ริมระเบียงรับลมโชย > ล้างรูป
รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
sithiphong:
ไหว้พระ 5 วัดริมราชดำเนิน กราบพระไพรีพินาศ-ขอพรพระวัดชนะสงคราม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 พฤศจิกายน 2556 15:07 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000147108-
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว
จนถึงวันนี้เหตุการณ์ทางการเมืองยังไม่สรุป รัฐบาลยังทำมึนไม่สนใจเสียงเรียกร้องของประชาชน จึงยังมีผู้คนทยอยมาร่วมชุมนุมแสดงพลังกันอย่างต่อเนื่องเพื่อแสดงให้เห็นว่าบ้านเมืองไม่ใช่ของเล่นที่จะให้รัฐบาลจับดึงไปทางไหนก็ได้ตามใจชอบ ขณะนี้จึงยังมีประเด็นให้ต้องติดตามกันเป็นระยะๆ
สำหรับผู้ที่มาร่วมชุมนุม โดยเฉพาะผู้ที่มาจากจังหวัดต่างๆ ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่นอกจากจะมารวมพลังขับไล่อำนาจมืดในแผ่นดินแล้ว ยังจะได้มาชมวัดและมากราบพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองเพื่อความเป็นสิริมงคลและยังจะได้ขอพรพระให้ช่วยคุ้มครองประเทศไทยให้ร่มเย็นเป็นสุขต่อไป
ในบริเวณถนนราชดำเนินตลอดทั้งสายนั้นมีวัดอยู่หลายแห่ง แต่มีอยู่ 5 วัดสำคัญด้วยกันที่เราขอนำมาแนะนำกันในวันนี้
วัดพระแก้ว วัดคู่บ้านคู่เมืองของไทย
ชวนไปวัดแรกที่ “วัดพระศรีรัตนศาสดาราม” หรือ “วัดพระแก้ว” วัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองที่ตั้งอยู่บนถนนหน้าพระลาน ใกล้กับสนามหลวงและถนนราชดำเนินนอก วัดนี้มี “พระแก้วมรกต” หรือ “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ทำขึ้นจากหินสีเขียวงดงามเป็นอย่างยิ่ง องค์พระแก้วประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ ซึ่งนอกจากนั้นก็ยังมีพระพุทธรูปสำคัญหลายองค์ เช่นพระสัมพุทธพรรณี พระพุทธรูปที่รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นตามแบบพระราชนิยม คือไม่มีเกตุมาลา เป็นต้น และก็ยังมีพระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์รัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 พระนามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น รวมทั้งพระชัยหลังช้าง ที่ใช้อัญเชิญขึ้นบนหลังช้างยามออกรบอีกด้วย
ไหว้พระแก้วมรกตแล้วขอแนะนำอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดชม นั่นก็คือภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์บริเวณพระระเบียงรอบๆ พระอุโบสถ ที่รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ช่างเขียนเขียนภาพเล่าเรื่องตามพระราชนิพนธ์ ซึ่งภาพเหล่านี้ก็ได้มีซ่อมและเขียนใหม่หลายครั้งด้วยกัน แต่ละภาพล้วนวิจิตรงดงามดูได้ไม่เบื่อ
พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฎฐ์ฯ วัดชนะสงคราม
วัดแห่งที่สองคือ “วัดชนะสงคราม” บนถนนจักรพงษ์ ใกล้กับถนนข้าวสารและสะพานพระปิ่นเกล้า แค่ชื่อวัดก็เป็นมงคลแล้ว โดยแต่เดิมวัดนี้มีชื่อว่าวัดตองปุ และได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดชนะสงครามหลังจากที่สมเด็จฯ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท หรือวังหน้าในรัชกาลที่ 1 ทรงมีชัยชนะในสงคราม 9 ทัพ และกลับมาบูรณปฏิสังขรณ์วัดนี้ขึ้นใหม่
พระอุโบสถของวัดชนะสงครามก็ถือว่างดงามไม่แพ้วัดไหน เพราะเป็นฝีมือของช่างวังหน้าสมัยรัชกาลที่ 1 ด้านในพระอุโบสถค่อนข้างกว้าง ภายในประดิษฐานพระประธานนามว่า "พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฎฐ์ มเหทธิศักดิ์ปูชนียะชยันตะโคดม บรมศาสดาอนาวรญาณ" พระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทองปางมารวิชัย
พระพุทธชินสีห์ (หน้า) พระสุวรรณเขต (หลัง) พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรฯ
“วัดบวรนิเวศวิหาร” ตั้งอยู่บริเวณบางลำพูไม่ไกลจากสี่แยกคอกวัวและถนนราชดำเนินเท่าไรนัก อีกทั้งในขณะนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งพระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เนื่องจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ไปเมื่อ วันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยได้ตั้งพระศพไว้ที่ตำหนักเพชรในเขตสังฆาวาส
ภายในวัดบวรนิเวศฯ มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถซึ่งสร้างขึ้นตามแบบ พระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปถึง 2 องค์ คือ “พระพุทธชินสีห์” และ “พระสุวรรณเขต (พระโต)” เป็นพระประธานประดิษฐานคู่กัน อีกทั้งภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามฝีมือของขรัวอินโข่ง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับปริศนาธรรมเนื่องด้วยคุณของพระรัตนตรัย และมีจิตรกรรมฝาผนังตอนล่างของพระอุโบสถที่เขียนแสดงเหตุการณ์สำคัญของขนบธรรมเนียมไทย และประเพณีสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ด้านหลังพระอุโบสถเป็นเจดีย์กลมขนาดใหญ่หุ้มกระเบื้องสีทอง รอบฐานเจดีย์มีศาลาจีนและซุ้มจีน ด้านหลังเจดีย์เป็นวิหารเก๋งจีน และยังเป็นที่ประดิษฐาน “พระไพรีพินาศ” พระพุทธรูปโบราณที่มีคนนำมาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งทรงพระผนวชอยู่ที่วัดบวรฯ พระองค์ทรงถวายนามให้พระพุทธรูปองค์นี้ว่าพระไพรีพินาศ เนื่องจากบรรดาอริราชศัตรูที่คิดปองร้ายพระองค์ในขณะนั้นต่างพ่ายแพ้พระองค์ไปเสียสิ้น หากใครได้ไปไหว้ก็ขอให้ช่วยกันอธิษฐานขอให้ศัตรูที่ไม่หวังดีต่อบ้านเมืองจงพินาศแพ้ภัยตัวเองไปด้วยเถิด
พระบรมรูปรัชกาลที่ 3 บริเวณลานพลับพลาเจษฎาบดินทร์ ด้านหลังเป็นโลหะปราสาทวัดราชนัดดา (ภาพก่อนการบูรณะ)
