แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

@ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก

<< < (27/31) > >>

ฐิตา:


               

๙๑. หนึ่งใกล้ หนึ่งไกล

พระเจี๋ยซานและพระติ้งซาน ขณะที่เดินทางไปธุระด้วยกัน
พระติ้งซานพูดขึ้นว่า “ ในวัฏสงสาร หากไม่มีพุทธะ ก็จะไม่มีเกิด-ตาย “

“ ในวัฏสงสาร มีพุทธะถึงจะไม่หลง วนอยู่ในวัฏสงสาร “ พระเจี๋ยซานค้าน
เมื่อความเห็นไม่ตรงกันจึงไปหาพระอาจารย์เพื่อตัดสิน

พระอาจารย์เห็นทั้งสองเดินมาพร้อมกันจึงถามว่า
“พวกเจ้ามาทำไม”
ทั้งสองจึงช่วยกันเล่าถึงความเห็นที่ไม่ตรงกัน และให้อาจารย์ตัดสินว่า
ของผู้ใดใกล้เคียงหลักธรรมมากที่สุด อาจารย์หัวเราะเบาๆ พูดว่า
“หนึ่งใกล้ หนึ่งไกล”

“ใครใกล้”
ทั้งสองถามขึ้นพร้อมกัน แต่พระอาจารย์ตอบว่า
”วันนี้พวกเจ้ากลับไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”

วันรุ่งขึ้น เจี๋ยซานมาหาพระอาจารย์เพื่อฟังคำตอบ พระอาจารย์ตอบว่า
“คนใกล้ไม่ถาม คนถามไม่ใกล้”

                 

ฐิตา:


       

๙๑. ๑ อุปนิสัยปัจจัย

หวงถิงเจียน เป็นอำมาตย์และเป็นนักกลอน เขียนบทกลอนและบทความไว้มากมาย
ศรัทธาและเลื่อมใสในพุทธศาสนา อีกทั้งยังเป็นลูกกตัญญู
มักจะดูแลแม่ที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ด้วยตนเอง
แม้เมื่อรับตำแหน่งเป็นอำมาตย์แล้วก็ยังทำหน้าที่นี้เหมือนเดิม
เมื่ออายุได้ 26 ปี ก็ได้รับมอบหมายให้ไปปกครองดูแลหัวเมืองเมืองหนึ่ง

วันหนึ่งขณะที่นอนพักกลางวันอยู่ ได้ฝันเห็นตนเองเดินออกจากที่พัก
ไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เห็นหญิงชราคนหนึ่ง กำลังถือธูปเซ่นไหว้เจ้าอยู่
ในปากก็พึมพำๆไปมา เหมือนกับกำลังเอ่ยชื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งอยู่
เขามองไปที่โต๊ะไหว้เจ้า ก็เห็นมีถ้วยบะหมี่ขึ้นฉ่ายวางอยู่ ยังมีควันร้อนๆ
และส่งกลิ่นหอมโชยมา เขาเลยหยิบขึ้นมาทานอย่างไม่รู้ตัว ทานเสร็จ
แล้วก็เดินกลับที่พัก

เมื่อตื่นขึ้นมาก็ยังจำความฝันได้อย่างแม่นยำ และที่น่าประหลาดคือ
ในปากของเขายังมีกลิ่นหอมของขึ้นฉ่ายติดอยู่

รุ่งขึ้นอีกวัน เขาก็ฝันอีก ความฝันและเหตุการณ์ต่างๆยังเหมือนเดิม
และเมื่อตื่นขึ้นมาก็ยังมีกลิ่นของขึ้นฉ่ายติดอยู่เหมือนเดิม เขารู้สึก
ประหลาดใจมาก พร้อมกับเดินออกจากที่พัก ไปตามทางเดินที่เดิน
ในฝัน ขณะที่เดินอยู่เขารู้สึกว่า ทางเดินนั้นเหมือนในฝันทุกประการ
ที่สุดเขาก็เดินมาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง เห็นประตูปิดอยู่ จึงเคาะประตู
เห็นหญิงชราผมขาวเปิดประตูออกมา เขาจึงถามหญิงชรานั้นว่า
วันสองวันที่มา มีคนมาขอกินบะหมี่ใช่หรือเปล่า?

