แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น
@ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก
ฐิตา:
๘๒. สี่ทิศก็ล้วนเป็นภูเขา
ชายหนุ่มคนหนึ่งขณะที่อายุได้ 27 ปี ก็ละทิ้งตำแหน่งอำมาตย์
เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ไปเป็นศิษย์ของพระอาจารย์ท่านหนึ่ง
พระอาจารย์มอบหน้าที่ดูแลสวนผักใกล้กับบริเวณวัด
ฝึกปฏิบัติธรรมท่ามกลางการใช้แรงงานไปด้วย
วันหนึ่งมีพระในวัดรูปหนึ่งหลงนึกว่าตัวเองรู้แจ้งแล้ว
สามารถลงจากเขาไปธุดงค์ท่องเที่ยวได้แล้ว
เลยไปขออำลากับพระอาจารย์ เพราะการจะลงจากเขา
ต้องให้พระอาจารย์อนุญาตเสียก่อน
“สี่ทิศก็ล้วนแต่เป็นภูเขา เจ้าจะไปทางไหน?” พระอาจารย์ถาม
พระรูปนั้นไม่ทราบความหมายที่แฝงอยู่ในคำเหล่านั้น จึงหันหลังกลับวัดไป
ขณะที่เดินไปเรื่อยเปื่อยก็มาถึงแปลงผัก พระที่ดูแลสวนผักกำลังดายหญ้าอยู่
เห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดของศิษย์พี่จึงถามขึ้นว่า “ศิษย์พี่ ท่านทุกข์ร้อนด้วยเรื่องอันใด?”
ศิษย์พี่จึงเล่าเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นให้ฟัง
พระดูแลสวนผักคิดได้ทันทีว่า “สี่ทิศล้วนเป็นภูเขาคือ “หนักและยากลำบาก ทุกหน
แห่งล้วนแต่เป็นอุปสรรค” พระอาจารย์ต้องการทดสอบถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจ
แต่ศิษย์พี่ไม่เข้าใจถึงคำชี้แนะ เลยพูดขึ้นมาว่า
“กอไผ่ถึงขึ้นมาหนาแน่นอย่างไร
ก็ไม่อาจขวางน้ำมิให้เล็ดลอดผ่านไปได้
ภูเขาถึงสูงอย่างไร
ก็มิอาจขวางก้อนเมฆให้ผ่านไปได้”
ศิษย์พี่ผู้นั้นนึกว่าคำตอบนี้ตอบพระอาจารย์แล้ว พระอาจารย์ต้องชมชอบ
แล้วอนุญาตให้ลงจากเขาได้เป็นแน่ แต่เมื่อพระอาจารย์ฟังแล้วชะงักสักครู่
ขมวดคิ้วแล้วจ้องมองตาเขม็งพลางพูดว่า “คำตอบนี้เจ้าไม่ได้คิดขึ้นมาเอง
ใครเป็นคนช่วยเจ้าคิด?”
พระรูปนั้นรู้ว่าพระอาจารย์รู้ความจริงแล้ว จึงเอ่ยถึงชื่อพระที่ดูแลสวนผัก
“พระที่ดูแลสวนผัก ต่อไปต้องมีดีแน่ เจ้าฝึกฝนต่อไปเถิด แม้พระรูปนั้น
ยังไม่ได้เอ่ยถึงว่าจะลงจากเขาเลย แล้วเจ้ายังจะลงจากเขาอีกหรือเปล่า?”