ที่ “วัดราชนัดดา” วัดนี้อยู่ใกล้กับจุดชุมนุมมากที่สุด คืออยู่บริเวณถนนมหาไชยตัดกับถนนราชดำเนินกลาง หรือใกล้กับป้อมมหากาฬนั่นเอง สิ่งสำคัญของวัดราชนัดดาก็คือ "โลหะปราสาท" ซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทย และหนึ่งเดียวในโลกด้วย
โลหะปราสาทนี้เป็นอาคารทรงไทย 7 ชั้น (มองจากด้านนอกจะเห็นเป็น 3 ชั้น) ไม่ได้สร้างจากโลหะทั้งหมด โดยส่วนที่เป็นโลหะคือส่วนของหลังคายอดปราสาททั้ง 37 ยอด แทนความหมายถึงโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ อันเป็นปัจจัยให้ดำเนินไปสู่ความหลุดพ้นเข้าสู่นิพพาน โดยที่ยอดปราสาทชั้นบนสุดนั้นเป็นมีบุษบกที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุให้ประชาชนขึ้นไปกราบไหว้ แม้ขณะนี้โลหะปราสาทกำลังซ่อมแซมภายนอกอยู่ แต่ก็สามารถขึ้นไปกราบพระบรมสารีริกธาตุและไหว้พระพุทธรูปขอพรพระให้คนโกงบ้านโกงเมืองหมดอำนาจไปจากประเทศไทย
ติดกับวัดราชนัดดายังเป็นที่ตั้งของ "ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์" ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปของสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 และยังมีพลับพลาที่ประทับงดงามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงออกรับแขกบ้านแขกเมือง ลานกว้างแห่งนี้ยังใช้เป็นที่จัดกิจกรรมสำคัญต่างๆ ในกรุงเทพฯ
สถาปัตยกรรมอันงดงามที่วัดเบญจมบพิตร
วัดสุดท้ายใกล้จุดชุมนุม ที่ “วัดเบญจมบพิตร” ถนนพิษณุโลก ไม่ห่างจากพระบรมรูปทรงม้ามากนัก ช่วงก่อนหน้านี้มีข่าวว่าตำรวจนำเอาแท่งปูน ลวดหนาม ฯลฯ มาปิดกั้นจราจรบริเวณหน้าวัดจนประชาชนไม่สามารถมาตักบาตรได้ ทำเอาพระเจ้าเดือดร้อนไม่สามารถทำกิจของสงฆ์ได้อย่างสะดวก
วัดเบญจมบพิตรเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิสังขรณ์และสถาปนาขึ้น วัดแห่งนี้ยังได้ชื่อว่าเป็น "สถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์แบบ" ซึ่งออกแบบโดยสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ที่ได้ทรงออกแบบพระอุโบสถและพระระเบียงอย่างวิจิตรงดงามด้วยแบบอย่างศิลปะและสถาปัตยกรรมไทยโบราณ โดยพระอุโบสถของวัดเบญจมบพิตรนั้นเป็นแบบจตุรมุข มีพระระเบียงโอบรอบด้านหลัง ถือเป็นพระอุโบสถที่สร้างได้สัดส่วนสวยงามเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งตัวพระอุโบสถยังสร้างด้วยหินอ่อนจนเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติว่า “Marble Temple”
เข้าไปด้านในพระอุโบสถกราบพระประธานคือพระพุทธชินราช ซึ่งจำลองมาจากพระพุทธชินราชองค์จริงที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก อีกทั้งบริเวณพระระเบียงยังมีพระพุทธรูปหลากหลายปางที่รัชกาลที่ 5 ทรงตั้งพระราชหฤทัยจะให้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมพระพุทธรูปโบราณสมัยต่างๆ และปางต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นทั้งในและต่างประเทศ แสดงให้ประชาชนได้ชม ดังนั้นใครที่มาไหว้พระที่วัดเบญจฯ ก็อย่าลืมมาเดินชมและกราบไหว้พระพุทธรูปงดงามเหล่านี้กัน
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000147108
sithiphong:
เที่ยวทะเลปีใหม่กับ 15 สถานที่เด็ด ๆ สวยจับใจ
-http://travel.kapook.com/view78061.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
“ปีใหม่” ทั้งทีหลายคนคงเตรียมตัววางแผนทริปเดินทางท่องเที่ยวต้อนรับปีใหม่กันบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภูเขา น้ำตก ทะเล หรือไปสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้านในจังหวัดต่าง ๆ แต่สถานที่ท่องเที่ยวที่ยังคงครองใจและเสมือนเป็นแรงดึงดูดให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เดินทางมาเที่ยวพักผ่อน นั่นก็คือ ท้องทะเลสวย ๆ ทั้งด้านอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เพราะมีความงดงามซุกซ่อนอยู่มากมาย ฉะนั้น เรามาต้อนรับสิ่งใหม่ ๆ ด้วยทริปท่องเที่ยวต้นปี กับบรรยากาศสวย ๆ กันดีกว่า โดยกระปุกท่องเที่ยวได้รวบรวมเอาเกาะและหาดน่าเที่ยวในช่วงปีใหม่มาฝากกัน ส่วนจะมีที่ไหนน่าสนใจบ้างนั้น ไปชมกันเลยจ้า
1. เกาะตาชัย
มาเริ่มกันที่ “เกาะตาชัย” ถือเป็นเกาะสุดฮิตน่าท่องเที่ยว อยู่ในเขตจังหวัดพังงา ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน และอยู่ไม่ไกลจากหมู่เกาะสุรินทร์มากนัก โดยผู้ที่ค้นพบครั้งแรกชื่อ ตาชัย ทำให้เกาะนี้ถูกตั้งชื่อเกาะตามคนค้นพบว่า “เกาะตาชัย” ทั้งนี้ เกาะนี้ได้ถูกสำรวจพบมานานแล้ว แต่เพิ่งจะขึ้นตรงกับอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ไปยลโฉมความงามได้ไม่นาน ทำให้ตอนนี้บนเกาะตาชัยยังไม่มีบ้านพักไว้คอยบริการแต่ทางอุทยานฯ อนุญาตให้กางเต็นท์พักค้างคืนได้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างห้องน้ำแยกชายหญิงเป็นสัดส่วนไว้บริการอีกด้วย โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ซึ่งช่วงเวลาที่เกาะตาชัยงดงามที่สุด คือ เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน จากนั้นเกาะตาชัยจะปิด 6 เดือน เพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟู
ทั้งนี้ ผู้สนใจการท่องเที่ยวธรรมชาติสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน 93 หมู่ 5 บ้านทับละมุ ตำบลลำแก่น อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา โทรศัพท์ 0 7645 3272
2. เกาะสมุย
