ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129500 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #270 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2014, 05:52:11 am »
หญิงวัยทองกับถั่วเหลือง คู่แท้สุขภาพดี


-http://club.sanook.com/24326/%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD-


ถั่วเหลืองเหมาะกับหญิงวัยทอง

ผู้หญิงวัยทองเป็นช่วงวัยระหว่างกลางคนกับวัยสูงอายุ   คืออายุ 40 – 45 ปีขึ้นไปซึ่งร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ ด้าน    รวมถึงการสร้างฮอร์โมนเพศก็ลดลง  ทำให้เกิดอาการไม่สุขสบายขึ้น เช่น    ประจำเดือนมาไม่เป็นเวลา  หรือมามากกว่าปกติ   อ่อนเพลีย   เหนื่อยง่าย   เหงื่อออกกลางคืน   นอนไม่หลับหรือหลับยาก  ร้อนวูบวาบ   อารมณ์แปรปรวน   หงุดหงิด   ขี้โมโห   หลงลืมง่าย   บางคนปัสสาวะบ่อยหรือเวลาไอ จามมีปัสสาวะเล็ด   ช่องคลอดแห้ง  ปวดแสบปวดร้อนหรือเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์   ส่วนผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาวของวัยทองคือ   ปัญหาโรคกระดูกพรุน  โรคหัวใจและหลอดเลือดจากการมีระดับไขมันในเลือดสูง

 



 

มีการศึกษาพบว่าคนที่กินอาหารที่มีโปรตีนจากถั่วเหลือง 25 กรัมต่อวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์  สามารถลดระดับไขมันชนิดเลว (LDL)ในเลือดได้ถึงร้อยละ 18 ในขณะที่ค่าของไขมันชนิดดี (HDL) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20    รวมทั้งอาการต่าง ๆ จากภาวะวัยทองก็ลดลงด้วย    การศึกษานี้จึงมีประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังจะเข้าสู่วัยทองหรืออยู่ในช่วงวัยทองหันมาสนใจกินอาหารที่มีถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบมากขึ้น   เนื่องจากปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองวางจำหน่ายหลายชนิด  เช่น    นมถั่วเหลือง   เต้าหู้หลอด   เต้าหู้แผ่น   ไส้กรอกเจที่ทำจากถั่วเหลือง   ไอศกรีมที่มีส่วนผสมจากถั่วเหลือง    เป็นต้น

 

หลักการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนวัยทอง    ควรปฏิบัติดังนี้   

1. กินอาหารให้หลากหลาย   กินปลา    ถั่วเมล็ดแห้ง    เต้าหู้    ผัก ผลไม้และธัญพืชเป็นประจำ    โดยไม่ควรงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง

2. ลดการกินอาหารหวาน  มัน  เค็ม  และหลีกเลี่ยงการกินเนื้อแดง  ไขมันสัตว์   เลือกใช้น้ำมันมะกอก    น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลืองหรือน้ำมันงาในการประกอบอาหาร

3. ดื่มน้ำสะอาดวันละ 1 – 2 ลิตรและดื่มนมพร่องไขมัน

4. รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม    ออกกำลังกายทุกวันอย่างเหมาะสม

5. ไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์    เพราะเป็นสิ่งทำลายสุขภาพ

 

Credit : กลุ่มงานสุขศึกษา โรงพยาบาลลำปาง
ภาพประกอบจาก : www.Photos.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #271 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2014, 10:23:35 pm »

หัวหอมใหญ่ยาครอบจักรวาล

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5/-





ทราบหรือไม่ว่า...การทานหัวหอม ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงอาหาร แล้วจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคหัวใจ และไขมันอุดตัน ซึ่งในปัจจุบันการทานอาหารมีวิธีการทานที่จะต้องแข่งกับเวลาซะเป็นส่วนใหญ่ อาหารที่ได้รับในแต่ละวันจึงไม่ตรงกับความต้องการของร่างกายตัวเอง งั้นคุณลองหันมาทาน "หัวหอมใหญ่" ที่เป็นส่วนประกอบของอาหารต่างๆ ดีกว่าค่ะ

หอมหัวใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก มีสรรพคุณเป็นพืชสมุนไพร มีสารสำคัญคือ ฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ (Flavonoid glycosides) ซึ่งมีคุณสมบัติขัดขวางไขมัน ไม่ให้เกาะตามผนังเส้นเลือด ซึ่งถ้าเกาะมากๆ จะเกิดภาวะเส้นโลหิตอุดตันทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ นอกจากนี้ หอมหัวใหญ่ยังช่วย "ลดไขมันในเลือด" ได้อีก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นโรคอ้วน

น่าสนใจมากที่ปัจจุบัน นิยมนำหอมหัวใหญ่มาทำเป็นน้ำมันหอมระเหย หรือที่เราเรียกกันว่า การบำบัดแบบ "อโรมาเทอราปี" โดยหอมหัวใหญ่ที่สุกจะมีน้ำมันหอมที่ชื่อว่า "อัล ลิลิก ไดซัลไฟด์ (Allilic disulfides)" ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้ ถ้าสูดดมมากๆ จะช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะ บรรเทาอาการหวัด และลดเสมหะได้ หรือน้ำคั้นจากหอมหัวใหญ่ ก็จะช่วยลดอาการอักเสบบวม หรือลดความดันโลหิตและน้ำตาลในเส้นเลือด เนื่องจากหอมหัวใหญ่มีธาตุฟอสฟอรัสที่สูง จึงช่วยทำให้ความจำดีขึ้นอีก และยังสามารถนำหอมหัวใหญ่ไปใช้เป็นยาทาภายนอก ช่วยลดอาการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียใช้แก้พิษแมลงกัดอาการปวดบวมตามข้อหรือทาแก้สิวได้ด้วย