ฐิตา:
๘๓. ฟังเสียงไข่ไก่
ที่มณฑลเสฉวนมีครอบครัวแซ่หม่าอยู่ครอบครัวหนึ่ง หาเลี้ยงชีพด้วย
การทำกระด้งสำหรับฟัดข้าวมาหลายชั่วคนแล้ว เมื่อมาถึงรุ่นลูกที่ชื่อ
“หม่าจู่” หม่าจู่เป็นผู้ที่มีหน้าตาและโหงวเฮ้งดี ผู้เป็นพ่อคิดว่าไม่สมควร
ให้ลูกที่มีลักษณะดีเช่นนี้ประกอบอาชีพเป็นช่างทำกระด้งต่อไปจึงพาไป
ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์เซนชื่อดังท่านหนึ่ง ยังอีกเมืองหนึ่ง
สองปีให้หลังท่านหม่าจู่ก็สามารถเข้าถึงธรรมได้ เลยคิดจะกลับไปที่บ้านเกิด
เพื่อเผยแพร่ธรรมะโปรดเพื่อนบ้านและญาติพี่น้อง เมื่อคนในหมู่บ้าน
ได้ข่าวว่ามีพระที่เข้าถึงธรรมชั้นสูงมาแสดงธรรม จึงสร้างเวทีไว้เพื่อแสดง
ธรรม พร้อมกับคอยชะเง้อว่าเมื่อไหร่พระท่านจะเดินทางมาถึง
เมื่อพระรูปนั้นเดินทางมาถึง และทุกคนเห็นว่าเป็นลูกชายของช่างทำกระด้ง
ทุกคนก็ทำหน้าสงสัย และไม่เชื่อว่าท่านจะเข้าถึงธรรมชั้นสูง เลยพากันแยกย้าย
กลับไป ท่านหม่าจู่รู้สึกสังเวชใจจนรำพึงออกมาว่า “เรียนธรรมะไม่กลับบ้าน
กลับบ้านธรรมะไม่หอม”
ท่านเลยตัดสินใจจะไปเผยแพร่ธรรมะต่อที่อื่น ขณะที่กำลังจะเดินทางต่อ
ไปที่อื่น พี่สะใภ้ของเขาวิ่งมาขอให้เขาแสดงธรรมให้ฟัง ท่านหม่าจู่ไม่คิดว่า
พี่สะใภ้จะต้องการฟังธรรมจริงๆ จึงชี้ไปที่กองกะด้งแล้วพูดว่า
“ตั้งใจประกอบอาชีพดั้งเดิมของเราดีกว่า อย่าหาเรื่องยุ่งยากเลย”
แต่พี่สะใภ้ของเขายังยืนยันที่จะฟังธรรม เมื่อท่านหม่าจู่เห็นความตั้งใจจริงของ
พี่สะใภ้จึงพูดว่า “หยิบไข่มาแขวนไว้ ทุกๆเช้าและเย็นให้แนบหูไปฟังไว้ เมื่อไหร่
ที่ไข่นั้นมีเสียง เจ้าก็จะบรรลุธรรม”
พี่สะใภ้ของเขาจึงปฏิบัติตามที่เขาสั่ง ฟังทุกวันเป็นเดือน เป็นปี แม้จะฟัง
อย่างไรไข่นั้นก็ไม่มีเสียง ชาวบ้านเห็นเช่นนั้นจึงพากันด่าว่าท่านหม่าจู่ปฏิบัติ
ธรรมนอกรีต สอนพี่สะใภ้ปฏิบัตินอกลู่นอกทาง แต่พี่สะใภ้ของเขาไม่สนใจ
เสียงซุบซิบของชาวบ้าน ยังคงปฏิบัติอย่างนั้นเรื่อยมา ไม่รู้เวลาผ่านไปกี่ปี
ขณะที่กำลังตั้งใจฟังอย่างแน่วแน่ พลันมีเสียงดัง “แผล่ะ” ไข่ไก่ที่แขวนไว้
หล่นลงมาแตก วินาทีนั้นพี่สะใภ้ของเขาก็รู้ธรรมระดับหนึ่ง
ฐิตา:
๘๔. จิตที่เคารพนบนอบ
มีชายหนุ่มคนหนึ่งก่อนที่จะได้มาปฏิบัติธรรม อยากจะเป็นนักแกะสลัก
พระพุทธรูปที่มีชื่อเสียง จึงได้ตั้งใจจะมาขอคำชี้แนะจากพระอาจารย์ท่าน
หนึ่ง เพื่อจะได้ทราบถึงเรื่องราวและรายละเอียดต่างๆของพระพุทธรูป
พระอาจารย์เมื่อพบเขาแล้วก็ไม่พูดอะไร เพียงแต่ให้เขาไปตักน้ำที่บ่อ
ขณะที่พระอาจารย์เห็นการกระทำต่างๆเมื่อเขาตักน้ำและเทน้ำออกมา
จึงตวาดออกมาด้วยเสียงดังลั่น และไล่เขาออกจากวัดไป ลูกศิษย์คนอื่นๆ
เห็นแล้วรู้สึกสงสารและเห็นใจ จึงช่วยกันขอร้องและวิงวอนให้เขาอยู่ค้าง
ที่วัดสักคืน แล้วพรุ่งนี้ค่อยให้เขาไป
กลางดึก มีผู้มาเรียกให้เขาไปพบกับพระอาจารย์ พระอาจารย์พูดขึ้นด้วย
เสียงอันอ่อนโยนว่า “บางทีเจ้าอาจจะไม่รู้ว่าเมื่อกลางวันเจ้าโดนด่าด้วย
เรื่องอะไร ตอนนี้จะเฉลยให้เจ้าฟัง พระพุทธรูปเป็นสิ่งที่ผู้คนเคารพและ
สักการบูชา ดังนั้นพระพุทธรูปที่ถูกผู้คนกราบไหว้ ผู้ที่จะแกะสลักจะต้อง
มีจิตที่เคารพนบนอบศรัทธาด้วยความจริงใจก่อน ถึงจะแกะพระพุทธรูป
ที่น่าเลื่อมใสศรัทธาออกมาได้ ตอนกลางวันข้าเห็นเจ้าตักน้ำหกรดออกมา
มากมาย แม้จะเป็นส่วนน้อย แต่ก็เป็นสิ่งที่สวรรค์ให้มา แต่เจ้าเหมือนกับ
ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้ คนที่ไม่รู้จักถนอมและปล่อยสิ่งต่างๆไปอย่าง
ไร้ประโยชน์ จะแกะสลักพระพุทธรูปที่ดีได้อย่างไร?”
