ผู้เขียน หัวข้อ: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ  (อ่าน 356327 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 18 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ทำไมดอกพุทธรักษา จึงเป็นดอกไม้ประจำวันพ่อ

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2_%E0%B8%88%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD/-


ชื่อวิทยาศาสตร์:  Canna spp. and hybrid

ชื่อวงศ์:  Cannaceae

ชื่อสามัญ:  Indian shot, Canna

ชื่อพื้นเมือง:  พุทธศร  ดอกบัวละวง



ลักษณะทั่วไป:
    ต้น  เป็นพรรณไม้ล้มลุก เนื้ออ่อน อวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-2 เมตร มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า เหง้า มีการเจริญเติบโตโดยแตกหน่อเป็นกอคล้ายกับกล้วย ลักษณะหน่อที่เจริญเป็นต้นเหนือพื้นดินนั้นมีลักษณะกลมแบนสีเขียวขนาดลำต้นโตประมาณ 2-4 เซนติเมตร
    ใบ  ใบมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบ กลางใบเป็นเส้นนูนเห็นได้ชัดโคนใบมีก้านใบซึ่งยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกัน ขนาดใบกว้างประมาณ 10-15 เซนติเมตรยาวประมาณ 25-35 เซนติเมตร
    ดอก  สีแดง แสด เหลือง ชมพู ขาว ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะที่ปลายกิ่ง ทยอยบานทีละ 1-3 ดอก ช่อดอกยาว 15- 20 เซนติเมตร  ช่อละ 8-10 ดอก กลีบเลี้ยง 3 กลีบ ขนาดเล็กสีเขียวอ่อน กลีบดอก 3 กลีบ   ดอกบานเต็มที่กว้าง 8-9  เซนติเมตร มีเกสรตัวผู้ซึ่งเปลี่ยนรูปร่างไปเหมือนกลีบดอกมีขนาดใหญ่
    ฝัก/ผล  ผลแห้งแตก ทรงกลม
    เมล็ด  เมล็ดทรงกลม ขนาด 2-6 เซนติเมตร ผิวขรุขระ จำนวนหลายเมล็ด

ฤดูกาลออกดอก:  ตลอดปี
การปลูก:  ปลูกในแปลงปลูก และปลูกในกระถาง
การดูแลรักษา:  ชอบแสงรำไร หรือแสงแดดจัดกลางแจ้ง ชอบดินเหนียวชุ่มชื้นและมีอินทรียวัตถุสูง หรือที่ระดับน้ำ 10-20 เซนติเมตร
การขยายพันธุ์:  เพาะเมล็ด แยกหน่อ แยกเหง้า

การใช้ประโยชน์:
    -    ไม้ประดับ
    -    สมุนไพร
สรรพคุณทางยา:
    -    ดอก ตำพอกห้ามเลือด รักษาแผลหนอง
    -    ใบ แก้อาการจุกเสียด แก้ท้องเสีย แก้อาเจียน

    “พุทธรักษา”
            หมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครอง ให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวันพระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทยการมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อ จึงเหมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อ ผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่เชื่อกันว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคลนามนั่นเอง
       วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันพ่อแห่งชาติ กำหนดขึ้นครั้งแรก ในปี 2523 และกำหนดให้ ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อ


รูปภาพจาก : bcnnv.ac.th
ข้อมูลจาก : tlcthai.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
พระราชดำรัส “ในหลวง“ ขอให้คนไทยตระหนักทำหน้าที่เพื่อชาติ

-http://news.sanook.com/1352619/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87/-

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกท้องพระโรง ศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ครบรอบ 86 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2556

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำรัสตอบ พระบรมวงศานุวงศ์ คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ทหารทุกหมู่เหล่า และประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ ความว่า

ขอขอบพระทัย และขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกันมาให้พร รวมทั้งให้คำมั่นสัญญาด้วยประการต่างๆ ข้าพเจ้าขอแสดงสนองพรและไมตรีจิตทั้งนั้นด้วยใจจริงเช่นกัน

