วันอังคาร 22 กรกฎาคม 2557 เวลา 00:00 น.

ประโยชน์จากมอลต์ มอลต์สกัดจากเมล็ดข้าวบาร์เลย์ขณะกำลังแทงยอดและรากอ่อน ซึ่งเป็นช่วงที่เมล็ดข้าวอุดมด้วยสารอาหาร มีเอนไซม์อะไมเลสที่เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล หรือย่อยคาร์โบไฮเดรตให้เป็นน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ง่าย และยังมีน้ำตาลมอลโตส ที่ร่างกายจะดูดซึมช้าๆ ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานต่อเนื่อง ช่วยให้เซลล์ในร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล ระดับน้ำตาลในเลือดไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ มอลต์ยังให้กากใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร  มอลต์ยังให้วิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญมากมาย ได้แก่ โปรตีนที่เสริมสร้างการเติบโต แคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก วิตามินเอบำรุงสายตา วิตามินซีอาหารผิวและเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย และมีวิตามินบีหลายชนิด ทั้ง บี 1, 2, 5, 6, 12 เป็นสารอาหารจำเป็นในการทำงานของระบบประสาท บำรุงสุขภาพผิว ผม สายตา ตับ (ขอบคุณข้อมูลจาก www.goodfoodgoodlife.in.th/)
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #353 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2014, 08:18:59 pm »
แกัวมังกร สุดยอดผลไม้เพื่อสุขภาพ

-http://health.kapook.com/view93935.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          แก้วมังกร ผลไม้รูปร่างแปลกที่มีคุณอนันต์ วันนี้เรามีข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับแก้วมังกรมาฝากกันค่ะ

          อากาศร้อน ๆ แบบนี้ ผลไม้คงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่หลายคนเลือกเพื่อใช้ดับความร้อนและดับกระหาย ไม่ว่าจะเป็น มังคุด แตงโม ฝรั่ง หรือแม้แต่เสารรส แต่ทราบกันไหมคะว่าจริง ๆ แล้ว แก้วมังกรก็เป็นผลไม้ที่ช่วยดับร้อนได้ดีเช่นกัน แถมยังมีประโยชน์ดีต่อสุขภาพด้วยอีก วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำข้อมูลของแก้วมังกรมาฝากกันค่ะ

ต้นกำเนิดของแก้วมังกร

          แก้วมังกร มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dragon Fruit ชาวยุโรปเรียกว่า Pitaya ส่วนคนเวียดนามเรียกว่า ธานห์ลอง และชาวกัมพูชาเรียกว่า สกราเนียะ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Hylocereus undatus (Haw) Britt. Rose. มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลาง สันนิษฐานว่าแก้วมังกรเข้ามาในเอเชียโดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่นำพืชพันธุ์นี้มาปลูกในเวียดนามเมื่อ 100 ปีก่อน ในเวียดนามชาวเกษตรกรนิยมปลูกกันมากเพราะถือว่าเป็นผลไม้ท้องถิ่น มีการปลูกเพื่อเป็นไม้ผลหลังบ้านและปลูกเป็นสวนขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ตามสภาพดินที่มีอยู่ บริเวณที่ปลูกกันมากคือ แถบชายฝั่งทะเลตะวันออกจากเมืองนาตรังทางเหนือลงไปทางใต้ถึงนครโฮจิมินห์

          ส่วนในประเทศไทยนั้น มีผู้นำแก้วมังกรเข้ามาปลูกเป็นเวลานานมากกว่ากึ่งศตวรรษแล้ว แต่ไม่เป็นที่รู้จัก กระทั่งเมื่อราว พ.ศ. 2534 เพิ่งมีการนำต้นพันธุ์ดีจากประเทศเวียดนามเข้ามาปลูกเพื่อเป็นผลไม้เศรษฐกิจ ทั้งนี้ แก้วมังกรสามารถปลูกได้ทั่วประเทศ แต่แหล่งเพาะปลูกที่สำคัญนั้นอยู่ในจังหวัดจันทบุรี ชลบุรี กาญจนบุรี สระบุรี และสมุทรสงคราม ผลผลิตจะมากในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤศจิกายน

แก้วมังกร

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของแก้วมังกร

          มีลักษณะเป็นไม้เลื้อย มีลำต้นยาวประมาณ 5 เมตร มีรากทั้งในดินและรากอากาศ ชอบดินร่วนระบายน้ำดี ชอบแสงแดดพอเหมาะ โล่งแจ้ง แต่ไม่แรงกล้าเกินไป ดอกสีขาว ขนาดใหญ่กลีบยาวเรียงซ้อนกัน บานตอนกลางคืน ผลมีรูปร่างกลมรี เปลือกมีสีแดง เมื่อผ่าครึ่งจะเห็นเนื้อเป็นสีขาวหรือแดงทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์นั้น ๆ มีเมล็ดคล้ายเมล็ดแมงลักฝังอยู่ทั่วผล แก้วมังกรมีทั้งหมด 3 พันธุ์ได้แก่

          พันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง มีลักษณะเปลือกสีชมพูสด ปลายกลีบสีเขียว รสหวานอมเปรี้ยวหรือหวานจัด

          พันธุ์เนื้อขาวเปลือกเหลือง มีลักษณะเปลือกสีเหลือง ผลเล็กกว่าพันธุ์อื่นๆ เนื้อสีขาว เมล็ดขนาดใหญ่และมีน้อยกว่าพันธุ์อื่น มีรสหวาน

          พันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดง หรือพันธุ์คอสตาริกา มีลักษณะ เปลือกสีแดงจัด ผลเล็กกว่าพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง แต่รสจะหวานกว่า

แก้วมังกร

ประโยชน์ของแก้วมังกร สรรพคุณอันน่าทึ่ง

          แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีทั้งสรรพคุณทางยา คุณค่าทางโภชนาการ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพกับความงามอีกด้วย มักใช้บริโภคเพื่อจุดประสงค์ในการลดน้ำหนัก เพราะเนื่องจากเมื่อกินแก้วมังกรแล้วจะรู้สึกอิ่ม และแก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีกากใยสูงประกอบกับให้แคลอรี่ต่ำ

          สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ให้ข้อมูลว่า แก้วมังกรสารที่มีประโยชน์คือ มิวซิเลจ (Mucilage) ซึ่งมีในเฉพาะในตระกูลกระบองเพชร มีลักษณะคล้ายวุ้นเจลช่วยดูดซับน้ำในร่างกาย และควบคุมระดับกลูโคสในคนที่เป็นโรคเบาหวานในชนิดที่ไม่ต้องใช้อินซูลินได้ สามารถช่วยในการบรรเทาโรคโลหิตจางช่วยเพิ่มธาตุเหล็กให้แก่ร่างกาย ช่วยในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอุตตัน มะเร็งลำไส้ และต่อมลูกหมาก ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของกระดูกและฟัน         
 
          ขณะที่ กรมวิชาการเกษตร ก็ให้ข้อมูลว่า ในแก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดงนั้น ยังมีสารไลโคปีนซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย
 
          นอกจากนี้แก้วมังกรยังมีประโยชน์อีกอีกมากมาย ดังนี้

          ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ชุ่มชื้น และมีส่วนช่วยในชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยต่าง ๆ
          ช่วยดับร้อนและดับกระหาย
          ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง เพราะมีวิตามินซีสูง
          ช่วยบรรเทาอาการโรคความดันโลหิตได้
          ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง
          ช่วยกระตุ้นการขับน้ำนมในสตรี
          ช่วยดูดซับสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกาย เช่น สารตกค้างอย่างตะกั่ว ที่มาจากควันท่อไอเสีย หรือสารตกค้างที่มาจากยาฆ่าแมลง
          มีกากใยสูงช่วยในการขับถ่ายให้สะดวก แก้อาการท้องผูก
          ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ แก้ปัญหาการขับถ่ายต่าง ๆ ให้ดีขึ้น