เกาะสมุย อยู่ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเกาะที่ตั้งอยู่บริเวณอ่าวไทย ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศตะวันออก 84 กิโลเมตร รวมทั้งยังเป็นพื้นที่ 1 ใน 3 ของเกาะเป็นที่รายล้อมไปด้วยภูเขา ช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงคลื่นลมสงบจึงเหมาะแก่การท่องเที่ยวมากที่สุด นอกจากนี้ เกาะสมุยยังเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก แถมยังมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ก็ต่างขนานนามให้เกาะสมุยนี้เป็น "สวรรค์กลางอ่าวไทย" เนื่องจากมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรการท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่น สวยงาม มีเสน่ห์แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม เช่น น้ำทะเลใสบริสุทธิ์ หาดทรายขาวทอดขนานไปกับทิวต้นมะพร้าวริมชายหาด และนอกจากธรรมชาติชายทะเลแล้วยังมีน้ำตกที่มีน้ำใสเย็นเกือบตลอดทั้งปี มีแหล่งท่องเที่ยวที่แสดงถึงศิลปวัฒนธรรมของชาวท้องถิ่น เช่น วัดสำเร็จ วัดละไม วัดพระใหญ่ เจดีย์แหลมสอ เป็นต้น
ส่วนในท้องทะเลโดยรอบบริเวณเกาะสมุยยังมีแนวปะการังอยู่ทั่วไป ที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่ทางตอนใต้ของเกาะ ซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำตื้นที่มีชื่อเสียง อีกทั้งยังพร้อมไปด้วยโรงแรม ที่พัก รีสอร์ท สนามกอล์ฟ สปา ร้านอาหาร สถานบันเทิง บริการนำเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ซึ่งล้วนเป็นเสน่ห์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่เคยมาเยือนเกาะสมุยเสมอ
3. เกาะหลีเป๊ะ
เกาะหลีเป๊ะ เจ้าของฉายา “มัลดีฟส์เมืองไทย” เป็นเกาะเล็ก ๆ ของจังหวัดสตูล มีลักษณะแบน ๆ คล้ายบูมเมอแรง โดยชื่อ "เกาะหลีเป๊ะ" หมายถึง เกาะที่ราบเรียบคล้ายกระดาษ ซึ่งมีที่มาจากภาษาท้องถิ่นชาวเล ซึ่งส่วนใหญ่ประชากรบนเกาะจะประกอบอาชีพประมงเป็นหลัก บริเวณโดยรอบเกาะเต็มไปด้วยปะการังอันสมบูรณ์ มีเวิ้งอ่าวที่สวยงาม หาดทรายขาวละเอียด อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของความสะดวกสบายทั้งที่พัก ที่กิน ที่เที่ยวยามค่ำคืนครบครัน
นอกจากนี้ เกาะหลีเป๊ะยังเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยธรรมชาติของปะการังบริเวณรอบเกาะ มีหาดทรายละเอียดนิ่มเหมือนแป้ง โดยมีชายหาดหลัก ๆ อยู่ 3 หาดคือ หาดซันเซ็ท หาดซันไรส์ และหาดพัทยา (บันดาหยา) ส่วนกิจกรรมที่เป็นที่นิยมบนเกาะหลีเป๊ะ คือ การดำผิวน้ำและการดำน้ำลึก รวมถึงการรับประทานอาหารเที่ยงบนชายหาดที่สวยงามร้านดำน้ำ และรีสอร์ทต่าง ๆ มักจะมีอุปกรณ์ดำน้ำให้เช่า และสามารถจัดเรือให้บริการสำหรับทริปดำน้ำต่าง ๆ
4. เกาะพงัน
เกาะพะงัน ตั้งอยู่ภายในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ห่างจากเกาะสมุยขึ้นไปทางทิศเหนือประมาณ 20 กิโลเมตร โดยเนื้อที่ประมาณ 120,625 ไร่ หรือ 168 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 3 ตำบล คือ ตำบลเกาะพงัน ตำบลบ้านใต้ และตำบลเกาะเต่า โดยลักษณะภูมิประเทศของเกาะจะมีภูเขาอยู่ตรงกลางเกาะ ทอดตัวจากทิศเหนือจดทิศใต้ มีที่ราบทางด้านทิศตะวันตกของเกาะ ส่วนทางทิศตะวันออกเป็นเทือกเขาจรดทะเล นอกจากนี้ เกาะพะงันยังเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก โดยเฉพาะบริเวณ "หาดริ้น" ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานฟูลมูน ปาร์ตี้ เป็นประจำทุกคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ซึ่งถือเป็นเทศกาลดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศทั้งในและต่างประเทศ ให้เดินทางไปเยือนกันเป็นประจำทุกปี รวมทั้งยังมีท้องทะเลสวย ๆ และมีน้ำใส ๆ รวมทั้งหาดทรายสีขาวอีกด้วย
5. เกาะหมาก
ถือเป็นเกาะขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดตราด อยู่ระหว่าง เกาะช้าง กับ เกาะกูด มีรูปร่างคล้ายดาวสี่แฉก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสวนมะพร้าว โดยรอบมีอ่าว ชายหาด และน้ำใสสะอาดหลายแห่ง ซึ่งบริเวณชายฝั่งรอบเกาะและเกาะใกล้เคียงพบแนวปะการังที่สมบูรณ์ บนเกาะมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย ช่วงฤดูท่องเที่ยวเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤษภาคม นอกจากนี้ บริเวณเกาะหมากยังเป็นที่อยู่ของชุมชนดั้งเดิม ส่วนใหญ่เป็นเขมรเชื้อชาติไทยที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเมื่อครั้งเมืองประจันตคีรีเขตรหรือเกาะกงเป็นของฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2447 โดยมี หลวงพรหมภักดี ต้นตระกูลตะเวทิกุล เป็นผู้ควบคุมคนจีนบนเกาะกง คนบนเกาะส่วนใหญ่เป็นเครือญาติกัน มีอาชีพเกษตรกรรมทำสวนยางพารา และสวนมะพร้าวจนเกาะหมากได้ชื่อว่าเป็นแหล่งปลูกมะพร้าวที่สำคัญของจังหวัดตราดอีกด้วย
6. เกาะนางยวน
เกาะนางยวน ตั้งอยู่ภายในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นอีกหนึ่งเกาะที่ให้บรรยากาศส่วนตัวมีธรรมชาติที่สวยงามและมีความพิเศษสุด ๆ กับภาพสันทรายสะอาดที่เชื่อมเกาะเต่า เกาะนางยวน และเกาะเล็ก ๆ เข้าไว้ด้วยกัน นับเป็นความงดงาม 1 ใน 10 ของโลก ที่มาเยือนแล้วก็ต้องพลาดไม่ได้ที่จะขึ้นไปเที่ยวชมจุดชมวิวของสุดยอดเกาะส่วนตัวแห่งนี้กัน รวมทั้ง เกาะเต่า เกาะที่ได้ชื่อว่าเป็นเกาะสวรรค์กลางทะเลอ่าวไทย และเพราะมีธรรมชาติสวยงามและอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งมีแนวปะการังทั้งน้ำตื้นและน้ำลึกขนาดใหญ่และสวยงาม จึงเป็นจุดดำน้ำที่มีชื่อเสียงระดับโลกอีกแห่งหนึ่งอีกด้วย
7. เกาะล้าน
