ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129493 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #300 เมื่อ: เมษายน 24, 2014, 10:06:34 pm »
“ของหมัก-ดอง” อร่อยปาก ลำบากกาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 เมษายน 2557 16:43 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000045752-



การนำวัตถุดิบสดๆ มาหมักหรือดอง ไม่ว่าจะเป็นพืชผักผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ต่างๆ ถือว่าเป็นการถนอมอาหารที่เป็นภูมิปัญญาของคนโบราณมาอย่างช้านานแล้ว แต่ก่อนนั้นมีการหมักดองก็เพื่อทำให้อาหารที่หามาได้นั้นสามารถเก็บไว้กินได้นานขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นการหมักดองกันเองในครัวเรือน
       
       แต่ในปัจจุบัน อาหารหมักดองกลายมาเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น มีคนต้องการกินมากขึ้น เพราะรสชาติที่อร่อยถูกปาก ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ดองตามรถเข็น หน่อไม้ดองที่นำมาปรุงเป็นอาหาร หรืออื่นๆ อีกมากมาย ทำให้บางครั้งมีพ่อค้าแม่ค้าหัวใสใส่สารเคมีที่เป็นอันตรายผสมเข้าไปเพื่อเพิ่มรสชาติ หรือทำให้หน้าตาดูน่ากิน หรือบางครั้งก็ใส่เพื่อยืดอายุอาหารให้อยู่นานมากขึ้นไปอีก
       
       ตัวอย่างสารเคมีหรือสารมีพิษต่างๆ ที่เคยมีการตรวจพบตามท้องตลาด อาทิ ในผลไม้ดอง-ผลไม้แช่อิ่ม พบ สารซัคคาริน หรือ ขัณฑสกร ในปริมาณมากเกินกว่าที่กำหนด โดยสารซัคคารินเป็นวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 300 เท่า ผู้ใช้ต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อน เพราะสารซัคคารินเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งหลายประเทศมีการออกประกาศห้ามใช้แล้ว
       
       ส่วนในหน่อไม้ปี๊บ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง ก็เคยตรวจพบสารกันเชื้อรา หรือสารกันบูด หากบริโภคเข้าไปมากจะไปทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้เป็นแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ ความดันโลหิตต่ำจนเกิดอาการช็อค บางรายอาจเกิดอาหารแพ้ เป็นผื่นขึ้นตามตัว อาเจียน หูอื้อ หรือมีไข้
       
       หรือในบางครั้ง หากเลือกกินผักผลไม้ดอง แม้จะไม่ได้ใส่สารพิษอื่นๆ ลงไป แต่อาจมีการตกค้างอยู่ของยาฆ่าแมลง เนื่องจากเกษตรกรบางคนใช้ในปริมาณมากเกินไป จึงเกิดการตกค้างมากกับผลไม้ก่อนนำมาดอง หากบริโภคยาฆ่าแมลงเข้าไปมากๆ ในคราวเดียว จะทำให้เกิดพิษแบบเฉียบพลัน เช่น ทำให้กล้ามเนื้อสั่ง กระสับกระส่าย ชักกระตุก และหมดสติ หายใจขัดจนถึงอาจหยุดหายใจได้ แต่พิษที่พบได้มากที่สุดก็คืออาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน และหากสะสมอยู่ในร่างกายมาๆ จะทำให้เกิดมะเร็งได้
       
       อาหารการกินในทุกวันนี้ที่ซื้อมาจากนอกบ้าน ควรสังเกตและเลือกซื้อจากร้านค้าที่เชื่อถือได้ หรือหากเป็นไปได้ การบริโภคอาหารสด หรืออาหารที่ปรุงเองใหม่ๆ ก็จะเป็นการปลอดภัยที่สุด


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #301 เมื่อ: เมษายน 24, 2014, 10:09:01 pm »
หนุ่มชัยภูมิกินขนมจีนบูด ท้องร่วงหนัก-สมองบวมเสียชีวิต


-http://health.kapook.com/view86993.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          หนุ่มชัยภูมิกินขนมจีนบูด อาเจียน ท้องร่วงหนัก เชื้อแบคทีเรียลุกลามทำสมองบวม สุดท้ายเสียชีวิต ด้าน สสจ. เตือน หากมีอาการท้องร่วง ให้รีบหาหมอทันที แนะระวังการทานอาหารหน้าร้อน เพราะบูดเน่าง่าย

          เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2557 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบชายชาวชัยภูมิเสียชีวิตจากการรับประทานขนมจีนบูด จึงได้สอบถามไปยัง นพ.สมควร หาญพัฒนชัยกูร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชัยภูมิ ทราบว่า เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา มีผู้นำตัว นายสุวิมล ธงภัก อายุ 49 ปี ชาวบ้านหัวสะพาน ต.นายางกลัก อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ มาส่งยังโรงพยาบาลเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ เนื่องจากมีอาการท้องเสีย อาเจียน  ปวดท้องอย่างรุนแรง แต่ผ่านไปสักพักอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ญาติพี่น้องจึงได้ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลชัยภูมิและเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา

          ทั้งนี้ จากการสอบสวนโรคทราบว่า ก่อนที่ นายสุวิมล จะมีอาการป่วยได้นั่งรับประทานขนมจีนที่ภรรยาซื้อมาให้จากตลาด จากนั้นก็รู้สึกปวดท้องและถ่ายท้องบ่อยครั้ง  จึงได้ทานยาแก้ท้องเสียเข้าไป จนกระทั่งกลางดึก นายสุวิมลมีอาการปวดท้องอย่างหนัก ญาติจึงได้นำตัวมาส่งโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ก็ให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียทันที แต่อาการกลับทรุดหนักลง จึงส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลชัยภูมิ เพราะมีอาการร่างกายไม่ตอบสนอง อีกทั้งยังมีสมองบวมไปทับแกนสมองแล้ว ซึ่งอาการเช่นนี้มีโอกาสฟื้นขึ้นมาเป็นปกติน้อยมาก หลังจากนั้น ร่างกายของผู้ป่วยก็ไม่ดูดซึมอาหารที่ให้ทางสายยาง และเชื้อแบคทีเรียยังได้ลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ จนกระทั่งเสียชีวิต

          นพ.สมควร ระบุด้วยว่า สำหรับต้นเหตุของเรื่องนี้คาดว่ามาจากการรับประทานขนมจีน เพราะช่วงนี้สภาพอากาศร้อนจัด ทำให้อาหารที่ซื้อมาบูดเน่าและเสื่อมคุณภาพเร็ว หากรับประทานเข้าไปจะมีอาการท้องร่วงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็จะทำการสอบสวนโรคเป็นการด่วน พร้อมกันนี้ ยังขอเตือนประชาชนในเบื้องต้น หากมีอาการท้องร่วงควรดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำในร่างกาย แล้วรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที




อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

-http://www.komchadluek.net/detail/20140424/183424.html-

-http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=532759-




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #302 เมื่อ: เมษายน 28, 2014, 09:54:15 pm »


5 เคล็ดลับสมุนไพรไทย คลายร้อน



-http://guru.sanook.com/27031/5-%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99/-




อากาศร้อนๆ เช่นนี้ หลายคนอาจกำลังหาวิธีผ่อนคลายความร้อนกันสารพัดรูปแบบ บ้างหลบร้อนด้วยการไปเที่ยวทะเล หรือ ทาแป้งเย็นหลังอาบน้ำก็ยิ่งดี
แต่ถ้ายังไม่มีวิธีที่ถูกใจ เรามี 5 สมุนไพรไทยคลายร้อน มาฝากกันค่ะ



1. ผักและผลไม้ไทยรสขมหรือเย็น ตามหลักของการแพทย์แผนไทยบอกไว้ว่า ฤดูร้อน ธาตุไฟจะมาก ถ้าเราจะดับร้อนด้วยอาหาร ก็ต้องรับประทานอาหารที่มีรสขมหรือรสเย็น ไม่ว่าจะเป็นพืชผักหรือผลไม้ก็ได้ นำมาปรุงเป็น อาหารหรือเครื่องดื่ม รสขมจะช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร และช่วยอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเพราะความร้อนได้ด้วย



2. ใครๆ ที่โปรดปรานน้ำพริกเป็นพิเศษ ก็อยากจะแนะนำว่า อย่าให้รสเผ็ดจัดมากนัก เพราะอาจร้อนยิ่งขึ้นได้ แต่หากชอบ น้ำพริกจริงๆ ก็ต้องรับประทานแกล้มกับผัก ไม่ว่าจะเป็นแตงกวา แตงโมอ่อน ตำลึง ยอดแคลวก ส่วนคนที่นิยมรับประทานใบบัวบกสดๆ ให้ นำมาคั้นเป็นเครื่องดื่มก็ยิ่งดี



3. ขนมจำพวกลอยแก้วต่างๆ เช่น กระท้อนลอยแก้ว ว่านหางจระเข้ลอยแก้ว นอกจากรสชาติอร่อยแบบไทยๆ แล้วยังชื่นใจ ช่วย คลายร้อนได้อย่างมาก สำหรับชาวชีวจิต เราแนะให้ใช้น้ำตาลทรายมาปรุง และระวังอย่าให้หวานมาก



4. ดับกระหายด้วยน้ำดื่ม อาจจะนำดอก มะลิหอมๆ มาลอยในน้ำดื่มก็ได้ หรือหยดด้วยน้ำยาอุทัยยิ่งดี เพราะนอกจากจะมีกลิ่น หอมชื่นใจ ในน้ำยาอุทัยที่ดื่มๆ กันนั้น ยังมีสมุนไพรไทยชื่อว่า ฝาง ที่มีสรรพคุณบำรุงโลหิต ทำให้เลือดเย็น แก้ท้องร่วง ธาตุพิการ แก้ กระหายน้ำได้ดี



นอกจากนี้ ยังมีชะเอมเทศ และอบเชยเทศ มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ขับลมเบื้องต่ำ แก้เสมหะเป็นพิเศษ แต่งกลิ่น แก้คันระคายคอ และมีเกสรทั้งห้าที่ช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ ชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ลมวิงเวียน ทำให้เจริญอาหาร

5. แก้ร้อนในด้วยฟ้าทะลายโจร หรือมะแว้ง ในส่วนของฟ้าทะลายโจรมีวิธีกินง่ายๆ โดยเอาใบมาล้างให้สะอาดใส่แก้วแล้วเทน้ำ ร้อนลงไปจิบน้ำอุ่น หรือรับประทานแบบแคปซูลก็ได้จะขมน้อยกว่า แต่ถ้ามีแผลในปากร่วมด้วย ควรใช้เสลดพังพอนตัวเมีย คั้นเอาแต่น้ำ และ ใช้ทา ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น



ขอบคุณข้อมูลจาก : cheewajit

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #303 เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2014, 08:57:38 am »
7 อาหารแสลงหน้าร้อน กินแล้วยิ่งร้อนกาย อันตรายสุขภาพ

-http://health.kapook.com/view87225.html-






เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          อาหาร 7 อย่างต้องห้ามหน้าร้อน มาดูกันซิว่า อาหารแสลงในช่วงอากาศร้อน ๆ อย่างนี้มีอะไรบ้าง จะได้หนีห่างให้ไกล ๆ เลย

          ไอร้อนและเปลวแดดที่แผดเผาในช่วงซัมเมอร์นี้ทำให้เรารู้สึกอ่อนเพลียได้มากกว่าปกติจริง ๆ นะคะ เราถึงได้รู้สึกหิวกระหายน้ำอยู่บ่อย ๆ ถึงได้มีคำแนะนำให้จิบน้ำเปล่าเยอะ ๆ หรือทานผลไม้ฉ่ำ ๆ จะได้ช่วยเติมน้ำเติมความสดชื่นให้ร่างกายได้

          อ๊ะ ! แต่นอกจากการทานอาหารและเครื่องดื่มที่ช่วยดับร้อนให้ร่างกายแล้ว ก็ต้องระวังอย่าเผลอไปทานอาหารที่จะมาเพิ่มความร้อนให้ร่างกายเด็ดขาด อย่างที่ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ แนะนำอาหารแสลงร้อน 7 อย่าง ที่ต้องหนีให้ห่างในช่วงซัมเมอร์ร้อน ๆ เพราะจะทำให้ร่างกายเรายิ่งร้อน เสี่ยงต่อการอักเสบและเกิดโรค มาดูกันค่ะว่ามีอาหารประเภทไหนบ้าง

1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

          เวลาเราดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เราจะรู้สึกร้อนวูบวาบใช่ไหมคะ นี่ล่ะ เพราะแอลกอฮอล์จะไปทำให้เส้นเลือดขยาย หากดื่มในเวลาที่อากาศรอบตัวร้อนจัด มีโอกาสที่คุณจะช็อกได้เลย

          นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังมีผลเสียกับตับเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะไปเพิ่มความร้อนให้ตับ ทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้นในการล้างพิษเหล้า เลยยิ่งเกิดกระบวนการอักเสบขึ้นในตัวเรา

2. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

อย่างกาแฟ หรือชา เพราะคาเฟอีนมีฤทธิ์ทำให้เราต้องปัสสาวะบ่อยขึ้น เป็นการขับน้ำออกจากร่างกาย เมื่อร่างกายขาดน้ำเราจะรู้สึกเพลียแดดได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ฤทธิ์ของคาเฟอีนยังไปกระตุ้นถึงแต่ละอณูของสมอง ทำให้เกิดอาการกระวนกระวาย ใจสั่น ดังนั้น จึงควรงดดื่มกาแฟในวันที่ต้องออกไปทำงานกล้างแจ้ง หรือถ้าติดกาแฟจริง ๆ ไม่ดื่มไม่ได้ ก็ขอให้ดื่มน้ำตามเข้าไปช่วยอีกแรง


3. ขนมหวานทั้งหลาย

          ไม่ว่าจะเป็นลูกอม ขนมไทยที่ส่วนใหญ่จะมีรสหวาน ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมเค้ก ฯลฯ ก็ทำให้ร่างกายเราร้อนขึ้นได้ เพราะเมื่อร่างกายเราเผาผลาญน้ำตาลจะสร้างความร้อนขึ้นมา และยังปล่อยขยะที่เกิดจากการเผาผลาญออกมาทำร้ายร่างกายอีกด้วย

4. ของทอด ของมัน

          ของทอดแสนอร่อยที่ชอบทานกันนั้นได้รับความร้อนมาจากน้ำมันที่ใช้ทอด และน้ำมันทอดนี่เองที่ทำให้ร่างกายเราร้อน และเกิดการอักเสบได้ด้วย เช่นเดียวกับของมัน ๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นนม เนย วิปครีม ครีมเทียม ถือเป็นทรานส์แฟตที่ทำให้ร่างกายของเราเกิดการอักเสบ และกระทบต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจได้ทีเดียว

5. อาหารรสเค็มจัด

          ยิ่งกินเค็มเท่าไร ไตก็ทำงานหนักขึ้นเท่านั้น ซึ่งปกติแล้วในหน้าร้อนไตของเราจะทำงานหนักขึ้นอยู่แล้ว เพื่อคอยสงวนน้ำไว้ในร่างกาย จะได้ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะและขับเหงื่อดับร้อน แต่ถ้าเรายิ่งทานของเค็ม ๆ ซ้ำเติมลงไปอีก จะยิ่งกดดันให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้นต่อไปถ้าจะทานอาหาร ไม่ควรปรุงรสเค็มจากน้ำปลา ซีอิ๊ว ฯลฯ เพิ่มอีก ปริมาณที่พอดีก็คือ ไม่ควรทานน้ำปลาเกิน 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน ส่วนเกลือก็ไม่ควรทานเกิน 1 ช้อนชาต่อวัน


6. ผลไม้รสหวานฉ่ำน้ำตาล

          ผลไม้หวาน ๆ อย่างเช่น ทุเรียน ละมุด ขนุน ลำไย จริง ๆ ก็สามารถทานได้ แต่ไม่ควรทานมากจนเกินไป เพราะในผลไม้เหล่านี้มีน้ำตาล "ฟรุกโตส" ซึ่งมีส่วนในการสร้างอนุมูลอิสระและไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะทุเรียนต้องระวังอย่าทานมากเกินไปค่ะ เพราะในเนื้อทุเรียนมี "กำมะถัน" ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สร้างความร้อนให้ร่างกายมาก ยิ่งมาผสมกับน้ำตาลฟรุกโตสแล้ว ดังนั้นควรทานพอประมาณเท่านั้น ไม่ใช่นั้นได้ร้อนในแน่ ๆ

7. น้ำอัดลม เครื่องดื่มรสหวาน

          หลายคนอาจคิดในใจว่า ยิ่งอากาศร้อนก็ต้องยิ่งดื่มน้ำหวานน้ำอัดลมจะได้สดชื่นดับกระหายคลายร้อน ซึ่ง นพ.กฤษดา ก็ยอมรับว่า เครื่องดื่มหวานจัดเย็นเจี๊ยบช่วยให้ความสดชื่นได้จริง แต่ถ้าดื่มบ่อยไปก็ยิ่งชวนให้กระหายน้ำมากขึ้นเหมือนกัน เพราะในเครื่องดื่มเหล่านี้มีน้ำตาล อีกทั้งดื่มมากไปจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลเกินโควต้าต่อวัน และยิ่งมีกรดซ่าหรือคาร์บอนิกที่ทำให้เกิดความซาบซ่า จะไปกัดกร่อนเคลือบฟันได้

          อย่างไรก็ตาม นพ.กฤษดา ก็บอกด้วยว่า อาหารทั้ง 7 อย่างนี้อาจส่งผลหรือไม่ส่งผลอันตรายต่อร่างกายก็ได้ขึ้นอยู่กับตัวเองเป็นสำคัญ เพราะถ้าหากทานเยอะ ๆ ทานบ่อย ๆ ก็มีสิทธิ์ป่วยไข้ในหน้าร้อนนี้ได้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=228625&catid=176&Itemid=524#.U2WfOlfPuZS-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #304 เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2014, 08:18:20 pm »
ชะอมใบอ่อนมีรสจืดกลิ่นฉุน ในทาง การแพทย์แผนไทยระบุว่าช่วยลดความร้อนของร่างกายในยอดชะอม 100 กรัมจะให้พลังงานกับสุขภาพถึง 57 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วยเส้นใย 5.7 กรัม แคลแซียม 58 มิลลิกรัม

วันเสาร์ 3 พฤษภาคม 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/234546/%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A1+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-



ชะอมใบอ่อนมีรสจืดกลิ่นฉุน ในทาง   การแพทย์แผนไทยระบุว่าช่วยลดความร้อนของร่างกายในยอดชะอม 100 กรัมจะให้พลังงานกับสุขภาพถึง 57 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วยเส้นใย  5.7 กรัม แคลแซียม 58 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 80 มิลลิกรัม เหล็ก 4.1 มิลลิกรัม วิตามินเอ และวิตามินบีหนึ่ง 0.05 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.25 มิลลิกรัม ไนอาซิน 1.5 มิลลิกรัม วิตามินซี 58 มิลลิกรัม

 

