ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129514 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 9 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #390 เมื่อ: มกราคม 22, 2015, 05:52:28 am »
ประโยชน์มากมายจาก มะนาว

-http://guru.sanook.com/6430/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-

   ประโยชน์ของมะนาว มะนาวเป็นผลไม้พื้นๆที่ใช้บริโภคกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่ามะนาวลูกเล็กๆนั้น มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆได้มากมายหลายโรคด้วยกัน ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่ใช้มะนาวรักษาโรค ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เช่น มาเลเซีย จีน และอินเดีย เขาก็ใช้มะนาวกัน ประเทศเพื่อนบ้านที่ไกลออกไป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศแถบอเมริกาตะวันตกก็ใช้มะนาวแก้ไอและรักษาโรคอื่นๆเช่นเดียวกัน

ประโยชน์ของมะนาวในแง่การนำมาใช้เป็นสมุนไพร มีดังนี้

          1. แก้ไอออกเลือด (ไอมีเลือดปน) - ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มะนาว 4 ลูก เกลือ 1 ช้อน หรือประมาณ 3-4 เม็ด ผสมให้เข้ากันดี ให้มีรสเปรี้ยวเค็มหวาน ใช้จิบทุกครั้งที่ไอ -ใช้มะนาว 108 ใบ เบี้ยจั๊กจั่น 11 ตัว ปูนขาวหนักประมาณ 4 บาท วิธีทำ คั้นน้ำมะนาว ใส่เบี้ยจั๊กจั่นและปูนขาวปนกัน ดองประมาณ 3 คืน รับประทานครั้งละจอกชา แก้ไอออกเลือดดี

          2. ต่อมทอนซิลอักเสบ เอาน้ำมะนาว น้ำผึ้งและปูนขาวผสมดื่ม แก้ทอนซิลอักเสบ

          3.แก้ซาง,ตุ่มในคอเด็ก,เสมหะ - เมล็ดมะนาวขับเสมหะแก้โรคซางของเด็ก แก้เม็ดยอดในปากโดยเอาเม็ดมะนาวเผาไฟ บดให้ละเอียด ใช้น้ำมะนาวหรือรากของมะนาวฝนกันน้ำเป็นกระสาย ผสมเข้าด้วยกัน แล้วกวาดซางเด็ก - ให้เอาน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วเอารากมะนาวฝนให้ข้นดี แล้วจึงเอาไปล้วงคอเด็กสัก 2-3 ครั้งก็หาย - ใช้เม็ดมะนาวเคี้ยวกิน ขับเสมหะ ใช้ติดต่อกัน 7 วัน ได้ผลดี

          4. แก้เสียงแหบแห้ง - มะนาวทำให้เสียงไม่แหบแห้ง ตื่นตอนตอนเช้าทุกครั้งให้ผ่ามะนาวครึ่งหนึ่ง จิ้มเกลือบีบน้ำลงคอกลืนกิน ทำทุกเช้าทุกวัน ทำให้เสียงไม่แหบแห้ง

          5. ก้างติดคอ - เมื่อก้างปลาติดคอ เอามะนาว 1 ลูกคั้น เอาแต่น้ำ เติมเกลือ น้ำตาลนิดหน่อยกรอกลงไปให้ตรงก้างที่ติดคอ อมไว้สักครู่ แล้วจึงค่อยกลืน ก้างจะอ่อนตัวหลุดลงไปในกระเพาะ - ก้างปลาติดคอซึ่งเป็นชิ้นเล็กๆ เมื่อกลืนน้ำลายจะทำให้รำคาญเท่านั้น ให้ผ่ามะนาวแล้วนำมาอมไว้ในปาก อมจนรู้สึกรสเปรี้ยวของมะนาวเจือจางสัก 2-3 หน จะทำให้ก้างหลุดออกไปได้

          6. แก้ไข้ - นำใบมะนาวมาหั่นฝอยๆ ชงด้วยน้ำเดือด ดื่มแบบน้ำชาจะช่วยลดไข้และใช้อมกลั้วคอฆ่าเชื้อโรคได้อีกด้วย - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตกนิยมใช้เปลือกรากมะนาวต้มเป็นยาแก้ไข้อย่างดี และใช้ใบทำเป็นยาชงกินแก้ไข้ที่มีอาการตัวเหลืองเล็กน้อย นอกจากนี้ยังใช้น้ำมะนาวดื่มแก้กระหายน้ำ แก้ไข้อีกด้วย - ที่ประเทศอินเดีย ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ นิยมรักษาโดยดื่มน้ำมะนาวแล้วพักผ่อน ถ้าเป็นไข้หวัดธรรมดา จะรับประทานผลอินทผลัมและดื่มน้ำมะนาวรักษา

          7. แก้ไข้ทับระดู เอาใบมะนาว 100 ใบ มาต้มกินแล้วหาย

          8. แก้ปวดศีรษะ - เอามะนาวมาฝานเป็นซีกบางๆ แล้วเอาปูนที่กินกับหมาก ละเลงด้านหน้าของซีกมะนาวนั้นบางๆ แล้วปิดตรงขมับ ทำอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการปวดก็ค่อยหายดีขึ้นทุกวัน - ใช้น้ำมะนาวผสมกับน้ำตาลสัก 1 แก้ว ดื่มตอนเช้า ช่วยให้หายจากโรควิงเวียนและปวดหัว - ชาวมาเลเซีย ใช้ใบมะนาวผสมกับน้ำมะนาว บดทำเป็นยาใส่ผมแก้ปวดศีรษะ - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตก ใช้ใบมะนาวตำให้ละเอียดถูศีรษะหรือเคี้ยวรากมะนาวแก้ปวดศีรษะ

          9. แก้เลือดออกตามไรฟัน - เกิดจากการขาดวิตามินซี ทำให้เหงือกบวมและมีเลือดออกตามไรฟันเป็นประจำ หรือมีเลือดออกได้ง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล มีจุดพรายย้ำขึ้นตามผิวหนัง อาจมีเลือดออกจนซีดได้ ถ้าอาการรุนแรง จะมีอาการปวดน่อง ข้อเท้าบวม การรักษาให้กินมะนาวหรือผลไม้เปรี้ยวๆ เช่น ส้ม จะแก้ได้ - แก้โรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟัน ใช้มะนาวถูฟันสักพักเลือดก็จะหยุด

          10. แก้เหงือกบวม ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่เหงือกวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น

          11. แก้ลิ้นเป็นฝ้า ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 3ครั้ง

          12. ขจัดคราบบุหรี่ ใช้มะนาวถูฟันที่มีคราบบุหรี่จับ เมื่อใช้มะนาวถู คราบนั้นจะหาย ถ้าฟันผู้ที่รับประทานหมากต้องถูกบ่อยๆ ถ้าจับมากหลายวันแล้วต้องถอดฟันแช่น้ำมะนาวไว้ค้างคืน (หมายถึงผู้ใส่ฟันปลอมนะ) ฟันจะขาวสะอาดเงางาม

          13. ยาบ้วนปาก บีบน้ำมะนาวลงในแก้วสัก 2-3 หยดเท่านั้น บ้วนปากได้สะอาดยอดเยี่ยม

          14. แก้เป็นลมวิงเวียน อยากอาเจียน - ใช้มะนาวผ่าซีก โรยเกลือป่น เหยาะน้ำตาลทรายขาวสักนิดบีบกินลงไปพักเดียวหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้จากการตั้งครรภ์ เมารถ แพ้อากาศ มะนาวช่วยคุณได้ - ใช้มะนาวจิ้มเกลืออมไว้ในปากสักครูจะรู้สึกสดชื่นจากการเป็นลมวิงเวียน หน้ามืดได้ - ใช้เปลือกมะนาวแกะออกแล้วบีบหรือดมใกล้จมูก แก้เป็นลม วิงเวียน หน้ามืดตาลาย - ด้านประเทศฟิลิปปินส์และประเทศจีน ใช้เปลือกลูกมะนาวขยี้ใก้ดมแก้คลื่นไส้หรือเป็นลม หมอพื้นเมืองชาวอินเดีย นิยมใช้น้ำมะนาวแก้อาเจียน

          15. แก้วิงเวียนเมื่อคลอดบุตร - เอามะนาวปอกใส่ภาชนะ 2-3 ลูก เพื่อให้คนที่คลอดบุตรนั้นกินแก้วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย - เอามะนาว 3 ผล เกลือป่นและพริกไทยป่นพอควร ละลายด้วยน้ำร้อน แทรกเหล้าโรงประทาณให้ได้สักครึ่งถ้วยชา เวลาตกฟากรับประทาน 1 ครั้ง หรือรับประทาณต่อไปอีกก็ได้ 16. แก้เมาเหล้า เมายา - ดื่มน้ำมะนาวหรืออมกับเกลือ สำหรับคนเมาเหล้าหรือวิงเวียนจะเป็นลม

          17. แก้ลมเงียบ เอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอมประมาณ 1 อาทิตย์

          18. แก้ตาแดง เอามะนาวผ่า แล้วเอาเมล็ดในออกให้หมด แล้วก็บีบเอาน้ำมะนาวหยอดลงในตกทั้ง 2 ข้างหลายๆหยด สัก 1-2 นาที พอหายแสบแล้วล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เช็ดหน้าเรียบร้อยแล้วก็สบาย และใช้มะนาวต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหายตาแดง

          19. บำรุงตา ใช้มะนาวสดทั้งลูกฝานตามที่เห็นสมควร แล้วบีบใส่ตาประจำ ประมาณเดือนหรือสองเดือนครั้งก็ใช้ได้ (เนื่องจากตาเป็นอวันวะที่บอบบางมาก และน้ำมะนาวนั้นหยอดลงไปแล้วจะรู้สึกแสบตา ดังนั้น เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงไม่ควรใช้น้ำมะนาวนี้หยอดตา)

          20. บำรุงผิว เอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทาบริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี

          21. แก้ผิวแตก ใช้มะนาวทาผิวหนังทำให้ชุ่มชื้น ไม่แตกกร้านในช่วงอากาศแห้ง

          22. แก้สิวฝ้า - ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง การรักษาอย่างง่ายที่ถูกวิธี คือ การทำความสะอาดใบหน้า เพื่อลดไขมันและกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขนบนใบหน้า หรือบริเวณอก คอ ที่มีสิวขึ้น ฉะนั้นมะนาวจะช่วยรักษาสิงให้ลดน้อยลงได้ เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อนๆจะทำให้เนื้อเยื่อที่ตามแล้วหลุกออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน กรดอ่อนๆจะช่วยกำจัดเชื้อโรคและช่วยกำจัดไขมันได้บ้าง วิธีใช้ คือ ล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดาให้สะอาดแล้วผ่ามะนาวทาบริเวณที่มีสิวขึ้นให้เปียกชุ่มจนทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออกด้วยสบู่อีกครั้ง ทำเช่นนี้วันละ 1-2 ครั้ง เช้าและเย็น - ใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อยๆยุบหายไปในที่สุด - ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาไปแต้มที่ตุ่มสิว หรือผู้ที่ไม่มีสิว ใช้ทาบางๆทั่วไปประมาณ 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสบู่ หน้าจะนิ่มนวลอยู่เสมอ

          23. ลบรอยแผลเป็น รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ ใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองทาบริเวณที่เป็น ทำให้หน้าไม่ดำ หรืออาจใช้ใบมะลิสดตำผสมเพิ่มเข้าไปอีกก็ได้

          24. แก้ขาลาย คนที่มีขาลายเป็นจุดด่างดำเม็ดเล็กๆนั้น แก้ได้โดยเอาน้ำมะนาวบีบใส่ดินสิพองหมาดๆ แล้วทาทุกๆคืนก่อนนอน พอรุ่งเช้าก็ล้างออก ทำอย่างนี้ทุกวัน ไม่นานวันรอยด่างดำก็ลบหายไปเอง

          25. แก้น้ำเหลืองเสีย ใช้ใบมะนาว 108 ใบกับเกลือหรือดีเกลือ 2 บาท หรือประมาณ 3 ช้อนคาวรวมกัน ต้มรับประทานเป็นยาระบายถ่ายน้ำเหลืองเสีย รับประทานครั้งละครึ่งถ้วยแก้วกลาง วันละ 1 ครั้งก่อนเข้านอน

          26. แก้ส้นเท้าแตก เอามะนาวสดผ่าซีกแล้วบีบมะนาวให้หยดลงบนบริเวณที่เป็นแผลนั้น เพียงวันละ 2-3 ครั้ ภายใน 7 วัน โรคส้นเท้าแตกจะหายไปเอง

          27. ดับกลิ่นเต่า ใช้น้ำมะนาวทารักแร้ป้องกันกลิ่นเต่า

          28. แก้โรคผิวหนัง ประเทศแถบทวีปอาฟริกาตะวันตกและประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวทาแก้โรคผิวหนัง แต่ของอินเดีย เวลาอาบน้ำ ห้ามฟอกสบู่บริเวณที่เป็น