บ้านเมืองของเราเป็นสุขสืบมาช้านาน เพราะเรามีความเป็นปึกแผนในชาติ และต่างบำเพ็ญกรณียกิจตามหน้าที่ให้สอดคล้องเกื้อกูลกัน เพื่อประโยชน์ของชาติ คนไทยทุกคนจึงควรตระหนักในข้อนี้ให้มาก และตั้งใจประพฤติตัวปฎิบัติงานให้สมฐานะและหน้าที่ เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมคือความมั่นคงปลอดภัยของชาติบ้านเมืองไทย

ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้มีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
พระราชดำรัส “ในหลวง“ ขอให้คนไทยตระหนักทำหน้าที่เพื่อชาติ

-http://news.sanook.com/1352619/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87/-

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกท้องพระโรง ศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ครบรอบ 86 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2556

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำรัสตอบ พระบรมวงศานุวงศ์ คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ทหารทุกหมู่เหล่า และประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ ความว่า

ขอขอบพระทัย และขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกันมาให้พร รวมทั้งให้คำมั่นสัญญาด้วยประการต่างๆ ข้าพเจ้าขอแสดงสนองพรและไมตรีจิตทั้งนั้นด้วยใจจริงเช่นกัน

บ้านเมืองของเราเป็นสุขสืบมาช้านาน เพราะเรามีความเป็นปึกแผนในชาติ และต่างบำเพ็ญกรณียกิจตามหน้าที่ให้สอดคล้องเกื้อกูลกัน เพื่อประโยชน์ของชาติ คนไทยทุกคนจึงควรตระหนักในข้อนี้ให้มาก และตั้งใจประพฤติตัวปฎิบัติงานให้สมฐานะและหน้าที่ เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมคือความมั่นคงปลอดภัยของชาติบ้านเมืองไทย

ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้มีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป

โอบามา ส่งสานส์ถวายพระพรชัยมงคลแด่ในหลวง

-http://news.sanook.com/1352497/%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2-%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%96%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87/-



ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐฯ ได้ส่งสานส์ถวายพระพร เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 56 โดยใจความในสานส์ระบุว่า ในนามของพสกนิกรชาวอเมริกัน ข้าพระพุทธเจ้าปลื้มปิติและน้อมถวายพระพรแด่พระองค์ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช ดั่งที่ข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเมื่อปีที่แล้ว และสำนึกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศไทยเป็นมหามิตรที่ดีต่อกัน โดยในปีนี้สหรัฐฯ และไทยได้เฉลิมฉลอง 180 ปีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เนื่องในโอกาสครบรอบการลงนามในสนธิสัญญาไมตรีและการพาณิชย์ เมื่อปีพุทธศักราช 2376 โดยในสนธิสัญญาฉบับดังกล่าว ในอารัมภบทได้ระบุไว้ว่า มิตรภาพระหว่างสหรัฐฯ และไทย จะมีอำนาจควบคุมความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศชั่วฟ้าดินสลาย และเจตนารมณ์เช่นนั้นจะคอยชี้นำความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และไทย ซึ่งมีความลึกซึ้งและไม่มีการสั่นคลอน

ในการนี้ สหรัฐฯ และไทยจะกระชับความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องทั้งในด้านความมั่นคง การค้า และการลงทุน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยข้าพระพุทธเจ้าเชื่อว่า อนาคตของทั้งสหรัฐฯ และไทยจะโชติช่วงและเจิดจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพรชัยมงคลแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และอำนวยพรให้แก่ปวงชนชาวไทย เนื่องในวโรกาสสำคัญเช่นนี้

-http://www.springnewstv.tv/home-

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
“ลูกปัดอู่ทอง” ยอดของดีแห่งสยาม ความงามเหนือกาลเวลา/ปิ่น บุตรี
โดย ปิ่น บุตรี    12 ธันวาคม 2556 16:49 น.

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000152657-


    โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)

“ลูกปัดอู่ทอง” ยอดของดีแห่งสยาม ความงามเหนือกาลเวลา/ปิ่น บุตรี


ลูกปัดอู่ทองหนึ่งในศิลปวัตถุล้ำค่าแห่งสยามประเทศ
       “...ข้าพเจ้าไม่เคยพบบรรดาลูกปัดที่มีสีเฉพาะถิ่นในที่อื่นๆ มากมายเท่าในเขตปริมณฑลของเมืองอู่ทอง...”
       