           หอมหัวใหญ่ คนไทยนำมาประกอบอาหารหลายชนิด เช่น ยำต่างๆ ข้าวผัด สลัด ไข่เจียว ซุปหรือสตูต่างๆ ซึ่งถ้ารับประทานกันแบบสดๆ จะมีรสชาติกรอบ เผ็ดร้อน แต่ถ้านำไปปรุงอาหาร หรือถูกความร้อนก็จะมีรสชาติหวาน เนื่องจากสารที่ชื่อ "อัลลิลโปรบิลซัลไฟต์" ระเหยไประหว่างที่ถูกความร้อนและได้สารที่มีรสหวานมาแทน ว่ากันว่า...ถ้ารับประทานหอมหัวใหญ่วันละครึ่งหัวทุกวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 2 เดือน จะช่วยลดอาการโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

แทบจะเรียกได้ว่าเป็นยาครอบจักรวาลเลยก็ว่าได้ เมื่อคุณทราบกันแล้วว่าหัวหอมดีอย่างไร อย่าลืมทุกครั้งที่ทำอาหาร ให้คุณลองเติมเมนูที่มีหอมหัวใหญ่ไปด้วย เพื่อสุขภาพของคนที่คุณรักน่ะค่ะ


ที่มาข้อมูล myhomeveg.com
ที่มารูปภาพ thaiza.com

------------------------------------------------


ผัก ผลไม้ ชนิดใดที่ช่วยลดคลอเลสเตอรอลได้

-http://club.sanook.com/19334/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A5-


ผัก ผลไม้ ชนิดใดที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้

คอเลสเตอรอล (Cholesterol) คือไขมันที่อยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์และสัตว์ เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ คอเลสเตอรอลผลิตในตับแล้วส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ทางเส้นเลือดให้แก่เซลล์ เซลล์จะคอยรับคอเลสเตอรอลในจำนวนที่มันต้องการ ส่วนที่เหลือเกินจะยังคงติดกรังอยู่ในเส้นเลือด ขัดขวางการไหลเวียนของกระแสเลือด หากเกิดกับเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ก็ปรากฎอาการโรคหัวใจ

คอเลสเตอรอล 2 ชนิด

คอเลสเตอรอลมี 2 ชนิด คือ ชนิดดีและชนิดไม่ดี

ชนิดดีเรียกว่า HDLs (High Density Lipoproteins) ได้จากอาหารและร่างกายผลิตขึ้นเพื่อนำไปใช้ ชนิดดีนี้จะช่วยขับคอเลสเตอรอลที่เกินต้องการออกจากร่างกายด้วย

ชนิดไม่ดีเรียกว่า LDLs (Low Density Lipoproteins) ได้จากอาหารเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เป็นชนิดที่ร่างกายไม่ต้องการ คนที่มีคอเลสเตอรอลสูงจึงควรดูให้ละเอียดด้วยว่า สัดส่วนของชนิดดี กับชนิดไม่ดี เป็นอย่างไร เราควรมีชนิดดีสูง ๆ แต่ถ้ามีชนิดดีต่ำ แปลว่าอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจค่อนข้างสูง

ระดับคอเลสเตอรอลปกติควรต่ำกว่า 200 สำหรับ HDLs นั้นสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี มีการวิจัยออกมาแล้วว่า กลุ่มคนที่กินผักบ่อย ๆ จะมีคอเลสเตอรอลต่ำกว่ากลุ่มคนที่กินแต่เนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่ เมื่อแพทย์พบว่าคนไข้มีคอเลสเตอรอลสูงก็มักจะแนะนำให้ลดความอ้วน ไม่ให้กินอาหารที่มีไขมันสูง

วิธีเพิ่ม HDLs ลด LDLs ด้วยอาหารธรรมชาติ เช่น หอมใหญ่ หอมเล็ก เป็นของดีมีประโยชน์ทำให้ตัว HDLs สูง ถ้าเอาไปทำให้สุกก็จะด้อยคุณค่าลงเล็กน้อย

ผัก ผลไม้ มักอุดมด้วย วิตามินซี เบต้าแคโรทีน (Beto carotene) และพวกแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants) ทั้งหลาย ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากในการทำให้ LDLs เปลี่ยนเป็นน้ำดี วิตามินซี สามารถรวมตัวกับคลอเลสเตอรอลและแคลเซี่ยมทำให้คอเลสเตอรอลละลายน้ำได้ ข้อสำคัญอย่ากินผลไม้ที่เป็นแป้งและหวานมาก อันจะมีผลต่อน้ำตาลสูงเกินไปอีก

ถั่วและธัญญพืช เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ และข้าวซ้อมมือ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ก็เป็นกลุ่มอาหารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้อย่างเร็ว ทั้งยังช่วยเสริมโปรตีนด้วย

กระเทียมมีสารอัลลิไทอะมีน ช่วยเผาผลาญไขมันและลดคอเลสเตอรอล เพิ่ม HDLs

อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่น้ำมันมะกอก ถั่วอัลมอนด์ ผลอะโวคาโด และพวกธัญพืชต่าง ๆ แต่น้ำมันมะกอกถั่วอัลมอนด์และอะโวคาโด ช่วยทำให้ HDLs ของคุณสูงขึ้นเป็นไขมันที่ร่างกายต้องการเช่นเดียวกับไขมันจากปลา

ประโยชน์และความสำคัญของน้ำมันปลา?

ผลจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่ากรดไขมันจำเป็นชนิดโอเมก้า 3 สามารถป้องกันการสะสมคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดได้ EPA และ DHA ในน้ำมันปลา ลดการสร้างคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในตับ

การได้รับไขมันจากปลาควบคู่ไปกับอาหารไขมันสูงชนิดอื่น จึงสามารถช่วยป้องกันการสะสมของคอเลสเตอรอลที่เกินต้องการไม่ให้จับเกาะผนังของเส้นเลือด พบว่าชาวเอสกีโมไม่มีโรคหัวใจ แม้ในชีวิตประจำวันจะกินไขมันมากมายเพื่อสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย เนื่องจากมีการกินปลาอยู่เป็นประจำ

เพื่อลดคลอเลสเตอรอล เราควรรับประทานอาหารประเภท

1   มะเขือต่างๆ ทั้งมะเขือเทศ มะเขือเปราะ หรือมะเขือพวง อย่างมะเขือเทศก็จะมีทั้งวิตามินซี รวมทั้งมีสารเบต้าแคโรทีนและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์อีกหลายชนิด

2   หอมหัวใหญ่ และ กระเทียมสด สองอย่างนี้มีสรรพคุณชัดเจนในเรื่องของการช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และลดระดับไขมันและคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และสารที่สกัดจากหัวหอมใหญ่ สามารถลดน้ำตาลในเส้นเลือดได้

3   ถั่วเหลือง พืชตระกูลถั่วที่ให้โปรตีนสูง ต่อมาคือ แอปเปิ้ล ผลไม้สารพัดประโยชน์ที่มีเพคติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ซึ่งไฟเบอร์ประเภทนี้จะดึงคอเรสเตอรอลแล้วขับออกมาจากร่างกายได้ นอกจากนั้นก็ยังช่วยบำรุงหัวใจ ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในร่างกาย และอย่างสุดท้ายคือ โยเกิร์ต ที่นอกจากจะช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดได้แล้ว ก็ยังบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งอีกด้วย

4   รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารเยอะในมื้อเช้า ได้แก่ ข้าวโอ๊ต ผลไม้ เป็นต้น เมื่อเลือกซื้อธัญญหาร ซีเรียล ต่าง ๆ ควรอ่านฉลากข้างกล่อง เลือกซื้อประเภทที่ระบุว่ามีเส้นใยอาหาร 5 กรัมหรือมากกว่า รำข้าวโอ๊ตและรำข้าวเจ้า เป็นอาหาร ที่มีเส้นใยอาหารมากที่สุด

5   รับประทานธัญพืช ได้แก่ ขนมปังโฮลวีต ลูกเดือย เป็นต้น

6   รับประทานถั่ว อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ได้แก่ ซุปถั่ว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์ของถั่วเหลือง

7   รับประทานผักและผลไม้ 5 ชนิดทุกวัน เช่น ในมื้อเช้าให้รับประทานผัก (ได้แก่ แครอท มะเขือเทศหั่นบาง)มื้อเที่ยง ผลไม้ (ได้แก่ ส้ม แอปเปิ้ล) มื้อเย็นรับประทานสลัดและผลไม้เพียงแค่นี้ก็สามารถทำให้คุณได้รับผักและผลไม้ 5 ชนิดในแต่ละวัน

8   รับประทานผลไม้สดแทนการดื่มน้ำผลไม้

9   รับประทานกระเทียม เพราะกระเทียมมีคุณสมบัติช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดลง

10 รับประทานผักที่มีวิตามิน ซีและอีสูง อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ พริกเขียว พริกแดง สตอร์เบอรี่ บร๊อคโคลี่ ส้ม แคนตาลูป สับปะรด เป็นต้น อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ เมล็ดถั่วเหลือง ถั่วอัลมอนด์ ถั่วเปลือกแข็ง น้ำมันถั่วเหลือง ถั่วเหลือง เป็นต้น

11 มีบางการศึกษาแสดงให้เห็นว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อย ๆ ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลลง แต่ถึงอย่างไรก็ตามแพทย์ก็ไม่แนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

นอกจากนี้ควรปฏิบัติดังนี้

1  ออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดิน รำไทเก็ก เป็นต้น

2  อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ชา กาแฟ เหล้า บุหรี่ เกลือและน้ำตาล อาหารกระป๋อง หรือสำเร็จรูป ขนมปังขาว

 