          29. แก้กลาก เกลื้อน หิด - นำกำมะถันตำให้ละเอียดบีบมะนาวใส่พอสมควร ทาบริเวณที่เป็นเกลื้อนหลังอาบน้ำและก่อนนอน เคยใช้กับญาติโยมหลายราย ผลออกมาแล้วหายเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ - ใช้มะนาวผ่าซีกแตะผงกำมะถันแล้วมาถูบริเวณที่เป็นหิด กลากเกลื้อนจะกายในเร็ววัน

          30. แก้หูด เอาเปลือกมะนาวหมักกับน้ำส้มสายชู 2 วัน ตัดเปลือมะนาวมาปิดที่หูด ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ค้างคืนไว้ รุ่งเช้าจึงเอาออก ให้ทำเช่นนี้นาน 2 อาทิตย์

          31. แก้พุพอง ใช้รากมะนาวฝนกับน้ำซาวข้าว ทาแก้พุพอง แสบร้อน

          32. แก้น้ำกัดเท้า ใช้มะนาวทาที่เป็นตุ่มคัน น้ำกัดเท้า ทาแล้วทิ้งให้แห้ง ล้างออกด้วยน้ำสบู่ ให้ผ้าเช็ดให้แห้ง แล้วเอาแป้งทา ตุ่มคันก็จะหาย

          33. แก้ปูนซีเมนต์กัด เวลาถูกปูนซีเมนต์กัดตามมือ เท้า เอามะนาวมาตัดกลางลูก แล้วบีบน้ำมะนาวตรงที่ปูนกัดก็จะหาย

          34. แก้คัน - ใช้มะนาวตัดกลางลูกรมไฟพออุ่น ถูทาตามที่คันภายใน 2-3 วัน จะหาย - เรื่องแก้คันนี้ในประเทศอินเดีย ใช้มะนาวผสมน้ำผึ้ง ทาบริเวณที่คันและเวลาอาบน้ำ อย่าฟอกสบู่บริเวณที่คัน ใช้ทาทุกครั้งเมื่อรู้สึกคัน

          35. แก้หนอนคัน แถวชนบทมีตัวหนอนหลายชนิด เมื่อเราไปถูกมันเข้าจะทำให้เนื้อตรงบริเวณนั้นคันมาถึงกับเน่าเปื่อยก็มี ถ้าไปถูกตัวหนอนแล้วคันแต่ยังไม่เปื่อยเป็นแผล ให้เอามะนาวผ่าซีกถูตรงที่คันนั้น แต่ถ้าเปื่อยเป็นแผลแล้ว ให้เอาบานไม่รู้โรยมาตำกับปูนที่กินกับหมากผสมน้ำเล็กน้อย ทาตรงแผยเปื่อยรับรองหาย

          36. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย - ใช้ระงับความเจ็บปวดจากพิษแมลงได้ โดยใช้มะนาวพอกบริเวณปากแผลทิ้งไว้ 2-3 นาทีแล้วเปลี่ยนใหม่ทำดูจะหายปวด - ในประเทศจีน ใช้ผลสดคั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่ถูกตะขาบกัด แมลงป่องต่อยทันทีจะแก้ได้

          37. แก้สังคัง ใช้มะนาวผ่าซีก ทาก่อนนอนและหลังตื่นนอน เพียงไม่กี่วันก็หาย

          38. ใช้สระผม แก้คันศีรษะ - ใช้น้ำมะนาวสระผมทำให้ผมสะอาด หอม - ถ้าคันศีรษะบ่อย ใช้น้ำมะนาวนวดศีรษะให้ทั่วสักครู่ก่อนสระผมจะแก้ได้

          39. แก้หัวโน ใช้แป้งดินสอพองผสมน้ำมะนาว ทาตรงที่ช้ำบวมสักพักใหญ่ๆ อาการปวดบวม ปูด ก็จะยุบ หมั่นทาวันละ 1-2 ครั้ง ภายใน 2 วันก็จะหายไปเอง

          40. แก้ผิวหนังฟกช้ำ ผสมน้ำมะนาวกับดินสอพองข้นๆ ทาบริเวณที่มีอาการผิวเนื้อถูกกระแทกเขียวฟกช้ำ หรือบวมโน จะหายเป็นปกติ

          41.แก้หนามปัก แก้หนามปักคา ใช้มะนาวกับน้ำมันตับปลา ใส่ที่แผลจะดูดหนามออกมาได้

          42. แก้เล็บขบ เอามะนาวมาผ่าตรงส่วนหัวออกขนาดพอสอดนิ้วเข้าไปได้ ใช้มีดคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย เสร็จแล้วเอาปูนทาบางๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป แล้วทิ้งไว้ ทำดังนี้ 2-3 ครั้ง อาการเล็บขบจะหายไป

          43. แก้ปลาดุกยัก ใช้มะนาวผ่าซีกแล้วกดหรือถูครงรอยปลาดุกยักสักพักหนึ่ง จะหายปวดภายใน 4-5นาที

          44. แก้งูกัด แก้งูกัดให้ปฏิบัติดังนี้ 1. ให้คนเจ็บนอนราบๆ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายช้าลง และพิษงูจะได้แผ่ซ่านช้าลงด้วย 2. ถ้าถูกงูพิษกัดที่แขนและขา ให้เอาเชือกรัดเหนือแผลหน่อย กะให้รัดอยู่ในระหว่างแผลกับหัวใจของคนเจ็บ การรัดให้รัดพอให้เลือดตรงผิวหนังนั้นหยุดไหลเพื่อกันไม่ให้พิษผ่านเข้าเส้นโลหิตดำเท่านั้น ไม่ต้องรัดแน่นมากจนหลอกเลือดที่อยู่ลึกลงไปพลอยหยุดไหลไปด้วย ถ้ารัดพอดีๆจะสังเกตเห็นน้ำเหลืองไหลซึมออกจากแผลอยู่เรื่อยๆ 3. ใช้ใบมีดโกนที่สะอาดและฆ่าเชื้อแล้ว กรีดลงบนแผลเป็นรูปกากบาท ลึกสัก 1 ใน 8 นิ้ว ยาว สัก 1 ใน 4 นิ้ว ทั้ง 2 เขี้ยว อย่าตกใจว่าจะเสียเลือด เพราะมันจะช่วยล้างพิษออกด้วย ให้ใช้ปากดูดพิษออกมาจากแผลที่กรีด พิษงูจะไม่เป็นอันตรายเมื่อเข้าไปอยุ่ในปาก นอกจากจะมีแผลในปากหรือฟันผุเท่านั้น เมื่อดูดพิษออกมาให้รีบบ้วนทิ้ง แล้ววางน้ำแข็งที่แผลสลับกับการดูดช่วยด้วย และระวังให้แขน ขาที่ถูกงูกัดให้อยู่ต่ำๆไว้ หมายเหตุ ถ้าฟันผุหรือมีแผลในปาก ใช้ขวดอุ่นให้ร้อน (ระวังแตก) เอาปากขวดทาบกับแผล เพื่อช่วยดูดเลือดออกจากแผลแทน 4. ให้กินน้ำมะนาว ขนาดผลโตๆสัก 1 ผล น้ำมะนาวจะไปทำปฏิกิริยากับพิษงูที่แล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร สักครูก็จะอาเจียนออกมา มีเลือดปนเล้กน้อย ซึ่งแสดงว่าพิษงูได้หมดฤทธิ์แล้ว 5.คนเจ็บจะเกิดความมั่นใจและค่อยหายกลัว ให้เขาดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มร้อนๆได้ แต่อย่าให้กินเหล้า พิษงูมันเดินเข้าหัวใจอย่างช้าๆ แต่หลังจากที่ถูกงูกัด อาจปวดมากจนถึงกับช็อค ให้คนเจ็บอยู่เงียบๆ เพราะถ้าไปทำอะไรเข้า จะเป็นการเร่งพิษเดินทางเข้าสู่หัวใจเร็วเข้าอีก ให้ใช้น้ำแข็งหรือผ้าชุบน้ำแข็งวางที่แผล จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ และรีบนำส่งรักษาที่โรงพยาบาล

          45. ป้องกันงู เมื่อใช้มะนาวคั้นเอาน้ำหมดแล้ว เอาเปลือกวางท้องเอาไว้ใกล้ๆที่นอน จะทำให้งูไม่มารบกวน เพราะได้กลิ่นมะนาว

          46. แก้แมงคาเรืองเข้าหู นำน้ำมะนาวอย่างเดียว กรองด้วยผ้า ใช้หยอดหู แก้แมงคาเรืองเข้าหู ถ้าตัวยังไม่ตายจะหนีออกมา ถ้าไม่หนีออกมาตัวจะตายในหู

          47. แก้ฝี - แก้ปวดฝีใช้รากสดฝนกับเหล้าทา - ขูดเอาผิวมะนาว ผสมกับปูนแดงปิด ฝีจะหาย

          48. แก้ฝีมะตอย เอามะนาวทั้งลูก มาคว้านไส้ในออกให้เอานิ้วเข้าไปได้ แล้วเอาปูน(กินหมาก)ทาเข้าไปในลูกมะนาวเล็กน้อย แล้วสวมเข้านิ้วที่มีฝีขึ้น

          49. แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ให้เอาน้ำมะนาวมาชะโลมบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษปวดแสบแวดร้อนได้ผล

          50. แก้บาดทะยัก เมื่อดถูตะปูตำ หนามเกี่ยว หรือถูกของที่มีคม เอาน้ำมะนาวบีบใส่แผลที่เป็น จะป้องกันบาดทะยักได้

          51. แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ - แก้อาการปวดท้อง แน่นท้อง เอาผลมะนาวครึ่งผล บีบเอาน้ำมะนาวใช้กินกับน้ำอ้อย หรือน้ำตาล แก้อาการนี้ได้ - เด็กท้องอืดร้องกวนในเวลากลางคืน เอาปูนเคี้ยวหมากขยี้ลงบนฝ่ามือ บีบน้ำมะนาวคลุกให้ทั่ว แล้วทาท้องด็ก สักครู่เด็กจะผายลม 2-3 ครั้ง แล้วหยุกร้องไห้ หลับสบายตลอดคืน เพราะน้ำมะนาวทำปฏิกิริยากับปูน ให้ความร้อนเกิดความอบอุ่น

          52. รักษาโรคกระเพาะ เปลือกผลมะนาว ใช้ชงกับน้ำอุ่ม ดื่มเป็นยาขับลมและแก้โรคกระเพาะได้

          53. แก้ท้องผูก ใช้มะนาว ประมาณค่อนแก้วกาแฟ ใส่เกลือเล็กน้อย ให้เค็มพอประมาณ ดื่มทุกวันเป็นยาระบายได้ดี ทำให้เจริญอาหาร

          54. แก้ท้องร่วง ประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวกับน้ำสะอาดดื่มแก้ท้องร่วง

          55. แก้อาหารเป็นพิษ น้ำมะนาว น้ำปูนใส เติมเกลือให้มีรสเค็ม กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ แก้อาหารเป็นพิษ

          56. แก้ผิดสำแลง - รากมะนาว ฝนกับน้ำซาวข้าวรับประทานแก้ผิดอาหาร ถ้าได้รากมะนาวหวานยิ่งดี - เอามะนาวบีบเอาน้ำใส่ถ้วย แล้วเอาปูนกินหมากมาแช่น้ำ แล้วเอาน้ำใสๆของปูนมาผสมน้ำมะนาว แล้วรับประทานแก้กินของผิดได้เป็นอย่างดี

          57. แก้บิด - ใช้มะนาวกับน้ำผึ้งเอาเท่าๆกัน กินครั้งละ 1 ถ้วยตะไล สัก 2-3 ถ้วย แก้บิดได้ หรือจะผสมน้ำปูนใส อย่างละเท่าๆกัน ก็ได้ผลเช่นกัน - ชาวมาเลเซียใช้รากมะนาวต้มกินแก้บิด

          58. ขับพยาธิไส้เดือน ชาวอินเดียใช้น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งดื่มขับพยาธิไส้เดือน

          59. แก้นิ่ว เอามะนาวมา บีบมะนาวแช่หินปูน หากหินปูนละลาย ก็เอารากมะนาวนั้นมาต้มกิน แล้วนิ่วก็คือหินปูนในกระเพาะปัสสาวะจะอยู่ได้อย่างไรก็ต้องละลายออกมาหมดอย่างแน่นอน หากนิ่วก้อนใหญ่ก็ต้องใช้เวลาหน่อย

          60. แก้ปัสสาวะกระปริบกระปรอย ใช้ใบมะนาวสดต้มกินกับน้ำตาลแดง ประมาณ 2-3 วันก็หาย

          61. แก้ระดูขาว น้ำมะนาว 2 ช้อน เกลือ น้ำตาลนิดหน่อย ผสมน้ำสุก ใส่น้ำแข็งรับประทานแก้และรักษาสตรีมีระดูขาวมากๆ

          62. ฟอกโลหิต ใช้ใบมะนาว 7 ใบ ต้มผสมกับน้ำ กินครั้งละ 3 ถ้วยชา วันละ 3 เวลา ได้ผลดี

