ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129496 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #260 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2014, 10:01:11 pm »
6 สมุนไพรที่ลำไส้ขาดไม่ได้!

-http://club.sanook.com/23331/6-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84-


หากคุณเป็นคนนึงที่ประสบปัญหากับอาการปวดท้อง จุกเสียด อยู่เป็นประจำ ลองหันมารับประทานอาหารที่ประกอบด้วย 6 สมุนไพร ดังต่อไปนี้ เพื่อช่วยป้องกันอาการไม่สบายในลำไส้กันจะดีกว่า



1. ใบแมงลัก
น้ำมันหอมระเหยจากใบแมงลักเป็นยาช่วยย่อยชั้นเซียน ลำไส้ใครไม่ค่อยทำงานจนท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ ลองชิมใบแมงลักสักสี่ห้าใบแล้วจะติดใจ นอกจากนั้นยังช่วยขับลมในลำไส้ อาหารไม่ย่อย อาการอึดอัด แน่นไม่สบายท้อง ให้นำต้นและใบแมงลักต้มน้ำดื่ม

2. พริกสด
ความเผ็ดซู่ซ่าของพริกคืออยากกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งน้ำลายออกมา จากนั้นเอนไซม์ของน้ำลายจะช่วยย่อยแป้งให้อ่อนตัวลง กระเพราะกับลำไส้จะได้ไม่ต้องทำงานโหลดจนเกินไป

3. หอมแดง

แค่กินหอมแดงอย่างเดียว ลำไส้คุณก็ยิ้มแล้ว เพราะเท่ากับซื้อหนึ่งได้ถึง สี่ ได้แก่สารฟลาโวนอยส์ ไกลโคไซต์ เพคติน และกลูโคคินิน 4 สารบำรุงลำไส้และช่วยย่อยและทำให้เจริญอาหาร คุ้มกว่านี้มีอีกไหม

4. ใบกะเพรา
ถึงชื่อเสียงของกะเพราจะมืดมนไปมาก ตั้งแต่ผักกะเพราถูกตั้งชื่อว่าผักสิ้นคิด แต่สรรพคุณของมันยังแจ่มเหมือนเดิม โดยเฉพาะสรรพคุณในการขับน้ำดีในกระเพราะอาหารมาช่วยย่อยอาหารที่เรากินเข้าไป นอกจากนั้นยังช่วยย่อยไขมัน ลดอาการจุกเสียด

5. ตะไคร้
ให้เคี้ยวกิน แต่กินยากเกินไปหน่อย แต่ถ้าทำเป็นชาตะไคร้ หรือซอยบางๆกินกับยำ คงไม่ลำบากมากเกินไปสำหรับคนรักสุขภาพ สรรพคุณของตะไคร้เริ่ดไม่แพ้ใบกระเพรา คือช่วยขับน้ำดีออกมาย่อยอาหารเหมือนกัน รวมถึงแก้อาการปวดกระเพาะ และช่วยขับปัสสาวะ

6. กระเทียม
มีสูตรเด็ดเคล็ดลับสำหรับคนที่มีอาการอาหารไม่ย่อยมาฝาก ให้เอากระเทียมมา 5 กลีบแล้วสับละเอียด กินทันทีหลังอาหาร กระเทียมจะช่วยกระตุ้นให้กระเพาะอาหารจอมขี้เกียจของคุณยอมย่อยอาหารมื้อนั้นแต่โดยดี ถ้ากินทุกวันไม่นานอาการอาหารไม่ย่อยก็จะหายไปเอง นอกจากนั้นยังช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #261 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2014, 09:57:02 pm »
กินผักเพื่อสุขภาพแต่มีเสี่ยงตายแถมพ่วงด้วยมะเร็ง!! สธ.แนะวิธีล้างผัก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 กุมภาพันธ์ 2557 16:16 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000013682-

สธ.เผยกินผักได้สุขภาพดีแต่ก็เสี่ยงตาย ชี้ผักนอกฤดูกาลเสี่ยงมีสารเคมีตกค้างมากกว่า ระบุสะสมสารพิษในร่างกายมากเสี่ยงมะเร็งเต้านม แนะวิธีล้างให้สะอาดก่อนกิน และกินให้มากขึ้นวันละ 400 กรัม

นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า การกินผักต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย โดยเฉพาะเรื่องสารเคมีตกค้าง หรือการสะสมจากยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ที่เป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะยาฆ่าแมลงจำพวกคลอริเนตเตทไฮโดรคาร์บอน หรือเรียกว่าออร์กาโนคลอรีน ได้แก่ อัลดริน เคลเธน ดีดีที คลอเดน ดรีลดริน เป็นต้น ซึ่งอยู่ในธรรมชาติได้นานไม่สลายตัวได้งาย ก่อให้เกิดปัญหาสารพิษตกค้าง และเป็นอันตรายมาก เมื่อได้รับสารนี้ในปริมาณมากจะทำให้เวียนศีรษะ หน้ามืด ท้องร่วง อาจเกิดหัวใจวาย และตาย ถ้าได้รับในปริมาณน้อยๆ ค่อยๆ สะสมในร่างกายจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง ผู้บริโภคจึงควรหลีกเลี่ยงการกินผักนอกฤดูกาล เนื่องจากมีแนวโน้มของการใช้สารเคมีมากกว่าผักตามฤดูกาล
       
       นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า ก่อนกินผัก หรือนำมาปรุงควรล้างน้ำให้สะอาด ด้วยการลอกเปลือกด้านนอกออกล้างผ่านน้ำก๊อกที่ไหลนาน 2 นาที หรือแช่ในน้ำผสมเกลือ หรือน้ำผสมน้ำส้มสายชู ทิ้งไว้นาน 10-15 นาที หรือแช่ในน้ำผสมโซเดียมไบคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 กะละมัง หรือน้ำประมาณ 4 ลิตร จากนั้นนำมาผักมาล้างน้ำสะอาดอีก 2-3 ครั้ง เพื่อให้สารพิษที่ตกค้างออกให้หมด ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะโรคมะเร็งเต้านม
       
       “องค์การอนามัยโลกแนะนำให้กินผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ เช่น หัวใจขาดเลือด เส้นเลือดในสมองตีบ และมะเร็งบางชนิด เนื่องจากคนไทยกินผักน้อยลง โดยเฉพาะเด็กไทยร้อยละ 58.9 ไม่ได้กินผักทุกวัน กินผักเพียงช้อนครึ่งต่อวัน ทั้งที่ควรกินผักให้ได้วันละ 12 ช้อนกินข้าว ส่วนผู้ใหญ่กินผักเพียงวันละ 2 ช้อนครึ่งเท่านั้น ทั้งที่ควรกินผักถึง 18 ช้อนต่อวัน หรือ 6 ทัพพี โดยให้กินผักที่หลากหลาย เพราะผักมีใยอาหาร หรือเส้นใย ช่วยทำความสะอาดลำไส้ และช่วยลดการดูดซึมไขมัน คอเลสเตอรอลในเลือด มีวิตามิน และแร่ธาตุ ช่วยปรับสมดุลเอนไซม์ และฮอร์โมนในร่างกายให้ทำงานมีประสิทธิภาพ ให้สารพฤกษเคมีที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต้านการอักเสบของเซลล์ และเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว


----------------------------------------------------------------------------------------------

4 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับมะเร็ง รู้ไว้ช่วยเซฟชีวิตได้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 กุมภาพันธ์ 2557 17:18 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000013735-

มะเร็งยังคร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับ 1 สธ.เผยคนไทยมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับมะเร็ง 4 เรื่อง จนเป็นอุปสรรคในการรณรงค์ป้องกันมะเร็ง ทั้งไม่กล้าพูดเรื่องมะเร็ง คิดว่าไม่มีสัญญาณเตือน ทั้งที่มีถึง 7 สัญญาณ เชื่อว่าเป็นโรคโชคชะตา ทั้งที่ป้องกันได้ และคิดว่าไม่มีสิทธิการรักษา ทั้งที่มีสามารถรับยารักษาได้ทั้ง 3 กองทุน

วันนี้ (4 ก.พ.) ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานรณรงค์ป้องกันโรคมะเร็ง เนื่องในวันมะเร็งโลก ว่า โรคมะเร็งเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของโลก และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยพบว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ประมาณ 12.7 ล้านราย และเสียชีวิตปีละประมาณ 7.6 ล้านคน ในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 70 เป็นประชากรที่มีรายได้น้อย หรือปานกลาง ทั้งนี้ สถานการณ์ในไทยตั้งแต่ปี 2541 มะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของคนไทย ซึ่งแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตประมาณ 60,000 ราย โดยในเพศชายพบว่า ป่วยเป็นมะเร็งตับสูงสุด ส่วนในเพศหญิง ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมสูงสุด และจะเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมประมาณ 8,000 รายต่อปี โดยผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปมีแนวโน้มป่วยเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น
       
       “จากปัญหาดังกล่าว สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ จึงได้มีการกำหนดนโยบายป้องกัน และควบคุมโรคมะเร็งระดับชาติ เพื่อให้ตระหนักถึงปัญหาของโรคมะเร็ง และหาแนวทางในการป้องกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการจัดกิจกรรมนำรถเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ระบบดิจิตอลที่ทันสมัยที่สุดในเอเชีย และเป็นคันแรกของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทั้งนี้ ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงทำให้ได้ผลการตรวจที่มีความละเอียดสูง โดยการนำรถตรวจดังกล่าวมาให้บริการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมแก่ผู้ต้องขังหญิงนั้น ก็เพื่อให้เข้าถึงบริการด้านสุขภาพ” อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าว
       