หญิงชรานั้นตอบว่า เมื่อวานเป็นวันครบรอบวันตายของลูกสาว
ตอนที่ลูกสาวยังมีชีวิตอยู่ ชอบทานบะหมี่ขึ้นฉ่ายมาก ดังนั้นเมื่อครบ
รอบวันตายของทุกปี ก็จะนำบะหมี่มาเซ่นไหว้ และเรียกชื่อลูกสาวให้มากิน
อำมาตย์นั้นถามว่า “ลูกสาวของท่านตายไปนานแค่ไหนแล้ว?”
“ยี่สิบหกปีแล้ว”
อำมาตย์นั้นคิดในใจว่า “ปีนี้ข้าก็อายุยี่สิบหก เมื่อวานก็เป็นวันเกิดของข้า”
เลยถามหญิงชราเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆของลูกสาวเขาอย่างละเอียด

หญิงชรานั้นเล่าว่า หล่อนมีลูกสาวเพียงคนเดียว ขณะที่ลูกสาวยังมีชีวิตอยู่
รักการอ่านมาก มีความศรัทธาและนับถือศาสนามาก และก็เป็นลูกกตัญญู
เมื่อป่วยหนักใกล้ตาย ลูกสาวยังบอกกับแม่ว่า จะต้องกลับมาหาแม่อีกครั้ง

เมื่ออำมาตย์นั้นเดินเข้ามาในบ้าน หญิงชราชี้ไปที่หีบไม้แล้วพูดว่า
“หีบไม้นั้นเป็นที่ใส่หนังสือทั้งหมด แล้วปิดกุญแจล็อคไว้
แต่จนป่านนี้ยังหากุญแจไม่เจอจึงยังไม่เคยเปิดออกมา”
ที่น่าแปลกก็คือ อยู่ๆอำมาตย์นั้นก็นึกออกว่ากุญแจวางไว้ที่ไหน
จึงหยิบมาแล้วไขออก ภายในหีบมีบทความเขียนไว้มากมาย

เมื่อเขาอ่านดูรู้สึกตกใจมาก เพราะทุกครั้งที่เขาสอบข้อเขียน
ของทางการ ข้อเขียนของเขาเหมือนกับบทความที่มีอยู่ในกระดาษ
ไม่ผิดเพี้ยนเลยแม้แต่นิดเดียว

อำมาตย์นั้นจึงเข้าใจทุกอย่าง แล้วหญิงชรานั้นคือมารดาของเขาเมื่อชาติก่อน
เขาจึงรับหญิงชรานั้นกลับบ้าน พร้อมกับปรนนิบัติรับใช้อย่างดี เช่นเดียวกับ
มารดาของตนในชาตินี้

                     

ฐิตา:

             

๙๑. ๒ ห่านคู่

มีอุบาสิกาท่านหนึ่งนำห่านคู่หนึ่งไปปล่อยที่วัดแห่งหนึ่ง
เจ้าอาวาสที่วัดได้กล่าวอาราธนาพระรัตนตรัยและศีลห้าให้ฟัง
ห่านคู่นั้นก้มหน้านิ่งรับฟังอย่างตั้งใจ เมื่อท่านกล่าวเสร็จ
ก็เงยหน้าขึ้นแสดงถึงความปลื้มปีติที่ได้ฟัง

ตั้งแต่นั้นมาห่านคู่นั้น กลางวันก็จะเล่นน้ำอยู่ในสระ
กลางคืนจะคอยเฝ้าเวรยามอยู่ที่ประตูวัด
ทุกวันที่มีการทำวัตรเช้า ห่านคู่นั้นก็จะตามกลุ่มคนเข้าไปในศาลาด้วย
พร้อมกับยืดคอยาวออกมาแล้วจ้องมองพระพุทธรูปอย่างไม่ให้คลายสายตา