แก้วมังกร

คุณค่าทางอาหารของแก้วมังกร         

          แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก และผู้ป่วยที่กำลังฟื้นตัว แก้วมังกรอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ธาตุเหล็ก รวมทั้ง วิตามินบี1 บี2 บี3 วิตามินซี ฟอสฟอรัส โปรตีน และแคลเซียม ซึ่งหากเราประทานแก้วมังกร 1 ลูก น้ำหนัก 100 กรัม ร่างกายจะได้ สารอาหารในปริมาณดังนี้

          คาร์โบไฮเดรต 12.4 กรัม
          โปรตีน 1.4 กรัม
          ฟอสฟอรัส 32 มิลลิกรัม
          แคลเซียม 9 มิลลิกรัม
          วิตามินซี 7 มิลลิกรัม
          พลังงาน 66 กิโลแคลอรี่
          ใยอาหาร 2.6 กรัม

   
กินแก้วมังกรลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ได้หรือเปล่า

          หลายคนคงสงสัยว่า แก้วมังกรนั้นกินแล้วจะสามารถลดความอ้วนได้หรือไม่ เรามาดูกันดีกว่าว่าเป็นอย่างไร

          แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณช่วยในการลดน้ำหนัก เพราะเป็นผลไม้สารมิวซิเลจ (Mucilage) ซึ่งมีในเฉพาะในตระกูลกระบองเพชร มีลักษณะคล้ายวุ้นเจลช่วยดูดซับน้ำในร่างกาย สามารถรับประทานทดแทนการอาหารเย็นได้ ซึ่ง แพทย์หญิง พร้อมพรรณ พฤกษากร แพทย์อายุรกรรมต่อมไร้ท่อ ศูนย์ศรีพัฒน์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ได้ระบุว่าแก้วมังกรเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ใช้ในการลดความอ้วน


แก้วมังกร

คนท้องกินแก้วมังกรได้ไหม

          แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์สูง เพราะมีธาตุเหล็ก และวิตามินซีสูง ช่วยในการกระตุ้นต่อมน้ำนมของสตรี ดังนั้น ผู้หญิงตั้งครรภ์สามารถทานได้แน่นอนค่ะ แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะแก้วมังกรมีไฟเบอร์สูงทำให้อิ่มง่ายแต่ให้พลังงานน้อย จึงควรรับประทานเพียงแต่พอดีค่ะ

โทษของแก้วมังกรมีไหม

          มีความเชื่อที่ว่าเมล็ดสีดำเล็ก ๆ ที่อยู่ในเนื้อของแก้วมังกรนั้นเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง ทำให้ผู้คนมากมายไม่กล้ารับประทานแก้วมังกร แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากจะยังไม่มีการศึกษาใดที่ยืนยันความเชื่อนี้แล้ว ยังมีผลการศึกษาพบว่าเจ้าเมล็ดสีดำเล็ก ๆ ในเนื้อแก้วมังกรนั้นอุดมไปด้วย สารกลุ่ม FOS ในปริมาณสูง มีคุณสมบัติเป็นสาร Prebiotic ที่ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ และมีฤทธิ์ในการดูดซับสารเคมีและสารพิษในร่างกาย

          นอกจากนี้ เจ้าเมล็ดสีดำเล็ก ๆ เหล่านี้ยังมีกรดไขมันซึ่งทำหน้าที่ในการขจัดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีออกจากร่างกายและช่วยกระตุ้นในการเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดีได้อีกด้วย ซึ่งอย่างไรก็ตาม ถึงแม้แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมาย แต่ก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะค่ะ

          การรับประทานผลไม้ไม่ว่าอย่างไรก็มีประโยชน์ หากเรารับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างแน่นอนค่ะ และที่สำคัญเราควรรับประทานอาหารให้ครบถ้วน 5 หมู่ อย่างถูกหลักโภชนาการเพื่อสุขภาพที่ดีนะคะ











.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #354 เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2014, 06:20:15 am »
สูตรมะนาวโซดา 10 วิธีทำน้ำมะนาวโซดาเครื่องดื่มล้างพิษ

-http://cooking.kapook.com/view94031.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ถ้าพูดถึงเครื่องดื่มล้างพิษ เชื่อเลยว่า คนที่รักสุขภาพหลาย ๆ คนน่าจะคิดถึง น้ำมะนาวโซดา เป็นอันดับต้น ๆ ยิ่งในตอนนี้ มะนาวโซดา หรือมะนาวผสมโซดา กลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตเลยทีเดียว เพราะมีความเชื่อว่า น้ำมะนาวผสมโซดา จะช่วยรักษามะเร็งได้ แต่ก็มีแพทย์ออกมาเตือนแล้วว่า น้ำมะนาวผสมโซดาไม่ได้ช่วยรักษามะเร็งแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระที่เป็นตัวก่อเซลล์มะเร็งได้เท่านั้นเอง

          แต่ถึงแม้น้ำมะนาวโซดาแก้วนี้ จะไม่ได้ช่วยรักษาโรคมะเร็งอย่างที่หลายคนคาดหวังไว้ได้ แต่น้ำมะนาวโซดา สามาถช่วยล้างพิษ หรือดีท็อกซ์ได้นะจ๊ะ แต่ก็ต้องระวังให้มากหน่อยสำหรับผู้ที่เป็นโรคกะเพาะ หรือผู้ป่วยโรคทางเดินอาหาร เพราะมะนาวและโซดามีฤทธิ์เป็นกรด อาจจะเข้าไปกัดกระเพาะเข้าได้ ควรจะดื่มในปริมาณที่พอเหมาะพอควรนะคะ

          เอาล่ะ มาถึงตรงนี้แล้ว ใครที่ทำน้ำมะนาวผสมโซดาเพียว ๆ ไร้รสชาติใด ๆ ดื่มจนเบื่อ แล้วเกิดอยากจะลองทำน้ำมะนาวโซดาแบบมีรสชาติใหม่ ๆ ดื่มดูบ้าง วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็มี 10 สูตรน้ำมะนาวโซดามาฝาก ที่ไม่ใช่แค่มะนาวกับโซดาเท่านั้น มาดูกันดีกว่าว่า จะมีสูตรไหนโดนใจกันบ้าง

1. น้ำมะนาวโซดา

          ก่อนที่จะไปสนุกกับเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีน้ำมะนาวโซดาเป็นส่วนผสม ลองมาดูน้ำมะนาวโซดาแบบพื้นฐานกันก่อนเลย ว่าที่เขาฮิตดื่มกันเนี่ยมีส่วนผสมอะไรบ้าง

ส่วนผสม
           
           น้ำตาลทราย

           น้ำ

           น้ำมะนาวคั้น

           โซดา

           น้ำแข็ง

วิธีทำ
           
          1. ทำน้ำเชื่อม โดยใส่น้ำตาลทรายและน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย พักทิ้งไว้จนเย็น เตรียมไว้

          2. ใส่น้ำแข็งลงในแก้ว ตามด้วยน้ำเชื่อม น้ำมะนาว และโซดา คนผสมให้เข้ากัน เติมน้ำแข็ง พร้อมดื่ม



สูตรมะนาวโซดา 10 วิธีทำน้ำมะนาวโซดาเครื่องดื่มล้างพิษ

2. น้ำผึ้งมะนาวโซดา
           
          น้ำผึ้งมะนาวโซดา น่าจะเป็นเครื่องดื่มที่คุ้นเคย สำหรับคนที่ไม่สามารถดื่มโซดาเพียว ๆ ได้น่าจะเหมาะ มีขายให้เราได้ซื้อมาดื่มกันอยู่บ่อย ๆ รสชาติหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ ชุ่มคอดีเหลือเกิน แต่ใครที่อยากจะลองทำเองเพื่อให้มั่นใจว่า น้ำผึ้งที่ผสมลงไปนั้น แท้ 100% ก็ลงมือกันเลย