เป็นไม้ที่ออกยอดทั้งปี ชาวเหนือนิยมรับประทานหน้าแล้งเพราะหน้าฝนจะมีรสเปรี้ยวกลิ่นฉุน นิยมรับประทานร่วมกับ ส้มตำมะม่วง ตำส้มโอ ชาวอีสานนิยมนำไปปรุงเป็นแกงเชน แกงปลา แกงไก่ แกงเนื้อ แกงกบ แกงเขียด ชาวใต้นิยมใช้ยอดอ่อนรับประทานเป็นผักจิ้มโดยการลวกหรือนึ่งให้สุกหรือใช้ยอดอ่อนใบอ่อนเด็ดเป็นชิ้นสั้น ๆ แล้วชุบกับไข่ทอด รับประทาน ร่วมกับน้ำพริกกะปิ เป็นต้น

---------------------------------------------------------------------------

ออกดอกช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ออกดอกที่ปลายกิ่ง ช่อดอกห้อยลง ใบประดับรูปสามเหลี่ยม หลอดกลีบเลี้ยงเปิดออก มี 2-5 แฉก ขนาดไม่เท่ากัน
วันศุกร์ 2 พฤษภาคม 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/234334/%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%99+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-



จิกสวนเป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบดินร่วน ระบายน้ำดี แสงรำไร ชอบน้ำมาก ออกดอกช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม  ออกดอกที่ปลายกิ่ง ช่อดอกห้อยลง ใบประดับรูปสามเหลี่ยม หลอดกลีบเลี้ยงเปิดออก มี 2-5 แฉก ขนาดไม่เท่ากัน กลีบดอกสี่กลีบ ไม่ติดกัน สีชมพูหรือขาวอมชมพูรูปขอบขนาน หรือรูปไข่แกมขอบขนาน แผ่ออกกว้างเกสรเพศผู้ก้านยาว จำนวนมาก รวมกันเป็นพู่ผลสีเขียวถึงสีเขียวอมม่วง รูปไข่ถึงรูปรี ปลายผลแหลมทั้งสองด้าน มีกลีบเลี้ยงสองด้าน คนไทยนิยมนำยอดอ่อนมารับประทานเป็นผักสด  ในตำราแพทย์แผนไทยระบุว่านำดอกมาตำคั้นเอาน้ำรับประทานแก้หืด ไอ แก้ท้องเสีย แก้เจ็บคอ ตำพอกแก้ผิวหนังพุพอง ส่วนใบนำมาตำพอกแก้คันและแก้ไข้ทรพิษ บางทีใช้ใบตำรวมกับรากและเปลือกมีสรรพคุณเช่นเดียวกัน.




.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #305 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2014, 08:48:07 am »
ดื่มน้ำมะนาว รักษาสิว สูตรเด็ดส่งตรงจากธรรมชาติ

-http://women.kapook.com/view88384.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           ดื่มน้ำมะนาว รักษาสิว (ทำได้จริงหรือ...) สำหรับคนที่มีปัญหาสิวกวนใจบนใบหน้าน่าจะเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง สำหรับการนำน้ำมะนาวมาแต้มบรรเทาอาการอักเสบของสิว แต่ทว่าการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาสิวนั้น หลายคนอาจยังสงสัยว่าทำได้จริงหรือ ? วันนี้กระปุกดอทคอมเลยขออาสาไขข้อข้องใจให้เพื่อน ๆ ที่กำลังสนใจการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาสิวมาฝากกัน ^^

           จริง ๆ แล้วการดื่มน้ำมะนาว คือ การบำรุงดูแลผิวอีกวิธีหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ของสาว ๆ ที่รักสุขภาพเป็นอย่างมาก เนื่องจากสรรพคุณในน้ำมะนาว อุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญอย่างแคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส รวมถึงกรดผลไม้ (เอเอชเอ) วิตามินซี และวิตามินเอสูง ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งกระจ่างใส ลดปัญหาการอักเสบติดเชื้อบนผิวหนัง รวมถึงช่วยดีท็อกซ์สารพิษในร่างกายได้เป็นอย่างดี จึงทำให้การดื่มน้ำมะนาวเปรียบเสมือนการกินอาหารเสริมที่ช่วยบรรเทาอาการสิวให้ทุเลาลงและช่วยปรับสภาพผิวสวยอย่างเป็นธรรมชาติไปพร้อม ๆ กัน

           สำหรับการดื่มน้ำมะนาว ให้เตรียมมะนาว 1 ผลคั้นเอาแต่น้ำแล้วเทใส่แก้วน้ำตามปกติ จากนั้นจึงเติมน้ำอุ่นลงไปจนเต็มแก้ว ค่อย ๆ จิบ หรือดื่มให้หมดทุกเช้า โดยไม่ต้องเติมเกลือหรือวัตถุดิบใด ๆ ลงไปเพิ่ม ทำติดต่อกันตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์ขึ้นไป จะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนเลยว่า ปัญหาสิวจะค่อย ๆ ลดน้อยลงเหลือไว้แต่ผิวสวยสุขภาพดีไม่ต้องกังวลเรื่องสิวและปัญหาผิวต่าง ๆ อีกต่อไป

           แม้ว่าการดื่มมะนาวรักษาสิว จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยบรรเทาปัญหาสิวบนผิวหน้า แต่อย่างไรก็ดีสาว ๆ ก็ไม่ควรละเลยการดูแลผิวที่เป็นสิว ด้วยการรักษาความสะอาด การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวให้เหมาะสมกับผิวหน้าควบคู่กันไปด้วยนะคะ


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #306 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2014, 11:35:26 am »
7 วิธีลดอาการท้องอืดหลังมื้ออาหาร ทำตามได้ง่าย ๆ

-http://health.kapook.com/view87565.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
           
          ถ้ามีวิธีช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อหลังมื้ออาหารให้ทำตามง่าย ๆ ก็น่าจะดีนะคะ หลายคนที่เคยทรมานกับอาการท้องอืด ท้องเฟ้อจะได้กินอาหารอร่อย ๆ โดยไม่ต้องกังวลกันอีกต่อไป สบายใจกับทุกมื้ออาหารไปเลย
           
          อ๊ะ ! แล้วอาการท้องอืด ท้องเฟ้อจำเป็นต้องรักษา หรือบรรเทาด้วยยาอย่างเดียวจริง ๆ หรือเปล่า ? ขอบอกตรงนี้เลยว่า แค่ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารตามวิธีที่เว็บไซต์ all women stalk เขาแนะนำมา อาการท้องอืด ท้องเฟ้อที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ หลังมื้ออาหาร คงไม่มีวันได้แอ้มเราแน่ ๆ เลย
 