Credit : โรงพยาบาลพัทลุง
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #272 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2014, 09:01:25 pm »
ท้องเสียคร้ังต่อไปคิดถึง “ฝรั่ง”


-http://club.sanook.com/17580/%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%96-




ใครที่มีอาการท้องเสียบ่อย ๆ  วันนี้มีวิธีรักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่งมาบอก

นำใบฝรั่งมาล้างน้ำให้สะอาด ประมาณ 10-15 ใบ แล้วโขลกพอแหลก ใส่น้ำ 1 แก้วใหญ่ นำไปต้มใส่เกลือ พอเดือดยกลงนำมาดื่มแทนชา ได้ผลดี

นำผลฝรั่งอ่อน ๆ มาฝานเอาแต่เปลือกกับเนื้อ ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วกินรวมกัน หรือจะใช้ต้มดื่มเป็นน้ำฝรั่งก็ได้

นำใบฝรั่งสดที่ไม่อ่อน และไม่แก่เกินไป มาตัดหัวตัดท้าย แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ ตักน้ำที่ได้จากการแช่ใบฝรั่ง มาจิบทีละนิด ก็ช่วยรักษาได้เช่นกัน แต่อย่าจิบมากจนเกินไป อาจทำให้ท้องผูกได้ ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันได้

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #273 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2014, 10:04:05 pm »
6 สมุนไพรหยุดเลือดกำเดา

-http://club.sanook.com/20497/6-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B2-





เลือดกำเดาไหลเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยมากมักไม่ใช่สาเหตุร้ายแรง ซึ่งจะมีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดได้เอง แต่อาจเกิดจากความผิดปกติและโรคต่างๆ ได้

เมื่อมีเลือดกำเดาออก อย่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูก  นอกจากการปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณสันจมูกที่หลายคนรู้จักกันดีแล้ว เมษามีวิธีหยุดเลือดกำเดาง่ายๆ ก็คือ การกดบีบจมูก
และนอกจากนี้เรายังมียาสมุนไพรไทยรักษาเลือดกำเดาไหลจาก คุณบุญยืน ผ่องแผ้ว หรือหมอน้อย หมอสมุนไพรประจำคลินิกหนองบงการแพทย์แผนไทย จังหวัดลพบุรี มาแนะนำกัน

• ใบพลู ใช้ใบพลู 1 ใบ ม้วนให้กลมเหมือนมวนบุหรี่ ขนาดให้พอดีรูจมูก ขยี้ปลายข้างหนึ่งให้พอช้ำ นำปลายที่ช้ำสอดเข้าไปในจมูกข้างที่มีเลือดไหล ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เลือดจะหยุดไหล เพราะใบพลูมีสรรพคุณช่วยสมานแผลได้ดี

• น้ำมะนาว ใช้มะนาวครึ่งลูกบีบใส่น้ำร้อน 1 แก้ว เติมเกลือครึ่งช้อนชา น้ำตาลทรายไม่ขัดขาวครึ่งช้อนโต๊ะ ชงดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 1 ครั้ง ก่อนอาหาร น้ำมะนาวมีวิตามินซีสูง แก้เลือดออกตามไรฟัน ลักปิดลักเปิด และเลือดกำเดาไหลได้

• รากต้นข้าว ใช้รากข้าวที่เกี่ยวแล้ว 1 ต้น ถอนทั้งรากทั้งโคน ยาวประมาณ 1 คืบ (ตั้งแต่รากขึ้นไป) ล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำ 1 ลิตร รอจนเดือด กรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหาร เช้า-เย็น ช่วยห้ามเลือดกำเดาไหล

• รากต้นฝรั่ง ใช้รากต้นฝรั่ง 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำ 1 ลิตร รอจนเดือด กรองเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหาร เช้า-เย็น

• รากหัวไชเท้า ใช้รากหัวไชเท้าหนัก 1 บาท หรือประมาณ 15 กรัม ล้างน้ำให้สะอาด ตำหรือคั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นใช้น้ำที่คั้นได้หยอดเข้าทางจมูกข้างที่มีเลือดไหล 1-2 หยด หัวไชเท้ามีสรรพคุณสมานแผลและห้ามเลือดได้
.
• รากไพล ใช้รากไพล 7 ราก ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด หลังจากนั้นใส่น้ำเปล่า 3 หยด ขยี้ให้เข้ากัน กรองเอาแต่น้ำ หยอดน้ำรากไพลในรูจมูกข้างที่เลือดไหล ไพลมีสรรพคุณช่วยแก้เลือดกำเดาไหลและฆ่าเชื้อ

ขอขอบคุณ สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #274 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2014, 08:05:15 am »
วิธีทำให้ผิวขาว 7 ข้อ ด้วยการดื่มน้ำอย่างถูกต้อง