          63. แก้โลหิตจาง ให้เอาผลมะนาวผ่าซีก บีบเอาเฉพาะน้ำ ผสมกับน้ำหวานแล้วปรุงด้วยเกลือทะเลพอสมควร ใส่น้ำแข็ง ใช้รับประทานบ่อยๆ เป็นยาบำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง และทำให้มีฟิวพรรณผุดผ่องมีน้ำมีนวล

          64. แก้เหน็บชา ให้เอาลูกมะนาวเท่าอายุคนป่วย ใช้มีดบางคมๆ ผ่าสองเอาหนึ่ง ส่วนที่ไม่เอาแล้วแต่เราจะเอาไปทำอะไร ให้เอาน้ำตาลทรายขาว 1 ลิตร เกลือ 1 ลิตร เอาน้ำ 4 ลิตร ต้มให้เดือด ยกลง พอเย็นหน่อยก็เทใส่ไห แล้วจึงเอามะนาวส่วนที่เอาเทลงดองไว้ในไห ปิดปากไห ไปฝังไว้ในข้าวเปลือก 7 วัน แล้วเอาน้ำมากินให้หมด แล้วเอากากไปตำตากแดดให้แห้ง เอามากินให้หมด โรคเหน็บชาจะหายไป

          65. แก้ร้อนในกระหายน้ำ มะนาวสามารถแก้ความกระหายได้ดี กินน้ำมะนาวใส่น้ำแข็งแล้ว จะรู้สึกชุ่มคอ

          66. แก้อ่อนเพลีย - ใช้มะนาว 1 ผลครึ่ง บีบเอาแต่น้ำใส่แก้ว แล้วใส่น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำให้ได้ประมาณครึ่งแก้ว กะให้หวานพอดี ดื่มให้หมด จะรู้สึกกระชุ่มกระชวยดี - เวลาฟื้นจากไข้ทานอาหารไม่อร่อยหรือไม่อยากทานอะไรเลยต้องแก้ด้วยอาหารที่มีรสเปรี้ยว ใส่มะนาวหรือชงน้ำมะนาวดื่ม หรือกินมะนาวจิ้มยาหอม หรือกินมะนาวจิ้มเกลือ

          67. เป็นยาอายุวัฒนะ - ใช้มะนาว 1 ลูกผ่าออกเอาเม็ดท้อง แล้วคั้นเอาน้ำชงกับน้ำตาล 2 ช้อน และน้ำร้อนพอควร ทำให้แข็งแรงและชุ่มชื่นในลำคอ - ใช้มะนาว 50 ผล น้ำผึ้ง 1 ขวดขาว พริกไทยร่อนครึ่งลิตรเล็ก ตำพริกไทยให้ป่น ใส่ผ้าขาวบางห่อ ใส่โหลดองรวมกันประมาณ 3 วัน นำมากินได้เป็นยาอายุวัฒนะ

          68.ยาเจริญอาหาร เอามะนาว 30 ลูกผ่าซีกทั้งเปลือกแล้วเอายาดำหนัก 5 บาท ใส่ดีเกลือเล็กน้อย หร้อมกับเกลือแกงอีกพอประมาณจนรู้สึกว่ามีรสเค็ม เอายาทั้งหมดใส่ขวดโหลดองไว้ประมาณ 3 คืน รับประทานมีสรรพคุณทำให้เป็นยาระบายถ่ายพยาธิ และเจริญอาหาร

          69. แก้ความดัน เอาใบมะนาว 108 ใบ ต้มรับประทานแก้โรคความดันต่ำและสูง

          70. แก้ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ (โรครูมาติซั่ม) ให้ดื่มน้ำมะนาว ดังนี้ วันที่ 1 ให้ดื่มน้ำมะนาว 2 ผล วันที่ 2 ให้ดื่มน้ำมะนาว 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง วันที่ 3 ให้ดื่มน้ำมะนาว 6 ผล แบ่งให้วันละ 3 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 10 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง วันที่ 11 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 2 ผล วันที่ 12 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 20 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง

          71. ลดความอ้วน การดื่มเครื่องดื่มต้องใส่น้ำตาลน้อยที่สุด และควรดื่มวันละ 8-10 แก้วทุกวัน ตื่นเช้าควรดื่มน้ำมะนาว 1 ผล ในน้ำอุ่นและขนมปังไม่เกิน 1 แผ่น ก่อนอาหารทุกมื้อควรดื่มน้ำมะนาวครึ่งผลผสมน้ำเย็น ก่อนอาหารกลางวันและอาหารเย็นจะช่วยให้อิ่ม อย่าให้ดื่มขณะที่ทานอาหาร ถ้ารู้สึกหิวก่อนเวลาอาหารไม่ว่ามื้อใด ให้รับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว หรือน้ำส้ม น้ำมะนาวสักแก้ว

          72. ใช้ในครัวเรือน - หุงข้าวให้ขาวและอร่อย บีบน้ำมะนาว 2-3 ช้อนในข้าว แล้วนำไปซาวข้าว เมื่อหุงเสร็จข้างจะขาว สะอาด กินอร่อย ไม่ออกรสมะนาวเลย - นิ้วมือเวลาเด็ดผักหรือหั่นผัก เนื้อใกล้ๆเล็บมือจะเป็นสีดำมองดูน่าเกลียด ใช้มะนาวถูจะแก้ได้ - เวลาใช้มีดผ่าปลีกล้วย มีดจะเป็นสีม่วงคล้ำ ใช้มะนาวผ่าซีกถูตามใบมีด มีดจะสะอาดดังเดิม - ทอดไข่เจียวให้ฟูและนิ่ม ขณะตีไข่ให้ใส่มะนาว 4-5 หยด ไข่จะฟูและนิ่ม - การเชื่อมกล้วยหักมุกให้น่ารับประทาน พอน้ำตาลเดือดเป็นยางมะตูม ให้บีบมะนาวครึ่งซีกตาม แต่กล้วยมากหรือน้อยจะช่วยให้กล้วยใสน่าทาน - ถ้าต้มปลาสด ต้องการให้ปลาคงรูปไม่เละ ไม่มีกลิ่นคาว ควรบีบมะนาวลงไปสักนิดหน่อย - ใช้มะนาว 2-3 ผล แทรกไว้ในข้าวสาร จะช่วยป้องกันมอดได้ - เปลือกมะนาวใช้เช็ดภาชนะ ทองเหลือง ทองแดง เครื่องเงิน เครื่องนาค เครื่องเงินจะใหม่ เงางามสุกใสขึ้น

          - ฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ 2-3 ลูกใส่ในน้ำเย็น 1 ป๋อง ประมาณ 10 ลิตร เติมการบูร 2 แท่ง ตั้งทิ้งไว้ในห้องที่ทาสีใหม่ๆ ปิดประตู หน้าต่างให้หมด น้ำมะนาวและการบูรจะช่วยดูดกลิ่นสีได้อย่างดี - ผ้าที่เปื้อนน้ำหมาก เปื้อนหมึก ใช้น้ำตาลทรายเล็กน้อย โรยตรงรอยเปื้อนหยดน้ำลงไปพอชุ่ม แล้วถูด้วยมะนาวจะลบรอยเปื้อนได้ - เตารีดร้อนจัดรีดผ้าขาวจะทำให้ผ้าเหลือง ให้เอาน้ำมะนาวทาที่เตารีด ก่อนรีดผ้าจะแก้ได้ - ต้มผ้าให้สะอาด ฝานมะนาว 2-3 ชิ้น ใส่ด้วย ช่วยให้ผ้าสะอาด - ใช้มะนาว เกลือป่น ถูบริเวณที่เสื้อขาวเปื้อนเลือด ซักด้วยน้ำเย็นจะออกหมด - เครื่องใช้ที่เป็นหนังทิ้งไว้นานหลายปีทำให้แข็งกระด้าง เอาน้ำมะนาวขัดถู ทำให้หนังนิ่มแล้วใช้ยาขัดอีกที จะทำให้ดูใหม่ขึ้น

ที่มา -http://learners.in.th/blog/kugkikkaticat/26091-

---------------------------------------------------------------------------------------

ทำยังไง ให้พริกขี้หนูที่ทุบไว้ไม่เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ

-http://guru.sanook.com/27221/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%87-%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B3/-

คาดว่าแม่บ้านหลายๆท่านคงเคยเจอกับปัญหา เวลาทำกับข้าว ต้องเตรียมส่วนผสมต่างๆให้ครบก่อนจึงจะเริ่มลงมือปรุง เจ้าพริกขี้หนูเจ้ากรรมทุบหรือหั่นทิ้งไว้ประเดี๋ยวเดียวหันกลับมา ว้า สีดำคล้ำเสียแล้ว ไม่น่าทานเลย ป้องกันได้ง่ายๆเพียงแค่คุณ...บีบน้ำมะนาวลงบนพริก ใช้ช้อน คนเล็กน้อยให้พอเนื้อพริกโดนน้ำมะนาว เท่านี้พริกขี้หนูก็จะยังคงสีสดใส น่ารับประทานเวลาคุณนำไปปรุง

แหล่งที่มา :the-than.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #391 เมื่อ: มกราคม 22, 2015, 09:45:00 pm »
สารพัดประโยชน์กับ “ผักเหลียง” ราชินีแห่งผักพื้นบ้าน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9580000007846-




ใบเหลียงผัดไข่
        เมื่อได้ไปเยือนทางใต้ทีไร ผักพื้นบ้านที่เรามักได้ลิ้มลองกันอยู่บ่อยๆ ก็คือ “ผักเหลียง” หรือ “ผักเหมียง” ที่นำมาทำเป็นเมนูเด็ดได้หลากหลายเมนูไม่ว่าจะเป็น ใบเหลียงผัดไข่ ใบเหลียงต้มกะปิ ใบเหลียงผัดน้ำมันหอย แกงเลียงผักเหลียงใส่กุ้ง ลวกกินกับน้ำพริกกะปิ หรือจะนำมารองห่อหมกก็อร่อยไม่แพ้ผักชนิดไหน
       
       ผักเหลียง นอกจากจะนำมาทำอาหารอร่อยๆ ได้หลากหลายเมนูแล้ว ผักเหลียงยังเป็นผักที่มีคุณประโยชน์มากมาย จนได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ราชินีแห่งผักพื้นบ้าน” เลยทีเดียว
       
       สำหรับรสชาติของผักเหลียงนั้นจะออกหวาน มัน เคี้ยวหนึบหนับมัน ไม่มีรสขม หรือเหม็นเขียวเหมือนผักใบเขียวชนิดอื่น ทำให้คนไม่ชอบกินผักใบเขียวนั้นติดใจกันมานักต่อนัก ซึ่งใบเหลียงนั้นเรียกได้ว่าเป็นผักที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน โดยผักเหลียงจะให้เบต้าแคโรทีนมากกว่าผักบุ้งจีนสามเท่า มากกว่าผักบุ้งไทย 5 - 10 เท่า
       
       ไม่เพียงเท่านั้นผักเหลียง ยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นผักเหลียงยังมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟันได้อีกด้วย
       
       ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม “ผักเหลียง” ถึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ราชินีแห่งผักพื้นบ้าน” คุณประโยชน์มากมายขนาดนี้ หากใครยังไม่เคยลิ้มลองรสของผักเหลียง คงต้องไปหามากินเสียแล้ว!


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #392 เมื่อ: มกราคม 23, 2015, 05:49:57 am »
"น้ำมันมะกอก" แก้นอนกรน
คอลัมน์ เครื่องแนม

-http://campus.sanook.com/1376101/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%81-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%991/-





นอนกรน เป็นเรื่องธรรมชาติ!