ส่วนผสม
           
           น้ำผึ้ง

           น้ำมะนาว

           โซดา

           น้ำแข็ง

           มะนาวฝานเป็นชิ้นบาง และใบสะระแหน่ สำหรับแต่ง

วิธีทำ

          ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็ง ตามด้วยโซดาแช่เย็นจัด แต่งด้วยมะนาวฝาน และใบสะระแหน่ พร้อมดื่ม

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ดูวิธีทำได้ที่ Completely Delicious
-http://www.completelydelicious.com/2013/05/watermelon-lime-soda.html-

3. แตงโมมะนาวโซดา
         
          เครื่องดื่มแก้วนี้จับแตงโมเนื้อหวานฉ่ำเข้ามาผสมกับมะนาวและโซดา เพิ่มหวานสดชื่นขึ้นอีกเป็นกอง แถมแตงโมมะนาวโซดาแก้วนี้ยังสามารถทำเป็นค็อกเทลได้ด้วยนะคะ แค่เติมวอดก้าลงไปอีกสักหน่อยก็ฟินแล้ว

ส่วนผสม

           แตงโมแกะเม็ด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 4 ถ้วย

           โซดาแช่เย็นจัด 2 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

           น้ำ 1/4 ถ้วย

           น้ำมะนาวคั้น 1/4 ถ้วย (จากมะนาว 2 ลูก)

           เปลือกมะนาว 1 ลูก

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำตาลทราย น้ำ น้ำมะนาวคั้น และเปลือกมะนาวลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. ใส่เนื้อแตงโมลงปั่นในเครื่องปั่น ปั่นจนละเอียด เทใส่เหยือก เติมน้ำเชื่อมมะนาว และโซดา คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ เทใส่แก้ว เติมน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ดูวิธีทำได้ที่ Will Cook for Smiles
-http://www.willcookforsmiles.com/2013/06/float-party-and-raspberry-key-lime-italian-soda.html-

4. ราสป์เบอร์รีมะนาวโซดา
         
          เอาใจคนที่ชอบเครื่องดื่มแบบเปรี้ยวจี๊ด คงจะต้องยกให้ ราสป์เบอร์รีมะนาวโซดา แก้วนี้เลย แถมสีสันยังสดใส เหมาะจะทำเป็นเครื่องดื่มต้อนรับหน้าร้อนสุด ๆ

ส่วนผสม
         
           ราสป์เบอร์รีสด 450 กรัม

           น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

           มะนาว 2 ลูก

           น้ำ 1/3 ถ้วย

           โซดา

วิธีทำ
         
          1. ทำน้ำเชื่อมราสป์เบอร์รี โดยใส่ราสป์เบอร์รีสด และน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมให้เข้ากันพอนิ่ม จากนั้นขูดผิวมะนาวใส่ลงไป ตามด้วยน้ำมะนาว ใช้ช้อนค่อย ๆ บดเนื้อราสป์เบอร์รีจนละเอียด เติมน้ำลงไป เคี่ยวส่วนผสมประมาณ 5-7 นาที จนส่วนผสมใส และเหนียว ยกลงกรองผ่านตะแกรง เอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้
         
          2. ใส่โซดาลงในแก้ว ประมาณ 3/4 แก้ว เติมน้ำเชื่อมราสป์เบอร์รีลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ใส่น้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


5. เลมอนมินต์ม็อกเทล
         
          เครื่องดื่มแก้วนี้น่าจะสร้างความสดชื่นได้ดีทีเดียว ที่นอกจากจะได้รสชาติเปรี้ยวซ่าจากเลมอนและโซดาแล้ว ยังได้กลิ่นมินต์หอมจาก ๆ จากใบสะระแหน่อีกด้วย ถึงแม้จะไม่ได้ใช้มะนาวโดยตรง แต่คุณประโยชน์ไม่แพ้กันแน่ ๆ

ส่วนผสม
         
           เลมอนเหลือง 1 ลูก

           ใบสะระแหน่ (เด็ดเป็นใบ)

           น้ำเชื่อม

           น้ำแข็ง

           โซดา

วิธีทำ

          1. หั่นเลมอนเหลืองเป็นชิ้น ๆ บีบน้ำเลมอนลงในอ่างผสมพร้อมเปลือก ตามด้วยใส่ใบสะระแหน่ลงไป จากนั้นใช้ไม้ บดส่วนผสมให้เข้ากัน
         
          2. เทส่วนผสมเฉพาะของเหลวลงในเชคเกอร์ ใส่น้ำแข็งตามลงไปแล้วเขย่าให้เข้ากัน เทส่วนผสมใส่ลงในแก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ ประมาณ 1/2 แก้ว ตามด้วยโซดาจนเกือบเต็ม ใส่เลมอนเหลืองฝานเป็นชิ้นบางลงในแก้ว แต่งใบสะระแหน่ให้สวยงาม พร้อมดื่ม


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



ดูวิธีทำได้ที่ Jen's Favorite Cookies
-http://jensfavoritecookies.com/2013/03/01/grapefruit-soda/-

6. เกรปฟรุตมะนาวโซดา
         
          เครื่องดื่มแก้วนี้สีสันสดใส รสชาติเปรี้ยวจี๊ดถึงใจ แถมยังหอมกลิ่นจากเกรปฟรุต มะนาว และเลมอนด้วย ที่นอกจากจะสดชื่นแล้ว ยังผ่อนคลายเบา ๆ อีกด้วยนะจ๊ะ

ส่วนผสม
         
           เกรปฟรุต 3 ลูก

           เลมอน 2 ลูก

           มะนาว 1 ลูก

           โซดากลิ่นมะนาว 4 ถ้วย

วิธีทำ

          1. คั้นน้ำเกรปฟรุต น้ำเลมอน และน้ำมะนาว จากนั้นเทใส่แก้ว คนผสมให้เข้ากัน นำเข้าแช่เย็น เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำผลไม้ลงในแก้ว ตามด้วยโซดา คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


7. น้ำขิงมะนาวโซดา
           
          น้ำขิงมะนาวโซดาแก้วนี้ เป็นเครื่องดื่มล้างพิษที่จะช่วยเรียกคืนความสดชื่นให้กับร่างกายที่หนักแอลกอฮอล์ ยิ่งถ้าใครชอบกินขิง รสชาติเผ็ดร้อนอยู่แล้วก็น่าจะถูกอกถูกใจไม่น้อยเลยล่ะ

ส่วนผสม

           ขิงขูดละเอียด 3/4 ถ้วย (หรือประมาณ 4 ออนซ์)

           น้ำมะนาว 1 ถ้วย

           น้ำ 1 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

           น้ำแข็ง

           โซดาแช่เย็นจัด

วิธีทำ
           
          1. ทำน้ำเชื่อมโดย นำกระทะขึ้นตั้งไฟปานกลาง ใส่น้ำตาลทรายและน้ำ คนผสมจนน้ำตาลทรายละลายเป็นน้ำเชื่อม หรือนานประมาณ 2 นาที ยกลงจากเตา
         
          2. ใส่ขิงขูดลงในน้ำเชื่อมร้อน ๆ คนผสมให้เข้ากัน พักทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนขิงเข้ากันดีกับน้ำเชื่อม
         
          3. หลังจากครบเวลา เติมน้ำมะนาว คนผสมให้เข้ากัน ยกลงกรองผ่านกระชอนหรือตะแกรงเอาเฉพาะน้ำ จากนั้นเทน้ำขิงมะนาวใส่แก้วที่มีน้ำแข็งประมาณ 2/3 แก้ว ตามด้วยโซดาจนเต็มแก้ว พร้อมดื่ม