       บางส่วนจากบทความ “อู่ทอง กับลูกปัดอู่ทอง สองที่สุดของเมืองไทย” ในหนังสือ “อู่ทองหลักฐานพระพุทธศาสนาแรกเริ่มและรอยลูกปัด” โดย รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม นักโบราณคดีนามอุโฆษ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงคุณค่าและความสำคัญของ “ลูกปัดอู่ทอง” ที่ถือเป็นหนึ่งในศิลปวัตถุอันทรงคุณค่าแห่งสยามประเทศ


ลูกปัดคือหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่ยืนยันความเป็นเมืองท่าโบราณของอู่ทอง

       ย้อนรอยลูกปัดอู่ทอง
       
       “เมืองโบราณอู่ทอง” ที่ปัจจุบันอยู่ใน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ถือเป็นเมืองสำคัญแห่งดินแดนสุวรรณภูมิ ทั้งการเป็นเมืองท่า เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจการค้า การคมนาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุค“ทวารวดี”(ราวพุทธศตวรรษที่ 12-16) เมืองอู่ทองเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก
       
       สำหรับโบราณวัตถุที่เป็นหลักฐานสำคัญยืนยันความเป็นเมืองท่าโบราณของอู่ทองที่มีการสร้างความสัมพันธ์ ติดต่อ เชื่อมโยง กับอาณาจักรสำคัญภายนอก เช่น อินเดีย โรมัน อาหรับ ก็คือ “ลูกปัด”ชนิดต่างๆที่มีการค้นพบเป็นจำนวนมากในเมืองอู่ทองและบริเวณใกล้เคียง
       
       ลูกปัดโบราณเหล่านั้นเดินทางผ่านมาทางชาวต่างชาติที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับอู่ทอง ก่อนจะเดินทางผ่านกาลเวลากลายเป็นลูกปัดอู่ทองมรดกทรงคุณค่าของเมืองไทย โดยหลังมีการขุดค้นพบลูกปัดอู่ทอง(จากการบุกเบิกของอ.ชิน อยู่ดี)และถูกเปิดตัวให้โลกรู้จัก ชื่อเสียงของลูกปัดอู่ทองก็โด่งดังไปไกล โดยเฉพาะในช่วงประมาณ พ.ศ. 2510 หรือ เกือบ 50 ปีที่แล้ว
       
       ยุคนั้นในพื้นที่อำเภออู่ทองมีการพบลูกปัดเยอะมากและสามารถพบได้ไม่ยาก บางจุดแค่ฝนตกชะหน้าดินก็สามารถพบลูกปัดได้แล้ว นั่นจึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ตื่นลูกปัดขึ้นในอู่ทอง ทั้งชาวบ้านในพื้นที่และคนต่างถิ่นต่างแห่กันขุดค้นหาลูกปัดกันเป็นจำนวนมากอย่างกับมีเทศกาลสำคัญ


ความหลากหลายของลูกปัดอู่ทอง

       มนต์เสน่ห์แห่งลูกปัดอู่ทอง
       
       นพ.บัญชา พงษ์พานิช เลขานุการมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาสอินทปัญโญ ผู้เชี่ยวชาญด้านลูกปัดในเมืองไทย ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับลูกปัดอู่ทองผ่านบทความ “ลูกปัดอู่ทอง(เท่าที่สืบค้นได้ใน พ.ศ.นี้)กับข้อเสนอเพื่อการพัฒนาที่อู่ทอง”ในหนังสือ “อู่ทองหลักฐานพระพุทธศาสนาแรกเริ่มและรอยลูกปัด” สรุปความได้ว่า
       
       ...ลูกปัดอู่ทอง เป็นลูกปัดเก่าแก่ที่ถูกค้นพบในเมืองโบราณอู่ทองและปริมณฑลราว 20-30 กิโลเมตร มีการสืบเนื่องต่อกันมาอย่างน้อย 3 ยุค คือ ยุคเหล็ก ฟูนัน และทวารวดี กินระยะเวลาประมาณ 1,500 - 2,000 ปี ตั้งแต่ต้นพุทธกาลเมื่อประมาณ 2,500 ปีที่แล้ว โดยลูกปัดอู่ทอง แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลักๆได้แก่
       