แต่บ่อยครั้ง...ธรรมชาติก็เป็นเรื่องที่โหดร้าย

ฟี้เล็กๆ ยังพอรับได้ แต่ถ้ามาเป็นหวูดรถไฟ น่าคิดว่าจะทนไปได้นานสักแค่ไหน

จริงๆ แล้วมีกลวิธีง่ายๆ ในการขจัดเสียงกรน โดยไม่ต้องใช้หมอน

ก่อนอื่นต้องเข้าใจที่มาของการกรนเสียก่อน

โดยปกติ เวลาคนเรานอนหลับ กล้ามเนื้อที่ลิ้นและที่โคนลิ้นจะคลายตัวลงไปด้วย ทำให้ลิ้นตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจ แต่ไม่ได้ปิดสนิท ทำให้อากาศที่เราหายใจผ่านจมูก และผ่านลงไปยังโพรงจมูกด้านหลัง ผ่านไปไม่สะดวกนัก เกิดคล้ายการกระพือบริเวณที่โคนลิ้น เป็นที่มาของเสียงกรน

แต่วันไหนที่ทำงานมาเหนื่อยๆ แล้วนอนหลับสนิทมากๆ "ลิ้น" ที่ว่าจะตกลงไปมาก ทำให้ยิ่งกรนหนักขึ้น ยิ่งเป็นคนอ้วน เสียงยิ่งดังสนั่น

วิธีแก้แบบปัจจุบันทันด่วน...เพียงแค่ให้เจ้าตัวนอนในท่าตะแคง หรือเกือบๆ คว่ำ ช่วยลดเสียงกรนลงได้

ส่วนวิธีแก้แบบระยะยาว "น้ำมันมะกอก" ช่วยได้ โดยใช้น้ำมันมะกอกชนิดสำหรับทำอาหาร (จะให้ดีควรเลือกแบบ Extra virgin olive oil) กิน 4-5 หยดก่อนนอน ที่สำคัญควรทำควบคู่กับการคุมน้ำหนักตัว

เท่านี้โลกก็กลับมาสงบอีกครั้ง...อาเมน
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #393 เมื่อ: มกราคม 29, 2015, 09:52:27 pm »
ผลไม้ไทย 30 ชนิด มีฤทธิ์ทำลายตัวก่อโรคมะเร็ง

-http://guru.sanook.com/26965/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-30-%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87/-


กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ขณะนี้คนไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับสารอนุมูล อิสระ เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด

        ทั้งนี้ สารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยวิตามินซี ซึ่งละลายน้ำได้ ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ส่วนวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ และวิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันที่อยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์ ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก และมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพด้านอื่นๆ ได้แก่ ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการเสื่อมของตา เนื่องจากสูงอายุ และต้อกระจก รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิดและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ อย่างดี

         ทั้งนี้กรมอนามัยได้ศึกษาแหล่งอาหารไทยที่มีสารต้านอนุมูลอิสระทั้ง 3 ชนิด พบว่า

ผลไม้ที่พบสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ

   มะม่วงน้ำดอกไม้สุกมี 873 ไมโครกรัม
   มะเขือเทศราชินีมี 639 ไมโครกรัม 
   มะละกอสุก 532 ไมโครกรัม
   แคนตาลูป 217 ไมโครกรัม
   มะปรางหวาน 230 ไมโครกรัม
   มะยงชิด 207 ไมโครกรัม
   สับปะรดภูเก็ต 150 ไมโครกรัม
   แตงโม 122 ไมโครกรัม
   ส้มสายน้ำผึ้ง 101 ไมโครกรัม 
   ลูกพลับ 93 ไมโครกรัม

ผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด 10 อันดับแรก คือ

   ขนุนหนัง 2.38 มิลลิกรัม
   มะขามเทศ 2.29 มิลลิกรัม
   มะม่วงเขียวเสวยดิบ 1.52 มิลลิกรัม
   มะเขือเทศราชินี 1.34 มิลลิกรัม
   มะม่วงเขียวเสวยสุก 1.23 มิลลิกรัม
   มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 1.1 มิลลิกรัม
   มะม่วงยายกล่ำสุก 0.97 มิลลิกรัม
   กล้วยไข่ 0.47 มิลลิกรัม
   แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 0.59 มิลลิกรัม
   สตรอเบอรี่ 0.54 มิลลิกรัม

ส่วนผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ

   ฝรั่งกลมสาลี่ 187 มิลลิกรัม
   ฝรั่งไร้เมล็ด 151 มิลลิกรัม
   มะขามป้อม 111 มิลลิกรัม
   มะขามเทศ 97 มิลลิกรัม
   เงาะโรงเรียน 76 มิลลิกรัม
   ลูกพลับ 73 มิลลิกรัม
   สตรอเบอรี่ 66 มิลลิกรัม
   มะละกอแขกดำสุก 55 มิลลิกรัม
   พุทธาแอปเปิล 47 มิลลิกรัม   
   ส้มโอขาวแตงกวา 48 มิลลิกรัม

ข้อมูลจาก : -http://apilosonmd.igetweb.com/-

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #394 เมื่อ: มกราคม 31, 2015, 08:11:15 pm »
เมล็ดเจีย ธัญพืชมากประโยชน์ ขุมทรัพย์แห่งสุขภาพ

-http://health.kapook.com/view110535.html-






เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
 
          เมล็ดเจีย หรือ เมล็ดเชีย ธัญพืชตัวจิ๋วแต่มากด้วยประโยชน์ ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวช่วยลดน้ำหนัก แต่รู้ไหมว่า เมล็ดเจียไม่ได้มีดีแค่ช่วยลดน้ำหนักนะ ยังป้องกันโรคและบำรุงสุขภาพของเราได้อีกด้วย

          เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักเมล็ดเจีย (Chia Seed) กันมาบ้างแล้ว จากสรรพคุณหลายข้อของเมล็ดเจียที่ดีต่อสุขภาพทั้งช่วยป้องกันโรคและดูแลสุขภาพของเราให้แข็งแรง โดยเฉพาะเรื่องการลดน้ำหนัก แต่อาจยังไม่รู้กันว่าเมล็ดเจียตัวจิ๋วที่เราชอบทานนั้นมีประโยชน์แอบซ่อนอยู่อีกมาก เรียกว่าประโยชน์คับเมล็ดเลยก็ว่าได้ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขออาสาพาทุกคนมาทำความรู้จักเจ้าเมล็ดเจียตัวจิ๋วนี้กันให้มากขึ้นว่าทำไมเมล็ดเจียจึงเป็นธัญพืชมากประโยชน์ที่เราควรกินให้ได้ทุกวัน

เมล็ดเจีย คืออะไร มาจากไหนกันนะ
               
          จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่า เมล็ดเจียเป็นพืชที่มีอายุมานานกว่า 3,500 ปีก่อนคริสตกาลตั้งแต่สมัยอาณาจักรแอซแท็ก และอาณาจักรมายันในทวีปอเมริกา  มีความหมายว่า ความแข็งแรง เพราะชาวแอซเท็กและชาวมายันนิยมนำมาบริโภคเป็นอาหารหลักเหมือนกับธัญพืชทั่วไป เช่น ข้าวโพด และถั่ว โดยพวกเขาจะนำเอาเมล็ดเจียมาบดรวมกับแป้ง คั้นเป็นน้ำมันออกมาเพื่อใช้ดื่ม หรือไว้ปรุงอาหาร ด้วยความเชื่อที่ว่า เมล็ดเจียมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรงนั่นเอง
               
          ต่อมาในยุคล่าอาณานิคมของสเปน ฝั่งอเมริกาใต้ตกเป็นเมืองขึ้นของสเปน ทำให้เมล็ดเจียกลายเป็นอาหารต้องห้าม โดยผู้นำสเปนในยุคนั้นประกาศว่า ห้ามเพาะพันธุ์เมล็ดเจียอีกต่อไปทำให้เมล็ดเจียค่อย ๆ สูญพันธุ์ไปเรื่อย ๆ กระทั่งเข้าสู่ยุคของอเมริกาสมัยใหม่ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบพันธุ์พืชเมล็ดเจียอีกครั้ง จึงเกิดการค้นคว้าวิจัยถึงประโยชน์ของพืชพันธุ์ชนิดนี้ และเริ่มมีการขยายสายพันธุ์กระทั่งกลายมาเป็นสายพันธุ์เมล็ดเจียที่เราใช้บริโภคกันจนทุกวันนี้
 
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของเมล็ดเจีย

          เมล็ดเจียเป็นพืชในกลุ่มเครื่องเทศตระกูลเดียวกับกะเพรา หรือ มินต์ มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ชื่อว่า Salvia Hispanica L.ลักษณะลำต้นสูงประมาณ 4-6 ฟุต เป็นพืชให้เมล็ดเล็ก ๆ มีสองสีคือดำและขาว เปลือกนอกเมล็ดพองตัวได้เหมือนเม็ดแมงลัก พืชชนิดนี้จะเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น และเป็นพืชเศรษฐกิจที่นิยมปลูกกันมากในทวีปอเมริกา ได้แก่ ประเทศเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา โบลิเวีย เอกวาดอร์ และกัวเตมาลา นอกจากนี้ก็ยังปลูกได้ในประเทศออสเตรเลีย ส่วนในประเทศไทยมีการเพาะพันธุ์เมล็ดเจียในหลายจังหวัด ส่วนใหญ่คือ ลำปาง กาญจนบุรี ฯลฯ

เมล็ดเจีย
 
เมล็ดเจีย เม็ดแมงลัก ต่างกันอย่างไร

          หลายคนเข้าใจคิดว่าเมล็ดเจียคือเม็ดแมงลัก ความจริงแล้วเป็นธัญพืชคนละชนิดกันเลยค่ะ แม้ว่าทั้งเมล็ดเจียและเม็ดแมงลักจะนำไปแช่น้ำแล้วจะมีลักษณะคล้ายกันก็ตาม แต่ก็มีความต่างที่เราสามารถสังเกตเห็นได้ค่ะ นั่นคือ ก่อนนำไปแช่น้ำ เมล็ดเจียจะมีลักษณะรี มีสีน้ำตาลเทา มีลวดลายเล็กน้อย ส่วนแมงลักจะมีลักษณะรี มีสีดำเข้ม แต่ถ้าหากนำไปแช่น้ำแล้วจะพบว่าเมล็ดเจียจะเกิดการพองตัวลักษณะเม็ดใส แต่เม็ดแมงลักจะพองตัวลักษณะเม็ดมีเมือกสีขาวขุ่น
 
เมล็ดเจียกับคุณค่าทางโภชนาการที่ไม่ธรรมดา

          จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture) เผยว่า เมล็ดเจียเป็นธัญพืชที่มีคุณสมบัติเป็นทั้ง Super Fruit และ Super Seed อัดแน่นไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ ไฟเบอร์ กรดไขมันดีชนิดโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 แคลเซียม สารต้านอนุมูลอิสระ และโปรตีน ซึ่งเมื่อนำเมล็ดเจียเต็มเมล็ด หรือนำไปบด แล้วนำไปแช่กับของเหลว เช่น น้ำ น้ำผลไม้ หรือ นม เมล็ดเจียจะสามารถพองตัวขึ้นมาได้อีก 12 เท่า ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับอาหารได้ เช่น การเพิ่มเมล็ดเจียในน้ำผลไม้ที่มีสารเรสเวอราทรอล เช่น น้ำทับทิม หรือ น้ำผลไม้ตระกูลเบอร์รี จะช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระในเครื่องดื่มนั้น ๆ ได้
 
เมล็ดเจียเพียง  1 ออนซ์ (28 กรัม) ให้พลังงานเพียง 137 แคลอรี อุดมด้วยสารอาหารเน้น ๆ ดังต่อไปนี้
 
          พลังงาน 382 กิโลแคลอรี
          น้ำ 6.61 กรัม
          โปรตีน 40.32 กรัม
          ไขมัน 11.89 กรัม
          คาร์โบไฮเดรต 35.14 กรัม
          ไฟเบอร์ 34.4 กรัม
          แคลเซียม 150 กรัม
          ธาตุเหล็ก 14.30 กรัม
          แมกนีเซียม 362 กรัม
          ฟอสฟอรัส 810 กรัม
          โพแทสเซียม 425 กรัม
          โซเดียม 41 กรัม
          ซิงก์ 10.70 กรัม
          วิตามินเอ 3  ไมโครกรัม
          วิตามินบี 1 2.5  มิลลิกรัม
          วิตามินบี 2 0.270  มิลลิกรัม
          วิตามินบี 3 12.6  มิลลิกรัม
          วิตามินบี 6 0.152  มิลลิกรัม
          โฟเลต 29  ไมโครกรัม
          กรดไขมันอิ่มตัว 1.634 กรัม
          กรดไขมันไม่อิ่มตัว 4.405 กรัม
          กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 5.113 กรัม   
       
เมล็ดเจีย

เมล็ดเจีย สรรพคุณทางยาสุดเวิร์กที่ต้องบอกต่อ

          เมล็ดเจียเม็ดเล็ก ๆ มีสรรพคุณทางยาที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าที่เราคิดไว้ซะอีกค่ะ เรามาดูกันว่าถ้าเรากินเมล็ดเจียเป็นประจำทุกวันแล้ว สุขภาพของเราจะดีขึ้นในด้านไหนบ้างนะ

หัวใจแข็งแรง

          เมล็ดเจียอุดมด้วยกรดไขมันดีโอเมก้า-3 และ โอเมก้า-6 ช่วยปรับสมดุลระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกาย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด เกิดการไหลเวียนเลือดดีเข้าสู่หัวใจ จึงเป็นผลให้หัวใจของเราแข็งแรงขึ้น

ห่างไกลโรคเบาหวานประเภท 2

          เมล็ดเจียเป็นธัญพืชที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ แต่อุดมด้วยไฟเบอร์สูงที่ช่วยรักษาสมดุลของน้ำตาลในเลือด จึงมีคุณสมบัติช่วยต้านโรคเบาหวานประเภท 2 ได้

บาดแผลหายเร็ว ไม่ติดเชื้อง่าย

          เมล็ดเจียมีกรดไขมันโอเมก้าทรีที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) มีฤทธิ์แก้อักเสบ จึงช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ป้องกันการติดเชื้อของบาดแผล ช่วยให้บาดแผลหายเร็ว ไม่เรื้อรัง

ร่างกายมีระบบเผาผลาญพลังงานดีขึ้น

          เมล็ดเจียมีไฟเบอร์ โปรตีน และกรดไขมันโอเมก้าทรีสูง จึงช่วยปรับสมดุลระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้