       ด้าน นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ปัญหา และอุปสรรคที่สำคัญในการรณรงค์ป้องกันโรคมะเร็ง คือประชาชนส่วนหนึ่งมีความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับโรคมะเร็งใน 4 ประเด็นหลัก คือ 1.มีความเข้าใจผิด ไม่กล้าพูดเรื่องมะเร็งเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเศร้า ซึ่งที่จริงแล้วควรมีการพูดคุยกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจโรคมะเร็งมากขึ้น เพื่อรู้วิธีดูแล และป้องกันตัวเอง 2.คิดว่ามะเร็งไม่มีสัญญาณเตือน ทั้งที่จริงแล้วมี 7 สัญญาณเตือน ได้แก่ ระบบขับถ่ายเปลี่ยนแปลง แผลที่ไม่รู้จักหาย ร่างกายมีก้อนตุ่ม กลุ้มใจเรื่องกลืนกินอาหาร ทวารทั้งหลายมีเลือดไหล ไฝหูดเปลี่ยนไป ไอและเสียงแหบเรื้อรัง 3.เชื่อว่ามะเร็งเป็นโรคโชคชะตาฟ้าลิขิตเป็นเรื่องของเวรกรรม แต่เรื่องจริงแล้วสามารถป้องกันได้จากการลดปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ งดสูบบุหรี่ งดดื่มสุรา ไม่กินปลาน้ำจืดดิบ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นผักผลไม้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของมื้ออาหาร และออกกำลังกายสม่ำเสมอ และ 4.คิดว่าไม่มีสิทธิในการรักษา ทั้งที่ปัจจุบันทุกสิทธิการรักษาสามารถได้รับการรักษาโรคมะเร็งได้ทุกคนทั้ง 3 กองทุน และหากรู้ว่าเป็นมะเร็งตั้งแต่ระยะแรกก็สามารถรักษาให้หายขาดได้
       
       นางกัญจน์รัชต์ แก้วจันทร์ ผอ.สถานพยาบาลทัณฑสถานหญิงกลาง กล่าวว่า สำหรับจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ทัณฑสถานฯ ตั้งแต่เดือน มิ.ย.2555-มิ.ย.2556 นั้นพบป่วยทั้งสิ้น 23 ราย เป็นโรคมะเร็งเต้านม 9 ราย มะเร็งมดลูก 10 ราย มะเร็งรังไข่ 1 ราย มะเร็งที่แก้ม 2 ราย และมะเร็งลำไส้ 1 ราย ทั้งนี้ สำหรับการรักษานั้นทางทัณฑสถานฯ จะส่งผู้ป่วยมารักษาที่สถาบันมะเร็งโดยผู้ป่วยจะได้รับโอกาสในการรักษาเหมือนกับบุคคลทั่วไป
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #262 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2014, 03:04:18 am »
 “ผักดิบ” กินมากไปก็เป็นโทษ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 กุมภาพันธ์ 2557 14:01 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000013653-

พูดถึงอาหารสุขภาพ แน่นอนว่าจะต้องมีอาหารจำพวกผักอยู่ในนั้นด้วย อย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า “ผัก” นั้นมีประโยชน์มากมาย แต่หากว่าเรากินผักไม่ถูกวิธี ผักที่ว่าเป็นประโยชน์นั้นก็อาจจะกลายเป็นโทษไปก็ได้
       
       “108 เคล็ดกิน” จึงมีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับการกินผักดิบๆ มาฝากกัน จะมีอะไรบ้างนั้นลองไปดูกันเลย
       
       “ถั่วงอก” เรากินกันทั้งแบบสุกและดิบ ใส่ในก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย หรือจะนำไปผัดผัก กินแกล้มกับขนมจีนน้ำยา ฯลฯ ซึ่งในถั่วงอกนั้นมีทั้งโปรตีน วิตามินซี วิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก และเลซิธิน ทั้งหมดนี้เป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากว่าจะเลือกกินถั่วงอกดิบก็ควรจะกินในปริมาณที่พอเหมาะเท่านั้น เพราะในถั่วงอกดิบมีสารไฟเตด ที่จะส่งผลในการขัดขวางการดูดซึมสารบางชนิดเข้าสู่ร่างกาย
       
       “ถั่วฝักยาว” มีเส้นใยอาหารสูง มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี โปรตีน และมีธาตุเหล็ก แต่ถ้ากินถั่วฝักยาวดิบ ก็ไม่ควรกินเยอะเกินไป เพราะในถั่วฝักยาวดิบจะมีแก็สสูง โดยเฉพาะแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ซึ่งอาจทำให้ท้องอืดได้ เนื่องจากกระบวนการในการย่อยเมล็ดและเปลือกของถั่วฝักยาวโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่
       
       “ผักตระกูลกะหล่ำปลี” ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อกโคลี ในผักกลุ่มนี้จะมีสารกอยโตรเจน ซึ่งจะไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้ร่างกายนำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อย ในระยะยาวอาจจะเป็นโรคคอพอกได้ แต่ในระยะสั้น หากกินมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดเพราะอาหารไม่ย่อย
       