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


-http://www.peanutbutterandpeppers.com/2013/07/12/cherry-lime-soda/-
ดูวิธีทำได้ที่ Peanut Butter and Peppers

8. เชอร์รีมะนาวโซดา
         
          เชอร์รีมะนาวโซดาแก้วนี้อาจจะสะดวกสำหรับคนที่หาซื้อผลเชอร์รีสด ๆ ไม่ได้ แถมยังใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลอีกด้วย ดีต่อสุขภาพจริง ๆ

ส่วนผสม
         
           น้ำเชอร์รี 100% 1/3 ถ้วย

           น้ำมะนาว 1/4 ช้อนชา

           สารให้ความหวานแทนน้ำตาล 1 ซอง

           โซดา

           น้ำแข็ง

วิธีทำ
         
          ผสมน้ำเชอร์รี น้ำมะนาว และน้ำตาลเทียม คนผสมให้เข้ากัน เทลงแก้ว ตามด้วยน้ำแข็ง และโซดา คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



9. น้ำอ้อยมะนาวโซดา
         
          ใครจะไปเชื่อว่า น้ำอ้อยบ้าน ๆ เนี่ย จะสามารถมาผสมรวมกับน้ำมะนาวและโซดา ออกมาเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ว่าแต่รสชาติจะเป็นอย่างไร ก็ต้องลองกันสักหน่อยแล้ว เป็นสูตรเด็ดมาจากนิตยสาร Health & Cuisine

ส่วนผสม

           น้ำอ้อยคั้นสด 3 ถ้วย

           เลมอนหั่นซีก 2 ซีก

           โซดา 1/2 ถ้วย

           น้ำแข็งตามชอบ

วิธีทำ
           
          บีบเลมอนใส่ลงในน้ำอ้อย คนผสมห้เข้ากัน ใส่น้ำแข็งและเปลือกเลมอนที่เหลือลงแก้ว รินน้ำอ้อยลงไป ตามด้วยโซดา พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ดูวิธีทำได้ที่ Baked Bree
-http://bakedbree.com/mint-lime-tea-cooler-

10. ชามะนาวโซดา
         
          เอาใจคนที่ชอบดื่มชามะนาวด้วยการเติมโซดาลงไปให้สดชื่นยิ่งขึ้น แถมยังได้กลิ่นมินต์หอม ๆ จากใบสะระแหน่อีกด้วย

ส่วนผสม

           น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วย

           น้ำ 2/3 ถ้วย

           ใบสะระแหน่ เด็ดเป็นใบ 1 ถ้วย

           ชาสำเร็จรูปสำหรับชงดื่ม ตามชอบ 8 ซอง

           น้ำมะนาวคั้น 1/4 ถ้วย

           โซดา

           น้ำแข็ง

วิธีทำ

          1. ทำน้ำเชื่อมกลิ่นมินต์ โดยใส่น้ำตาลทรายและน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย ใส่ใบสะระแหน่ คนผสมจนเป็นน้ำเชื่อม และมีกลิ่นมินต์ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น กรองเอาใบสะระแหน่ออก เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำร้อนจัดลงในถ้วย ใส่ชาสำเร็จรูปลงในถ้วย รอจนชาเปลี่ยนสี ประมาณ 3 นาที
         
          3. ผสมน้ำเชื่อมกับน้ำชา และน้ำมะนาว ใส่มะนาวฝานบาง และใบสะระแหน่เล็กน้อย คนผสมให้เข้ากัน จากนั้นเติมโซดาลงไป ชิมรสตามชอบ เทใส่ลงในแก้วที่มีน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ

          ว้าว เครื่องดื่มล้างพิษที่มีส่วนผสมของน้ำมะนาวโซดาแต่ละเมนูน่าดื่มทั้งนั้นเลย ใครที่รักสุขภาพ หรือกำลังมองหาเครื่องดื่มอร่อย ๆ ใหม่ ๆ ก็ลองเข้ามาจดสูตรกันได้เลยค่ะ

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #355 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2014, 06:58:01 am »
กะเพรา สรรพคุณและประโยชน์ของกะเพรา 29 ข้อ !

-http://guru.sanook.com/27159/%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-29-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-



สรรพคุณของกะเพรา

    ใช้ทำเป็นยาอายุวัฒนะ (the elixir of life)
    ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น และป้องกันอาการหวัดได้ (ใบ)
    กะเพราเป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรหลายชนิด เช่น ยารักษาตานขโมยสำหรับเด็ก ยาแก้ทางเด็ก ฯลฯ
    รากแห้งนำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยแก้โรคธาตุพิการ (ราก)
    ช่วยบำรุงธาตุไฟ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน (ใบ)
    ช่วยแก้อาการปวดด้วย ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาคั้นรับประทานสด 1 ถ้วยตะไล จะช่วยแก้อาการปวดมวนท้องได้เป็นอย่างดี (ใบ)
    ช่วยขับลมแก้อาการปวดท้องอุจจาระ (ใบ)
    ใบกะเพราสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง (ใบ)
    สรรพคุณกะเพราช่วยแก้ลมซานตาง (ใบ)
    น้ำสกัดจากทั้งต้นของกะเพรามีฤทธิ์ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยย่อยไขมัน (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    กะเพรา สรรพคุณช่วยขับน้ำดี (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยแก้ลมพิษ ด้วยการใช้ใบกะเพราประมาณ 1 กำมือนำมาตำผสมเหล้าขาวแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นลมพิษ (ใบ)
    สรรพคุณของกะเพราใช้ทำเป็นยารักษากลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 20 ใบนำมาขยี้ให้น้ำออกมา แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้งจนกว่าจะหาย (ใบ)
    ใช้เป็นยารักษาหูด ด้วยการใช้ใบกะเพราแดงสดนำมาขยี้แล้วทาบริเวณที่เป็นหูดเช้า-เย็น จนกว่าหัวหูดจะหลุดออกมา โดยระวังอย่าให้เข้าตาและถูกบริเวณผิวที่ไม่ได้เป็นหูด เพราะจะทำให้เนื้อดีเน่าเปื่อยและรักษาได้ยาก (ใบสด)
    ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาตำผสมกับเหล้าขาว แล้วนำมาทาบริเวณที่ถูกกัด ห้ามนำมารับประทานเด็ดขาดเพราะจะมีสารยูจีนอล (Eugenol) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะ อาหารและอาจถึงขั้นโคม่าได้ (ใบ)
    ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดได้ (น้ำมันใบกะเพรา)
    มีงานวิจัยพบว่ากะเพราสามารช่วยยับยั้งสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่มักพบเจือปนในอาหารซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งได้ (สารสกัดจากกะเพรา)
    ใบกะเพรา มีฤทธิ์ในการช่วยขับไขมันและน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยลดระดับไขมันในร่างกายและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ โดยมีการใช้ใบกะเพราะในกระต่ายทดลอง โดยให้กระต่ายกินใบกะเพราติดต่อ 4 สัปดาห์พบว่าระดับไขมันโดยรวมลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันเลว (LDL) ลดลง แต่ไขมันชนิดดี (HDL) กลับเพิ่มขึ้น
    ช่วยเพิ่มน้ำนมให้สตรีหลังคลอดบุตร ด้วยการใช้ใบกะเพราสดประมาณ 1 กำมือ นำมาใส่แกงเลียงรับประทานบ่อยๆ ในช่วงหลังคลอด (ใบ)
    เมล็ดนำไปแช่น้ำจะพองตัวเป็นเมือกขาว นำมาใช้พอกบริเวณตา เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา ผงหรือฝุ่นละอองก็จะหลุดออกมา โดยไม่ทำให้ตาของเรานั้นช้ำอีกด้วย (เมล็ด)
    ใบและกิ่งสดของกะเพรามีการนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยด้วยการต้มกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08 – 0.1 โดยมีราคาประมาณกิโลกรัมละหนึ่งหมื่นบาท
    ใช้ไล่ยุงหรือฆ่ายุง ด้วยการใช้ทั้งใบสดและกิ่งสด เอาใบมาขยี้แล้ววางใกล้ตัวๆ จะช่วยไล่ยุงและแมลงได้ โดยน้ำมันกะเพราะที่สกัดมาจากใบจะมีคุณสมบัติช่วยไล่ยุงได้ดีกว่าต้นสด (ใบสด,กิ่งสด)
    น้ำมันสกัดจากใบสด ช่วยล่อแมลง ทำให้แมลงวันทองบินมาตอมน้ำมันนี้ (น้ำมักสกัดจากใบสด)
    ประโยชน์ของกะเพรา ใช้ในการประกอบอาหารและช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ในเมนูกะเพราะสุดโปรด เช่น ผัดกะเพรา แกงเลียง แกงป่า แกงคั่ว แกงเขียวหวาน แกงส้มมะเขือขื่น ผัดกบ ผัดหมู ผัดปลาไหล พล่าปลาดุก พล่ากุ้ง หรือจะนำใบกะเพรามาทอดแล้วใช้โรยหน้าอาหารเมนูต่างๆก็ได้ ฯลฯ
    ใบกะเพราสามารถช่วยดับกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ได้ (ใบ)