บำรุงความจำ

          เมล็ดเจียมีกรดไขมันโอเมก้าทรีสูงกว่าปลาแซลมอนถึง 9 เท่า ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมองให้ทำงานเป็นปกติ เราจึงมีกระบวนการเรียนรู้และจดจำดีขึ้น มีสมาธิจดจ่อมากขึ้น

ห่างไกลโรคกระดูกพรุน
           
          เมล็ดเจียอุดมด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อกระบวนการเสริมสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโปรตีน จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และภาวะกระดูกบางได้

ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ
           
          เมล็ดเจียอุดมด้วยไฟเบอร์อยู่ประมาณ 34.4 กรัม ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณไฟเบอร์ที่เพียงพอสำหรับร่างกายในแต่ละวัน ที่จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ
 
ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

          เมล็ดเจียอุดมด้วยโปรตีน และแร่ธาตุฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงเซลล์เนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายเรา เพื่อดูดซึมไปใช้กระบวนการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

เมล็ดเจีย
 
เมล็ดเจีย กับประโยชน์สุขภาพเน้น ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

          นอกจากเมล็ดเจียจะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายของเราสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ยังมีข้อดีที่เราคาดไม่ถึงอีกด้วย มาดูกันว่าถ้าเราบริโภคเมล็ดเจียเป็นประจำทุกวัน เราจะได้ประโยชน์อะไรจากเมล็ดเจียบ้าง

อารมณ์ดี
           
          กรดอะมิโนทริปโตเฟนในเมล็ดเจียเป็นกรดอะมิโนชนิดเดียวกับที่พบในนม ช่วยคุมความอยากอาหาร เพิ่มประสิทธิภาพในการนอนหลับ และช่วยปรับปรุงอารมณ์ให้เป็นปกติ

อิ่มแบบพุงไม่ป่อง

          เมล็ดเจียมีไฟเบอร์สูง อุดมด้วยไขมันดี อีกทั้งยังกินแล้วย่อยง่ายด้วย ดังนั้น เราจึงหายห่วงเรื่องกินอิ่มแล้วมีพุงป่องยื่นออกมา

ท้องไม่ผูก

          เมล็ดเจียอุดมด้วยไฟเบอร์ชนิดไซเลียม หรือเส้นใยกลุ่มล้างสารพิษ ช่วยดูดซึมสารพิษตกค้างในลำไส้ ให้ระบายออกมาในรูปของเสีย และยังช่วยให้เราท้องไม่ผูกอีกด้วย

เป็นแหล่งพลังงานในยามเร่งด่วน

          เมล็ดเจียมีสารอาหารประเภทโปรตีนอยู่ร้อยละ 20 ซึ่งมากกว่าโปรตีนที่พบในธัญพืช หรือเมล็ดข้าวชนิดต่าง ๆ ซะอีก จึงช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้ดีในยามที่เราต้องเคลื่อนไหวทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มนักกีฬา ที่ต้องการอาหารบำรุงร่างกายให้สามารถมีแรง เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างคล่องตัว

ไม่อ้วน

          เมล็ดเจียกินแล้วอิ่มสบายท้อง อีกทั้งยังมีแคลอรีต่ำ ย่อยง่าย ร่างกายไม่สะสมเป็นไขมัน เราจึงไม่มีไขมันส่วนเกินสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย

ดูอ่อนวัยลง

          เมล็ดเจียมีสารต้านอนุมูลอิสระ แร่ธาตุและวิตามินมากกว่าในผลไม้ตระกูลเบอร์รีซะอีก  ช่วยบำรุงความงามให้ดูอ่อนวัยลงในด้านต่าง ๆ เช่น เส้นผมนุ่มสลวย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เล็บแข็งแรง ไม่เปราะหักง่าย และยังช่วยลดปัญหาสิวอีกด้วย

ไม่ขาดสารอาหาร

          ใครที่อยากลดน้ำหนักแต่ไม่อยากขาดสารอาหาร เมล็ดเจียน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะอุดมด้วยคุณค่าทางสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในแต่ละวันอย่างครบถ้วน ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไฟเบอร์ วิตามินเอ วิตามินบีรวม แคลเซียม ธาตุเหล็ก ซิงก์ ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม แมงกานีส และกรดไขมันโอเมก้าทรี
 
เมล็ดเจีย กับเมนูสุขภาพที่หลากหลาย

          เมล็ดเจียสามารถนำไปทำเป็นเมนูสุขภาพได้อย่างหลากหลายเชียวค่ะ รับรองว่าคนชอบกินต้องถูกใจแน่นอน มาดูกันดีกว่าเมล็ดเจียเม็ดจิ๋วนี้นำไปเมนูได้หลากหลายแค่ไหนกันนะ

          อาหารคาว ได้แก่ สลัดผัก พาสต้า สปาเกตตี้ พิซซ่า และก๋วยเตี๋ยว หรือแม้แต่เป็นผักเครื่องเคียงในเมนูทุกชนิด

          อาหารหวาน ได้แก่  ผสมเป็นสเปรด (Spread) กับเนยเอาไว้ทาขนมปัง นำไปโรยใส่ไอศกรีม กินกับโยเกิร์ต เพิ่มในซีเรียล ทำเมนูสมูธตี้และมิลค์เชค

          เครื่องดื่ม ได้แก่ ใส่ในน้ำผลไม้คั้นสด หรือทำเบเกอรีชนิดต่าง ๆ พุดดิ้ง เมนูชา กาแฟ
 
เมล็ดเจีย ปริมาณการกินที่ต่อสุขภาพ

          เมล็ดเจียเป็นอาหารที่เราสามารถกินได้ทุกวัยเลยนะคะ ลองมาดูกันว่า ปริมาณการบริโภคเมล็ดเจียที่เหมาะสมและดีต่อสุขภาพนั้นควรเป็นอย่างไร

          เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ควรบริโภคประมาณ 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน

          เด็กที่อายุตั้งแต่ 5-18 ปี ควรบริโภคประมาณ 1.4-4.3 กรัมต่อวัน

          วัยผู้ใหญ่ ควรบริโภคประมาณ 15 กรัม หรือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน

          ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรบริโภคแบบป่นประมาณ 33-41 กรัมทุก ๆ 3 เดือน

เมล็ดเจีย

เมล็ดเจีย ลดความอ้วนได้อย่างไร

          เมล็ดเจียเหมาะที่จะเป็นอาหารลดน้ำหนักอย่างดี เพราะนอกจากจะช่วยคุมความอยากอาหารได้แล้ว ยังทำให้เราอิ่มท้องนานแบบมีแคลอรีต่ำ ไม่สะสมเป็นไขมันในร่างกายได้ แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าเบื้องหลังนั้น เมล็ดเจียมีกลไก 3 อย่างเท่านั้นที่ทำให้เราลดความอ้วนได้สำเร็จ นั่นคือ

           ดูดซึมของเหลว เมล็ดเจียอุดมด้วยไฟเบอร์ที่ละลายในน้ำได้ ดังนั้นเมื่อเรานำเมล็ดเจียไปแช่ในของเหลวประเภทต่าง ๆ เช่น นม น้ำเปล่า หรือ น้ำผลไม้ เมล็ดก็จะทำการอุ้มน้ำเอาไว้ และเมื่อเราทานเข้าไป ไฟเบอร์ก็จะทำการขยายตัวในกระเพาะของเรา เราจึงรู้สึกอิ่ม

          ค่อย ๆ ถูกย่อย อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ไฟเบอร์นั้นย่อยง่าย แต่แทนที่จะถูกระบบย่อยอาหารของเราย่อยสลายหมดไปภายในพริบตาเดียว กลับกลายเป็นว่าระบบย่อยอาหารค่อย ๆ ย่อยไปทีละน้อย เราจึงรู้สึกอิ่มนาน ไม่นึกอยากกินอะไร

          คงคุณค่าสารอาหาร เมล็ดเจียถือเป็นตัวช่วยลดน้ำหนักที่ดีสำหรับคนชอบกินนะคะ เพราะการที่เราอยากกินจุบจิบก็มาจากการที่ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายไม่เพียงพอนั่นเอง
 
เมล็ดเจีย ซื้อที่ไหน ราคาแพงไหม

          เมล็ดเจียเป็นหนึ่งในธัญพืช จัดอยู่ในหมวดอาหารออร์แกนิค เราสามารถหาซื้อเมล็ดเจียได้ตามร้านขายอาหารชีวจิต ร้านขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ร้านขายสินค้าโอทอป หรือ แม้แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วไปในแผนธัญพืช ส่วนใหญ่วางขายในรูปของบรรจุหีบห่อ ทั้งแบบชนิดสด และสำเร็จรูป
 
          สำหรับราคาของเมล็ดเจียแบบบรรจุห่อนั้นมีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันค่ะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกรดของเมล็ดพันธุ์ที่อาจมาจากแหล่งผลิตในประเทศ หรือนำเข้าจากต่างประเทศ และถ้าใครสนใจอยากซื้อเป็นเมล็ดพันธุ์มาเพาะพันธุ์เอง ก็สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเมล็ดพันธุ์พืชทั่วไป ชมรมเกษตรประจำจังหวัด หรือมูลนิธิโครงการหลวงค่ะ โดยราคาของเมล็ดพันธุ์อยู่ที่ประมาณหลักสิบขึ้นไป หรืออาจไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพราะมีแจกฟรี
 
เมล็ดเจีย

8 ข้อยกเว้นน่ารู้ของเมล็ดเจีย

          แม้ว่าเมล็ดเจียจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับคนบางกลุ่ม ซึ่งก็มีข้อมูลที่เป็นคำเตือนจากหลายองค์กรสำคัญ ได้แก่ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA)  หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (EFSA) สมาคมโรคหัวใจอเมริกัน (AHA) ผลการวิจัยทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยโตรอนโต และบริษัทผู้ผลิตอาหารสุขภาพในสหรัฐฯ  เผยตรงกันว่า เมล็ดเจียอาจไม่ได้กินแล้วดีต่อสุขภาพสำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนที่ปัญหาเรื่องสุขภาพดังต่อไปนี้

          คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบกระเพาะอาหารและลำไส้ เช่น มีแก๊สในกระเพาะอาหาร แสบร้อนกลางอก รวมถึงกรดไหลย้อนนั้นหากกินเมล็ดเจียเข้าไปแล้ว จะทำให้อาการหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะเส้นใยไฟเบอร์ที่ขยายตัวในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 ที่จะยิ่งกระตุ้นให้ตับอ่อนเร่งสร้างน้ำย่อยออกมานั่นเอง

          เมล็ดเจียไม่เหมาะสำหรับคนเป็นโรคแพ้กลูเตน หรือ โรคแพ้โปรตีนในธัญพืช วิธีเช็กว่าตัวเองแพ้กลูเตนหรือไม่ ให้ลองกินมัสตาร์ด หรือเมล็ดมัสตาร์ด หากมีอาการแพ้ก็ควรหลีกเลี่ยงการกินเมล็ดเจีย

          คนที่ต้องเข้ารับการศัลยกรรม หรือ มีประวัติการใช้ยาแอสไพริน ไม่ควรกินเมล็ดเจีย เพราะจะยิ่งทำให้หลอดเลือดบางลง ซึ่งอาจมีผลต่อการเกิดภาวะฮีโมฟิเลีย (Haemophiliacs) หรือภาวะที่เลือดแข็งตัวช้า เลือดไหลไม่หยุด

          ผู้ชายไม่ควรบริโภคเมล็ดเจียมากเกินไป เพราะในเมล็ดเจียมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวแอลฟา ลิโนเลอิก (alpha-linoleic acid) ที่จะไปกระตุ้นให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเพิ่มมากขึ้น

          ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตต่ำ ไม่ควรบริโภคเมล็ดเจีย เพราะมีผลต่อแรงดันเลือดขณะที่หัวใจคลายตัวให้ต่ำลง (Diastolic blood pressure) อาจก่อให้เกิดอาการช็อก หรือหมดสติได้

          ไม่ควรบริโภคเมล็ดเจียติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปี เพราะร่างกายจะเกิดการเสพติด และเลิกยาก ทางที่ดีควรเว้นช่วงไปบ้าง

          ผู้หญิงตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรไม่ควรบริโภคเมล็ดเจีย เพราะมีผลต่อสารอาหารในน้ำนมให้เปลี่ยนไปจากเดิม

          การกินเมล็ดเจียร่วมกับอาหารเสริมวิตามินบี 17 ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จะทำให้ร่างกายสะสมสารไฟโตนิวเทรียนท์ในปริมาณมาก กลายเป็นสารพิษที่นำมาซึ่งโรคมะเร็งในที่สุด
             
          เห็นไหมคะว่า เมล็ดเจียเม็ดจิ๋วนี้มีประโยชน์แอบซ่อนอยู่ไว้เพียบเลย ดังนั้นใครที่กินเมล็ดเจียเป็นประจำอยู่แล้ว เราเชื่อว่าน่าจะรู้หลักในการบริโภคกันมากขึ้น หรือถ้าใครยังไม่เคยลองกินเลย ก็ขอให้รีบไปหาซื้อมาติดครัวเอาไว้นะคะ รับรองว่ากินแล้วสุขภาพร่างกายแข็งแรง ห่างไกลโรคภัยแน่นอนค่ะ




----------------------------------------------------------------------------------------------------------




รู้ไว้ “อาหารเสริม” ไม่ใช่ยา อาจได้รับอันตราย!!