เกาะล้าน ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดชลบุรี อยู่ห่างจากชายฝั่งพัทยา 7 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำหรับผู้ที่มีเวลาเที่ยวน้อย โดยสามารถนั่งเรือข้ามไปที่เกาะโดยใช้เรือโดยสารใช้เวลา 45 นาที พื้นที่ของเกาะมีพื้นที่ประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร มีชายหาดที่สวยงามหลายแห่ง ส่วนใหญ่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำเพราะน้ำทะเลที่เกาะล้านนี้ใส และสะอาดมาก สามารถว่ายลอยตัวบนผิวน้ำใส ๆ ก็ได้เช่นกัน หรือจะเลือกไปดำน้ำดูปะการัง เล่นกีฬาทางน้ำก็ได้จ้า อีกทั้งบนเกาะล้านยังมีที่พักหลายสไตล์ ใครชอบแบบไหนเลือกได้ตามใจชอบเลยจ้า
8. เกาะช้าง
เกาะช้าง เป็นหนึ่งเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากเกาะภูเก็ต แถมยังมีเกาะเล็กเกาะใหญ่มากกว่า 52 เกาะ แต่เดิมไม่มีชุมชนตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัย หากมีความสำคัญในฐานะที่เป็นท่าจอดเรือหลบลมมรสุม เป็นแหล่งเสบียงอาหารและน้ำจืด โดยเฉพาะบริเวณอ่าวสลักเพชรหรืออ่าวสลัด เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่โจรสลัด ชาวจีนไหหลำ และญวน สำหรับภูมิประเทศของเกาะช้าง มีพื้นที่กลางเกาะเป็นภูเขา และป่าดิบชื้น มีที่ราบอยู่ตามขอบเกาะก่อนถึงชายหาดของอ่าวต่าง ๆ ที่ราบเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสวนมะพร้าว สวนยางพารา และสวนผลไม้ เช่น เงาะ ทุเรียน ส้มโอ ฯลฯ ตลอดจนเปิดเป็นที่พักของนักท่องเที่ยวมากมายหลากหลาย ทั้งที่พักริมชายหาด บนเขา หรือแบบโฮมสเตย์สัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้าน
9. ปราณบุรี
ปราณบุรี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลฝั่งอ่าวไทย ที่เริ่มได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น เพราะอยู่ห่างจากหัวหินเพียง 30 กิโลเมตร และเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างเงียบสงบ มีความเป็นส่วนตัวมากกว่าชายทะเลอื่น ๆ ในละแวกใกล้เคียงกัน จึงเหมาะกับการพักผ่อนหย่อนใจ นอนฟังเสียงทะเล ท่ามกลางบรรยากาศแสนโรแมนติก และเหมาะกับการเล่นกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งพายเรือคายัก ปีนหน้าผา ปั่นจักรยาน ยิ่งไปกว่านั้นปราณบุรียังเป็นศูนย์รวมของโรงแรม รีสอร์ท เก๋ไก๋ มีสไตล์ เป็นเอกลักษณ์ รองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างครบครับ ปราณบุรีจึงเป็นสถานที่อินเทรนด์อีกแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนอย่างแท้จริง
โดยมีสถานที่ท่องเที่ยว เช่น ชายหาดปราณบุรี เป็นชายหาดที่ยาวต่อเนื่องจากชายหาดหัวหิน เงียบสงบร่มรื่น มีที่พักหลายแห่งให้บริการ และหมู่บ้านปากน้ำปราณ บริเวณช่วงที่แม่น้ำปราณบุรีไหลลงสู่ทะเล ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง หมู่บ้านแห่งนี้จึงกลายเป็นศูนย์รวมอาหารทะเลจำหน่ายในราคาย่อมเยา
10. ทะเลสัตหีบ
สัตหีบ อำเภอเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี ห่างจากตัวเมืองชลบุรี 85 กิโลเมตร มีชายหาดที่สวยงามและเงียบสงบหลายแห่ง เช่น หาดเตยงาม ตั้งอยู่บริเวณอ่าวเตยงาม มีชายหาดสีขาวยาวสุดสายตา, หาดนางรำ ตั้งอยู่ภายในท่าเรือจุกเสม็ด บริเวณจุดจอดเรือหลวงจักรีนฤเบศร เป็นหาดที่ยังคงความสวยงามและสมบูรณ์แห่งหนึ่งในฝั่งทะเลแถบตะวันออก, หาดนางรอง ตั้งอยู่ต่อจากแหลมนางรำ เป็นหาดทรายขาวละเอียด, หาดทรายแก้ว ตั้งอยู่ในพื้นที่โรงเรียนชุมพลทหารเรือ เป็นหาดทรายขาวลักษณะของเม็ดทรายจะสวยงามและน้ำทะเลใสสะอาด, หาดเทียนทะเล อีกหนึ่งสถานที่ที่สวยงาม สามารถชมวิวได้ในมุมกว้าง, หาดบางเสร่ เป็นชายหาดที่ยาวประมาณ 1,500 เมตร สวยงามและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนจำนวนมาก, หาดบ้านอำเภอ หาดที่ยังคงมีธรรมชาติที่สวยงาม น้ำทะเลใส และเป็นหาดที่เงียบสงบ
เกาะแสมสาร ถือเป็น 1 ใน 9 เกาะ ในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯ หรือ อพ.สธ. นับเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเกาะทั้งหมดในอำเภอสัตหีบ บนเกาะมีสถานที่เล่นน้ำ ได้แก่ หาดเทียน, หาดแหลมฝรั่ง, หาดลูกอม (สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากดำน้ำ ให้อาหารปลา), หาดขวด และหาดหน้าบ้าน และ เกาะขาม มีรูปร่างคล้ายตัว H มีพื้นที่ประมาณ 61 ไร่ อยู่ภายใต้การดูแลของกองเรือป้องกันฝั่ง เป็นเกาะที่มีความสมบูรณ์ทางด้านธรรมชาติ ชายหาดที่สวยงาม และแนวปะการังที่สมบูรณ์ไปด้วยสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เหมาะกับการอนุรักษ์และพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อศึกษาหาความรู้ด้านวิชาการ
11. เกาะห้อง
เกาะห้อง หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เกาะเหลาบิเละ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี จังหวัดกระบี่ เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่มีทัศนียภาพสวยงามมาก ล้อมรอบด้วยน้ำทะเลสีคราม มีกัลปังหาและปะการังรอบเกาะ ลักษณะโดยทั่วไปเป็นเขาหินปูน น้ำทะเลใส หาดทรายขาว มีแนวปะการังทั้งน้ำตื้นและน้ำลึกเหมาะแก่การดำน้ำ ตกปลา นอกจากนี้ บนเกาะห้องยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ระยะทาง 400 เมตร รอบ ๆ เกาะห้องสามารถพายเรือแคนูได้ แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้นักเดินทางต่างอยากไปสัมผัสเกาะห้องด้วยตาตัวเอง นั่นคือ ทะเลใน ซึ่งเปรียบเสมือนสระน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ผนังเป็นหน้าผาชันโดยรอบ ลักษณะคล้ายห้อง มีประตูทางเข้าเพียงทางเดียว กว้างประมาณ 10 เมตร สามารถนำเรือเข้าไปได้ พื้นเป็นทรายขาวสะอาดราบเรียบเสมอกัน น้ำตื้น และใสมาก เหมาะแก่การเล่นน้ำ
12. เกาะมุก