ขอบคุณข้อมูลจาก : frynn.com


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #356 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2014, 07:11:36 am »
เครื่องดื่มที่ช่วยกำราบพุงให้อยู่หมัด

-http://guru.sanook.com/9567/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%94/-


นอกจากการออกกำลังกายจะเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินและลดหน้าท้อง ให้คุณหนุ่มๆ ได้แล้ว การดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพก็เป็นอีกวิธีง่ายๆ ที่สามารถลดพุงสลายไขมันหน้าท้อง เพื่อให้คุณมีหน้าท้องแบบราบได้เหมือนกันวันนี้เราก็มีตัวอย่าง เครื่องดื่มสำหรับลดพุงมาฝากกันนะค่ะ

1. ชามิ้นต์
          ด้วยคุณสมบัติของมิ้นต์ จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารของคุณย่อยสลายไขมัน แม้แต่อาหารไขมันสูงอย่างเบอร์เกอร์หรือสเต็ก ก็จะถูกย่อยได้อย่างรวดเร็ว แถมยังลดอาการท้องอืดพร้อมเร่งการขับถ่ายได้อีกด้วย

2. ชาเขียว
          อย่างที่รู้กันว่าชาเขียวสามารถช่วยลดความอ้วน และควบคุมไขมันได้ด้วย นอกจากนี้ชาเขียวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า "คาเทซิน" ซึ่งช่วยลดไขมันบริเวณหน้าท้องได้ เพียงจิบชาเขียวก่อนออกกำลังกายก็ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันในระหว่าง นั้นได้แล้ว

3. นมถั่วเหลือง
          ถั่วเหลืองมีสารแลคตินที่ช่วยป้องกันการสะสมไขมันของเซลล์ในร่างกาย พร้อมกับช่วยสลายไขมันส่วนเกิน เพียงดื่มนมถั่วเหลือง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ดี

4. น้ำเปล่า
          เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเรามากที่สุด และยังดีต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย รวมทั้งช่วยรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกายทั้งยังลดอาการบวมน้ำได้ด้วย

5. น้ำแตงโม
          มีสารอาหารมากมายรวมถึงไลโคปีนที่ช่วยต้านมะเร็ง รวมถึงกรดอะมิโนที่ชื่อว่าอาร์จินีน โดยการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrition ระบุว่า น้ำแตงโม ช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อได้ แต่คุณก็ต้องออกกำลังกายอย่างจริงจังควบคู่กันไปด้วย

6. น้ำสับปะรด
          สับปะรดมีสารที่เรียกว่า "โบรมีเลน" ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนทำให้การย่อยอาหารง่ายยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยลดอาการท้องอืด นอกจากนี้การใส่น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดแฟลกซ์ผสมลงในน้ำสับปะรดก็ถือว่าเป็น ประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย เพราะมีไขมันโมเลกุลเดี่ยวที่ไม่อิ่มตัวในปริมาณค่อนข้างสูง (จากการศึกษาพบว่าหากกินไขมันประเภทนี้ในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยลดระดับคอเล สเตอรอลในเลือดได้ นอกจากนี้ไขมันโมเลกุลเดี่ยวที่ไม่อิ่มตัวยังมีส่วนป้องการเกิดโรคหัวใจได้)

          ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรก็ตามที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ก็ควรจะรับประทานให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย เพราะหากรับประทานน้อยเกินไปก็อาจจะขาดสารอาหาร หรือมากเกินไปก็อาจเกิดการสะสมในร่างกาย อย่างไรก็ดีควรหาเวลาออกกำลังกายควบคู่กันไป พร้อมๆ กับการรับวิตามินและสารอาหารต่างๆ ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งภายในและภายนอกของคุณเองด้วยนะค่ะ

 

ที่มาข้อมูลและภาพ postjung.com


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #357 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2014, 08:33:41 am »


ปัจจุบันความรู้ทางด้านอาหารและโภชนาการมีความก้าวหน้ามากขึ้น
วันอังคาร 29 กรกฎาคม 2557 เวลา 15:52 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/PR/13/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%81...%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

ปัจจุบันความรู้ทางด้านอาหารและโภชนาการมีความก้าวหน้ามากขึ้น พบว่าอาหารที่เรารับประทานกันทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่มาจากพืชหรือสัตว์ต่างก็มีองค์ประกอบที่มีผลต่อการทำงานของร่างกาย และส่งผลต่อสุขภาพของคนเราทั้งสิ้น เพราะอาหารไม่เพียงแต่มีสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเท่านั้น แต่ยังมีสารที่มีผลต่อการทำงานของร่างกายคล้ายยาซึ่งเราเรียกว่า “สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ” (Bioactive compound) ซึ่งอาหารที่มีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพนี้จะถือว่าเป็น อาหารฟังก์ชั่น นั่นเอง โดยแนวคิดเรื่องอาหารเป็นยา (Food as medicine) หรือช่วยส่งเสริมสุขภาพนี้ ที่แท้จริงมีมากว่า 2,500 ปี โดยฮิปโปเครติส บิดาทางการแพทย์ของชาวกรีก หรือแม้แต่การแพทย์แผนตะวันออกก็มีการใช้มาอย่างกว้างขวางยาวนานเช่นกัน

อาหารฟังก์ชั่นชนิดนึงที่นิยมกันอย่างมากของคนจีนเป็นเวลานานนับพันปี คือ รังนกแอ่นกินรัง (Edible-nest Swiftlet) ถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่าที่มักใช้มอบเป็นของขวัญให้กับเชื้อพระวงศ์และข้าราชการระดับสูง ปัจจุบันรังนกยังถือเป็นของหายากและมีราคาแพงมากจนได้รับฉายาว่าเป็น คาร์เวียร์แห่งโลกตะวันออก หรือ ทองคำขาวแห่งท้องทะเล โดยแพทย์แผนจีนจะใช้รังนกเป็นส่วนผสมในตำรับยาเพราะเชื่อกันว่า รังนกมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลังชั้นดีในการฟื้นฟูสุขภาพจากการเจ็บป่วย ช่วยรักษาโรคทางเดินหายใจ บำรุงสุขภาพเด็กที่ไม่แข็งแรง และยังเชื่อกันอีกว่า รังนกช่วยเสริมสุขภาพระบบการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร ทั้งยังมีการกล่าวว่าการรับประทานรังนกช่วยให้อายุยืนและชะลอความชรา เป็นต้น

ปัจจุบันมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่า รังนกมีโปรตีนแบบพิเศษที่มีโครงสร้างเหมือนกับ Epidermal Growth Factor (EGF) ที่มีอยู่ในคน ซึ่งตามธรรมชาติแล้ว EGF จะมีประโยชน์ในการช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ภายในร่างกาย และมีการศึกษาพบว่า EGF ยังช่วยกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาว (Leukocytes) ซึ่งทำหน้าที่ในการปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคต่างๆ ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้คณะนักวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นยังพบว่า ในรังนกมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อเชื้อไข้หวัดใหญ่ โดยไกลโคโปรตีนในรังนกแอ่นแท้ จะทำหน้าที่จับกับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ จึงช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไข้หวัดใหญ่เข้าจับกับเซลล์ในร่างกายได้ เมื่อไม่นานมานี้มีการศึกษาของทีมนักวิจัยชาวญี่ปุ่น พบว่า สัตว์ทดลองที่กินสารสกัดจากรังนกจะมีความแข็งแรงของกระดูกเพิ่มขึ้นโดยวัดจากค่าปริมาณของแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่เพิ่มขึ้น และมีค่าไฮดรอกซี่โพรลีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้างคอลลาเจนเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย ดังนั้นรังนกจึงอาจมีประโยชน์ในการเพิ่มมวลกระดูกและช่วยเรื่องผิวพรรณในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้ ปัจจุบันยังคงมีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องว่าสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีอยู่ในรังนกจะให้ประโยชน์แก่ร่างกายอย่างไรอีกบ้าง

สำหรับประเทศไทยพบว่ามีระบบสัมปทานรังนกมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เป็นเครื่องมือในการควบคุมปริมาณการเก็บรังนก ซึ่งช่วยอนุรักษ์พันธุ์นกแอ่นกินรังให้อยู่รอดปลอดภัยตลอดมา เพราะมีการดูแลพื้นที่กันอย่างเข้มงวดและดำเนินการทุกวิถีทางที่จะรักษาประชากรนกแอ่นกินรังให้คงอยู่หรือเพิ่มประชากรมากขึ้นเพื่อที่จะได้มีผลผลิตที่จะเก็บเกี่ยวในแต่ละรอบฤดูกาลต่อไป ปัจจุบันมีกฎหมายกำหนดให้เก็บรังนกได้ไม่เกินปีละ 3 ครั้ง ผู้รับสัมปทานจะต้องจัดการเก็บรังให้สอดคล้องกับวงจรชีวิตของนก คือ เก็บรังก่อนที่นกจะวางไข่ โดยเก็บครั้งแรกในเดือนมีนาคม ครั้งที่สองในเดือนพฤษภาคม จากนั้นปล่อยให้นกทำรังและวางไข่ จนกระทั่งลูกนกฟักออกมาและเติบโตแล้ว เมื่อลูกนกเติบโตเต็มที่แล้วนกจะไม่ใช้รังอีก จึงเข้าเก็บรังครั้งสุดท้ายในเดือนสิงหาคม และไม่เข้าไปในถ้ำอีกจนกว่าจะถึงฤดูกาลเก็บรังนกปีต่อไป หากมีรังนกถูกทิ้งไว้กับผนังถ้ามีแร่ธาตุมาเกาะพอกพูนจนกลายเป็นหิน ทำให้นกเสียพื้นที่ทำรังในฤดูผสมพันธุ์ครั้งใหม่ การเก็บรังนกจึงถือเป็นการช่วยเปิดพื้นที่ให้นกได้ทำรังใหม่ได้สะดวกขึ้นตามวงจรชีวิตในธรรมชาติ

ส่วนรังนกแดง แต่เดิมเชื่อว่าเกิดจากการสำรอกออกมาจนมีเลือดปน ความเชื่อนี้ไม่จริง เพราะถ้าเป็นเลือดจริงมันจะถูกอากาศออกซิไดซ์โปรตีนให้รังนกนั้นเป็นสีดำมากกว่า สำหรับสีแดงที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากอาหารและสภาพแร่ธาตุในถ้ำของถิ่นที่อยู่อาศัย

เนื่องจากรังนกแท้มีราคาแพงขึ้นอย่างมากจนทำให้มีการผลิตรังนกปลอมที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมากจนไม่สามารถแยกได้ด้วยการมองตาเปล่า รังนกปลอมส่วนใหญ่จะผลิตจากยางไม้ชนิดหนึ่ง คือ ยางคารายา เมื่อนำมาต้มจะคล้ายรังนกแต่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทุกวันนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สามารถตรวจสอบความแตกต่างของรังนกแท้และรังนกปลอมได้โดยใช้เทคนิคอินฟราเรดสเปคโตรสโคปี (Infrared spectroscopy) ซึ่งรังนกแท้จะมีรูปแบบของอินฟราเรดสเปคตรัม (Infrared spectrum) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรังนกแท้ นอกจากการตรวจด้วยเทคนิคนี้แล้ว ยังจะต้องตรวจวิเคราะห์ทางเคมีอีกด้วย ดังนั้นในการเลือกซื้อรังนกควรเลือกที่มีฉลากระบุผู้ผลิตที่มีความน่าเชื่อถือในขบวนการตรวจสอบวัตถุดิบรังนกที่ใช้ในการผลิต มีเครื่องหมาย อย.รับรอง และมีราคาเหมาะสม

ด้วยคุณประโยชน์ต่อสุขภาพของรังนกแท้นี้เอง เลยทำให้รังนกแอ่นกินรังแท้กลายเป็นอาหารฟังก์ชั่นที่ได้รับความนิยมและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในหมู่คนรักสุขภาพในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามโปรดระลึกไว้เสมอว่า อาหารฟังก์ชั่นไม่ใช่อาหารหลัก จึงไม่สามารถทดแทนอาหารหลักได้ แต่เป็นอาหารที่รับประทานเพื่อเสริมจากอาหารหลักที่ได้รับไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ในการส่งเสริมสุขภาพ สิ่งสำคัญต้องหลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ รวมทั้งการรับประทานอาหารให้หลากหลาย ครบทุกหมวดหมู่ หมั่นออกกำลังกาย ทำจิตใจให้แจ่มใสและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอด้วย