-http://women.kapook.com/view82351.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          การมีผิวขาววิ๊งดูใส ๆ คงเป็นความปรารถนาของสาว ๆ ทุกคน เพราะไม่ว่าใครก็คงอยากเป็นเจ้าของผิวสุขภาพดีด้วยกันทั้งนั้น แต่สาว ๆ รู้ไหมคะว่า ผิวฉ่ำน้ำดูขาวใสสุขภาพดีสามารถได้มาง่าย ๆ ด้วยการดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวันเท่านั้นเอง อ๊ะ ! พอมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัย แค่ดื่มน้ำเยอะ ๆ แล้วผิวจะขาวใสได้จริงเหรอ เอ้า ! ถ้าอย่างนั้นตามมาดูวิธีดื่มน้ำที่ถูกต้อง เพื่อผิวขาววิ้งใสเว่อร์กันก่อนดีกว่า เรากล้าการันตีด้วยว่า ดื่มน้ำตาม 7 วิธีข้างล่างนี้เป็นประจำ ผิวของคุณจะดูขาวใส สุขภาพดีได้แน่นอนจ้า

        1. จิบน้ำปริมาณน้อย ๆ แต่ทำเป็นประจำ

          สาว ๆ หลายคนเผลอกินตามใจปากจนเพิ่มพูนไขมัน และทำให้ผิวเกิดความหย่อนคล้อยจากไขมันที่สะสมโดยไม่รู้ตัว และวิธีแก้ที่แสนฮิต ก็คงหนีไม้พ้นการงดน้ำหวาน น้ำอัดลม อาหารจานหลัก แล้วเลือกดื่มแต่น้ำเปล่าอัดเข้าไปเยอะ ๆ แต่มันไม่ใช่วิธีที่ดีต่อสุขภาพเลยนะจ๊ะ เพราะคุณมีโอกาสบวมน้ำได้ง่าย ๆ เลยล่ะ ฉะนั้นทำเพียงแค่จิบน้ำบ่อย ๆ ตลอดทั้งวัน ลดอาหารแคลอรี่สูง และออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันจะดีกว่า

        2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อรักษาสมดุลค่า pH

          ค่า pH มีตั้งแต่ระดับ 0-14 ซึ่งสมดุล pH ที่เหมาะสมของร่างกายจะต้องอยู่ที่ระดับ 7 โดยคุณสามารถทำให้มันสมดุลได้ด้วยการดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และเพื่อขับของเสีย ผลัดเซลล์ผิว ให้ผิวเผยความกระจ่างใสได้อย่างเต็มที่ อ้อ ! นอกจากนี้ก็ควรล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิปกติ หลังจากใช้โฟม หรือล้างเครื่องสำอางออกแล้ว เพื่อเป็นการชำระสารเคมีตกค้างบนผิวให้หมดจดด้วยนะจ๊ะ

        3. ไล่สารพิษตกค้าง ด้วยน้ำสะอาดบริสุทธิ์

          น้ำดื่มสะอาดใสเป็นตัวช่วยดีท็อกซ์ และล้างสารพิษที่ทรงประสิทธิภาพอย่างน่าทึ่ง เพราะเพียงแค่คุณดื่มน้ำในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกายสักเล็กน้อยเป็นประจำ สารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกายจากการกินอาหารสารพัดชนิดทุกวัน ก็จะถูกขับออกมาในรูปของปัสสาวะ ซึ่งก็แน่นอนว่าเมื่อตัวการทำให้ผิวหมองคล้ำถูกขับออกไปจากร่างกายเรียบร้อยแล้ว ผิวขาวใสก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม

        4. ดื่มน้ำมากพอ ชะลอความเหี่ยวย่น

          เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าน้ำจะช่วยทำให้ผิวของเราชุ่มชื้น ยิ่งถ้าดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอเป็นประจำ ก็หมดกังวลเรื่องริ้วรอยเหี่ยวย่นแห่งวัยไปได้เลย เพราะน้ำจะช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวให้เต่งตึง ไม่แห้งเหี่ยวและหย่อนคล้อย เอ้า ! รู้อย่างนี้แล้วสาว ๆ ควรรีบพกน้ำดื่มติดตัวเอาไว้จิบบ่อย ๆ แล้วนะจ๊ะ

        5. น้ำช่วยป้องกันสิวได้อยู่หมัด

          ผิวหนังชั้นนอกของเรามีรูขุมขนจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ และรูขุมขนเหล่านี้ก็มีโอกาสรับฝุ่น สิ่งสกปรก และมลภาวะจากสิ่งแวดล้อมจนเกิดอาการอุดตัน เป็นสาเหตุให้เกิดสิวขึ้นได้ แต่น้ำจะเป็นตัวช่วยขับความสกปรกที่ฝังอยู่ในรูขุมขนเราออกไปอย่างสบาย ๆ ในรูปแบบเหงื่อ ดังนั้นคุณก็ควรต้องดื่มน้ำมาก ๆ และออกกำลังกายเป็นประจำด้วยนะคะ

        6. เติมความชุ่มชื้นฉ่ำน้ำให้ผิว

          นอกจากเราต้องดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว การอาบน้ำชำระล้างสิ่งสกปรก และเหงื่อไคลเป็นประจำทุกเช้าเย็นก็สำคัญไม่น้อย เพราะการอาบน้ำจะช่วยคืนความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าให้ร่างกาย เคลียร์ผิวให้สะอาดหมดจดทุกรูขุมขน ที่สำคัญการขัดถูร่างกายก็เปรียบเสมือนการกระตุ้นให้เซลล์ผิวผลิตน้ำมันธรรมชาติออกมา อย่างนี้ผิวนุ่มชุ่มชื้นเต่งตึงจะรอดมือเราได้ยังไงล่ะเนอะ