1. เคี้ยวอาหารช้า ๆ
           
          ถ้าสังเกตดูดี ๆ จะเห็นได้ว่า คนที่มีอาการท้องอืดหลังมื้ออาหาร ส่วนมากจะเป็นคนที่กินอาหารเร็วกว่าคนอื่น โดยที่ไม่รู้ว่าการกินอาหารเร็ว ๆ แบบไม่ได้เคี้ยวให้ละเอียดก่อน จะเป็นหนึ่งในสาเหตุก่ออาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ฉะนั้นเพื่อป้องกันความทรมานหลังมื้ออาหาร ก็เปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้ช้าลงสักหน่อย อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเคี้ยวอาหารให้ได้ 15 ครั้งเป็นอย่างต่ำ
           
          นอกจากนี้ถ้าดื่มน้ำผลไม้สดร่วมด้วย ควรอมน้ำผลไม้ไว้ในปากสักพักก่อนกลืนลงคอ เพื่อให้น้ำลายเข้าไปจัดการย่อยเอนไซม์ในน้ำผลไม้ก่อนส่งตรงสู่กระเพาะอาหาร ซึ่งจะสามารถช่วยลดกระบวนการย่อยอาหาร พร้อมกันนั้นก็ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ด้วย
 
 
2. เลี่ยงรับประทานผลไม้กับเนื้อสัตว์
           
          เนื้อสัตว์เป็นอาหารที่ใช้เวลาย่อยนานกว่า 5 ชั่วโมง ในขณะที่ผลไม้ใช้เวลาย่อยเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่า เมื่อเรารับประทานอาหารทั้งสองชนิดนี้ในเวลาไล่เลี่ยกัน เนื้อสัตว์จะกลายเป็นตัวขัดขวางการย่อยผลไม้ไปในทันที และน้ำตาล+เอนไซม์ในผลไม้ก็จะออกอาละวาด ปั่นป่วนท้องเราให้เกิดอาการอืด และเฟ้อในเวลาต่อมา ดังนั้นหากอยากรับประทานผลไม้ แนะนำให้กินก่อนเนื้อสัตว์ประมาณ 30 นาทีเป็นอย่างต่ำดีกว่าค่ะ

 3. เคี้ยวเมล็ดเทียนข้าวเปลือกหลังมื้ออาหาร
           
          เทียนข้าวเปลือก (Fennel Seeds) เป็นสมุนไพรที่มีรสขม สามารถช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเมล็ดเทียนข้าวเปลือกยังมีฤทธิ์ขับลมในกระเพาะอาหาร ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ในตัว พร้อมกันนั้นยังช่วยทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นอีกด้วยนะจ๊ะ
 
 
4. ผักใบเขียวอย่าให้ขาด
           
          ผักใบเขียวมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ข้อนี้หลายคนทราบกันดีอยู่แล้ว แต่อาจจะยังไม่รู้ลึกถึงขั้นว่า เมื่อระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างดี การเผาผลาญก็จะกระเตื้องขึ้น แก๊สและลมในกระเพาะ สาเหตุของอาการท้องอืด ท้องเฟ้อก็จะหมดไป คราวนี้ปัญหาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อก็จะไม่มากวนใจแน่นอน
 
 
5. ลดปริมาณน้ำตาล
           
          น้ำตาลทุกชนิด ทุกรูปแบบ ล้วนมีส่วนทำให้ช่องท้องเราปั่นป่วน แถมยังกระตุ้นแก๊สในกระเพาะได้อย่างเร็วเลยนะคะ ถ้าไม่เชื่อลองบริโภคน้ำตาลให้น้อยลงดูก็ได้ แล้วคุณจะสังเกตได้เลยว่า อาการท้องอืด ท้องเฟ้อจะค่อย ๆ บรรเทาลง และหายไปในที่สุด


6. โป๊ยกั๊กช่วยได้
           
          โป๊ยกั๊ก (เครื่องทำพะโล้) หรือ Anise Seed ก็เป็นพืชสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์ขับลมในกระเพาะอาหาร กระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้สบาย ๆ ส่วนวิธีกิน ถ้าใจแข็งพอจะเคี้ยวโป๊ยกั๊กหลังมื้ออาหารที่คุณจัดเต็มก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่ค่อยปลื้มกับกลิ่นเครื่องพะโล้อย่างนี้ ใส่ผสมลงไปในอาหารสักอย่างเพื่อดับกลิ่นให้จางลงสักนิดก่อนรับประทานน่าจะเวิร์กกว่าเนอะ
 
 
7. ดื่มชาสมุนไพร
           
          สำหรับคนที่คิดว่าการเคี้ยวสมุนไพรสด ๆ ฮาร์ดคอร์เกินไป ลองตัวเลือกอย่างชาสมุนไพร เช่น ชาขิง, ชาเปปเปอร์มินต์ หรือชาเทียนข้าวเปลือกก็ได้นะคะ เพราะจัดว่าเป็นเคล็ดลับเด็ดในการช่วยย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อหลังมื้ออาหารได้เช่นกัน จิบชาสมุนไพรเบา ๆ หลังมื้ออาหารเที่ยง หรือมื้อเย็น แค่นี้ก็ช่วยลดความทรมานจากอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้แล้วจ้า
 
 
          ใครที่เคยทรมานกับอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หลังที่จัดหนักกับมื้ออาหารกันมาแล้ว คงไม่อยากจะกลับไปเจอกับอาการเหล่านี้อีกแน่ ๆ ถ้าอย่างนั้นอย่าลืมนำวิธีแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อที่เราแนะนำไปใช้กันด้วยนะจ๊ะ

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #307 เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2014, 06:54:02 pm »
เห็ดพิษที่สำคัญของประเทศไทย



-http://ch3.sanook.com/16263/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA-



คลินิกเกษตร เห็ดพิษที่สำคัญของประเทศไทย

รายการคลินิกเกษตร รายงานว่า เห็ดมีพิษต่างๆที่สำคัญในประเทศไทย ได้แก่




เห็ดระโงกหินก้านลาย (Amanita Virosa)
หมวกสีขาว เรียบเป็นมันเล็กน้อย ก้านสีขาวปกคลุมด้วยเส้นในเป็นลาย มีวงแหวนเป็นเยื่อบางสีขาวหลุดง่าย โคนโป่งเป็นกระเปาะกลมและมีเปลือกหุ้มรูปถ้วยแนบติดก้าน



เห็ดระงากขาวหรือเห็ดไข่ตายซาก (Amanita verna)
หมวกสีขาวเรียบเป็นมันวาว ก้านมีวงแหวนบางสีขาว โคนก้านมีเปลือกหุ้มรูปถ้วยแนบติดก้าน