เมื่อพูดถึงเกาะมุก สถานที่สำคัญที่เป็นไฮไลท์ภายในเกาะที่หลายคนต้องไปเยือนนั่น ก็คือ ถ้ำมรกต ซึ่งเป็นถ้ำน้ำขนาดเล็กที่หลังน้ำลดจะสามารรถนั่งเรือลอดเข้าไปได้ หรือไม่นักท่องเที่ยวก็ต้องลอยคอเข้าไปชมความงามภายในถ้ำ ซึ่งเมื่อพ้นปากถ้ำจะพบกับห้องโถงใหญ่ที่มีพื้นเป็นน้ำทะเลสะท้อนแสงสีเขียวมรกต ล้อมรอบด้วยผนังผาสูงชันและหาดขาวละเอียด ซึ่งช่วงที่ดีที่สุดในการเที่ยวถ้ำมรกต คือ ช่วงที่น้ำขึ้นในแต่ละวันระหว่างเวลา 10.00-14.00 น. และเดือนที่เหมาะสมในการเที่ยว ก็คือ ช่วงเดือนธันวาคม-พฤษภาคม นอกจากนี้ บริเวณรอบเกาะยังมีชายหาดสวยงามกับวิถีชุมชนมุสลิมที่ยังชีพด้วยการประมงพื้นบ้านเป็นบรรยากาศเงียบสงบที่เหมาะจะหลบมาพักผ่อนเป็นอย่างดี
13. เกาะกูด
เกาะกูด เป็นเกาะที่อยู่สุดท้ายทางทิศตะวันออกของประเทศไทยในน่านน้ำทะเลตราด ลักษณะโดยทั่วไปของเกาะยังคงสภาพความเป็นธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ โดยมีภูเขาและที่ราบสันเขาซึ่งเป็นต้นกำเนิดลำธาร สายน้ำ ทำให้เกาะกูดมีน้ำตกหลายแห่ง แต่ที่ขึ้นชื่อบนเกาะกูด คือ น้ำตกคลองเจ้า จะมีน้ำไหลตลอดทั้งปี ส่วนทางฝั่งตะวันตกของเกาะตั้งแต่อ่าวตาติ้น, หาดคลองยายกี๋, แหลมหินดำ, หาดคลองเจ้า, หาดง่ามโข่, แหลมบางเบ้า, หาดอ่าวพร้าว ไปจนสุดปลายแหลมเทียน
อีกทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางฝั่งตะวันออกที่น่าสนใจ ได้แก่ อ่าวสับปะรด, แหลมศาลา, อ่าวยายเกิด, อ่าวคลองหิน และอ่าวจาก ล้วนแต่เป็นหาดที่มีหาดทรายสวยงามและน้ำทะเลใส มีธรรมชาติสงบเงียบ ร่มรื่นด้วยทิวมะพร้าวริมหาด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบท่องเที่ยวและพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ โดยแต่ละหาดจะมีที่พักไว้บริการนักท่องเที่ยว ในแบบบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว นอกจากนี้ บนเกาะกูดยังมีป่าชายเลนที่สมบูรณ์ แนวปะการังนานาชนิดและปลาทะเลสีสันสวยงามในบริเวณทะเลด้านในของตัวเกาะอีกด้วย
14. เกาะทะลุ
เกาะทะลุ ตั้งอยู่ในตำบลบางสะพาน อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นเกาะขนาดเล็ก เดินทางจากชายฝั่งบ้านหนองเสม็ด ภูมิประเทศเป็นชายหาด ภูเขาและสวนมะพร้าวซึ่งยังคงสภาพสวยงามอุดมสมบูรณ์ หาดทรายขาวสะอาด เช่น อ่าวมุก บรรยากาศเงียบสงบ ทรายขาวละเอียด น้ำทะเลสีสวย, อ่าวไทรใหญ่ เหมาะแก่การดำน้ำดูปะการัง พายเรือคายัก เล่นเรือใบ, อ่าวเทียน เหมาะแก่การชมวิวทิวทัศน์ เพราะมีต้นเทียนอยู่มาก ส่วนด้านตะวันออกของเกาะมีสุสานปะการังที่ถูกน้ำทะเลพัดมาทับถมจนเต็มหาด
สำหรับหัวเกาะด้านทิศเหนือเป็นหน้าผาหินและมีช่องหินขนาดใหญ่ ซึ่งเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติของลมและน้ำทะเล ที่กัดเซาะจนสามารถมองเห็นทะเลอีกด้านหนึ่ง อันเป็นที่มาของชื่อเกาะ บริเวณรอบเกาะทะลุอุดมไปด้วยปะการังน้ำตื้นสีสวย หาดทรายขาวสะอาด เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบบรรยากาศเงียบสงบเป็นส่วนตัว อีกทั้งนักท่องเที่ยวยังสามารถพายเรือคายักชมความงามรอบเกาะได้ รวมถึงการทำกิจกรรมต่าง ๆ
15. เกาะสีชัง
เป็นเกาะใหญ่ที่มีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของชลบุรี อยู่ห่างจากฝั่งศรีราชาประมาณ 12 กิโลเมตร และเป็นเกาะที่น่าท่องเที่ยวในบรรยากาศแบบท้องถิ่น ซึ่งสามารถแวะท่องเที่ยวในวันเดียวหรือพักค้างคืนก็ได้ ชุมชนเกาะสีชังอยู่ทางด้านตะวันออกของเกาะ เป็นที่ตั้งของท่าเรือเทววงศ์ (ท่าล่าง) และเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางด้วยรถสามล้อเครื่องหรือสกายแล็ปไปยังจุดอื่น ๆ บนเกาะสีชังจุดท่องเที่ยวบนเกาะสีชัง ได้แก่ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเกาะสีชังให้ความเคารพนับถือ, มณฑปรอยพระพุทธบาท อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเขาเดียวกับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ รัชกาลที่ 5 ทรงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ บนยอดเขาเป็นจุดชมทิวทัศน์ทะเลได้โดยรอบ
ช่องเขาขาด ตั้งอยู่ด้านหลังของเกาะ หากนั่งเรือผ่านจะเห็นเป็นช่องเขา ในบริเวณมีสะพานสำหรับเดินชมทิวทัศน์ สามารถชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงาม มีหาดหินกลม ซึ่งเต็มไปด้วยหินกลม ๆ ขนาดต่าง ๆ มากมาย, พระจุฑาธุชราชฐาน สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นที่ประทับในฤดูร้อน ภายในบริเวณมีสภาพภูมิทัศน์ที่งดงาม ด้านหน้าเป็นชายหาดท่าวัง ถัดขึ้นไปเป็นตึกวัฒนา พระตำหนักทรงปั้นหยา เรือนไม้ลวดลายขนมปังขิง ตึกผ่องศรีหรือศาลาแปดเหลี่ยม ตึกอภิรมย์ และวัดอัษฎางค์นิมิตบนยอดเขา ซึ่งก่อสร้างแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมตะวันตก และหาดถ้ำเขาพัง ตั้งอยู่ด้านตะวันตกของเกาะ เป็นชายหาดกว้าง สะอาดและสวยงาม มีทรายละเอียด น้ำใสสะอาดเหมาะแก่การเล่นน้ำ
ทั้งนี้ เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสีชังอยู่ห่างกันพอสมควร จะสะดวกมากหากจะเช่ารถสามล้อเครื่องจากท่าเทียบเรือไปชมสถานที่ต่าง ๆ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็เที่ยวได้ทั่วเกาะ
เรียกได้ว่า 15 เกาะและชายหาดที่เราคัดเลือกมานั้น เป็นท้องทะเลที่เหมาะสำหรับวางแผนไป “เที่ยวทะเลปีใหม่” เป็นอย่างยิ่ง ใครอยากพักผ่อนเพื่อเริ่มต้นสิ่งดี ๆ หลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งปีก็อย่าลืมเลือกสักที่แล้วแวะไปเที่ยวกันนะจ๊ะ ^^
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://thai.tourismthailand.org/-
-http://www.dnp.go.th/index3d.asp-
http://thai.tourismthailand.org/
http://www.dnp.go.th/index3d.asp
sithiphong:
ตามรอยความอร่อยในงาน “กินข้างทาง…นั่งข้างวัง” ที่ "มิวเซียมสยาม"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 ธันวาคม 2556 19:21 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000154389-
มิวเซียมสยาม ชวนร่วมงาน “ไนท์ แอท เดอะ มิวเซียม (Night at the Museum)” ครั้งที่ 4 ตอน มิวเซียมกินได้ “กินข้างทาง...นั่งข้างวัง” ในวันที่ 20 - 22 ธ.ค.56 ตั้งแต่เวลา 18.00 - 22.00 น. ณ มิวเซียมสยาม พบกับการสาธิตการปรุงอาหารชาววัง ของห้องเครื่องต้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นต้น
โดยภายในงานมีกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ การสาธิตการปรุงอาหารชาววัง อาหารโบราณของห้องเครื่องต้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา พระมเหสีในรัชกาลที่ 5 สาธิตโดย อาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ที่สูตรอาหารในแต่ละวันจะไม่ซ้ำกัน เพื่อเผยให้เห็นถึงวิวัฒนาการอาหารสตรีทฟู้ดของไทย ที่มีรากเหง้าแต่ดั้งเดิมมาจากห้องเครื่องต้นในรั้ววัง และในงานนี้ยังมีวางจำหน่ายให้ได้ลิ้มลอง อาทิ น้ำพริกลูกหนำเลี๊ยบ, น้ำพริกลงเรือ, น้ำพริกตะไคร้, ไก่นมวัว, ข้าวในกะหล่ำปลี, ข้าวงบไก่, ข้าวบายศรีปากชาม, แกงเลียงนพเก้า เป็นต้น พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงาน ได้เวิร์คช็อปกับการปรุงอาหารสูตรสำรับห้องเครื่องต้น รัชกาลที่ 5
นอกจากนี้ยังมีการออกร้านค้าอาหารชื่อดัง ที่ความอร่อยยกนิ้วให้จนเป็นตำนานร่วม 30 บูธ อาทิ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อนายโส่ย, ข้าวแกงร้านฉวาง, ผัดไทยร้านสวัสดี, ข้าวหมกไก่คุณเล็ก, กาแฟโกปี๊ นครศรีธรรมราช และน้ำแข็งใสร้านเซ็งเซียมอี้ ท่ามกลางบรรยากาศลมหนาวเย็นสบาย เคล้าเสียงเพลงอันไพเราะที่จะขับกล่อมตลอดงาน และชมนิทรรศการที่จะสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของอาหารการกิน นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0-2225-2777 ต่อ 414, 415 หรือ www.facebook.com/museumsiamfan
-----------------------------------------------
มิวเซียมสยาม
-http://www.museumsiam.com/book.php-
ข้อมูลสำหรับผู้เข้าชม
ที่ตั้ง
มิวเซียมสยาม | สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ
เลขที่ 4 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
โทรศัพท์ 02-225-2777
โทรสาร 02-225-2775
เวลาเปิดให้บริการ
วันอังคาร - วันอาทิตย์ เวลา 10.00 - 18.00 น.
(ปิดให้บริการทุกวันจันทร์)
ค่าเข้าชม
บุคคลทั่วไป
นักเรียน นักศึกษา (อายุ 15 ปีขึ้นไป)
50 บาท
ผู้ใหญ่คนไทย
100 บาท
ผู้ใหญ่ชาวต่างชาติ
300 บาท
หมู่คณะ 5 คนขึ้นไป
นักเรียน นักศึกษา (อายุ 15 ปีขึ้นไป)
25 บาท
ผู้ใหญ่คนไทย
50 บาท
ผู้ใหญ่ชาวต่างชาติ
150 บาท
-http://www.museumsiam.com/map.html-
sithiphong:
ร่วมย้อนอดีตเมืองกรุงฯในงาน “เทศกาลรัตนโกสินทร์”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 ธันวาคม 2556 17:09 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000155361-
กรมธนารักษ์ จับมือหลายหน่วยงานจัดงาน “เทศกาลรัตนโกสินทร์” ภายใต้ในแนวคิด “ ยุคทองของแผ่นดิน ร้อง รำ ทำ กิน สะท้อนงานศิลป์ถิ่นไทย” ระหว่างวันที่ 20-22, 28-29 ธ.ค. 56 และ 4-5, 11-12 ม.ค. 57 บริเวณพื้นที่รอบเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ถนนพระอาทิตย์ถึงใต้สะพานพระปิ่นเกล้า
นริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังโดยกรมธนารักษ์ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสืบสานและการอนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้จัดโครงการเทศกาลรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2555 ในชื่องาน "รำลึกรัตนโกสินทร์ 230 ปี" ซึ่งได้รับการตอบรับทั้งจากชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก ดังนั้นเพื่อให้เกิดกระแสอนุรักษ์และกระตุ้นการท่องเที่ยวของประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงได้ต่อยอดการจัดงานอีกครั้ง และถือโอกาสเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษาในปีนี้ พร้อมสืบสานศิลปวัฒนธรรม สัมผัสวิถีชุมชนไทย รวมถึงจะมีการเปิดศูนย์การเรียนรู้ของกรมธนารักษ์ และห้องสมุดชุมชนชาวบางลำพู
สำหรับงาน “เทศกาลรัตนโกสินทร์” ครั้งนี้ ภายในงานแต่ละสัปดาห์จะมีกิจกรรมไฮไลท์แตกต่างกันไป อาทิ สัปดาห์แรก - เทศกาลแสดงรถโบราณ, สัปดาห์ 2 - การแสดงโชว์ศิลปะด้านกีฬา เช่น มวยไทย มวยทะเล หลากหลายประเภท สัปดาห์ 3 - เทศกาลวัฒนธรรมของกรุงรัตนโกสินทร์สมัยต้น กลางและปลาย สัปดาห์ 4 - สัปดาห์ที่สี่อยู่ในช่วงวันเด็กจะมีความพิเศษ มีดาราเด็ก กิจกรรมของเด็กๆ ในทุกๆ สัปดาห์จะมีการแสดงของดารา และคนในชุมชน มีเวทีการแสดงถึง 6 เวที ที่ศูนย์การเรียนรู้จะมีวีดิทัศน์ความรู้ เรื่องเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ กำแพงเมือง ประวัติต่างๆ ที่น่าสนใจ
นอกจากนี้ในทุกๆ สัปดาห์จะมีการแสดงของดารา และคนในชุมชน มีเวทีการแสดงถึง 6 เวที ที่ศูนย์การเรียนรู้จะมีวีดิทัศน์ความรู้ เรื่องเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ กำแพงเมือง ประวัติต่างๆที่น่าสนใจ การประกวดภาพถ่าย กิจกรรมการแสดงต่างๆอีกหลากหลาย ผู้สนใจดูเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/rattanakosinfestival
sithiphong:
เที่ยวย้อนยุค เจาะเวลา พาสนุก ที่ “พพ.ศิริราชพิมุขสถาน”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 ธันวาคม 2556 19:53 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000156374-
อาคารอนุรักษ์สถานีรถไฟธนบุรี (เดิม).