-http://club.sanook.com/65575/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%89-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%8A/-


รู้ไว้ “อาหารเสริม” ไม่ใช่ยา อาจได้รับอันตราย!!

อย.เตือนผู้บริโภค อย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ย้ํา! ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไม่ใช่ยารักษาโรค ไม่ได้ช่วยเสริมเรื่องเพศ อย.ไม่เคยอนุญาตโฆษณา “อกฟูรูฟิต” ขอให้ผู้บริโภคพิจารณาให้ ถี่ถ้วนก่อนซื้อ นอกจากเสียเงินโดยไม่จําเป็นแล้ว อาจได้รับผลข้างเคียงอย่างคาดไม่ถึง

 

อาหารเสริม

 

ภก.ประพนธ์อางตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และในฐานะโฆษก อย. เปิดเผยว่า หลังเป็นข่าวบนโลกออนไลน์มีผู้นําอุทาหรณ์ที่เกิดขึ้นกับภรรยามาแชร์ถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร“อกฟูรูฟิต” ที่ได้รับผลข้างเคียงถึงข้ันต้องผ่าตัดก้อนเนื้อในมดลูก ซึ่งระบุว่ากินติดต่อกันมานานถึง 6 ปีเริ่มแรก 2- 6 เม็ดและเพิ่มปริมาณเป็น 10 เม็ดต่อวัน โดยผู้ขายสินค้าอธิบายว่ากินมากได้ผลเร็ว สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้บริโภคมักได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจากผู้ขายว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสามารถรับประทานในปริมาณมากได้ตามต้องการ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผิด เพราะการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดเข้มข้นในปริมาณมาก อาจทําให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ใช่ยารักษาโรค ไม่ได้ช่วยเสริมเรื่องทางเพศ ขอให้ผู้บริโภคใช้วิจารณญาณพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่สําคัญ อย่าได้หลงเชื่อสรรพคุณว่าสามารถป้องกันหรือรักษาโรค นอกจากเสียเงินโดยไม่จําเป็นแล้ว หากท่านมีโรคประจําตัว อาจได้รับผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกายโดยคาดไม่ถึงได้ที่ผ่านมา อย. ได้มีการตรวจจับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่กล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริงในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะลดน้ําหนัก เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ทําให้ผิวขาวใส ฟิต หุ่นเฟิร์ม หรือใช้บุคคลเป็นตัวแทนบอกเล่าสรรพคุณการใช้ ทั้งนี้ ส่วนใหญ่พบโฆษณาในลักษณะ ขายตรง , ทางเว็บไซต์ , ทางคอลเซ็นเตอร์ , ทางเคเบิลทีวี , ทางวิทยุ หรือตามหนังสือพิมพ์ นิตยสารต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่ง อย.ได้ตรวจสอบและดําเนินคดีต่อผู้กระทําผิดมาโดยตลอดเพราะผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างสรรพคุณเหล่านี้จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ขอขึ้นทะเบียนและขออนุญาตโฆษณาจาก อย.

 

รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวต่อไปว่า การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และหลากหลายก็เพียงพอ ไม่จําเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานโดยตรงนอกเหนือจากการรับประทานอาหารหลักเพื่อเสริมสารบางอย่างและมีจุดมุ่งหมายสําหรับบุคคลทั่วไปที่มีสุขภาพปกติไม่ใช่ผู้ป่วย และไม่ควรให้เด็กและสตรีมีครรภ์รับประทาน แต่หากจําเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ก่อนตัดสินใจซื้อ นอกจากต้องตรวจสอบข้อมูลโฆษณาให้แน่ชัดแล้ว ผู้บริโภคต้องตรวจสอบข้อความบนฉลาก ซึ่งต้องแสดงข้อความภาษาไทย ได้แก่ ชื่ออาหาร เลขสารบบอาหาร 13 หลัก ในกรอบเครื่องหมายอย. ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต/ผู้แบ่งบรรจุ หรือผู้นําเข้า (ในผลิตภัณฑ์นําเข้าต้องระบุประเทศผู้ผลิตด้วย) ส่วนประกอบสําคัญ วันเดือนปีที่ผลิต และวันเดือนปีที่หมดอายุ เป็นต้น

 

รองเลขาธิการฯ อย. ในตอนท้ายว่า หากผู้บริโภคพบเห็นการอวดอ้างสรรพคุณผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเกินจริงผ่านทางสื่อต่าง ๆ หรือโฆษณาหลอกลวงให้ผู้บริโภคหลงเชื่อโดยการขายตรง ขอให้แจ้งร้องเรียนมายังสายด่วน อย. 1556 หรือ e–mail : 1556@fda.moph.go.th หรือร้องเรียนผ่าน Oryor Smart Application หรือสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อทางราชการจะได้ตรวจสอบและดําเนินการตามกฎหมายต่อไป

 

ขอบคุณข้อมูล จาก สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข
ภาพประกอบ จาก istockphoto.com


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #395 เมื่อ: มกราคม 31, 2015, 08:40:40 pm »
"น้ำมันมะกอก" แก้นอนกรน

-http://campus.sanook.com/1376101/-



นอนกรน เป็นเรื่องธรรมชาติ!

แต่บ่อยครั้ง...ธรรมชาติก็เป็นเรื่องที่โหดร้าย

ฟี้เล็กๆ ยังพอรับได้ แต่ถ้ามาเป็นหวูดรถไฟ น่าคิดว่าจะทนไปได้นานสักแค่ไหน

จริงๆ แล้วมีกลวิธีง่ายๆ ในการขจัดเสียงกรน โดยไม่ต้องใช้หมอน

ก่อนอื่นต้องเข้าใจที่มาของการกรนเสียก่อน

โดยปกติ เวลาคนเรานอนหลับ กล้ามเนื้อที่ลิ้นและที่โคนลิ้นจะคลายตัวลงไปด้วย ทำให้ลิ้นตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจ แต่ไม่ได้ปิดสนิท ทำให้อากาศที่เราหายใจผ่านจมูก และผ่านลงไปยังโพรงจมูกด้านหลัง ผ่านไปไม่สะดวกนัก เกิดคล้ายการกระพือบริเวณที่โคนลิ้น เป็นที่มาของเสียงกรน

แต่วันไหนที่ทำงานมาเหนื่อยๆ แล้วนอนหลับสนิทมากๆ "ลิ้น" ที่ว่าจะตกลงไปมาก ทำให้ยิ่งกรนหนักขึ้น ยิ่งเป็นคนอ้วน เสียงยิ่งดังสนั่น

วิธีแก้แบบปัจจุบันทันด่วน...เพียงแค่ให้เจ้าตัวนอนในท่าตะแคง หรือเกือบๆ คว่ำ ช่วยลดเสียงกรนลงได้

ส่วนวิธีแก้แบบระยะยาว "น้ำมันมะกอก" ช่วยได้ โดยใช้น้ำมันมะกอกชนิดสำหรับทำอาหาร (จะให้ดีควรเลือกแบบ Extra virgin olive oil) กิน 4-5 หยดก่อนนอน ที่สำคัญควรทำควบคู่กับการคุมน้ำหนักตัว

เท่านี้โลกก็กลับมาสงบอีกครั้ง...อาเมน


--------------------------------------------------------------------



คัดข่าวดี  ภัยเงียบจากการนอนกรน นาทีที่ 0.20

-http://ch3.sanook.com/43343/%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%99-

อากาศที่หนาวเย็นในช่วงนี้ อาจทำให้หลายคนรู้สึกอยากนอนทั้งวัน แต่การนอนสำหรับใครบางคนอาจส่งเสียงรบกวนคนข้าง ๆ “การนอนกรน” ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบกับคนข้าง ๆ แล้ว ที่น่าห่วงก็คืออาการหยุดหายใจในขณะหลับนั่นเอง

คุณหมอจากโรงพยาบาลพระราม 9 กล่าวว่า หลัก ๆ แล้วการนอนกรน มี 2 แบบ คือ การนอนกรนธรรมดา ซึ่งทำให้เกิดเสียงรบกวนต่อคนรอบข้างเท่านั้น กับ การนอนกรนร่วมกับภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน หรือมีภาวะหยุดหายใจร่วมด้วย ถือว่าอันตรายและพบมากในวัยกลางคนอายุระหว่าง 30-60 ปี โดยพบในผู้ชายประมาณร้อยละ 4 และผู้หญิงร้อยละ 2 สัดส่วนของเด็กๆจะพบประมาณร้อยละ 1-2 ซึ่งสาเหตุที่พบในเด็กนั้นมักเกิดจากต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์โต และในกรณีเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้อากาศ ความผิดปกติทางโครงสร้างกะโหลกศรีษะและใบหน้า โรคอ้วนและพันธุกรรม

วิธีการสังเกตุว่าแบบไหนคือการนอนกรนธรรมดา และการนอนกรนแบบหยุดหายใจร่วมด้วย คุณหมอมีคำแนะนำแบบนี้ว่า หากเป็นการนอนกรนธรรมดาเสียงกรนจะสม่ำเสมอ นอนหลับได้ปกติ และหลังตื่นนอนจะรู้สึกสดชื่นเหมือนปกติ แต่หากเป็นการนอนกรนที่มีอันตรายนั้น เสียงกรนจะขาดหายเป็นช่วง มีลักษณะหยุดหายใจที่เกิน 5 ครั้งใน 1 ชั่วโมง มีอาการนอนหลับไม่สนิท หลังตื่นนอนจะรู้สึกไม่สดใสสดชื่น มีอาการง่วงนอนระหว่างวัน ทั้งนี้ในเด็กอาจพบว่ามีการปัสสาวะรดที่นอนร่วมด้วย

สาเหตุที่ทำให้การนอนกรนแล้วมีภาวะหยุดหายใจไปด้วย คุณหมออธิบายว่าในช่วงที่มีภาวะหยุดหายใจระดับออกซิเจนในเลือดแดง อาจจะต่ำกว่าปกติ ทำให้หัวใจ ปอด และสมองทำงานหนักมากขึ้น และอาจส่งผลต่อสุขภาพ เช่น โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด ภาวะตีบตันของหลอดเลือดในสมอง และความดันโลหิตสูงของหลอดเลือดในปอด สำหรับเด็กอาจส่งผลต่อพัฒนาการที่ไม่ดี จะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปด้วย

ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำเพื่อห่างไกลจากการนอนกรนที่เป็นอันตราย ก็คือ การดูแลตัวเองไม่ให้อ้วน ซึ่งค่า BMI ต้องไม่เกิน 23 ด้วยการ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่และยานอนหลับหรือยาที่กดประสาทส่วนกลาง และหากพบว่ามีลักษณะการนอนกรนเข้าข่ายเป็นอันตรายก็ควรจะรีบไปพบแพทย์เพื่อประเมินการรักษาและรักษาได้อย่างทันท่วงที


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #396 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2015, 09:23:48 pm »
8 ข้อควรรู้! กิน “ถั่ว” อย่างไรให้ได้ประโยชน์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9580000010630-


เมื่อพูดถึง “ถั่ว” เชื่อได้ว่าคงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ชื่นชอบของใครหลายคน เนื่องจากรสของถั่วนั้นมีความมัน ทำให้ยิ่งกินยิ่งเพลินจนหยุดไม่ได้
       
       พืชตระกูลถั่วนั้นเรียกได้ว่ามีหลากหลายชนิด และการกินถั่วไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ เพราะถั่วเป็นอาหารที่ค่อนข้างที่จะย่อยยาก และถ้ากินไม่ถูกต้องก็อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
       
       “นิตยสารหมอชาวบ้าน” ได้แนะนำการกินถั่วให้ถูกวิธีและให้ได้ประโยชน์มา 8 ข้อด้วยกันดังนี้
       
       1.สำหรับผู้ที่พึ่งหัดกินถั่วใหม่ๆ หรือปกติไม่ได้กินถั่วเป็นประจำนั้น ให้เริ่มกินแต่น้อยๆ เช่น สัปดาห์ละ 2 ครั้ง จากนั้นจึงค่อยเพิ่มความถี่ให้มากขึ้น เพื่อให้ระบบย่อยอาหารของร่างกายปรับตัว
       2.ควรแช่เมล็ดถั่วในน้ำเปล่า เป็นเวลา 12 - 24 ชั่วโมง ก่อนนำไปปรุงอาหาร จะช่วยให้แป้งหรือ oligo-saccharide บางส่วนที่ย่อยยากนั้นสามารถย่อยได้มากขึ้น
       3.เลือกชนิดของถั่วที่จะนำมากิน ทั้งนี้ถั่วแต่ละชนิดนั้นทำให้เกิดแก๊สไม่เท่ากัน เช่น ถั่วขาวและถั่วเหลืองจะมีแก๊สมาก ส่วนถั่วดำ ถั่วแดงและถั่วเขียวจะมีแก๊สน้อยกว่า นอกจากนี้ “ถั่วเมล็ดแห้ง” ก็จะทำให้เกิดแก๊สในท้องมากกว่าถั่วสำเร็จรูปที่บรรจุกระป๋อง
       4.เวลากินถั่วควรเคี้ยวให้ละเอียดมากที่สุด เพราะเอนไซม์ในน้ำลายนั้นจะทำหน้าที่ช่วยย่อยแป้งได้ดี
       