       1. ลูกปัดที่ทำจากดินเผา กระดูกสัตว์ และเปลือกหอย เช่น หอยมือเสือ หอยสังข์ ลูกปัดกลุ่มนี้พบเห็นได้น้อยมาก


ลูกปัดชวาวุ้น

       2. ลูกปัดที่ทำจากหินชนิดต่างๆ มีทั้งหินสีมีค่า อาทิ คาร์เนเลียน อะเกต หินแก้วผลึก หินเขี้ยวหนุมาน(ควอตซ์) และลูกปัดที่ทำจากหินสีเขียวชนิดต่างๆหรือที่นิยมเรียกว่าหยก ลูกปัดกลุ่มนี้มีหลายรูปทรง มีทั้งแบบเรียบ สีเดียว และผสมสี รวมไปถึงลูกปัดหินเนื้อใสที่เรียกว่า “ลูกปัดทวารวดีวุ้น” หรือ “ลูกปัดชวาวุ้น”
       
       3. ลูกปัดที่ทำจากแก้ว มีทั้งลูกปัดแก้วสีเดียวหรือที่นิยมเรียกกันว่า“ลูกปัดอินโดแปซิฟิก” ลูกปัดแก้วอำพัน ลูกปัดแก้วหลายสี ลูกปัดแก้วลายแถบหรือที่นิยมเรียกว่า “สแลน” เป็นต้น
       
       4. ลูกปัดที่ทำจากโลหะ ส่วนใหญ่เป็นลูกปัดที่ทำจากทองคำ...


ลูกปัดอู่ทองหลากหลายรูปแบบ

       นอกจากนี้ลูกปัดอู่ทองยังได้ชื่อว่าเป็นยอดของลูกปัดในเมืองไทย ซึ่งหนึ่งในผู้หลงใหลลูกปัดอู่ทองและได้เก็บสะสมลูกปัดไว้เป็นจำนวนมากอย่าง “กัลยารัตน์ ศักดิ์ขจรภพ” หรือเจ๊กัลยา แห่งร้านกัลยาในตลาดอู่ทองได้พูดถึงจุดเด่นและเสน่ห์ของลูกปัดอู่ทองว่า ลูกปัดอู่ทองมีความสวยงามแตกต่างจากที่อื่นๆ เพราะมันดูมีน้ำมีนวล มีความเลื่อม มันวาว อีกทั้งยังมีความเหนียวไม่แตกง่าย จึงเป็นที่ต้องการของนักสะสม นักเล่นของเก่า นักเล่นลูกปัด นั่นจึงทำให้ลูกปัดอู่ทองมีราคาสูงกว่าที่อื่นๆตั้งแต่ 3 -10 เท่าเลยทีเดียว



เจ๊กัลยา แห่งร้านกัลยาในตลาดอู่ทอง

       สำหรับจุดหลักในการชมลูกปัดอู่ทองของนักท่องเที่ยวและผู้สนใจทั่วไปในอำเภออู่ทองนั้นก็คือที่ ”พิพิธภัณฑถานแห่งชาติ อู่ทอง” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งรวบรวมลูกปัดแห่งใหญ่ของเมืองไทยนับเป็นร้อยๆเส้น ลูกปัดที่นี่เป็นลูกปัดอู่ทองที่ได้มาจากการขุดค้นพบ การขุดแต่งทางโบราณคดี การบริจาค และการรับซื้อจากชาวบ้าน นักสะสม มีทั้งที่เป็น หิน แก้ว หิน จัดแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ



ส่วนจัดแสดงลูกปัดในพิพิธภัณฑ์อู่ทอง

       -ลูกปัดหินคาร์เนเลียน อะเกต สมัยก่อนประวัติศาสตร์ราว 3,000 - 3,500 ปีที่แล้ว เช่น สร้อยลูกปัดหินคาร์เนเลียนสีส้มแดง สร้อยลูกปัดหินอะเกตรูปทรงต่างๆ
       