เมื่อได้ยินเสียงสวดมนตร์ ก็จะนิ่งฟังอย่างสงบ
เห็นผู้คนเดินจงกรมก็จะเดินตามไปด้วย



เป็นอย่างนี้ทุกวันจนเวลาล่วงเลยไปถึงสามปี
เช้าวันหนึ่งห่านตัวเมียเดินวนสามรอบที่หน้าอุโบสถ
เงยคอขึ้นมองพระพุทธรูป ร้องเสียงดังอยู่หลายครั้ง
แล้วก็สิ้นใจอยู่ตรงนั้น หลังจากที่ตายแล้ว ก็ยังเหมือนนอนหลับอยู่
คนในวัดจึงนำไปใส่ในโลงไม้แล้วนำไปฝัง

ห่านตัวผู้เมื่อเห็นตัวเมียตายไป ทุกค่ำคืนก็จะร้องครวญคราง
เหมือนกับยังอาลัยอาวรณ์ตัวเมียอยู่ ไม่ยอมไปเล่นน้ำ
ทั้งไม่ยอมดื่มกิน ลักษณะท่าทางเหมือนเจ็บปวดและเป็นทุกข์
แม้จะดูเศร้าโศก แต่ทุกๆเช้าก็ยังเข้าไปทำวัตรเช้าที่ศาลา
เหมือนเมื่อก่อน ที่ยืนเพ่งจ้องพระพุทธรูปอย่างนิ่งสงบ

พระอาจารย์เห็นท่าทางอ่อนล้าและไม่มีความสุขของห่านตัวผู้จึงพูดว่า
“เจ้าเจ็บปวดเพราะต้องพลัดพรากจากผู้ที่เป็นที่รัก แต่เจ้าก็ยัง
รู้จักเพ่งจ้องพระพุทธรูปอยู่เหมือนเดิมก็ควรจะสวดมนตร์นึกถึงพระ
เพื่อจะได้ไปสู่ดินแดนสุขาวดี ขออย่าได้อาลัยอาวรณ์กายสังขาร
ที่ทำให้เกิดทุกข์เลย”

หลังจากที่ฟังพระท่านกล่าวแล้ว เมื่อทุกคนไปสวดมนตร์ ห่านตัวผู้นั้น
โค้งคอลงเหมือนกับการคำนับพระ แล้วก็เดินวนสามรอบ กระพือปีก
แล้วหุบปีกลง เก็บสองเท้าไว้ แล้วสิ้นใจ

หลังจากห่านตัวผู้ตายแล้ว คนในวัดก็ได้นำไปใส่ในโลงไม้
พร้อมกับพาไปฝังคู่กับตัวเมียในหลุมเดียวกัน

                       

ฐิตา:


     

๙๑. ๓ แรงบุญ

มีหญิงชายคู่หนึ่ง พบกันและรักกัน เมื่อความรักสุกงอมจึง
กำหนดวันแต่งงานขึ้นก่อนที่จะถึงวันงานฝ่ายหญิงกลับไปแต่งงาน
กับผู้ชายคนอื่น ชายหนุ่มคนนั้นทนรับความกระทบกระเทือนใจไม่ไหว
ถึงกับล้มป่วยไปเลย คนในครอบครัวพยายามทุกวิถีทางที่จะหาทาง
มาเยียวยาให้หายป่วย
แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่มองอาการของเขาทรุดลงไปเรื่อยๆ

วันหนึ่งมีพระธุดงค์เดินผ่านไปแถวนั้น
รู้ความเป็นไปของเหตุนี้จึงคิดจะชี้ทางสว่างให้

พระธุดงค์รูปนั้นเข้าไปนั่งใกล้ๆเตียงแล้วหยิบกระจกขึ้นมาบานหนึ่ง
ให้ชายหนุ่มคนนั้นดู ในความสะลึมสะลือนั้น
ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวคนหนึ่งถูกฆ่าตาย นอนเปลือยอยู่ริมชายหาด