       “หน่อไม้-มันสำปะหลัง” จะมีสารไซยาไนด์ ในรูปของ ไกลโคไซด์ ซึ่งมีผลต่อระบบประสาท ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย มึนงง หมดสติ หรืออาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจหยุดทำงานได้ ฉะนั้นควรจะนำไปปรุงสุก หรือนำไปต้มน้ำทิ้งก่อนนำมาปรุงอาหารต่อไป
       
       สำหรับผักทั้งหลายที่ “108 เคล็ดกิน” บอกมานี้ หากกินดิบในปริมาณที่พอเหมาะ ก็ไม่ได้เป็นพิษต่อร่างกาย การจะส่งผลเสียต่อร่างกายนั้น จะต้องกินผักชนิดนั้นๆ อย่างเดียว ในปริมาณมากเป็นกิโลกรัม หรือหลายๆ กิโลกรัม หลายๆ วันติดกัน แต่หากกินตามปกติในชีวิตประจำวัน กินผักหลายๆ ชนิดสลับกันไป ผักต่างๆ ก็จะกลับมาเป็นประโยชน์ให้กับร่างกายของเรา

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #263 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2014, 05:45:46 am »
ห้ามผู้ป่วยไตกิน “มะเฟือง” เสี่ยงไตวาย สะอึก ซึม ชัก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 กุมภาพันธ์ 2557 18:11 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000014676-




 แพทย์รามาฯ ชี้ “มะเฟือง” มีกรดออกซาลิค ห้ามผู้ป่วยไตกินเด็ดขาด ระบุร่างกายขับสารนี้ไม่ได้ เสี่ยงไตวายเฉียบพลัน สะอึก ซึม ชัก เผยคนทั่วไปกินได้แต่ไม่ควรกินมากเกินไป พบงานวิจัยไต้หวันทำให้เกิดนิ่วในหนู
       
       รศ.นพ.ม.ล.ชาครีย์ กิติยากร อายุรแพทย์ หน่วยโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา “มะเฟือง” เป็นผลไม้ที่มีความนิยมและมีโฆษณาสรรพคุณว่า สามารถลดน้ำตาลได้ และดีต่อผู้ป่วยเบาหวาน แต่จากการทบทวนงานวิจัยยังไม่พบงานวิจัยที่สนับสนุนเรื่องดังกล่าวมากนัก และพบว่ามีข้อควรระวังในการกินมะเฟืองด้วย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไต เพราะการกินมะเฟืองสามารถทำให้เกิดอาการไตวาย และส่งผลกระทบต่อสมองทำให้เกิดภาวะชักได้ เนื่องจากมะเฟือง โดยเฉพาะมะเฟืองชนิดเปรี้ยว จะมีสารบางชนิดที่ผู้ป่วยโรคไตไม่สามารถขับออกจากร่างกายได้
       
       “ผลการศึกษาพบว่า ในมะเฟืองเปรี้ยวจะมีปริมาณกรดออกซาลิคมากกว่ามะเฟืองชนิดหวาน ซึ่งในผู้ป่วยโรคไต โดยเฉพาะระยะ 4-5 ที่ต้องฟอกไตแล้ว จะไม่สามารถขับสารชนิดนี้ได้ ทำให้แม้แต่การกินเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลต่อสมองได้ ทำให้สะอึก ซึม และชัก ส่วนผู้ป่วยไตระยะปานกลาง หากกินมากเกินไปก็ทำให้เกิดอาการได้เช่นกัน และจะทำให้ไตเสื่อมลง จึงเป็นกลุ่มที่ต้องระวัง ส่วนคนทั่วไปสามารถรับประทานได้ แต่ต้องไม่มากจนเกินไป” รศ.นพ.ม.ล.ชาครีย์ กล่าว
       
       รศ.นพ.ม.ล.ชาครีย์ กล่าวอีกว่า รพ.รามาธิบดี เคยพบผู้ป่วยที่มีอาการไตวายเฉียบพลันจากมะเฟือง 2-3 ราย โดยพบว่ารายหนึ่งมีอาการไตอยู่ก่อน ส่วนอีกรายอายุประมาณ 20 ปี ได้ดื่มน้ำคั้นสดของมะเฟืองประมาณ 1 ลิตร ทำให้ปัสสาวะไม่ออก เมื่อตรวจได้พบตะกอนออกซาลิคในไต โดยในประเทศแถบเอเซียก็พบเคสลักษณะดังกล่าวเช่นกัน และมีงานวิจัยจากไต้หวัน ที่ทำในหนูทดลองก็พบว่า ทำให้เกิดนิ่วในไต อย่างไรก็ตาม การรับประทานมะเฟืองในคนทั่วไปสามารถทำได้ แต่ควรระวังในผู้ป่วยไต และผู้สูงอายุ เพราะอาจมีโรคไต หรือความเสื่อมของไตมากกว่าคนปกติ ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามความรู้เกี่ยวกับสุขภาพในรามาชาแนล www.ramachannel.tv