ฉันว่าช่วงนี้ในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร อากาศเย็นสบายดีเป็นพิเศษมากกว่าในหลายๆ ปีที่ผ่านมา อากาศดีก็ทำให้อารมณ์ดี จะให้นั่งจับเจ่าอยู่บ้านก็กระไรอยู่ ว่าแล้วก็จัดแจงแต่งตัว ออกไปเที่ยวสนุกๆ แถมหาความรู้ไปในตัวกันดีกว่า
วันหยุดนี้ฉันก็เลยพาตัวเองมาอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชเสียเลย แต่ไม่ต้องตกใจว่าป่วยเป็นอะไร เพราะฉันจะมาเดินเที่ยวที่โรงพยาบาลแห่งนี้เท่านั้น ซึ่งอย่างที่เคยรู้กันว่าภายในโรงพยาบาลศิริราชนี้ก็มีพิพิธภัณฑ์ทางการแพทย์เปิดให้ผู้คนเข้าไปหาความรู้อยู่หลายแห่ง และล่าสุดนี้ก็ได้มีการเปิดพิพิธภัณฑ์ใหม่ ที่มีชื่อว่า “พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน” แบบนี้ฉันก็ต้องไม่พลาดที่จะเข้าไปเยี่ยมชมเสียหน่อย
ห้องโถงบรรยากาศสถานีรถไฟ
“พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน” สร้างขึ้นบนพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่เดิมเคยเป็นที่ตั้งพระราชวังหลัง ต่อมามีการสร้างสถานีรถไฟธนบุรีและโรงพยาบาลศิริราช รวมทั้งเป็นพื้นที่ซึ่งผูกพันกับวิถีชีวิตของชุมชนบางกอกน้อย โรงพยาบาลศิริราชจึงได้รวบรวมประวัติศาสตร์ของพื้นที่นี้เพื่อนำมาจัดแสดงในอาคารสถานีรถไฟธนบุรี (เดิม) ที่เป็นอาคารอนุรักษ์ และมีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม
ฉันเดินมาถึงพิพิธภัณฑ์ก็ต้องยืนชื่นชมความสวยงามของอาคารอนุรักษ์ที่เป็นสีเหลืองอ่อนๆ สลับกับอิฐสีส้มแดง และด้านข้างยังมีหอนาฬิกาสูง ดูแล้วเป็นอาคารที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งใน กทม. เลยทีเดียว
ชมวิดีทัศน์เล่าเรื่องราวของพิพิธภัณฑ์
พอเดินเข้ามาด้านในก็จะเจอกับห้องจำหน่ายบัตร ที่ตกแต่งบริเวณโดยรอบให้เหมือนกับสถานีรถไฟในสมัยก่อน ซึ่งก็เพื่อให้รำลึกถึงว่าสถานที่แห่งนี้คือสถานีรถไฟธนบุรี (เดิม) ที่เคยเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางรถไฟสายใต้
ซื้อตั๋วเข้าชมกันแล้ว เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ก็พาฉันเข้ามาสู่การจัดแสดงห้องแรกที่มีชื่อว่า “ห้องศิริสารประพาส” ที่ห้องนี้จะนำเสนอเรื่องราวของพิพิธภัณฑ์โดยรวมผ่านวิดีทัศน์และสิ่งจัดแสดงต่างๆ ส่วนฉันก็นั่งดูอยู่ที่เก้าอี้ไม้สักทองแบบที่นักศึกษาแพทย์หลายรุ่นเคยใช้มาก่อน
จิตรกรรมฝาผนังที่วิจิตรงดงาม
ส่วนจุดเริ่มต้นในการเดินชมพิพิธภัณฑ์ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ “ห้องศิริราชขัตติยพิมาน” ซึ่งเป็นห้องฉันได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตาของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่มีต่อโรงพยาบาลศิริราช และการแพทย์ของประเทศไทย ทำให้พวกเราได้มีสุขภาพที่ดีกันเหมือนในทุกวันนี้
ถัดมาเป็น “ห้องสถานพิมุขมงคลเขต” ที่ฉันได้นั่งชมจิตรกรรมไทยที่สวยงาม บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชประวัติกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ที่ผสมผสานแสงสีเสียงให้ได้ตื่นตาตื่นใจ และได้รับรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมาย
ภาพยนตร์ 4 มิติ ตื่นตาตื่นใจ
สำหรับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ถึงแม้จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ภายในโรงพยาบาล ก็ไม่ได้มีแค่เรื่องราวเกี่ยวกับการแพทย์เท่านั้น ยังมีประวัติศาสตร์ ความเป็นมา และเรื่องราวของชุมชนในละแวกนี้ ที่นำเสนอผ่านการจัดแสดงในส่วนต่างๆ เริ่มจาก “ฐานป้อม” ที่เป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงอดีตของพระราชวังบวรสถานพิมุข (วังหลัง) ที่เคยตั้งอยู่ในพื้นที่นี้ ก่อนที่จะผ่านความทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา ใกล้ๆ กันก็มีการจัดแสดง “เครื่องถ้วยโบราณ” ที่ขุดค้นพบในช่วงที่มีการก่อสร้างอาคารสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช
หรือจะเป็น “แผนที่เมืองธนบุรี” ซึ่งเป็นแผนที่จำลองมาจากของเก่าที่เขียนโดยชาวพม่าที่ลักลอบเข้ามาสืบความลับในสยาม มีการลงรายละเอียดของสถานที่ต่างๆ และยังมีการเปรียบเทียบกับสถานที่ในปัจจุบัน ทำให้พอนึกออกว่าสมัยธนบุรีนั้นบ้านเมืองเราเป็นอย่างไรบ้าง
สัมผัสบรรยากาศห้องตรวจโรค
และห้องที่ฉันชอบที่สุดในส่วนของประวัติศาสตร์ก็คือ “ห้องโบราณราชศัตรา” ที่ห้องนี้จะจัดแสดงศาสตราวุธหลากหลายชนิดและหลากหลายชาติพันธุ์ที่ทรงคุณค่า เพราะว่าเป็นของเก่าที่ได้รับมอบมาจากราชสกุลเสนีวงศ์ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ข้างๆ ตู้จัดแสดงก็ยังมีวีดิทัศน์ที่บอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับการทำความสะอาดและการเก็บรักษาศาสตราวุธต่างๆ ทำให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยในการรักษาของเก่าให้อยู่ในสภาพดีขนาดนี้ และแม้ว่าห้องนี้จะถ่ายรูปไม่ได้ แต่ฉันก็ได้เก็บเอาภาพความวิจิตรงดงามของศาสตราวุธทั้งหลายเอาไว้ในใจ
ห้องถัดไปเป็นห้องสุดท้ายของบริเวณชั้นล่าง ในอาคารพิพิธภัณฑ์ 1 นั่นก็คือ “ห้องคมนาคมบรรหาร” ที่มีภาพยนตร์สี่มิติให้ได้ชมกัน ฉันลองไปยืนในห้องแล้วก็ใส่แว่นตาสี่มิติพร้อมๆ กับชมภาพยนตร์ไป ก็รู้สึกเหมือนเข้าไปยืนอยู่ในเหตุการณ์จริงตั้งแต่ช่วงการสร้างสถานีแห่งนี้ เข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ต้องเอี้ยวตัวหลบลูกระเบิดไปด้วย จนกระทั่งมาถึงช่วงปัจจุบันของสถานีรถไฟธนบุรี (เดิม)