มีชายคนหนึ่งเดินผ่านไปเห็น  ส่ายหัวแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ชายคนที่สอง ถอดเสื้อผ้าของตัวเองไปปิดศพนั้นเพื่อไม่ให้อุจาดตา แล้วเดินผ่านไป
ชายคนที่สามผ่านมาเห็น ก็จัดการขุดหลุม แล้วฝังศพหญิงสาวนั้น

ตัดกลับไปอีกรูปหนึ่งเป็นยุคปัจจุบัน เขาเห็นหญิงคนรักของเขา
กำลังอยู่ในห้องหอกับสามี ภายใต้แสงเทียนอันโรแมนติค
                            ชายหนุ่มไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

           

พระธุดงค์นั้นอธิบายให้ฟังว่า ศพนั้นคือหญิงสาวคนรักในปัจจุบันของเขา
เจ้าคือคนที่สองที่ผ่านไปเห็นศพนั้น แล้วนำเสื้อไปปิดศพนั้น
มาในชาตินี้ จึงได้แต่ความรักจากหญิงสาว แต่ที่สุดแล้วหญิงคนนั้นต้อง
ไปตอบแทนบุญคุณให้กับอีกคนหนึ่งตลอดชีวิต และชายคนนั้นคือคนที่สาม
ที่นำศพหล่อนไปฝัง และคนๆนั้นคือสามีของหล่อนในปัจจุบัน

ชายหนุ่มที่ป่วยอยู่เข้าใจในต้นเหตุผลกรรมนั้นอย่างชัดเจน
                                               ลุกขึ้นจากเตียงได้หายป่วยทันที
สิ่งที่เป็นของท่าน ช้าหรือเร็วก็ต้องเป็นของท่าน
สิ่งที่ไม่ใช่เป็นของท่าน ทำอย่างไรก็ยื้อยุดมาไม่ได้

     

ฐิตา:



๙๒. ใจและจิต

พระรูปหนึ่งถามท่านราชครูว่า “เซนคือชื่อหนึ่งของใจ
และใจก็คือพุทธะที่ไม่มีเพิ่ม ไม่มีดับ แต่อาจารย์เซนทั้งหลาย
ก็นำคำว่า “ใจ” มาใช้เป็น “จิต” เลยอยากจะเรียนถามท่านว่า
“ใจ” และ “จิต” แตกต่างกันอย่างไร?”
“ยามหลงวนอยู่ย่อมมีความแตกต่าง แต่เมื่อรู้แจ้งแล้วก็จะไม่แตกต่าง”

พระรูปนั้นถามต่อว่า “ในคัมภีร์บอกว่า จิตพุทธะเป็นสิ่งที่เที่ยง
แต่ใจนั้นไม่เที่ยง แล้วท่านทำไมถึงพูดว่าไม่แตกต่าง?”

“เจ้าเอาแต่ไปถกคิดแต่เรื่องของคำพูดไม่คิดถึงหลักการ เหมือนกับ
หน้าหนาวน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง หน้าร้อนน้ำแข็งกลายเป็นน้ำ ยามหลง
จิตเป็นใจ ยามรู้แจ้งใจเป็นจิต จิตและใจก็เหมือนกันอยู่แล้ว
เพียงแต่ยามไม่รู้กับยามรู้แล้วแตกต่างกัน” ท่านราชครูตอบ

ในศาสนาเรา จิตและใจมีคำเรียกอยู่มากมาย เช่น โฉมหน้าดั้งเดิม
จิตเดิมแท้ และอื่นๆ นี่เป็นวิธีการต่างๆที่จะทำให้เรารู้จักตนเอง
หลงกับรู้แม้จะมีความแตกต่าง แต่จิตดั้งเดิมไม่แตกต่าง เหมือนกับทอง
เมื่อมาหลอมเป็นต่างหู เป็นแหวนเครื่องประดับที่แตกต่างกันไป
แต่ตัวเนื้อแท้ของมันก็คือทองนั่นเอง

                     

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version