ชายหนุ่มนั้นเมื่อได้คำชี้แนะจากพระอาจารย์รู้สึกซาบซึ้งและขอบพระคุณ
พระอาจารย์มาก และรู้สึกสำนึกถึงความผิดพลาดของตัวเอง จึงมาขอสมัคร
เป็นลูกศิษย์ และที่สุดก็กลายเป็นนักแกะสลักพระพุทธรูปทีมีชื่อเสียงคนหนึ่ง
นิทานเซนเป็นเพียงเรื่องเล่าบอกต่อกันมา
เขามีคัมภีร์และบทเรียนของเขาอีกต่างหาก
ฐิตา:
๘๕. สรรพสิ่งกับข้าคือสิ่งเดียวกัน
ครั้งหนึ่งพระอาจารย์เซนท่านหนึ่งพนันกับลูกศิษย์ว่า ถ้าหากใคร
สามารถเปรียบเทียบตัวเองเป็นสิ่งที่ต่ำทรามที่สุด ก็จะเป็นผู้ชนะ
อาจารย์ : ข้าคือลาตัวหนึ่ง
ลูกศิษย์ : ข้าคือก้นของลา
อาจารย์ : ข้าคือขี้ที่อยู่ในก้นของลา
ลูกศิษย์ : ข้าคือหนอนในขี้ของลา
พระอาจารย์ไม่สามารถจะเปรียบเทียบต่อไปได้อีก จึงถามต่อว่า
“เจ้าทำอะไรอยู่ในขี้?”
“ข้าหลบร้อนรับความสบายอยู่ในนั้น” ลูกศิษย์ตอบ
สำหรับเราๆท่านๆ ที่ๆคิดว่าเป็นสถานที่สกปรกที่สุด
แต่สำหรับชาวเซนแล้ว มักจะเป็นที่ที่อยู่ได้อย่างอิสระสบายๆ
เพราะว่าจิตใจของพวกเขาสะอาดและสงบ
จนไม่อาจมีสิ่งใดเปรียบเทียบได้ ไม่มีราคีใดๆมาติดเกาะ
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด ก็เป็นดินแดนแห่งความสะอาดสงบ
อยู่ในสถานที่ใดก็สามารถหลุดพ้นได้
ฐิตา:
๘๖. สุนัขจิ้งจอกกับกระต่าย
ขณะที่ศิษย์และอาจารย์เดินทางไปที่แห่งหนึ่ง
เห็นสุนัขจิ้งจอกกำลังไล่ล่ากระต่ายอยู่
พระอาจารย์พูดขึ้นว่า “ในอดีตพูดต่อๆกันมาว่า
กระต่ายส่วนใหญ่ที่มีสติดีมักจะหนีสุนัขจิ้งจอกได้พ้น
ตัวนี้ก็ย่อมจะหนีพ้น”
“เป็นไปไม่ได้ สุนัขจิ้งจอกวิ่งเร็วกว่ากระต่าย” ลูกศิษย์ตอบ
“เดี๋ยวกระต่ายก็จะหลบหนีพ้นได้เอง” พระอาจารย์ยังยืนกรานว่าได้
“ท่านอาจารย์ ทำไมถึงยืนยันแน่นอนอย่างนี้”
“เพราะว่า สุนัขจิ้งจอกกำลังไล่ล่าอาหารมื้อเย็น
แต่กระต่ายกำลังวิ่งหนีเอาชีวิต” พระอาจารย์ตอบ
เป็นที่น่าเสียดายว่า คนส่วนใหญ่ปล่อยให้เวลาผ่านไป
อย่างสุนัขจิ้งจอกล่ากระต่าย จนเวลาล่วงเลยถึงวัยกลางคน
อ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้วก็ทิ้งอาหารมื้อเย็นของตนเอง
แม้ว่าจะมีผู้วิ่งหาอาหารมื้อเย็นได้ ก็จะรู้สึกว่าต้องเสีย
ค่าตอบแทนอย่างมากมายถึงจะล่ากระต่ายมาได้สักตัว
และก็จะรู้สึกหมดแรงอ่อนล้าคอตก
กิริยาท่าทางของผู้บำเพ็ญภาวนาไม่ควรจะให้
เป็นเหมือนกับสุนัขจิ้งจอกไล่ล่ากระต่าย
แต่ควรเป็นกระต่ายที่วิ่งหนีเอาชีวิต
ควรจะหันกลับมาที่กายใจมุ่งไปข้างหน้า
หากไม่ระวังแม้แต่นิดเดียว ก็จะต้องเสียชีวิตและ
เข้าไปอยู่ในปากของสุนัขจิ้งจอก
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version