เห็ดเกล็ดดาว (Amanita pantherina)
หมวกสีน้ำตาลอมเหลือง มีสะเก็ดนูน สีขาวบนหมวก มีวงแหวนเป็นแผ่นบางโคนโป่งเป็นกระเปาะ และมีแถบเป็นวงเรียงซ้อนกันหลายชั้น



เห็ดผึ้งท้องรุ (Suillus subluteus)
หมวกสีเหลืองอมน้ำตาล ผิวชื้นเป็นเมือก ใต้หมวกมีรูสีเหลืองอมน้ำตาล ก้านมีจุดสีน้ำตาลและมีวงแหวนเป็นเยื่อเมือก เมือกมีพิษทำให้ท้องร่วง



เห็กหมวกจีน (Inocybe rimosa)
หมวกสีเหลืองอมน้ำตาล กลางหมวกเป็นปุ่มนูน ผิวหมวกเป็นเส้นในหยาบแผ่เป็นรัศมี ขอบหมวกฉีกเมื่อบาน ก้านสีขาวนวลหรือเหลืองมีขนละเอียด



เห็ดหัวกรวดครีบเขียว (Chlorophyllum molybdites)
หมวกสีขาว แห้ง มีเกล็ดสี่เหลี่ยม สีน้ำตาลอ่อนอมชมพู ครีบขาว แล้วเปลี่ยนเป็นเขียวหม่นปนเทา ก้านขาวหรือน้ำตาลอ่อน มีวงแหวนหนาขอบ 2 ชั้น เคลื่อนขึ้นลงได้เมื่อดอกแก่



Entoma conspicuum
หมวกสีน้ำตาลอ่อน กลางหมวกหยักย่น ดอกอ่อน ขอบม้วนงอเข้า ครีบขาวแล้วเปลี่ยนเป็นชมพูอมน้ำตาล ก้านสีน้ำตาล แข็งกรอบและโป่งตรงกลางเล็กน้อย ผิวก้านขรุขระเป็นสันคล้ายตาข่ายห่างใหญ่



เห็ดน้ำหมาก (Russula emetica)
หมวกแดงถึงแดงชมพู เรียบ หนืดมือ กลางหมวกเป็นแอ่งเล็กน้อยครีบและก้านสีขาว มีพิษเมื่อดิบ กินได้เมื่อต้มสุก



เห็ดขี้ควาย (Psilocybe cubensis)
หมวกสีเหลืองอ่อน กลางหมวกสีน้ำตาล ครีบสีน้ำตาล ก้านทรงกระบอกมีวงแหวน สีน้ำตาลฉีกขาดง่าย ทุกส่วนเปลี่ยนเป็น สีน้ำเงิน เมื่อช้ำ

การปฐมพยาบาล
ทำให้อาเจียนโดยการรับประทานไข่ขาว แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลพร้อมนำตัวอย่างเห็ดที่รับประทานไปด้วย

ข้อควรระวัง หลีกเลี่ยงการรับประทานเห็ดดอกตูมที่ไม่รู้จัก


คลิป ติดตามจากลิงค์ครับ 
http://ch3.sanook.com/16263/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #308 เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2014, 10:18:50 pm »
กะเพรา สรรพคุณและประโยชน์ของกะเพรา 29 ข้อ !


-http://guru.sanook.com/27159/%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-29-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-



สรรพคุณของกะเพรา

    ใช้ทำเป็นยาอายุวัฒนะ (the elixir of life)
    ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น และป้องกันอาการหวัดได้ (ใบ)
    กะเพราเป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรหลายชนิด เช่น ยารักษาตายขโมยสำหรับเด็ก ยาแก้ทางเด็ก ฯลฯ
    รากแห้งนำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยแก้โรคธาตุพิการ (ราก)
    ช่วยบำรุงธาตุไฟ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน (ใบ)
    ช่วยแก้อาการปวดด้วย ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาคั้นรับประทานสด 1 ถ้วยตะไล จะช่วยแก้อาการปวดมวนท้องได้เป็นอย่างดี (ใบ)
    ช่วยขับลมแก้อาการปวดท้องอุจจาระ (ใบ)
    ใบกะเพราสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง (ใบ)
    สรรพคุณกะเพราช่วยแก้ลมซานตาง (ใบ)
    น้ำสกัดจากทั้งต้นของกะเพรามีฤทธิ์ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยย่อยไขมัน (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    กะเพรา สรรพคุณช่วยขับน้ำดี (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยแก้ลมพิษ ด้วยการใช้ใบกะเพราประมาณ 1 กำมือนำมาตำผสมเหล้าขาวแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นลมพิษ (ใบ)
    สรรพคุณของกะเพราใช้ทำเป็นยารักษากลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 20 ใบนำมาขยี้ให้น้ำออกมา แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้งจนกว่าจะหาย (ใบ)
    ใช้เป็นยารักษาหูด ด้วยการใช้ใบกะเพราแดงสดนำมาขยี้แล้วทาบริเวณที่เป็นหูดเช้า-เย็น จนกว่าหัวหูดจะหลุดออกมา โดยระวังอย่าให้เข้าตาและถูกบริเวณผิวที่ไม่ได้เป็นหูด เพราะจะทำให้เนื้อดีเน่าเปื่อยและรักษาได้ยาก (ใบสด)
    ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาตำผสมกับเหล้าขาว แล้วนำมาทาบริเวณที่ถูกกัด ห้ามนำมารับประทานเด็ดขาดเพราะจะมีสารยูจีนอล (Eugenol) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะ อาหารและอาจถึงขั้นโคม่าได้ (ใบ)
    ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดได้ (น้ำมันใบกะเพรา)
    มีงานวิจัยพบว่ากะเพราสามารช่วยยับยั้งสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่มักพบเจือปนในอาหารซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งได้ (สารกสัดจากกะเพรา)
    ใบกะเพรา มีฤทธิ์ในการช่วยขับไขมันและน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยลดระดับไขมันในร่างกายและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ โดยมีการใช้ใบกะเพราะในกระต่ายทดลอง โดยให้กระต่ายกินใบกะเพราติดต่อ 4 สัปดาห์พบว่าระดับไขมันโดยรวมลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันเลว (LDL) ลดลง แต่ไขมันชนิดดี (HDL) กลับเพิ่มขึ้น
    ช่วยเพิ่มน้ำนมให้สตรีหลังคลอดบุตร ด้วยการใช้ใบกะเพราสดประมาณ 1 กำมือ นำมาใส่แกงเลียงรับประทานบ่อยๆ ในช่วงหลังคลอด (ใบ)
    เมล็ดนำไปแช่น้ำจะพองตัวเป็นเมือกขาว นำมาใช้พอกบริเวณตา เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา ผงหรือฝุ่นละอองก็จะหลุดออกมา โดยไม่ทำให้ตาของเรานั้นช้ำอีกด้วย (เมล็ด)
    ใบและกิ่งสดของกะเพรามีการนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยด้วยการต้มกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08 – 0.1 โดยมีราคาประมาณกิโลกรัมละหนึ่งหมื่นบาท
    ใช้ไล่ยุงหรือฆ่ายุง ด้วยการใช้ทั้งใบสดและกิ่งสด เอาใบมาขยี้แล้ววางใกล้ตัวๆ จะช่วยไล่ยุงและแมลงได้ โดยน้ำมันกะเพราะที่สกัดมาจากใบจะมีคุณสมบัติช่วยไล่ยุงได้ดีกว่าต้นสด (ใบสด,กิ่งสด)
    น้ำมันสกัดจากใบสด ช่วยล่อแมลง ทำให้แมลงวันทองบินมาตอมน้ำมันนี้ (น้ำมักสกัดจากใบสด)
    ประโยชน์ของกะเพรา ใช้ในการประกอบอาหารและช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ในเมนูกะเพราะสุดโปรด เช่น ผัดกะเพรา แกงเลียง แกงป่า แกงคั่ว แกงเขียวหวาน แกงส้มมะเขือขื่น ผัดกบ ผัดหมู ผัดปลาไหล พล่าปลาดุก พล่ากุ้ง หรือจะนำใบกะเพรามาทอดแล้วใช้โรยหน้าอาหารเมนูต่างๆก็ได้ ฯลฯ
    ใบกะเพราสามารถช่วยดับกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ได้ (ใบ)