เอกสารอ้างอิง

Fucui Ma and Daicheng Liu. Sketch of the edible bird's nest and its important bioactivities. Food Res Inter. 2012; 48: 559–567.
Guo, C. T., Takahashi, T., Bukawa, W.Takahashi, N.,Yagi, H., Kato, K., Hidari, K. I. P. J., Miyamoto, D., Suzuki, T. and Suzuki, Y. (2006). Edible Bird’s Nest Extract Inhibits Influenza Virus Infection. Antiviral Res 70: 140-146.
Kong Y.C., Tsao S.W., Song M.E. and Ng M.H. (1989) Potentiated of mitogenic response by extracts of the swiftlet's (Apus) nest collected from Huai-Ji. Acta Zoologica Sinica. 35: 429-35.
Kong, Y. C., Keung, W. M., Yip, T. T., Ko, K. M., Tsao, S. W. and Ng, M. H. (1987). Evidence that Epidermal Growth Factor is Present in Swiftlets (Collocalia) Nest. Comp Biochem Physiol 87(2): 221-226.
Lim C.K. and Earl of Cranbrook (2002). Swiflets of Borneo: Builders of Edible Nests. Borneo: Natural History Publications.
Matsukawa N., et al. Improvement of bone strength and dermal thickness due to dietary edible bird’s nest extract in ovariectomized rats. Biosci. Biotechnol. Biochem., 2011; 75 (3): 590-592.
Ng MH, Chan KH and Kong YC (1986). Potentiation of mitogenic response by extracts of the swiftlet’s (Collocalia) nest. Biochem Int 13: 521-531.
Norhayati, M.K., Azman, O. and Nazaimoon, W.M. (2010), “Preliminary Study of the Nutritional Content of Malaysian Edible Bird’s Nest”, Mal J Nutr 16(3): 389-396.
Yagi H, Yasukawa N, Yu SY, Guo CT, Takahashi N, Takahashi T, Bukawa W, Suzuki T, Khoo KH, Suzuki Y, and Kato K. (2008). The expression of sialylated high-antennary N-glycans in edible bird's nest. Carbohydr Res 343 (8): 1373-7.
นพ.ภาสกิจ วัณนาวิบูล. รังนกทรรศนะแพทย์จีน.หมอชาวบ้าน ปี33 ฉบับที่ 389 (2554): 10-18.
ประทุมทอง. หมู่เกาะสี่ เกาะห้า และปริศนา ทองคำขาว. ไทยแลนด์จีโอกราฟฟิค ปี18 ฉบับที่ 138 (2556): 54-89.
มิ่งขวัญ วัตพนาศรัย. นกแอ่นกินรัง ความหวังแห่งชีวิต. ไทยแลนด์จีโอกราฟฟิค ปี19 ฉบับที่ 139 (2556): 72-103.

ผศ.ดร.เอกราช บำรุงพืชน์
ชมรมโภชนวิทยามหิดล

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #358 เมื่อ: สิงหาคม 09, 2014, 07:07:32 pm »
ผักกระเฉด   ถ้าขึ้นบนดิน ก็เป็นพืชคลุมดินที่ให้ประโยชน์ต่อดิน  เป็นไม้เลื้อยเช่นเดียวกับผักบุ้ง เติบโตได้ดีทั้งในน้ำและบนบก มีวิตามินซีสูง
วันเสาร์ 9 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/257986/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%94+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

ผักกระเฉด ถ้าขึ้นบนดิน ก็เป็นพืชคลุมดินที่ให้ประโยชน์ต่อดิน  เป็นไม้เลื้อยเช่นเดียวกับผักบุ้ง เติบโตได้ดีทั้งในน้ำและบนบก มีวิตามินซีสูง ช่วยในการมองเห็นโดยเฉพาะภาวะที่มีแสงน้อย มีแคลเซียม ป้องกันภาวะกระดูกพรุน ทำให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ มีธาตุเหล็ก ป้องกันภาวะโลหิตจาง  คนไทยเมื่อครั้งอดีตใช้ประโยชน์ทางสมุนไพรช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ถอนพิษเบื่อเมาบางพื้นที่นำผักกระเฉดมาตำผสมกับเหล้าโรงใช้หยอดบริเวณฟันบรรเทาอาการปวดฟัน.


------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------


สรรพคุณทางยามากกว่าผักบุ้งจีน แต่จะมีแคลเซียมและเบต้าแคโรทีน น้อยกว่าผักบุ้งจีน หากรับประทานสด ๆ ได้ จะทำให้คุณค่าของวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ไม่เสียไปกับความร้อน
วันศุกร์ 8 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/257829/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

ผักบุ้ง สรรพคุณมีมากมาย โดยในผักบุ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 22 กิโลแคลอรี และประกอบด้วยเส้นใย วิตามิน และแร่ธาตุอื่น ๆ อีก เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ผักบุ้งไทยนั้นจะมีวิตามินซีสูง และสรรพคุณทางยามากกว่าผักบุ้งจีน แต่จะมีแคลเซียมและเบต้าแคโรทีน น้อยกว่าผักบุ้งจีน หากรับประทานสด ๆ ได้ จะทำให้คุณค่าของวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ไม่เสียไปกับความร้อน ประโยชน์ของผักบุ้งช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส มีน้ำมีนวล ช่วยชะลอวัยความแก่ชรา และการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยบำรุงสายตา รักษาอาการตาต้อ ตาฝ้าฟาง ตาแดง สายตาสั้น อาการคันนัยน์ตาบ่อย ๆ เป็นต้น.





------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------


หอยขมแก้ต้อต่าง ๆ แก้ริดสีดวงทวาร แก้ร้อนในกระหายน้ำ ขับนิ่ว ขับนิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ขับปัสสาวะ แก้ไข้ปวดศีรษะ ใจสั่น ตาลาย ชาตามมือตามเท้า บำรุงกำลัง แก้โรคกระเพาะอาหาร
วันพฤหัสบดี 7 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/257593/%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%A1+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

คนไทยสมัยก่อนใช้ประ โยชน์จากหอยขมเพื่อเข้ายาแบบแพทย์แผนไทย  โดยใช้เข้าตำราทั้งเนื้อ เปลือก เพื่อแก้กระษัยปวดเมื่อยตามร่างกาย กระษัยท้องมาน กระษัยลิ้นกระบือ อัมพาต แก้ธาตุดินพิการ บำรุงกระดูก รักษาอาการปวดกระดูก ขับเมือกมันในลำไส้ บำรุงถุงน้ำดี บำรุงลำไส้ แก้ต้อต่าง ๆ แก้ริดสีดวงทวาร แก้ร้อนในกระหายน้ำ ขับนิ่ว ขับนิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ขับปัสสาวะ แก้ไข้ปวดศีรษะ ใจสั่น ตาลาย ชาตามมือตามเท้า บำรุงกำลัง แก้โรคกระเพาะอาหาร แก้กามโรค แก้บิด แก้ปวดมวนท้อง หรือถ่ายเป็นมูกเลือด เป็นต้น.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #359 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2014, 09:16:52 am »
มังคุด สรรพคุณและประโยชน์ของมังคุด 45 ข้อ!

-http://guru.sanook.com/27263/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%94-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%94-45-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-



มังคุด ภาษาอังกฤษ Mangosteen ส่วนมังคุดชื่อวิทยาศาสตร์ Garcinia mangostana Linn. จัดอยู่ในวงศ์ CLUSIACEAE (GUTTIFERAE) เช่นเดียวกับกระทิง ติ้วเกลี้ยง ติ้วขน ชะมวง บุนนาค มะดัน มะพูด รงทอง ส้มแขก และสารภี


เชื่อว่ามีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะซุนดาและหมู่เกาะโมลุกกะ และยังเป็นผลไม้ที่นิยมอย่างมากในแถบเอเชีย โดยได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชินีแห่งผลไม้” (Queen of Fruits) อาจเป็นเพราะลักษณะภายนอกของผล ที่มีกลับบนหัวคล้ายๆกับมงกุฎของพระราชินี เป็นผลที่จัดว่ามีประโยชน์มากชนิดหนึ่ง โดยประโยชน์ของมังคุดไม่ได้อยู่แค่เนื้อที่เรานิยมรับประทานกันเท่านั้น ประโยชน์ของเปลือกมังคุดก็มีมากมายในการรักษาโรคได้เช่นกัน

ในมังคุดมีสารแซนโทน (Xanthone) ในปริมาณมาก แม้จะมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบ ลดความดันโลหิต ช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง และอาการแพ้ต่างๆ แต่ก็ยังขาดข้อมูลในการสนับสนุนว่ามังคุดจะสามารถรักษาอาการต่างๆเหล่านี้ได้จริง ถึงแม้ยังไม่มีรายงานการศึกษาความเป็นพิษในมนุษย์ แต่ก็พบอาการไม่พึงประสงค์หลายอย่างในแต่ละบุคคล เช่น มีอาการผิวหนังบวมแดง เป็นผื่นคันขึ้นตามตัว ปวดศีรษะ ปวดบริเวณข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ท้องเสีย ถ่ายเหลว ลำไส้แปรปรวน เป็นต้น