-----------------------------------------------------------------------------------



Infographic: หากินง่ายราคาถูก แต่สารอาหารบำรุงผิวเพียบ!
ASTVผู้จัดการออนไลน์
   5 กุมภาพันธ์ 2557 10:01 น.
  By Lady Manager

-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000013909-



 นำเสนออาหาร 5 ชนิดที่มีสรรพคุณช่วยให้ผิวสวยเซี๊ยะเปรี๊ยะ ซึ่งหาง่าย ขายทุกฤดูกาล ราคาก็ไม่แพงเลย
       
       ส้ม
       
       วิตามิน C ป้องกันผิวจากการถูกทำลายของรังสียูวี และช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน
       
       มะละกอ
       
       แคโรทีนอยด์ ซึ่งแตกตัวเป็นวิตามิน A เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รักษาผิวให้ชุ่มชื่น แลดูอ่อนเยาว์
       
       ธัญพืช
       
       กลุ่มวิตามิน B ช่วยเสริมสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นแทนที่เซลล์เก่า ผิวพรรณแข็งแรง และไนอะซิน ช่วยให้ผิวไม่แห้งกร้าน
       
       เมล็ดทานตะวัน
       
       กรดไขมันจำเป็น ช่วยให้น้ำมันธรรมชาติภายในผิวออกมาหล่อลื่น ปกป้องผิวจากการสูญเสียน้ำ ผิวนุ่ม สิวเสี้ยนลดลง
       
       ชาเขียว
       
       ฟลาโวนอยด์ และสารต้านอนุมูลอิสระ คอยต่อสู้กับรังสียูวีและมลภาวะ ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #264 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2014, 06:12:25 am »
เรื่องดีดีของ “หอยแครง”

-http://club.sanook.com/23942/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87-



ในตำราแพทย์แผนไทย หอยแครง จัดอยู่ในพิกัดเนาวหอย คือเปลือกหอย 9 เพื่อการปรุงยา โดยเอามาเผาไฟให้สุกดีจะได้ปูนหอย ใช้บรรเทากรดในกระเพาะอาหาร ขับลมในลำไส้ ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง ทำให้มีลมผายและลมเรอ ล้างลำไส้ ช่วยแก้กระษัย ขับนิ่ว ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ บำรุงกระดูก และร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในตำรับเพื่อรักษากระษัยปู คือปวดท้องน้อยเป็นกำลัง

หรือถ้าใช้ประกอบกับพืชและหอยชนิดอื่นๆ ก็สามารถช่วยขับพยาธิ ขับลม ฝาดสมาน รักษากระษัยจุก ด้วยการขับลม ล้างลำไส้ ขับปัสสาวะ แก้ท้องร่วง สมานลำไส้ เป็นต้น

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ควรรับประทานให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย และควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบห้าหมู่ ควบคู่ไปด้วย เพื่อสุขภาพที่ดีต่อร่างกาย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #265 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2014, 10:15:48 pm »

ทุเรียนกินดีมีประโยชน์ แต่โทษถึงตายถ้ากินเหล้า


-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C_%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2/-


จำได้ว่าเมื่อสมัยก่อน “108 เคล็ดกิน” มักจะได้รับคำเตือนจากผู้ใหญ่ว่าอย่ากินทุเรียนมากเกินไป เพราะว่าเป็นของร้อน กินมากแล้วจะร้อนใน ซึ่งที่จริงแล้วก็เนื่องมาจากว่าทุเรียนนั้นมีปริมาณน้ำตาล และไขมันสูง หากกินมากเกินไปก็จะทำให้ได้รับพลังงานมาก ซึ่งกระบวนการย่อยสลายสารต่างๆ ทั้งน้ำตาลและไขมันนั้นจะทำให้เกิดความร้อนขึ้นในร่างกายและอาจทำให้เกิดอาการขาดน้ำ
       
       แต่ต้องบอกว่าทุเรียนนั้นไม่ได้มีแต่โทษเพียงอย่างเดียว ใครที่ยังชอบกินทุเรียนอยู่ก็ยังกินได้อย่างสบายใจ เพราะนอกจากความอร่อยแล้วนั้น ทุเรียนก็ยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง ซึ่งจากการศึกษาทดลองได้พบประโยชน์จากทุเรียนว่ามีส่วนช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และทุเรียนที่มีความสุกกำลังดี โดยเฉพาะในพันธุ์หมอนทอง จะมีสารโพลีฟีนอล และสารฟลาโวนอยด์ ที่มีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ
       
       สำหรับแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในทุเรียนนั้นก็มีธาตุเหล็กและมีปริมาณเส้นใยอยู่มาก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนไขมันที่พบอยู่ในเนื้อทุเรียนนั้นก็เป็นไขมันชนิดดี และมีประโยชน์กับร่างกาย ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ ทั้งนี้ต้องกินในปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งตามปริมาณตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำนั้น แนะนำให้กินครั้งละไม่เกิน 2 เม็ดขนาดกลาง น้ำหนักเฉพาะเนื้อประมาณ 100 กรัม ซึ่งจะให้พลังงาน 187 กิโลแคลอรี
       
       ในคนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ให้ระวังการกินทุเรียน ยังสามารถกินได้แต่ควรกินในปริมาณที่น้อยกว่าคนปกติ ที่สำคัญคือ ห้ามกินทุเรียนคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ เพราะในทุเรียนมีสารกำมะถันอยู่มาก สามารถละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ ถ้ากินทุเรียนคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้แอลกอฮอล์ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วขึ้น ทำให้เมาเร็วและเมาหนัก เกิดความผิดปกติต่อระบบหายใจ เกิดอาหารร้อนใน แน่นอก ขาดน้ำ และอาจเสียชีวิตได้



ที่มาข้อมูลและรูปภาพ trueplookpanya.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #266 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2014, 09:37:14 pm »
.

กินผักใบเขียว ลดเสี่ยง โรคเบาหวาน


-http://club.sanook.com/23984/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7-%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87-%E0%B9%82-


เป็นที่ทราบกันดีว่าการกินผักใบเขียวและผลไม้ที่ไม่หวานมีผลดีต่อสุขภาพ   ช่วยลดโอกาสการเป็นโรคมะเร็ง  โรคหัวใจและหลอดเลือด   ได้มีการรวบรวมการศึกษาในต่างประเทศว่า การกินผักผลไม้ช่วยลดโอกาสเป็นโรคเบาหวานหรือไม่   โดยรวบรวมการศึกษาไปข้างหน้า    จากการวิเคราะห์เฉพาะ 4 การศึกษาที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการกินผักใบเขียว ในประชากร  1 แสน 8 หมื่นกว่าคน  และได้ติดตามตั้งแต่  4 ปีครึ่งไปจนถึง 23 ปี   พบว่า การกินผักใบเขียวช่วยลดโอกาสเป็นเบาหวานได้ถึงร้อยละ 14


ประโยชน์การกินผักเขียวตามแนวการกินอาหารแมคโครไบโอติกส์เชื่อว่า  ผู้ที่กินอาหารจำพวกผักใบเขียวและอาหารที่ไม่ปรุงแต่งเพียงพอ   จะทำให้เลือดมีความเป็นด่าง   ทำให้มีสุขภาพดีมากกว่าผู้มีเลือดเป็นกรด  ซึ่งภาวะเลือดเป็นกรดเกิดจากการกินอาหารประเภทแป้ง  น้ำตาล  เนื้อสัตว์  น้ำมัน อาหารปรุงแต่งอื่นๆ มากขึ้น    นอกจากนี้แล้ว  เมื่อพิจารณาเฉพาะใบหรือส่วนที่มีสีเขียว  เป็นแหล่งอาหารพลังงานของพืช ที่ได้จากการสังเคราะห์แสง   พืชผักเขียวจึงเป็นอาหารที่ให้พลังชีวิตที่ดี

ทำไมผักใบเขียวจึงต่างจากผัก ผลไม้อื่น ในการป้องกันโรคเบาหวาน   เชื่อว่าผักใบเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระ   โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนมากกว่า   มีสารแมกนีเซียมมากกว่า   ดังนั้น ในผู้ที่อ้วนลงพุง  ที่มีน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร  แต่ยังไม่เป็นเบาหวาน  ก็ควรกินผักใบเขียวให้มาก  ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ   เช่น  เดินเร็ว  150 นาทีต่อสัปดาห์   ลดน้ำหนักตัวลงร้อยละ 7 ในเวลา  6 เดือนจะช่วยลดโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าร้อยละ 50

สรุปได้ว่า การดูแลสร้างเสริมสุขภาพเพื่อการป้องกันโรคเบาหวาน   ควรให้ความสำคัญการดูแลตนเองหลายๆ ด้านร่วมกัน   รวมถึงการลดน้ำหนักตัว และควรเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์  โดยเฉพาะจำพวกผักใบเขียวให้มากพอ (ประมาณ 5 ฝ่ามือ / วัน ) และต้องมีการออกกำลังกายที่ไม่หนักเกินไปอย่างสม่ำเสมอด้วย  สุขภาพที่ดีเกิดได้จากการปรับวิถีชีวิตการกินอยู่ให้สมดุล  นั่นคือไม่มาก ไม่น้อยและเพียงพอ เพื่อให้ทุกๆ ระบบของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

Credit : กลุ่มงานสุขศึกษา    โรงพยาบาลลำปาง
ภาพประกอบจาก : www.Photos.com


----------------------------------------------------------------------------


ผงชูรส เลิกซะถ้าอยากผอม!