       5.เนื่องจากในถั่วมีสารประเภทกรดไฟติก หรือไฟเทต ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึมแร่ธาตุบางชนิด เช่น เหล็ก สังกะสี และแคลเซียม ดังนั้นจึงควรกินถั่วที่ปรุงสุกแล้ว ถั่วที่ผ่านการงอก หรือกระบวนการหมักมาแล้ว เพื่อลดปริมาณสารไฟเทต
       6.ปริมาณที่แนะนำในการกินถั่วคือ ครึ่งถ้วย หรือ 64 กรัม และใน 1 สัปดาห์ควรกินให้ได้ 3-4 ครั้ง/สัปดาห์
       7.การเลือกซื้อถั่ว ให้เลือกถั่วที่ผลิตใหม่ๆ เมล็ดสมบูรณ์ ไม่ลีบ ไม่ฝ่อ หรือการกัดแทะของแมลง โดยเฉพาะถั่วลิสงจะมีเชื้อรา “อะฟลาท็อกซิน” จะขึ้นได้ง่าย หากเมล็ดของถั่วมีการแตกหัก หรือมีความชื้นสูง ดังนั้นจึงไม่ควรซื้อถั่วเก็บไว้เป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิดเชื้อราหรือสร้างสารพิษอะฟลาท็อกซินได้
       8.สำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องอืด อาหารไม่ย่อย หรืออาการไม่พึงประสงค์หลังกินถั่วเมล็ดแห้ง ถ้าปฏิบัติตามข้อ 1, 2 และ 3 แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น อาจเลือกกินถั่วในรูปแบบที่ผ่านกระบวนการงอก หรือถั่วที่ผ่านกระบวนการหมักมาแล้ว จะทำให้อาการดีขึ้น
       
       และนี่ก็เป็น 8 ข้อควรรู้ในการกิน “ถั่ว” ให้ถูกวิธี ไม่ว่าอาหารชนิดใดหากกินในปริมาณที่มากเกินไป หรือกินไม่ถูกวิธีก็สามารถทำให้เกิดผลเสียกับร่างกายได้ ดังนั้นควรที่จะกินในปริมาณที่พอดีเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ รู้อย่างนี้แล้วต่อไปก็สามารถกินถั่วได้อย่างถูกต้องและได้ประโยชน์แล้วล่ะ!
       
       *หมายเหตุ ข้อมูลจาก นิตยสารหมอชาวบ้าน



(ภาพประกอบจาก www.goodfoodgoodlife.in.th)

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #397 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2015, 09:26:56 am »
สะเดา ผักพื้นบ้านมากสรรพคุณ

-http://health.mthai.com/howto/thai-medicine/10099.html-

สะเดา ไทยมี 2 ชนิดด้วยกัน  คือ  สะเดายอดเขียวและสะเดายอดแดง ซึ่ง สะเดา ยอดเขียวจะมีความขมน้อยกว่าหรือบางต้นอาจจะขมน้อยจนได้ชื่อว่า สะเดาหวานหรือ สะเดามัน  แต่สะเดายอดแดงจะมีความขมมากกว่า

ส่วนของ สะเดา ที่ชาวบ้านนิยมนำมาใช้ประโยชน์มากที่สุด คือ ยอดและดอก  ซึ่งกำลังออกมากในช่วงนี้  ใช้รับประทานเป็นผักช่วยให้เจริญอาหาร  ซึ่งมีคุณค่าทาง โภชนาการ ดังนี้ ยอด สะเดา 100 กรัมให้พลังงานต่อร่างกาย 76 กิโลแคลอรี  ประกอบด้วยน้ำ 77.9 กรัม  คาร์โบไฮเดรต 12.5  กรัม  โปรตีน 5.4 กรัม  ไขมัน 0.5 กรัม  มีกาก 2.2 กรัม  แคลเซี่ยม 354 มิลลิกรัม  ฟอสฟอรัส  26 มิลลิกรัม  เหล็ก 4.6  มิลลิกรัม  เบต้า-แคโรทีน 3611 ไมโครกรัม  วิตามินบีหนึ่ง 0.06 มิลลิกรัม  วิตามินบีสอง 0.07 มิลลิกรัม  วิตามินซี 194 มิลลิกรัม

Neem leaves and flowers

สรรพคุณของ สะเดา

    ดอก ยอดอ่อน  –  แก้พิษโลหิต กำเดา แก้ริดสีดวงในลำคอ คันดุจมีตัวไต่อยู่ บำรุงธาตุ ขับลม ใช้เป็นอาหารผักได้ดี
    ขนอ่อน – ถ่ายพยาธิ แก้ริดสีดวง แก้ปัสสาวะพิการ
    เปลือกต้น – แก้ไข้ เจริญอาหาร แก้ท้องเดิน บิดมูกเลือด
    ก้านใบ – แก้ไข้ ทำยารักษาไข้มาลาเรีย
    กระพี้ – แก้ถุงน้ำดีอักเสบ
    ยาง – ดับพิษร้อน
    แก่น – แก้อาเจียน ขับเสมหะ
    ราก – แก้โรคผิวหนัง แก้เสมหะ ซึ่งเกาะแน่นอยู่ในทรวงอก
    ใบ,ผล – ใช้เป็นยาฆ่าแมลง บำรุงธาตุ
    ผล มีสารรสขม – ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ และยาระบาย แก้โรคหัวใจเดินผิดปกติ
    เปลือกราก – เป็นยาฝาดสมาน แก้ไข้ ทำให้อาเจียน แก้โรคผิวหนัง
    น้ำมันจากเมล็ด – ใช้รักษาโรคผิวหนัง และยาฆ่าแมลง

วิธีและปริมาณที่ใช้

    เป็นยาขมเจริญอาหาร

ช่อดอกไม่จำกัด ลวกน้ำร้อน จิ้มน้ำปลาหวาน หรือน้ำพริก หรือใช้เปลือกสด ประมาณ 1 ฝ่ามือ ต้มน้ำ 2 ถ้วยแก้ว รับประทานครั้งละ 1/2 ถ้วยแก้ว

    ใช้เป็นยาฆ่าแมลง

สะเดา ให้สารสกัดชื่อ Azadirachin ใช้ฆ่าแมลงโดยสูตร สะเดาสด 4 กิโลกรัม ข่าแก่ 4 กิโลกรัม  ตะไคร้หอม 4 กิโลกรัม นำแต่ละอย่างมาบดหรือตำให้ละเอียด หมักกับน้ำ 20 ลิตร 1 คืน น้ำน้ำยาที่กรองได้มา 1 ลิตร ผสมน้ำ 200 ลิตร ใช้ฉีดฆ่าแมลงในสวนผลไม้ และสวนผักได้ดี โดยไม่มีพิษและอันตราย

ข้อควรระวัง

    ห้ามใช้กับคนที่มีความดันโลหิตต่ำ เนื่องจาก สะเดา จะไปลดความดันให้ต่ำลงมาอีก ทำให้หน้ามืดเป็นลม
    สะเดา มีรสขม จึงเป็นยาเย็น บางคนอาจไม่ถูกกับบาเย็นทำให้ท้องอืดเกิดลมในกระเพาะ
    ห้ามใช้กับหญิงที่ให้นมบุตร เพราะจะทำให้น้ำนมไม่มี

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.rspg.or.th
ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดนครราชสีมา
ไทยสมุนไพร.net

-------------------------------------


สะเดา

-http://www.vegetweb.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B2/-


สะเดา เป็นไม้โตเร็ว เจริญได้ดีในแถบร้อน ที่มีปริมาณน้ำฝน ตั้งแต่ 400-1,200 มม. เป็นพืชทน อากาศแห้งแล้งได้ดี สามารถขึ้นได้ในดิน ที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ แต่จะเจริญเติบโตเร็ว ในสภาพดินที่ไม่ชื้นแฉะ และปริมาณน้ำฝนไม่เกิน 800 มม.
การขยายพันธุ์สะเดา

ใช้วิธีเพาะเมล็ด ซึ่งสามารถทำได้จำนวนมาก เพราะปริมาณของ ผลสะเดามีมากในทุก ๆ ปี แต่ไม่สามารถเก็บเมล็ดไว้ได้นาน เพราะเมล็ดจะสูญเสียเปอร์เซ็นต์ความงอกงามได้เร็วมาก หลังจาก เก็บผล สุกมาและเอาเนื้อออกหมดแล้วล้างเมล็ดให้สะอาด นำไปเพาะทันที จะงอก ได้ดีมาก เมื่อสะเดาเจริญเติบโตจะติดผลเมื่ออายุ 5 ปีขึ้นไป และให้ผลผลิต เต็มที่เมื่ออายุ 10 ปีขึ้นไปปริมาณของผลสะเดาจะอยู่ระหว่าง 10-50 กก./ต้น/ ปี
ชนิดของสะเดา

สะเดา แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
1. สะเดาอินเดีย มีลักษณะขอบใบหยักเป็นฟีนเลื่อย ปลายของฟันเลื่อยแหลมโคนใบเบี้ยว ปลายใบแหลมเรียวแคบมากคล้ายเส้นขร ผลสุกในเดือน ก.ค.-ส.ค.
2. สะเดาไทย มีลักษณะของใบหยักเป็นฟันเลื่อย แต่ปลายของฟันเลื่อยทู่ โคนใบเบี้ยวแต่กว้างกว่า ปลายใบแหลม ผลสุกในเดือน เม.ย.- พ.ค.
3. สะเดาช้าง หรือต้นเทียม ไม้เทียม ขอบใบจะเรียบ หรือปัดขึ้นลงเล็กน้อย โคนใบเบี้ยว ปลายเป็นติ่งแหลม ขนาดใบและผลใหญ่กว่า 2 ชนิดแรก ผลสุกในเดือน พ.ค.- ส.ค.
** ต้นสะเดาอินเดีย และสะเดาไทย เป็นชนิด (species) เดียวกัน แต่ต่างพันธุ์ (variety) ส่วนสะเดาช้างหรือต้นเทียม ไม้เทียม จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับสะเดาไทย และสะเดาอินเดีย แต่คนละชนิด (species) สะเดาทั้ง 3 ชนิด นี้จะมีลักษณะ ใบและต้นแตกต่าง กันดังกล่าวมาแล้ว
ประโยชน์ของสะเดา

1. เนื้อไม้ เหมาะสำหรับนำไปก่อสร้างบ้านเรือน ทำเสา เข็ม และ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ รวมทั้งเป็นเชื้อเพลิงคุณภาพดี
2. เป็นอาหารและพืชสมุนไพร เช่น ในดอก และยอดอ่อน ใช้เป็นอาหาร และยาเจริญอาหาร ดอกแก้พิษเลือดกำเดา บำรุงธาตุ ผลแก้โรคหัวใจ ยางดับพิษร้อน เปลือกแก้ไข้มาลาเรีย และเป็นยาสมานแผล ผลอ่อนใช้ถ่ายพยาธิ เมล็ดใช้รักษาโรคเบาหวาน
3. เป็นสารป้องกันและกำจัดแมลง สะเดามีสารชนิดหนึ่งชื่อ กะซ้าหอยแรคติหน สามารถนำมาสกัด เป็นสารป้องกันกำจัดแมลงได้ พบมากที่สุดในส่วนของเมล็ด
4. ปลูกเพื่อเป็นแนวกันลมและให้ร่ม เนื่องจากมีใบหนาทึบ รากลึก ทนแล้ง ทนดินเค็ม และผลัดใบในเวลาสั้น
5. อื่นๆ เช่น น้ำมันจากเมล็ดสะเดาใช้ทำเชื้อเพลิงจุดตะเกียง เปลือกมีสารแทนนิน ใช้ในอุตสาหะกรรมฟอกหนัง กากสะเดาใช้เป็นปุ๋ย ผสมเป็นอาหารสัตว์ เป็นต้น
การปลูกสะเดา