ขอบคุณข้อมูลจาก : frynn.com


-------------------------------------------------------------------


เวลาไม่รู้ว่า จะทานอะไร ก็ กะเพราไก่ บ้าง กะเพราหมู บ้าง กะเพรากุ้ง บ้าง กะเพราปลาหมึก บ้าง

เป็นประจำ


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #309 เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2014, 06:14:18 am »

10 เรื่องควรรู้คู่"ทุเรียน"/นพ.กฤษดา ศิรามพุช
ASTVผู้จัดการออนไลน์
   20 พฤษภาคม 2557 08:49 น.



By Lady Manager
       
       หน้านี้ไม่มีอะไรดังไปกว่าฟ้าผ่า แผ่นดินคะนอง และแน่นอน---ทุเรียน ครับ

   
10 เรื่องควรรู้คู่ทุเรียน/นพ.กฤษดา ศิรามพุช
       ทุเรียนเริ่มบุกรุกคืบเข้ามาขโมยซีนในยามนี้
       
       จะหมอนทอง,ชะนี หรือว่าก้านยาว ก็ล้วนแล้วแต่รสนิยมที่ต่อมลิ้นของใคร และเศรษฐกิจช่วงเปิดเทอมเป็นอย่างไร
       
       แต่ไม่ว่าจะเป็นทุเรียนชนิดใดก็มีประโยชน์เปี่ยมไปด้วยวิตามินแทบทุกอณู แม้แต่เปลือกทุเรียนยังเอามาใช้ประโยชน์ได้
       
       ในทุเรียนอัดแน่นไว้ด้วยประโยชน์และรสสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ถึงเพียงนี้ ทุเรียนจึงเป็นดั่งผลไม้ระดับตำนานที่ถูกเรียกขานว่า “ราชาแห่งผลไม้” มานานแสนนาน ดังนั้นการกินทุเรียนสำหรับผู้ที่ชื่นชอบจึงไม่ใช่แค่ความอร่อยอย่างเดียว แต่ถ้ากินได้ถูกวิธีจะเป็นผลไม้ที่ช่วยสุขภาพได้อีกชนิดหนึ่งในชีวิตด้วย
       
       ซึ่งทุเรียนมีสารอาหารหลักๆ ที่ช่วยร่างกายดังนี้ครับ
       
       - คาร์โบไฮเดรตสุขภาพ (Complex carbohydrate) มีดัชนีน้ำตาล (GI) พอสมควร
       
       - เส้นใยอาหาร (Dietary fiber) มีชนิดสำคัญที่ละลายน้ำได้ (Soluble fiber)
       
       - สารต้านอนุมูลอิสระ กลุ่มสำคัญคือ “โพลีฟีนอลส์”
       
       - วิตามิน เบต้าแคโรทีน,วิตามินบี และซี
       
       - แร่ธาตุ โพแทสเซียม, แมกนีเซียม, ธาตุเหล็ก และแร่ธาตุที่ขาดไม่ได้
       
       ทั้งหมดนี้รวมกันในสัดส่วนที่พิเศษจึงทำให้ผลไม้ในตำนานชนิดนี้มีกลิ่น และรสสัมผัสที่ยากจะลืมเลือน
       พร้อมทั้งประโยชน์ต่อสุขภาพที่เป็นความพิเศษเฉพาะตัวดังต่อไปนี้
       
       *ทุเรียน*
       ผลไม้เปี่ยมประโยชน์

   
10 เรื่องควรรู้คู่ทุเรียน/นพ.กฤษดา ศิรามพุช
       1) คุมไขมันได้ เป็นงานวิจัยในสัตว์ทดลองที่พบว่าทุเรียนป้องกันการเพิ่มของไขมันในเลือด โดยมีข้อแม้ว่าต้องไม่รับประทานมากเกินไปด้วย โดยในทุเรียน “หมอนทอง” มีพระเอกลดไขมันชื่อ “โพลีฟีนอลส์ (Polyphenols)” แต่สำหรับท่านที่ไม่ปลื้มทุเรียนก็เลือกทานในพืชอื่นอย่างอะโวคาโดและมะม่วงได้ครับ
       
       2) ทุเรียนมีวิตามินสูง ทั้งเบต้าแคโรทีน, กลุ่มวิตามินบี,วิตามินซี และแร่ธาตุที่จำเป็นต่างร่างกาย ซึ่งหลายชนิดอยู่ในปริมาณที่น่าประทับใจ ยกตัวอย่างวิตามินซีที่เท่ากับ 1 ใน 3 ของร่างกายต้องการ (33%RDA) เพียงแค่ท่านรับประทานทุเรียนราว 1 ขีดเท่านั้น
       