        7. ลดความแห้งตึงของผิว

          หากลองใช้หลังเล็บขูดบนผิวหนังเบา ๆ แล้วปรากฏเป็นรอยสีขาวขุ่นเป็นทาง นั่นก็แสดงว่า ผิวของคุณกำลังขาดความชุ่มชื้นเข้าขั้นวิกฤตแล้วนะจ๊ะ ดังนั้นก็คงต้องดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้เซลล์ผิวอิ่มน้ำ เปล่งประกายความขาวใสวิ้งสะดุดตา


          น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับร่างกาย และเซลล์ผิวของเรามากเลยทีเดียวเนอะ ถ้าอย่างนั้นสาวคนไหนรู้ตัวว่าดื่มน้ำน้อยอยู่แล้ว คงต้องหันมาดื่มน้ำให้มากขึ้นกันแล้วล่ะ จะได้มีผิวที่ขาวใสดูสุขภาพดี เปล่งประกายออร่าวิ้ง ๆ เตะตาทุกคนจ้า



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #275 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2014, 06:22:22 pm »

7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทราย

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/7_%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9C%E0%B8%A5_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2/-



7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทรายแม้น้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไปค่ะ

1. เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล
2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง
3. หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่นหัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น
4. การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน
5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป
6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะ "เชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"
7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่

ที่มาข้อมูล bloggang.com

-------------------------------------------------------------------------



ยาคูลท์ กำจัดกลิ่นจุดซ่อนเร้นสาว


-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B9%8C_%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-


เชื่อว่าสาวๆ คงไม่อยากมีปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์บริเวณจุดซ่อนเร้นเป็นแน่ นอกจากจะส่งผลกับสุขภาพแล้ว ยังทำให้หมดความ มั่นใจอีกด้วย
สำหรับกลิ่นเหม็นไม่พึง ประสงค์ในจุดซ้อนเร้นของสาวๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดได้จากเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีในช่องคลอดลดน้อยลง ซึ่ง ถูกทำลายโดยแบคทีเรีย จนเกิดเป็นกลิ่นเหม็นออกมา ในบางรายกลิ่นอาจจะแรงมาก แม้ในขณะเข้าใกล้ แต่ไม่ใช้เรื่องที่น่าตกใจ เพราะปัญหาที่เกิดนี้มีวิธีรักษาได้อย่างง่ายดาย
ส่วนวิธีรักษานั้น เพียงแค่เพื่อนๆ เพิ่มเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปทำลายแบคทีเรียที่เกิดอยู่ โดยเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีที่ว่านี้ ก็คือเชื้อ "แลคโตบาซิลัส" (Lactobacillus) ที่มีอยู่ในยาคูลท์ ซึ่งเพื่อนๆ คงรู้จักกันดี
 เพียงแค่เพื่อนๆ "ทานยาคูลท์วันละขวด" เพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ชนิดดีให้กับร่างกาย ให้เข้าไปทำลายแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น เท่านี้กลิ่นเหม็นที่เพื่อนๆ ไม่พึงประสงค์ในจุดซ้อนเร้นก็จะหายไปเอง


ที่มาข้อมูล internet

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #276 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2014, 01:56:26 am »
สะตอ

พบทั่วไปในภาคใต้และภาคตะวันออก ชอบเจริญตามเชิงเขาที่มีสภาพป่าสมบูรณ์มีความชื้นในอากาศสูงสามารถเจริญเติบโตร่วมกับพืชอื่นได้ดี

วันจันทร์ 24 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 00:00 น.


-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/218170/%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%AD-


สะตอ ผักที่เราคุ้นเคยกันอย่างดี อาจจะมีกลิ่นฉุนบ้างแต่อร่อย การปลูกต้นสะตอนั้น สามารถปลูกได้ด้วยการใช้เมล็ด กิ่งชำ ติดตา สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโต พบทั่วไปในภาคใต้และภาคตะวันออก ชอบเจริญตามเชิงเขาที่มีสภาพป่าสมบูรณ์มีความชื้นในอากาศสูงสามารถเจริญเติบโตร่วมกับพืชอื่นได้ดี อาจนำสะตอมารับประทานเป็นผักสด หรือ นำมาทำเป็นอาหารได้ เช่น ผัดสะตอ  รู้ไหมว่า สะตอมีประโยชน์มากกว่าความอร่อย คือ มันมีสรรพคุณทางยาคือ “เมล็ด” มีรสจืดมัน ขับปัสสาวะ ช่วยลดน้ำตาลในเส้นเลือด กินเป็นประจำช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ฤดูกาลที่ใช้ประโยชน์ มิถุนายน-กรกฎาคม(ข้อมูลจาก http://natureherbel.awardspace.com/).