       -ลูกปัดหินสีมีค่าและลูกปัดแก้ว ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ – ทวารวดี มีอายุราว 1,500 – 2,500 ที่แล้ว เช่น ลูกปัดหินแก้วผลึก ลูกปัดควอตซ์ ลูกปัดหินคาร์เนเลียนกับโกเมน



ลูกปัดหลากหลายที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์อู่ทอง

       -ลูกปัดแก้วอินโดแปซิฟิก สมัยทวารวดี อายุราว 1,400 – 1,500 ปีที่แล้ว เช่น ลูกปัดแก้วอินโดแปซิฟิกสีฟ้า น้ำเงิน มีสองเส้นทรงหลอดยาวเรียกว่า “ก้านผักบุ้ง” สร้อยลูกปัดแก้วสีเดียว เป็นต้น
       
       -ลูกปัดทองคำ ลูกปัดหิน และเครื่องประดับ เช่น สายสร้อย จี้ แหวน ที่ทำจากโลหะต่างๆ โดยมีไฮไลท์ที่ทางพิพิธภัณฑ์ภูมิใจนำเสนอ คือ ลูกปัดทองคำพร้อมจี้ทองคำฝังพลอยอันเหลืองอร่ามสวยงาม


ลูกปัดทองคำ

       นอกจากนี้ที่นี่ยังมีประติมากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับลูกปัด เช่น หัวเสาโบราณแกะสลักเป็นรูปสร้อยสังวาลร้อยลูกปัด รูปบุคคลที่มีสายสร้อย ต่างหูลูกปัดประดับตกแต่ง ซึ่งผู้สนใจสามารถไปชมได้ที่พิพิธภัณฑ์ฯอู่ทองที่ถือเป็นอีกหนึ่งแหลงรวมศิลปวัตถุอันทรงคุณค่าที่น่าสนใจยิ่งของเมืองไทย



รูปบุคคลที่มีสายสร้อยแสดงถึงการนิยมในลูกปัดของคนโบราณ

       วิถีลูกปัด วิถีอู่ทอง
       
       ลูกปัดในความรับรู้ของคนทั่วไปคือเครื่องประดับอันสวยงาม แต่คนสมัยโบราณยังให้คุณค่าและความหมายของลูกปัดที่กว้างไกลกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็น เครื่องรางของขลัง, สิ่งของที่ใช้ในพิธีกรรม,เป็นของมีค่าใช้แลกเปลี่ยนเสมือนเงินตรา,เป็นสินค้าของสะสม, เป็นเครื่องหมายบอกอำนาจ-ใครมีลูกปัดมากมีอำนาจมาก เป็นเครื่องประดับแสดงฐานะ ชนชั้นทางสังคม-ลูกปัดมีการแบ่งระดับของมันในตัวจากความหายากและความสวยงามของวัสดุ



ลูกปัดนอกจากเป็นเครื่องประดับแล้วยังมีคุณค่าในอีกหลากหลายด้าน

       สำหรับลูกปัดอู่ทองนั้นถือว่ามีความผูกพันกับชาวเมืองอูทองไม่น้อย ซึ่ง “นิธิศักดิ์(สมศักดิ์)-จิราพัทธ์ อภินันท์ธนากร” สองสามี-ภรรยา แห่ง“ร้านเจนภักดี”ร้านทำลูกปัดเจ้าดังบนถนนปากทางเข้าเขาพระ เล่าให้ฟังว่า คนอู่ทองสมัยก่อนจะนิยมสวมลูกปัดเป็นเครื่องประดับกันเป็นจำนวนมาก ทั้งสายสร้อย กำไล



จิราพัทธ์ อภินันท์ธนากร กับลูกปัดที่สะสม

       “มาวันนี้แม้จะไม่เป็นที่นิยมเท่าเมื่อก่อน แต่คนอู่ทองส่วนหนึ่งก็ยังนิยมกันอยู่ คนรุ่นใหม่ วัยรุ่นก็ยังใส่กันอยู่ ดูได้จากคนในอู่ทองที่มาให้ทางร้าน(เจนภักดี)ทำลูกปัด ซึ่งมีทั้งคนที่มาซื้อลูกปัดที่ร้าน หรือนำลูกปัดที่เก็บสะสมมาให้ทางร้านออกแบบตกแต่งให้ใหม่”
       