-http://club.sanook.com/24223/%E0%B8%9C%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%AA-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B0%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%AD%E0%B8%A1-



รายงานในวารสาร Obesity จากการค้นคว้าของทีมจากมหาวิทยาลัยนอร์ทแครอไลน่า ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์จีน ชวนให้คิดว่าการใช้ผงชูรสในอาหารจะทำให้ผู้ที่รับประทานเข้าไปอ้วนขึ้น





ผู้ค้นคว้าได้ทำการสอบคนจีนทั้งชายกับหญิงจำนวน 750 คน อายุระหว่าง 40-59 ที่อยู่ในหมู่บ้านภาคใต้กับภาคเหนือของประเทศจีน ส่วนใหญ่หุงอาหารเอง กับไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ประมาณ 82%ใช้ผงชูรส (MSG) ครอบครัวที่ใช้ผงชูรสมากมีจำนวนคนอ้วนมากเป็นสามเท่าของพวกที่ไม่ใช้ผงชูรส ทั้งนี้ได้เอาการออกกำลัง จำนวนแคลอรี่ที่กิน และปัจจัยอื่นๆมาคิดด้วยแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างการกินผงชูรสกับความอ้วนนี้รู้กันในสัตว์ทดลองมานานแล้ว แต่เพิ่งมารู้ในคน

MSG หรือ monosodium glutamate เป็นสารเคมีที่ทำให้อาหารมีรสชาดมากขึ้น บางคนเชื่อว่าเป็นรสที่ห้า คือนอกเหนือจากรสที่พบเป็นประจำสี่รส (หวาน เปรี้ยว เค็ม และ ขม) ไปกระตุ้นเซลล์ในสมองที่เกี่ยวข้องกับรส ประมาณกันว่าเมื่อ 50 กว่าปีที่แล้วในอเมริกามีการใช้ MSG เกือบห้าแสนกิโลกรัมต่อปี ทุกวันนี้การใช้เพิ่มขึ้น 300 เท่าตัวจากเมื่อ 50 ปีก่อน จำนวนคนที่น้ำหนักเกินก็มากขึ้นหลายเท่า

นอกจากจะทำให้น้ำหนักเกินแล้ว ผงชูรสยังอาจทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น ปวดหัวรุนแรง กับหัวใจเต้นเร็ว

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก วิชาการดอทคอม



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #267 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 12, 2014, 09:52:05 pm »
จำให้แม่น! ของแสลงสำหรับ 10 โรค



-http://club.sanook.com/24324/%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A-


ของแสลง  ก็คือบรรดาอาหารที่ไม่ถูกกับโรคทั้งหลาย แต่บางทีก็ทำให้เรางงเหมือนกันว่าเกี่ยวกันยังไง แต่ของอย่างนี้ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะขึ้นชื่อว่าภูมิปัญญาชาวบ้านแล้วไซร้ ฟังหูไว้หูก็ดีเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 10 โรคที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้







ไข้หวัด มีไข้สูง
ควรหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก อาหารที่เย็นมาก ๆ อาหารทอด อาหารมัน ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยยาก จะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมืออาหารเชื้อเพลิง หรือเป็นการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ

โรคกระเพาะ
ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ ๆ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ ทำให้เกิดความร้อนสะสม ทำให้โรคหายยาก ทางที่ดีควรจะรับประทานอาหารปริมาณน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลา และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย

โรคความดันเลือดสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาเลือดแข็งตัว ขาดความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีคอเรสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย และความชื้นก็มีผลก็ทำให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนทุกระบบในร่างกาย และความร้อนก็จะไปกระตุ้นทำให้ความดันสูง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด หรืออาหารหวานมาก รวมทั้งผลไม้อย่างลำไย ขนุน และทุเรียน

โรคตับและถุงน้ำดี
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอด อาหารหวานจัด เพราะแพทย์จีนถือว่า ตับและถุงน้ำดีมีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไป จะทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอลงและเกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

โรคหัวใจและโรคไต
ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัดเพราะจะทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ส่วนอาหารรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะทำให้กระตุ้นการไหลเวียนสูญเสียพลังงาน และหัวใจก็ทำงานหนักขึ้นเช่นกัน

โรคเบาหวาน
หลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน หรือแป้งที่มีแคลอรี่สูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ควรรับประทานอาหารพวกถั่ว เช่นเต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด

นอนไม่หลับ
หลีกเลี่ยงชา กาแฟ รวมทั้งการสูบบุหรี่ เพราะอาหารเหล่านี้ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือนอนไม่หลับสนิท

โรคริดสีดวงทวาร หรือท้องผูก
หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทย พริก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทำให้ท้องผูก หลอดเลือดแตก และอาการริดสีดวงทวารกำเริบ

ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด
ควรหลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม และอาหารรสเผ็ด เพราะจะไปกระตุ้นและทำให้อาหารผิวหนังกำเริบ