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #277 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2014, 02:43:32 am »
นอนไม่หลับ จัดไป “ผักกาดหอม”


-http://club.sanook.com/19429/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-


การนอนไม่หลับจะส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตหลายด้าน เช่น ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง อารมณ์แปรปรวน ไม่มีสมาธิ หงุดหงิด โมโหง่าย

ตอนนี้คุณไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะมีผลงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ที่คิดค้นมาเนิ่นนานแล้วว่า วิธีหนึ่งซึ่งช่วยให้นอนหลับได้ดี และใช้ได้ผลดี คือ การกินผักกาดหอมสดก่อนนอน หรือกินเป็นอาหารมื้อเย็น แพทย์ยุคกลางชาวอังกฤษชื่อ ดร. ดันแคน ค้นพบว่า ในใบและก้านของผักกาดหอมมีสารรสขมที่ชื่อว่า “แลกทูคาเรียม” สารนี้มีคุณสมบัติทำให้ง่วงนอน จิตใจสงบและผ่อนคลาย จึงทำให้เรานอนหลับได้ง่ายขึ้น  รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมลองดูนะ!


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #278 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2014, 10:27:19 pm »
“ฟอร์มาลีน” ภัยร้ายในอาหารสด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 กุมภาพันธ์ 2557 18:34 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000021712-




       ข่าวเรื่องการพบสารเคมีปนเปื้อนอยู่ในอาหารนั้นมีมานานแล้ว ซึ่งสารเคมีที่พบอยู่ในอาหารนั้น บางชนิดก็เป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว อย่างล่าสุดนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาบอกว่า ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2557 มีรายงานการสุ่มตรวจประเมินอาหารปลอดภัยของกรมอนามัย ในตลาดที่ จ.นครสวรรค์ 5 แห่ง โดยมีการเก็บอาหารตรวจทั้งหมด 275 ตัวอย่าง
       
       ผลที่ได้นั้นน่าตกใจมาก เพราะมีการพบการใช้สารฟอร์มาลินกับอาหารสด เพื่อไม่ให้เน่าเสียง่าย โดยใน 5 แห่งนี้ ตรวจพบ 102 ตัวอย่าง เฉลี่ยร้อยละ 25 แต่บางแห่งเช่นในตลาดสดขนาดใหญ่ในเมือง พบร้อยละ 59 ซึ่งอาหารที่ตรวจพบได้แก่ กุ้ง ปลาหมึก หมึกกรอบ ขิงหั่นฝอย กระชายหั่นฝอย เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหอมสด ถั่วฝักยาว สไบนาง (ผ้าขี้ริ้ว)
       
       ทางด้าน ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า อาหารในกลุ่มที่ตรวจพบฟอร์มาลินนั้น ที่ผ่านมามักจะตรวจพบสารฟอกขาว ซึ่งการที่ตรวจพบฟอร์มาลินสูงขึ้นอาจจะเป็นเพราะพ่อค้าแม่ค้าเปลี่ยนจากการใช้สารฟอกขาวมาใช้ฟอร์มาลินแทน ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศฉบับที่ 93 พ.ศ.2528 เรื่องวัตถุห้ามใช้ในอาหาร ผู้ใดละเมิดใส่ในอาหารต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ฐานผลิตอาหารไม่บริสุทธิ์
       
       สำหรับ “ฟอร์มาลิน” นั้น เป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง อยู่ในรูปของ “สารละลายฟอร์มัลดีไฮด์” ซึ่งหากอยู่ในสถานะก๊าซจะมีชื่อเรียกว่า “ฟอร์มัลดีไฮด์” ในทางการแพทย์จะใช้ฟอร์มาลินในการดองศพไม่ให้เน่าเปื่อย ใช้ฆ่าเชื้อโรค ฆ่าเชื้อรา และทำความสะอาดห้องผู้ป่วย ส่วนในอุตสาหกรรมสิ่งทอจะใช้เป็นน้ำยาอาบผ้าไม่ให้ย่น นอกจากนี้คุณสมบัติที่ช่วยฆ่าเชื้อโรคและเชื้อรา ยังถูกนำไปใช้ในการเก็บรักษาธัญพืชหลังการเก็บเกี่ยวและใช้เพื่อป้องกันแมลง แต่ไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร
       
       ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เหล่านี้ จึงมีคนหัวใสนำฟอร์มาลินมาราดใส่ลงในอาหารสดเพื่อให้คงความสดได้นาน ไม่เน่าเสียเร็ว ซึ่งอาหารที่มักจะพบว่ามีฟอร์มาลินอยู่ อาทิ อาหารทะเลต่างๆ โดยเฉพาะปลาหมึก เนื้อสัตว์ต่างๆ ผักสด เช่น ถั่วฝักยาว หน่อไม้ ยอดมะพร้าว ผักกาดขาว ฯลฯ
       
       ดังที่บอกว่าฟอร์มาลินนั้นเป็นสารเคมีที่มีพิษ ซึ่งหากสูดดมฟอร์มาลินเข้าไปจะมีผลต่อระบบหายใจ คือ แสบจมูก เจ็บคอ ไอ หายใจไม่ออก หากสูดดมในปริมาณมากอาจทำให้ปอดอักแสบ น้ำท่วมปอด และอาจเสียชีวิตได้ ส่วนผลต่อระบบผิวหนังคือ ทำให้เกิดผื่นคัน จนถึงผิวหนังอาจไหม้ หรือเปลี่ยนเป็นสีขาวได้หากสัมผัสกับฟอร์มาลินโดยตรง
       