       นิธิศักดิ์ช่างทำทอง ทำลูกปัดมือดีแห่งอู่ทองเล่าให้ฟัง พร้อมกับเชิญชวนให้ดูลูกปัดสีอำพันทองอันสวยงาม ซึ่งเขาบอกว่า มีเพียงหนึ่งเดียวในสุพรรณ



ลูกปัดอู่ทองผูกพันกับวิถีชาวอู่ทองมาแต่ช้านาน

       ขณะที่จิราพัทธ์ที่สวมใส่ลูกปัดสีสวยอยู่บนคอกล่าวว่า ชาวอู่ทองหลายคนมีความเชื่อว่าถ้าสวมลูกปัดอู่ทองจะช่วยเพิ่มความโชคดี ความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต แต่เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็สุดแท้แต่
       
       ลูกปัดอู่ทอง เชื่อมอดีต-ปัจจุบัน
       
       ด้วยคุณค่าและความสำคัญของลูกปัดอู่ทอง ทาง “องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” หรือ อพท. ที่ได้คัดสรรเมืองโบราณอู่ทองเป็นหนึ่งในพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ด้วยแนวคิด “เมืองสร้างสรรค์การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตดั้งเดิม” ได้จัดทำหนังสือ “อู่ทองหลักฐานพระพุทธศาสนาแรกเริ่มและรอยลูกปัด” เพื่อเป็นที่แหล่งอ้างอิงข้อมูลและเป็นคู่มือสำหรับผู้สนใจ



ลูกปัดสีอำพันทองที่หาไม่ได้ง่ายๆในเมืองไทย

       นอกจากนี้ทางอพท.ยังได้นำเรื่องราวของลูกปัดมาผนวกเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการท่องเที่ยว เรียนรู้ เพื่อให้เกิดการมอง“ย้อนอดีต” เชื่อมโยงสู่ “ปัจจุบัน” พร้อมให้ชุมชนได้ตระหนักถึงความสำคัญอดีตอันรุ่งโรจน์ของอู่ทอง เพื่อนำไปสู่การอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาเมืองเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังชูลูกปัดเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของเมืองโบราณอู่ทอง เพื่อให้คนในพื้นที่นำไปต่อยอดพัฒนาเป็นสินค้าของที่ระลึกต่อไป
       
       และนี่ก็คือเสน่ห์มนต์ขลังของศิลปวัตถุที่อยู่เหนือกาลเวลานามว่า “ลูกปัดอู่ทอง”
       
       สิ่งเล็กๆที่มีคุณค่ามากมายเกินตัว


-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000152657-

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
"ในหลวง" พระราชทาน ส.ค.ส. ปี 2557 แก่ประชาชนชาวไทย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    31 ธันวาคม 2556 20:20 น.

-http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000160118-



 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส. ปีพุทธศักราช 2557 แก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ทรงพิมพ์ข้อความ "ขอจงมีความสุขความเจริญ Happy New Year 2014"

ส.ค.ส.พระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2557 นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์สากลสีน้ำเงินเข้ม ทรงผูกเนกไทสีเขียวอ่อน มีลวดลายเข้าชุดกับผ้าปักพระกระเป๋า ฉลองพระองค์ชั้นในเป็นเชิ้ตขาว ฉลองพระบาทสีดำ
       
       พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับพระเก้าอี้สีขาว หน้าพระแกล หรือหน้าต่าง ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล หัวหิน ทรงฉายกับคุณทองแดง สุนัขที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2541 สวมเสื้อสีเหลือง หมอบอยู่แทบพระบาทด้านขวา
       
       ด้านขวาบน มีตราพระมหาพิชัยมงกุฎประดับ ส่วนด้านซ้าย มีผอบทองประดับ ด้านล่างของผอบทอง มีตัวอักษรสีเหลือง ข้อความว่า "ส.ค.ส.2557" และตัวอักษรสีส้ม ข้อความว่า "สวัสดีปีใหม่"
       