       3) ทุเรียนต้านสนิมแก่ เพราะว่ามีทั้งโพลีฟีนอลส์ดังที่กล่าวไปแล้วยังมี “สารประกอบกำมะถัน (Organosulfur compound)” ที่ช่วยทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ, ต้านเชื้อจุลินทรีย์หลายชนิด และยังช่วยให้ผิวพรรณดี เส้นผมเงางามแข็งแรง
       
       4) ทุเรียนช่วยสมอง เป็นผลไม้อารมณ์ดีเพราะมีสารที่มีส่วนช่วยสร้างเคมีสมองที่ช่วยความรู้สึกสงบสบายใจ มีส่วนช่วยในการสร้างเคมีนิทรา (เมลาโทนิน) เพราะในทุเรียนมี “ทริปโตแฟน (Tryptophan)” เช่นเดียวกับในพืชแป้งอีกหลายชนิด โดยทริปโตแฟนเป็นวัตถุดิบในการสร้างเคมีสมอง (Serotonin) ที่ช่วยปรับอารมณ์ครับ
       
       5) ทุเรียนให้พลังงานได้ดี มีทั้งพลังงานจากน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตในเนื้อแน่นๆของทุเรียนจึงทำให้อิ่มได้อย่างแรง นอกจากนั้น ยังมีแร่ธาตุที่ช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อทำให้กระฉับกระเฉงดีนั่นคือ “โพแทสเซียม” ครับ เนื่องจากทุเรียนมีแคลอรีสูงจึงไม่ควรรับประทานมากเกินไปหรือร่วมกับของหวานอื่นครับ

   
10 เรื่องควรรู้คู่ทุเรียน/นพ.กฤษดา ศิรามพุช
       6) ทุเรียนช่วยระบาย ด้วยใยอาหารที่ดีต่อลำไส้จำนวนมหาศาลในทุเรียน โดยในเนื้อทุเรียนพูอ้วนนี้มีใยอาหารชนิดที่ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้เป็นปกติ ซึ่งผู้ที่รับประทานทุเรียนจะมีการขับถ่ายที่ดีได้ถ้ายิ่งออกกำลังกายร่วมด้วย
       
       7) ช่วยดูแลโลหิตจาง ทุเรียนมีวิตามินบีที่สำคัญคือ “โฟเลต” ที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาโลหิตจาง นอกจากนั้นยังมีแร่ธาตุที่ช่วยสนับสนุนอีกหลายแรงได้แก่ “ธาตุเหล็ก” และ “ทองแดง” ที่ช่วยให้การสร้างเม็ดเลือดสมบูรณ์แบบครับ
       
       8) มีแคลเซียมเติมกระดูก ทุเรียนเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยแร่ธาตุ โดยชนิดที่สำคัญตัวหนึ่งคือ “แคลเซียม” ครับ ซึ่งในผู้ที่มีปัญหาเรื่องฮอร์โมน หรือสาวๆ ที่ต้องการสะสมกระดูก(Bone banking) เอาไว้ให้แข็งแรงในอนาคต ทุเรียนเป็นอีกแหล่งของแคลเซียมและแร่ธาตุบำรุงกระดูกอื่นๆ จากธรรมชาติที่ดีครับ
       
       9) เบาหวานต้องระวัง ในเนื้อที่เหมือนเนยชั้นดีหวานมันอร่อยนี้มีปริมาณน้ำตาล “ฟรุกโตส” อยู่ค่อนข้างสูง ซึ่งน้ำตาลชนิดนี้มีผลต่อ “ตับ(มันจุกตับ)” และ “โรคอ้วน” รวมถึงสุขภาพโดยรวมหากได้รับมากเกินไป โดยเฉพาะในเบาหวานจะทำให้น้ำตาลสูงถึงขั้นอันตรายได้ถ้ารับประทานเพลินเกินห้ามใจ
       
       10) ไม่ควรกินทุเรียนกับแอลกอฮอล์หรือยา มีรายงานอาการผิดปกติเมื่อกินทุเรียนร่วมกับแอลกอฮอล์ อาทิ ร้อนวูบวาบตามหน้า, สั่น, ง่วงซึม, อาเจียน และคลื่นไส้
       
       ซึ่งต่อมามีการศึกษาพบกลไกที่น่าห่วงคือ ทุเรียนไปหยุดเอนไซม์ที่ช่วยล้างพิษเหล้า (Aldehyde dehydrogenase) จนทำให้พิษเหล้าแผลงฤทธิ์ (Acetaldehyde intoxication)
       
       ส่วนเรื่องกินยานั้นไม่ควรรับประทานคู่กันเพราะอาจส่งผลต่อฤทธิ์ และการดูดซึมครับ
       
       ทุเรียนแม้จะมีหลายพันธุ์แต่ส่วนใหญ่จะมีสารอาหารสำคัญอยู่คล้ายคลึงกัน โดยแต่ละพันธุ์ก็มีความพิเศษของตัว ดังเช่นหมอนทองที่ทั้งอร่อยและป้องกันไขมันเพิ่มได้ในการทดลอง หรืออย่าง “ทุเรียนสีเลือด” ที่เนื้อมีสีแดงสวย พบไม่บ่อยในบ้านเราแต่มีในแถวภาคใต้และเพื่อนบ้านในแถบคาบสมุทรมลายู อย่างมาเลเซียหรือไกลออกไปถึงอินโดนีเซีย ซึ่งทุเรียนแดงนี้มีของดีอยู่ที่สีสวยนี้ด้วยครับ

10 เรื่องควรรู้คู่ทุเรียน/นพ.กฤษดา ศิรามพุช
       แต่ไม่ว่าท่านที่รักจะรับประทานทุเรียนชนิดใด เนื่องจากทุเรียนในพลังงานสูงแถมมีกำมะถันจึงเป็นราวภูเขาไฟลูกย่อมๆ เพราะมันให้ความร้อนกับร่างกายได้มากยิ่งเมื่อร่วมกับแอลกอฮอล์หรือของหวานอื่นๆ จึงขอย้ำไว้อีกนิดให้เลี่ยงกินคู่กับแอลกอฮอล์ หรือในผู้ที่มีความดันสูงยังคุมไม่ได้ก็ควรเลี่ยงไว้ก่อน
       
       ตอนนี้ทุเรียนเริ่มมีมากให้เห็นตามตลาดแถวบ้าน ส่วนราคาก็ต่างกันออกไป ท่านที่สนใจก็อาจไปหามาฉลองศรัทธาดูได้ครับ
       
       นับเป็นของดีแบบไทยๆ ที่อยู่ใกล้ตัว











.





คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)