       ในส่วนของการนำฟอร์มาลินมาใช้กับอาหาร หากบริโภคอาหารที่ถูกปนเปื้อนเข้าไปในปริมาณมาก จะเกิดพิษต่อระบบทางเดินอาหาร อาจมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ปวดท้อง ในปากและคอแห้ง หัวใจเต้นเร็ว แน่นหน้าอก อาจมีอาการถ่ายท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะไม่ออกหรือปัสสาวะเป็นเลือด มีอาการเพลีย เหงื่อออก ตัวเย็น คอแข็ง และเคยมีรายงานว่ามีผู้กินฟอร์มาลิน 2 ช้อนโต๊ะเพื่อฆ่าตัวตาย พบว่าตายในเวลา 3 ชั่วโมงหลังจากได้รับสารดังกล่าว และเมื่อผ่าศพชันสูตรพบแผลไหม้ในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก
       
       นอกจากผลที่เกิดขึ้นในระยะสั้นที่ปรากฏอาการให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ยังมีรายงานผลจากฟอร์มาลินในระยะยาว โดยสารฟอร์มัลดีไฮด์ซึ่งเป็นสารประกอบของฟอร์มาลิน เป็นสารกระตุ้นที่ทำให้เกิดมะเร็งได้อีกด้วย
       
       การหลีกเลี่ยงฟอร์มาลินที่ปนเปื้อนในอาหาร อาจจะดูเป็นเรื่องยากหากต้องซื้อหาผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ต่างๆ จากท้องตลาดทั่วไป ผู้บริโภคควรจะต้องอาสัยการสังเกตลักษณะของอาหารว่ามีความแตกต่างจากปกติหรือไม่ อาทิ เนื้อสัตว์ หากวางขายอยู่นาน ถูกแดดถูกลมแล้วก็น่าจะมีลักษณะเหี่ยวลง ดูไม่สดเหมือนเดิม แต่ถ้ายังดูมีความสดมากๆ แม้จะวางขายอยู่นานแล้ว หรือหากมีกลิ่นฉุนๆ แสบจมูก ก็ไม่ควรซื้อมาบริโภค


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #279 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2014, 10:47:40 pm »

มะพร้าว ผลไม้มากคุณประโยชน์


-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7_%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C/-





มะพร้าวนอกจากจะทานเป็นอาหารว่าง เช่นมะพร้าวอ่อน มะพร้าวเผา หรือเป็นส่วนประกอบในอาหารหวานคาว แต่ประโยชน์ของมะพร้าวไม่ได้หมดเพียงเท่านี้เนื่องจากทุกส่วนของมะพร้าวสามารถนำมาใช้ได้แทบทั้งสิ้น

ประโยชน์ของมะพร้าวในด้านต่างๆ
ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหาร
ยอดอ่อนของมะพร้าวนำมาผัดหรือแกง ส่วนผลอ่อนรับประทานสดหรือนำมาเผา ทำห่อหมกมะพร้าวอ่อน จั่นของมะพร้าว (ช่อดอก) ตัดปลายวงจะได้น้ำหวานที่นำมาทำน้ำตาลปี๊บ น้ำมะพร้าวนำมาทำเนยเทียม ทำน้ำมันปรุงอาหาร ทำวุ้นมะพร้าว สำหรับเนื้อมะพร้าวคั้นกะทิใช้แกง ทำขนม ใช้ทำน้ำมันมะพร้าว

ใช้ประโยชน์ทางยา
-กะลามะพร้าว ใช้เผาให้เป็นถ่าน แล้วนำมาบดเป็นผงละเอียดผสมน้ำดื่มวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 0.5-1 ช้อนชา แก้ปวดกระดูกและเส้นเอ็น
-ดอก มีรสฝาดหวานเป็นยาแก้ท้องเสีย แก้เจ็บคอ แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุงโลหิตแก้ปากเปื่อย
-ราก มีรสฝาดเป็นยาแก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ
-เปลือกต้นสด ใช้เผาไฟให้เป็นเถ้าใช้แก้ปวดฟัน ทาแก้หิด
-เนื้อมะพร้าวสดหรือแห้ง เป็นยาบำรุงกำลัง ขับพยาธิ แก้ไข้ แก้กระหายน้ำ
-น้ำมะพร้าว เป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย แก้พิษ แก้นิ่ว แก้อาเจียนเป็นโลหิต

ประโยชน์ด้านอื่นๆ
-กากเนื้อมะพร้าวที่เหลือจากการคั้นกะทิ ใช้ทำอาหารสัตว์
-ใบ ใช้มุงหลังคา ทำเครื่องจักรสาน,ไม้กวาด
-กาบมะพร้าว ใช้ทำเชือก,พรม,ทำเบาะ
-ใยมะพร้าว นำไปใช้ยัดฟูก,ทำเสื่อ

มะพร้าวมีประโยชน์มากมายจริงๆ  หากบริเวณบ้านมีพื้นที่ว่างก็ควรหามะพร้าวมาปลูกไว้สักต้นสองต้น เผื่อจะได้ใช้ประโยชน์ด้านใดด้านหนึ่งตามที่กล่าวมา นอกจากปลูกไว้ใช้ประโยชน์แล้ว มะพร้าวยังให้ร่มเงาให้ความเป็นธรรมชาติกับเราอีกด้วย

 

ที่มาข้อมูล tsgclub.com
ที่มารูปภาพ n3k.in.th
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)