       ด้านขวา ใต้ตราพระมหาพิชัยมงกุฎ มีข้อความภาษาไทยพิมพ์ด้วยตัวอักษรสีฟ้า ว่า "ขอจงมีความสุขความเจริญ" และข้อความภาษาอังกฤษ พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเขียวเข้ม ว่า "HAPPY NEW YEAR 2014"
       
       ด้านล่างของ ส.ค.ส.มีแถบสีเขียวเข้ม มุมล่างขวามีข้อความ "ก.ส.9 ปรุง 060931 ธ.ค.56 พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvannachad publishing, D Bromaputra. Publisher"
       
       กรอบของ ส.ค.ส. พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกันด้านละ 3 แถว ส่วนด้านบนและด้านล่างเรียงกันด้านละ 2 แถว ทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
พื้นที่ชีวิต - รอยธรรมสุวรรณภูมิ 30May12

พื้นที่ชีวิต - รอยธรรมสุวรรณภูมิ 30May12

พื้นที่ชีวิต - รอยธรรมสุวรรณภูมิ 30May12

-http://www.youtube.com/watch?v=MMkKxSCH_d0-

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
เที่ยวกรุงส่งท้ายปี
โดย ลลิล สรรทราย

-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1388468700&grpid=&catid=09&subcatid=0901-



เทศกาลส่งความสุข... ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เป็นช่วงเวลาที่หลายคนตั้งตารอคอย เพราะจะได้หยุดยาว นอนอยู่บ้านหลายวันโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกดุ

ส่วนอีกหลายคน ยังต้องใช้ชีวิตในเมืองกรุงเพื่อทำงานแทนคนที่หยุดไป เวลาของการเที่ยวท่อง พักผ่อนให้หายเครียดจึงมีน้อยกว่าคนอื่นๆ

... แต่การเที่ยวกรุงช่วงปีใหม่นี้มีข้อดีอย่างหนึ่ง คือ รถราที่น้อยว่าปกติ (นิดหนึ่ง)

เริ่มต้นวันส่งท้ายปีเก่าด้วยกิจกรรม "นบพระนวรัฐพระปฏิมา 9 แผ่นดิน"

เป็นกิจกรรมพิเศษที่กรมศิลปากรจัดขึ้นเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลในช่วงปีใหม่ อัญเชิญพระพุทธรูปวังหน้ามาให้ประชาชนได้สักการะตั้งแต่วันคริสต์มาสที่ผ่านมาไปจนถึงวันที่ 26 มกราคม 2557 ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

พระพุทธรูปทั้ง 9 องค์ ประกอบด้วย "พระพุทธรูปแสดงธรรม" ศิลปะลังกาสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 11-12 เหมือนได้ขอพรพระเจ้า, "พระพุทธรูปประทานธรรม" นำความเจริญรุ่งเรืองสและสิริมงคลแก่ชีวิต, "พระธยานิพุทธไวโรจนพุทธ" ศิลปะศรีวิชัย เกิดปัญญาและทางสว่างแก่ชีวิต, "พระไภษัชยคุรุ" กำจัดและพ้นโรคภัยทั้งทางกายและทางใจ, "พระหายโศก" หมดทุกข์หมดโศก, "พระพุทธสิหิงค์" ปกป้องสิ่งไม่ดีทั้งปวง, "พระชัยเมืองนครราชสีมา" ขจัดอุปสรรคและอำนวยให้ประสบความสำเร็จ, "พระพุทธรูปมารวิชัย" ผู้บูชาจะมีชัยชนะด้วยพระบารมี และ "พระหยกรัสเซีย" ทำให้มีโชคลาภ



ใครที่ไม่คุ้นชินกับเส้นทาง แนะให้นั่งรถเมล์มาลงป้าย "สนามหลวง" เดินข้ามมาฝั่ง มธ.ท่าพระจันทร์ แล้วเดินต่อไปไม่ถึง 100 เมตรก็ถึง

อ่อ ลืมบอก ที่นี่เขาปิดวันที่ 3 และ 11 ม.ค. ส่วนวันที่ 7 ม.ค. 2557 นั้นเปิดครึ่งวัน

ใครกลัวจะหิวแนะให้หาอะไรรองท้องย่านท่าพระจันทร์ เพราะร้านอาหารแถวนี้หาอร่อยๆ ง่าย เคยคิดเอาเอง ว่าถ้าไม่อร่อยคงอยู่ไม่ได้เป็นแน่