ลองมาเป็นแพทย์ผ่าตัด
ขึ้นมาที่ชั้นสอง ก็เริ่มเข้าสู่เนื้อหาทางด้านการแพทย์กันบ้าง อย่างห้องแรก “งานพระเมรุสมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์” ที่เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อันเป็นจุดเริ่มต้นของโรงพยาบาลศิริราช เนื่องจากไม้ อาคารประกอบ และเครื่องเรือนจากงานพระเมรุครั้งนี้ ได้นำมาสร้าง “โรงศิริราชพยาบาล” โรงพยาบาลหลวงแห่งแรกของแผ่นดิน
ห้องต่อมาเล่าเรื่องราวของโรงเรียนแพทย์ในยุคแรก ที่จะต้องเรียนรู้ผ่าน “หุ่นกายวิภาคมนุษย์” ที่ทำมาจากเยื่อกระดาษ และยังเล่าเรื่องราวของพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของไทย ในห้อง “สมเด็จพระบรมราชชนก”
จำลองร้ายขายสมุนไพร
ถัดมา ฉันก็ได้เรียนรู้เรื่องราวทางด้านการแพทย์มากขึ้น ทั้งการตรวจโรคในเบื้องต้น การสืบค้น การวินิจฉัยและรักษาโรค ในห้อง “หุ่นโรควิเคราะห์” ที่จัดแสดงให้เหมือนกับห้องตรวจโรคผู้ป่วย และได้ลองเป็นคุณหมอฟังเสียงปอด เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะต่างๆ เพื่อการวิเคราะห์โรค
แต่ส่วนที่สำคัญของการเรียนวิชากายวิภาคศาสตร์ ที่นักศึกษาแพทย์ทุกคนจะต้องรู้จักดี ก็คือ “อาจารย์ใหญ่” ซึ่งเป็นผู้ที่เสียสละร่างกายของตนเองให้ทำการศึกษา เพื่อผลิตแพทย์ที่มีคุณภาพในอนาคต การจัดแสดงในส่วนนี้ใช้โต๊ะปฏิบัติการที่เคยรองรับอาจารย์ใหญ่มารุ่นแล้วรุ่นเล่า ทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงความขลังผ่านการจัดแสดงและการจัดแสงในส่วนนี้
มาถึงอีกห้องที่ฉันชอบมากก็คือ “ห้องจำลองการผ่าตัด” เป็นการจำลองการผ่าตัดแบบย้อนยุค ให้ได้รู้ว่าเครื่องไม้เครื่องมือ และบุคลากรที่ทำงานในห้องผ่าตัดมีใครบ้าง แล้วฉันก็ได้ลองมาเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่ง ลองจับเครื่องมือผ่าตัดให้คนไข้ (จำลอง) เป็นประสบการณ์สนุกๆ อีกอย่างหนึ่งที่ฉันได้ลอง
ชุมชนบางกอกน้อยในสมัยก่อน
นอกจากเรื่องราวของแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว ก็ยังมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการแพทย์แผนไทยอีกด้วย โดยในห้อง “มหัศจรรย์ร่างกายมนุษย์” จะมาไขรหัสการแพทย์จากมุมมองของแพทย์แผนตะวันตกและแพทย์แผนที่ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร และยังมีการจำลอง “ร้านโอสถวัฒนา” ร้านยาสมุนไพรไทยมาให้ได้ชมกัน
เดินมาก็ตั้งนาน เพิ่งจะหมดบริเวณของอาคาร 1 ออกมาที่ระเบียงชั้น 2 ที่เชื่อมต่อกับอาคารพิพิธภัณฑ์ 2 ก็มีมุมร้านกาแฟให้นั่งพักผ่อนก่อนจะเดินต่อไปยังอาคาร 3 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องกับชุมชนบางกอกน้อย
เริ่มจากการมาสักการะ “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)” อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม พระมหาเถระที่ได้รับการเคารพศรัทธาตั้งแต่พระมหากษัตริย์ไปจนถึงชาวบ้านทั่วไป แล้วก็มาลองชม “วิถีชีวิตชาวบางกอกน้อย” ที่มีการจำลองโรงละคร ร้านค้า ร้านอาหาร แสดงถึงวิถีชีวิตของผู้คนสองฝั่งคลองบางกอกน้อยในสมัยก่อนว่าเป็นอยู่กันอย่างไร
เรือโบราณลำใหญ่
สุดท้ายก็เดินมาชม “เรือโบราณ” ที่ขุดค้นพบในพื้นที่บริเวณนี้ ซึ่งเรือลำนี้เป็นเรือไม้โบราณขนาดใหญ่ มีความยาวถึง 24 เมตร และถือว่าเป็นเรือไม้ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเท่าที่เคยขุดค้นได้ เดินดูรอบๆ แล้วก็ต้องทึ่งในความสามารถของคนไทยเราที่สามารถต่อเรือลำใหญ่ได้ขนาดนี้
กว่าจะเดินชมจนครบทุกห้องที่อยู่ภายในพิพิธภัณฑ์นี้ ก็ต้องใช้เวลาเกือบหมดวันเลยทีเดียว แต่ก็ได้ความรู้พร้อมๆ กับความสนุกสนาน ที่ทำให้เพลิดเพลินจนลืมเวลาไปเลย สถานที่ดีๆ แบบนี้ มาแล้วก็ต้องบอกต่อให้คนอื่นลองมาชมด้วย จะได้มีความรู้และสนุกสนานเหมือนกันฉัน
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
“พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน” ตั้งอยู่ในพื้นที่โรงพยาบาลศิริราช เขตบางกอกน้อย กทม. เปิดให้บริการวันจันทร์, พุธ-อาทิตย์ (หยุดวันอังคารและวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา 10.00-17.00 น. ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ผู้ใหญ่ 80 บาท เด็ก (ไม่เกิน 18 ปี) 25 บาท ต่างชาติ 200 บาท เด็กสูงไม่เกิน 120 ซม. เข้าฟรี
นอกจากจะมีพิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถานแล้ว ภายในโรงพยาบาลศิริราชยังมีพิพิธภัณฑ์การแพทย์อีก 5 แห่ง ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ในวันและเวลาเดียวกัน ได้แก่ พิพิธภัณฑ์พยาธิวิทยาเอลลิส, พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ สงกรานต์ นิยมเสน, พิพิธภัณฑ์ปรสิตวิทยา, พิพิธภัณฑ์กายวิภาค-คองดอน และ พิพิธภัณฑ์และห้องปฏิบัติการเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ สุด แสงวิเชียร
ซึ่งหากสนใจเข้าชมทั้งพิพิธภัณฑ์ศิริรราชพิมุขสถาน และพิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช สามารถซื้อบัตรเดียวเที่ยว 2 พิพิธภัณฑ์ได้ในราคาพิเศษ ผู้ใหญ่ 150 บาท เด็ก (ไม่เกิน 18 ปี) 50 บาท ต่างชาติ 300 บาท เด็กสูงไม่เกิน 120 ซม.
สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2419-2601, 0-2419-2618-9
www.si.mahidol.ac.th/museums
FB : siriraj.museum
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version