- การเตรียมพื้นที่ ไถพรวนปรับพื้นที่ให้เรียบ เก็บเศษไม้และวัชพืช สุมเผาใน ช่วงฤดูร้อน แล้วปักหลักกำหนดระยะปลูก
- ระยะปลูก ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการปลูก เช่น ต้องการไม้ขนาดเล็ก ใช้ระยะปลุก 1×2 หรือ 2×2 เมตร ต้องการไม้ใหญ่ สำหรับใช้ในการก่อสร้างและ ทำเฟอร์นิเจอร์ ใช้ระยะปลูก 2×4 หรือ 4×4 เมตร ต้องการเมล็ดไปทำสารฆ่าแมลง ใช้ระยะปลูก 6×6 เมตร แต่เพื่อไม่ให้เสียพื้นที่ อาจปลูกระยะถี่ก่อน เมื่อเรือนยอด เบียดชิดกันจึงตัดสะเดาบางส่วนไปใช้ประโยชน์ ให้ต้นสะเดาที่เหลือ มีระยะห่างตาม วัตถุประสงค์การปลูกต่อไป
- หลุมปลูก ขนาดที่เหมาะสม คือ กว้างxยาวxลึก ประมาณ 25×25x25 ซม.
- วิธีปลูก หลังจากขุดหลุมปลูกแล้ว ตากดินประมาณ 1 สัปดาห์เพื่อฆ่าเชื้อโรค ในดิน แล้วจึงใส่ปุ่ยร็อคฟอสเฟส รองก้นหลุม อัตรา 150-200 กรัมต่อหลุม หรือครึ่งกระป๋องนม แล้วนำกล้าไม้ที่เตรียมไว้ ย้ายลงปลูก ขนาดกล้าไม้ที่ เหมาะสมควรสูง 8-12 นิ้ว อายุประมาณ 4-5 เดือน ฤดูปลูก ควรเป็นฤดูฝน โดยเลือกปลูกหลังจากวันที่ฝนตกหนัก ฉีกถุงพลาสติกใส่กล้าออก วางกล้าลงตรง กลางหลุม กลบดินและกดรอบๆ โคนต้นให้แน่น
การดูแลรักษา

1. การกำจัดวัชพืช ในปีแรกจำเป์นต้องเอาใจใส่กำจัดวัชพืชออกบ้าง เพื่อไม่ให้สูงคลุมเบียดบังแย่งแสง และอาหาร ต้นสะเดา
2. การใส่ปุ๋ย เมื่อกล้าไม้ที่ปลูกตั้งตัวแล้ว ควรเร่งการเจริญเติบโตด้วยการใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ประมาณ 1 ช้อน กาแฟ โดยการ พรวนดินรอบโคนต้น แล้วปุ๋ยตาม
3. การริดกิ่ง หากต้องการให้สะเดามีลำต้นตรงเปลา ใช้ประโยชน์ในการแปรรูปได้มากขึ้น ควรหมั่นริดกิ่งอยู่ สม่ำเสมอ
4. การป้องกันไฟ ควรทำแนวกันไฟกว้างประมาณ 6-8 เมตร รอบแปลงปลูก เพื่อป้องกันไฟไหม้ ในฤดูแล้ง
การเก็บเกี่ยวผลสะเดา

สะเดาจะเริ่มติดผลเมื่ออายุ 3-5 ปี ให้ทำการเก็บผลสะเดาสุกจากต้นหรือผลที่ ร่วงใหม่ๆ รีบนำมาแยกเนื้อหุ้มผลออกจากเมล็ด แล้วล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นนำ เมล็ดไปตากแดด 1-2 วัน แล้วนำไป ผึ่งลมในที่ร่มจนแห้งสนิท จึงค่อยบรรจุใส่ภาชนะ ที่มีอากาศถ่ายเท ได้ดี เช่นกระสอบป่าน ถุงตาข่ายไนล่อน เป็นต้น เก็บไว้ในที่แห้งเย็น ไม่อับชื้น เพื่อป้องกันเชื้อรา

-------------------------------------------------------------------------------------------------------



2 สูตรน้ำจิ้มลูกชิ้นปิ้ง รสแซ่บ เจอแบบนี้ซื้อลูกชิ้นมารอเลย

-http://cooking.kapook.com/view110862.html-
http://cooking.kapook.com/view110862.html

.


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #398 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2015, 05:16:27 am »
หัวหอมใหญ่ยาครอบจักรวาล

-http://guru.sanook.com/9502/%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5/-


ทราบหรือไม่ว่า...การทานหัวหอม ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงอาหาร แล้วจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคหัวใจ และไขมันอุดตัน ซึ่งในปัจจุบันการทานอาหารมีวิธีการทานที่จะต้องแข่งกับเวลาซะเป็นส่วนใหญ่ อาหารที่ได้รับในแต่ละวันจึงไม่ตรงกับความต้องการของร่างกายตัวเอง งั้นคุณลองหันมาทาน "หัวหอมใหญ่" ที่เป็นส่วนประกอบของอาหารต่างๆ ดีกว่าค่ะ

หอมหัวใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก มีสรรพคุณเป็นพืชสมุนไพร มีสารสำคัญคือ ฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ (Flavonoid glycosides) ซึ่งมีคุณสมบัติขัดขวางไขมัน ไม่ให้เกาะตามผนังเส้นเลือด ซึ่งถ้าเกาะมากๆ จะเกิดภาวะเส้นโลหิตอุดตันทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ นอกจากนี้ หอมหัวใหญ่ยังช่วย "ลดไขมันในเลือด" ได้อีก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นโรคอ้วน

น่าสนใจมากที่ปัจจุบัน นิยมนำหอมหัวใหญ่มาทำเป็นน้ำมันหอมระเหย หรือที่เราเรียกกันว่า การบำบัดแบบ "อโรมาเทอราปี" โดยหอมหัวใหญ่ที่สุกจะมีน้ำมันหอมที่ชื่อว่า "อัล ลิลิก ไดซัลไฟด์ (Allilic disulfides)" ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้ ถ้าสูดดมมากๆ จะช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะ บรรเทาอาการหวัด และลดเสมหะได้ หรือน้ำคั้นจากหอมหัวใหญ่ ก็จะช่วยลดอาการอักเสบบวม หรือลดความดันโลหิตและน้ำตาลในเส้นเลือด เนื่องจากหอมหัวใหญ่มีธาตุฟอสฟอรัสที่สูง จึงช่วยทำให้ความจำดีขึ้นอีก และยังสามารถนำหอมหัวใหญ่ไปใช้เป็นยาทาภายนอก ช่วยลดอาการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียใช้แก้พิษแมลงกัดอาการปวดบวมตามข้อหรือทาแก้สิวได้ด้วย

           หอมหัวใหญ่ คนไทยนำมาประกอบอาหารหลายชนิด เช่น ยำต่างๆ ข้าวผัด สลัด ไข่เจียว ซุปหรือสตูต่างๆ ซึ่งถ้ารับประทานกันแบบสดๆ จะมีรสชาติกรอบ เผ็ดร้อน แต่ถ้านำไปปรุงอาหาร หรือถูกความร้อนก็จะมีรสชาติหวาน เนื่องจากสารที่ชื่อ "อัลลิลโปรบิลซัลไฟต์" ระเหยไประหว่างที่ถูกความร้อนและได้สารที่มีรสหวานมาแทน ว่ากันว่า...ถ้ารับประทานหอมหัวใหญ่วันละครึ่งหัวทุกวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 2 เดือน จะช่วยลดอาการโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

แทบจะเรียกได้ว่าเป็นยาครอบจักรวาลเลยก็ว่าได้ เมื่อคุณทราบกันแล้วว่าหัวหอมดีอย่างไร อย่าลืมทุกครั้งที่ทำอาหาร ให้คุณลองเติมเมนูที่มีหอมหัวใหญ่ไปด้วย เพื่อสุขภาพของคนที่คุณรักนะคะ

ที่มาข้อมูล myhomeveg.com


ที่มารูปภาพ thaiza.com



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #399 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2015, 10:18:09 pm »
กระเฉด กรุบกรอบ กินดี แต่มีอันตรายจริงหรือ

-http://campus.sanook.com/1376577/-


ผักกรุบกรอบ ที่ขึ้นชื่อว่า มีกลิ่นติดปากมากพอพอสมควร บางคนก็ชอบกิน บางคนก็เลี่ยงที่จะกิน สังเกตุง่ายๆ เวลากินยำวุ้นเส้น ยำรวมมิตร จะมีคนที่ไม่ใส่ผักกระเฉด เพราะไม่ชอบที่ใบมันติดฟัน หรือไม่ก็กลิ่นค่อนข้างแรง แต่สำหรับคนที่ชอบ นี่สารพัดจะเลือกเมนูเพื่อให้ได้ลิ้มรส และความกรุบกรอบของผักกระเฉดนี้


กระเฉดถือเป็นผักน้ำชนิดหนึ่ง ลำต้นทอดเสมอผิวน้ำ ระหว่างข้อปล้องของผักกระเฉดจะมีกระเปาะ หรือที่เรียกว่านม ลักษณะคล้ายฟองน้ำหุ้มอยู่ทำให้ลอยน้ำได้ ผักชนิดนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งที่ไม่คุ้นหูสักเท่าไรว่า "ผักรู้นอน"


กระเฉดอุดมคุณค่า แร่ธาตุและวิตามิน

ผักกระเฉดนั้นนำมาทำอาหารได้หลายชนิด จะยำ จะแกงส้ม หรือแค่นำไปผัดไฟแดงก็อร่อยอย่าบอกใคร ซึ่งคุณประโยชน์ของผักกระเฉดนั้นก็มีมากมาย ถือเป็นผักที่สารพัดแร่ธาตุ และวิตามินที่ดีต่อร่างกายทั้งนั้น

ใบผักกระเฉด 100 กรัม จะประกอบด้วยแคลเซียมสูงถึง 387 มิลลิกรัม มีเบตาแคโรทีน 478 ไมโครกรัม มีธาตุเหล็ก 5.3 มิลลิกรัม มีวิตามินบี3, 3.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 34 มิลลิกรัม และเส้นใยอาหาร 3.8 กรัม ซึ่งสารอาหารทั้งหมดจะมีคุณค่าต่อร่างกาย โดย...

วิตามินซี - มีความสำคัญกับตา ช่วยในการมองเห็นโดยเฉพาะภาวะที่มีแสงน้อย นอกจากนั้นยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างเป็นปกติ และที่สำคัญยังในการเจริญโตและ ช่วยในระบบสืบพันธ์ ไม่อยากเป็นหมันก็ลองทานผักกระเฉดดู

แคลเซียม - เสริมสร้างกระดูกและฟัน ป้องกันภาวะกระดูกพรุน อีกทั้งยังทำให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปรกติ

ธาตุเหล็ก - มีความจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือด หากขาดธาตุเหล็ก อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้

เบตาแคโรทีน - ช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ สาเหตุของโรคมะเร็ง และช่วยต้านความเหี่ยวย่นของผิวพรรณ ไปจนกระทั่งถึงความเสื่อมของอวัยวะสำคัญภายใน

วิตามินบี3 - ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ Antioxidant ช่วยต่อทำลายพิษหรือ ท็อกซินจากมลพิษ ลดความอยากดื่มแอลกอฮอล์ และ ยาเสพติด รวมถึงช่วยลดการสร้างเมลานินที่ทำให้สีผิวเข้มขึ้น

เส้นใยอาหาร - ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ดึงดูดและรวมตัวกับน้ำทำให้เกิดของเหลวลักษณะเหมือนเจลระหว่างกระบวนการย่อย รวมถึงยังช่วยเพิ่มปริมาตรของอาหารโดยไม่เพิ่มแคลอรี่ ลดจำนวนของคอเลสเตอรอลและไขมัน LDL ทำให้ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย

สรรพคุณของผักกระเฉด


ไม่เพียงแต่ประโยชน์ด้านโภชนาการเท่านั้น ผักกระเฉดยังจัดเป็นสมุนไพรด้วย โดยตามตำราสมุนไพรไทยแล้ว ผักกระเฉดจะเป็นยาเย็น ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ถอนพิษเบื่อเมา ป้องกันโรคตับอักเสบ และก็ยังมีสูตรยาโบราณ ที่นำผักกระเฉด ตำผสมกับสุราแล้วหยอดบริเวณฝันที่ปวด ซึ่งเชื่อว่าสามารถบรรเทาอาการปวดฟันได้

กระเฉด กินดี แต่อาจมีอันตราย


แม้กระเฉดจะเป็นผักที่มีคุณค่า แต่ว่า ก็มีคำเตือนจากกระทรวงสาธารณสุขที่ให้ประชาชนระวังการบริโภคผักบุ้ง ผักกระเฉด

แต่อย่าพึ่งตระหนกตกใจ อันตรายที่ว่านี้ไม่ใช่อันตายของผัก แต่เป็นอันตรายจากว่าอาจจะได้รับอันตรายจากศัตรูตัวใหม่ที่เรียกว่า "ไข่ปลิง" ที่จะอยู่ในพืชน้ำเหล่านี้

ในการทานผักกระเฉดที่ไม่ผ่านการต้มเดือดถึง 500 องศาเซลเซียส อาจเสี่ยงที่จะรับทานไข่ปลิงเข้าไปได้ ทางที่ดีควรต้มให้เดือนมากๆ เป็นชั่วโมงเสียก่อนจึงจะปลอดภัย เพราะเจ้าไข่ปลิงตัวนี้สามารถทนความร้อนได้สูงมาก ใครที่จะทานก็ระมัดระวัง ในการปรุงอาหารก่อนรับประทาน จะได้ไม่เป็นอันตราย

พืชผัก และอาหาร มีประโยชน์ แต่ก็มีโทษมีอันตรายด้วยกันทั้งนั้น สิ่งสำคัญคือความสะอาด และการทานแต่พอดี ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป แล้วจะเกิดประโยชน์กับร่างกาย

ที่มา : http://www.emaginfo.com/?p=66193


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)