นอกจากนี้มังคุดยังมีสารแทนนิน (Tannin) ที่อยู่ในเปลือกของมังคุด หากบริโภคมากเกินไปและต่อเนื่อง อาจจะทำให้เกิดเป็นพิษต่อตับ ไต การเกิดมะเร็งในร่องแก้ม ในทางเดินอาหารส่วนบน และยังไปลดจำนวนของเม็ดเลือดขาวจนทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำลงจากปกติ (ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะนักวิจัยศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย) ดังนั้นการรับประทานที่ดีที่สุดคือการรับประทานอย่างมีสติ ด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานผลไม้ให้หลากหลาย ไม่ซ้ำกัน ไม่อย่างนั้นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมายมันอาจจะกลายเป็นโทษต่อร่างกายเสียเอง

ล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว (สิงหาคม พ.ศ.2555) ได้มีการเปิดตัวผลงานวิจัย “สูตรสารธรรมชาติ ต้านมะเร็งจากมังคุด” โดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา เผยว่างานวิจัยดังกล่าวเป็นกาต่อยอดยำเอาคุณประโยชน์ของสารสกัดจีเอ็ม-1 ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะราคาแพง ลดการอักเสบได้เป็น 3 เท่าของแอสไพริน และสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสกัดมาจากเปลือกมังคุดสูตรธรรมชาติที่ผสมกับสารสกัดจากงาดำ ฝรั่ง ถั่วเหลือง ใบบัวบก จนได้เป็นอาหารเสริมชนิดดีที่ช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล โดยมีผลช่วยเพิ่มการผลิตเม็ดเลือดขาวทีเอช 1 ที่ช่วยในการกำจัดเซลล์มะเร็ง เชื้อรา เชื้อไวรัส และแบคทีเรีย และเม็ดเลือดขาวชนิดทีเอช 17 ที่ช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง อย่างไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

ขณะที่ ศ.พญ.สุมิตรา ทองประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวถึงผลงานวิจัยด้วยการทดสอบผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัด 20 ราย ในระยะเวลา 6 เดือน หลังจากที่ผู้ป่วยรับประทานอาหารสูตรธรรมชาติร่วมกับน้ำมังคุดสกัดร้อยละ 80 เห็นได้ชัดถึงความเปลี่ยนแปลงว่าคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น หลายคนกินข้าวได้ อาการเจ็บปวดบรรเทาลง ผู้ป่วยบางรายสามารถกลับไปทำงานได้ปกติ โดยทุกรายมีภูมิคุมกันที่ดีขึ้นแม้จะไม่หายจากโรคมะเร็ง จึงช่วยเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ และเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการใช้ยารักษาที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

ประโยชน์ของมังคุด

1.รับประทานสดเป็นผลไม้ หรือทำเป็นน้ำผลไม้ อย่าง น้ำมังคุด และน้ำเปลือกมังคุด
2.มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอย
3.มีฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระต่างๆได้มากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ
4.ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส แข็งแรง
5.ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรง
6.มีส่วนช่วยป้องกันอาการไข้ (ไข้ระดับต่ำ)
7.ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
8.ช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า
9.มังคุดรักษาสิว เปลือกมังคุดมีคุณสมบัติในการยัยยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว และยังออกฤทธิ์ต้านสิวอักเสบได้ดีอีกด้วย
10.มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้า ลดความเครียด
11.ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน โรคเกี่ยวกับระบบประสาท
12.การรับประทานมังคุดเป็นประจำจะช่วยส่งเสริมให้มีสุขภาพจิตดี อารมณ์ดีอยู่เสมอ
13.สารสกัดจากมังคุดช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดขาวชนิด ทีเอช 1 และ ทีเอช 17 มีฤทธิ์ช่วยกำจัดและป้องกันการก่อเกิดเซลล์มะเร็งเกือบทุกชนิดได้
14.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ อย่าง เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร
15.ช่วยในการขยายตัวของหลอดเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
16.ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับทางเดินหัวใจ
17.ช่วยลดความดันโลหิต
18.ช่วยรักษาไทรอยด์เป็นพิษ
19.ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย และลดไขมันที่ไม่ดีในเส้นเลือด
20.มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดเนื้องอกในร่างกาย
21.มีสวนช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ด้วยคุณสมบัติในการลดและควบคุมระดับน้ำตาล
22.ช่วยป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้
23.มีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการของโรคหอบหืด
24.มีส่วนช่วยบำรุงและรักษาสายตา
25.ช่วยบำรุงสุขภาพช่องปากและเหงือกให้แข็งแรง
26.ช่วยลดกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์
27.ช่วยรักษาและสมานแผลในช่องปากหรือปากแตกให้หายเร็วยิ่งขึ้น
28.ไฟเบอร์จากมุงคุดช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องผูก
29.ช่วยบำรุงและฟื้นฟูความสมดุลภายในกระเพาะอาหาร ด้วยการยับยั้งการเจริญเติบโตเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องร่วง จุกเสียด เกิดแก๊สในกระเพาะและการดูดซึมอาหารบกพร่อง
30.สรรพคุณมังคุด ในทางสมุนไพรจะช่วยแก้อาการท้องเสีย ด้วยการใช้เปลือกมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำหรือย่างไฟ นำมาฝนกับน้ำปูนใส
31.ช่วยแก้อาการท้องร่วงเรื้อรัง อาการถ่ายเป็นมูกเลือด ด้วยการใช้เปลือกสดหรือแห้งฝนกับน้ำรับประทาน หรือจะใช้เปลือกแห้งนำมาต้มกับน้ำดื่มก็ได้ผลเหมือนกัน
32.ช่วยให้ระบบทางเดินปัสสาวะอยู่ในสภาวะปกติ
33.ช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ่วในไต
34.มีส่วนช่วยป้องกันอาการตับเสื่อม ไตวาย
35.ช่วยรักษาอาการข้อเข่าอักเสบ
36.เปลือกของมังคุดมีสารแทนนินที่มีฤทธิ์ฝาดสมาน ทำให้แผลหายเร็ว
37.ช่วยต่อต้านและป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เชื้อรา เชื้อจุลินทรีย์ และไวรัสต่างๆ อย่างเชื้อวัณโรค เชื้อ HIV เป็นต้น
38.ช่วยลดอาการอักเสบและมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง (เปลือก)
39.ช่วยยับยั้งการเกิดและใช้รักษาโรคผิวหนังต่างๆ อย่าง กลากเกลื้อน ผดผื่นคันต่างๆ ด้วยการใช้เปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำอาบ หรือใช้น้ำต้มเปลือกมาทาบริเวณที่เป็น
40.มังคุดสรรพคุณ ทางยาสมุนไพรใช้เพื่อรักอาการน้ำกัดเท้า แผลเปื่อย ด้วยการใช้เปลือกแห้งฝนกับน้ำปูนใส
41.เปลือกมังคุดมีสารช่วยป้องกันเชื้อราจึงเหมาะแก่การหมักปุ๋ย
42.นำมาประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน เช่น แกง ยำ มังคุดลอยแก้ว ซอสมังคุด เป็นต้น
43.นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่าง มังคุดกวน แยมมังคุด มังคุดแช่อิ่ม ท๊อฟฟี่มังคุด
44.มังคุดมีสารจีเอ็ม-1 ซึ่งใช้เป็นประกอบในเครื่องสำอาง สำหรับผู้มีปัญหาสภาพผิวเรื้อรังจากสิวและอาการแพ้
45.นำมาแปรรูปเป็นสบู่เปลือกมังคุด ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยดับกลิ่นเต่า รักษาสิวฝ้า บรรเทาอาการของโรคผิวหนัง

ที่มาข้อมูล www.frynn.com

ที่มารูปภาพ www.gettyimages.com


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)