สิว หรือต่อมไขมันอักเสบ
งดอาหารเผ็ดและมัน เพราะทำให้เกิดการสะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด ควบคุมผิวหนัง ขน ตามร่างกาย ทำให้เกิดสิว
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก โรงพยาบาลรวมแพทย์ทุ่งสง



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #268 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2014, 09:54:26 pm »
ชะลอความแก่ด้วย “ปลาทู”

-http://club.sanook.com/24502/%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B9-





ปลาทู เป็นปลาที่มีสารอาหารมาก ในทะเลไทยปลาทูจะวางไข่บริเวณฝั่งตะวันตกของอ่าวไทยตั้งแต่จังหวัดประจวบ คีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี

ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ของทุกปี และอพยพมาหากินและเจริญเติบโตในแหล่งที่มีอาหารสมบูรณ์ ในช่วงเดือนสิงหาคมธันวาคม ปลาทูเป็นแหล่งของสารอาหารประเภทโปรตีนที่ร่างกายต้องการ



โดยปลาทูสด 100 กรัม จะมีพลังงาน 140 แคลอรีโปรตีน 20 กรัม ไขมัน 6.7 กรัม แคลเซียม 170 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 60 มิลลิกรัม เหล็ก 11.9 มิลลิกรัม วิตามินบี1 0.03 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.62 มิลลิกรัม ไน อะซิน 9.2 มิลลิกรัม และวิตามินซี 9.2 มิลลิกรัม

และอีกเรื่องที่คนยังไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับปลาทูคือ ถ้าเราสามารถบริโภคผักใบเขียวโดยควรบริโภคประมาณวันละ 5 กำมือ และปลาทูวันละ 2 ตัว อาหารเหล่านี้จะมีสารอาหารที่ช่วยต้านพวกสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ หรืออนุมูลอิสระ ซึ่งชะลอความแก่ได้!

 

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก  สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #269 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2014, 09:44:02 am »
ดื่มนมแพะผิวสวย เปลี่ยนผิวพรรณให้เนียนใสได้จริงหรือ ?


-http://women.kapook.com/view82142.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ดื่มนมแพะผิวสวย ...สำหรับสาว ๆ ที่รักสุขภาพและผิวพรรณน่าจะเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง ในเรื่องของการดื่มนมแพะเพื่อประโยชน์ด้านความงามผิวพรรณ เนื่องจากนมแพะนั้นประกอบไปด้วยโปรตีน แคลเซียม และวิตามินปริมาณสูง ซึ่งส่งผลดีกับผิวและสุขภาพ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สาว ๆ หลายคนต่างอยากรู้ว่าแท้จริงแล้วการดื่มนมแพะจะมีส่วนช่วยทำให้ผิวสวยได้ขนาดนั้นเชียวหรือ ดื่มปุ๊บผิวสวยปั๊บหรือจะเห็นผลได้มากน้อยแค่ไหน เอาเป็นว่าใครกำลังสงสัย รวมถึงสนใจอยากลองดื่มแพะบำรุงผิวสวยเปล่งปลั่งบ้างอะไรบ้าง เราหาคำตอบนี้ไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

          ต้องบอกว่าในน้ำนมแพะนั้น ล้วนประกอบไปด้วยแร่ธาตุสำคัญและวิตามินหลากหลายชนิด ได้แก่ แคลเซียม  กรดอะมิโน  วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี1 และวิตามินบี2 ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดการเสื่อมสภาพของผิวให้ดูสวยผุดผ่อง ชุ่มชื่นไม่เหี่ยวย่นแก่ก่อนวัย นอกจากนี้หากใครดื่มนมแพะเป็นประจำยังมีส่วนช่วยในการทำงานของเซลล์ผิวหนังเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันทำให้ผิวพรรณดูสุขภาพดีได้มากยิ่งขึ้น ที่สำคัญนมแพะยังมีไขมันที่มีอนุภาคเล็ก เมื่อดื่มเข้าไปจะทำให้กระเพาะย่อยได้ง่ายกว่าและรวดเร็วกว่านมประเภทอื่น โดยไม่ต้องกลัวว่าดื่มแล้วจะท้องอืดท้องเฟ้ออีกด้วย 

          รู้อย่างนี้แล้ว เชื่อว่าหลายคนน่าจะทราบถึงประโยชน์ดี ๆ ของนมแพะกันไปแล้วนะคะ อย่างไรก็ตามหากสาว ๆ คนไหนอยากอยากลองเปลี่ยนมาดื่มนมแพะดูบ้าง ในช่วงแรกอาจลองผสมกับเครื่องดื่มหรืออาหารที่รับประทานเสียก่อน เนื่องจากนมแพะมีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างแรงต่างจากนมวัวที่หลายคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ว่าแล้วก็ลองไปหาซื้อกินบ้างดีกว่าเนอะ จะได้บำรุงผิวและสุขภาพให้สวยดูดีไปพร้อม ๆ กัน ^^




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)