หรือจะไป "ตลาดน้ำตลิ่งชัน" ตลาดน้ำที่ยังคงวิถีชีวิตริมคลอง ตั้งอยู่ริมคลองละแวกสำนักงานเขตตลิ่งชัน

บรรดาพ่อค้าแม่ขายจะพายเรือออกจากบ้าน นำผลิตผลจากเรือกสวนไร่นามาขายแก่บรรดานักท่องเที่ยว บางส่วนตั้งร้านขายในโป๊ะในคลองบางกอกน้อย นอกจากนี้ยังมีร้านขายไม้ดอกไม้ประดับ ของตกแต่งบ้านและสวน

โดยจะเปิดช่วงวันหยุดราชการและเสาร์อาทิตย์ตั้งแต่ 8 โมงเช้ายัน 5 โมงเย็น

ใครอยากลิ้มรสของอร่อย เคล้าลมเย็นๆ ท่ามกลางบรรยากาศแสนจะเป็นกันเอง เชิญมา



ริมคลองสายเดียวกัน ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศิลปะ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี" ซึ่งจัดแสดงเรือพระราชพิธี 8 ลำที่ใช้ในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค

ได้แก่ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เรือครุฑเหินเห็จ เรือกระบี่ปราบเมืองมาร เรืออสุรวายุภักษ์ และเรือเอกไชยเหินหาว

นอกจากนี้ยังมีเครื่องใช้และเครื่องประกอบที่ใช้ในพระราชพิธีจัดแสดงอยู่ด้วย ทั้งเรือพายชนิดต่างๆ เครื่องแต่งกายของฝีพาย รวมถึงบัลลังก์บุษบก บัลลังก์กัญญา

ใครที่นำรถส่วนตัวมาเองคงจะลำบากสักหน่อย แนะให้นั่งเรือไปลงที่ท่าปิ่นเกล้า จากนั้นเดินลัดเลาะไปในย่านชุมชนโดยไม่ต้องกลัวหลง เพราะมีป้ายบอกทาง หรือจะถามชาวบ้านแถวนั้นก็ได้ เพราะเขาเป็นมิตรสุดสุด

หากมองว่าพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวไร้ชีวิตชีวา แนะให้ไป "มิวเซียมสยาม" พิพิธภัณฑ์มีชีวิตภายใต้การสนับสนุนของสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ

จุดขายของที่นี่ คือการสร้างประสบการณ์สดใหม่ในการชมพิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่ต้องการให้ลูกหลานเกิดจิตสำนึกในการรู้จักตนเอง เพื่อนบ้าน และเพื่อนร่วมโลก ผ่านนิทรรศการถาวร "เรียงความประเทศไทย", นิทรรศการหมุนเวียน และกิจกรรมการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์

ซึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ "มิวเซียมสยาม" เปิดให้บริการตามปกติ และในวันที่ 31 ธันวาคม 2556 ถึง วันที่ 1 มกราคม 2557 มิวเซียมสยามเปิดให้ "เข้าชมฟรี" เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แด่ทุกท่าน (ปิดวันจันทร์ตามปกติ)

ถือเป็น "ของขวัญ" ที่เรามอบให้กับตัวเองได้ง่ายๆ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
วันนี้ ไปกราบพระพุทธสิหิงค์ ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ ร่วมโมทนาบุญกันครับ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
« ตอบกลับ #309 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2014, 09:48:37 am »
ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไรให้ได้ผล

-http://horoscope.sanook.com/1396332/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%A5/-



สำหรับชาวสนุก!ดูดวง คนไหนที่ชอบการทำบุญไหว้พระ ขอพรเสริมดวง แต่การขอพรนั้นย่อมมีองค์ประกอบที่หลากหลาย โดยการเริ่มต้นบูชาขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะให้ได้ผลนั้น ต้องทำจิตให้บริสุทธิ์ ผ่องใส และมีสมาธิตั้งจิตให้แน่วแน่และทำร่างกายให้บริสุทธิ์โดยการชำระร่างกายให้สะอาด มีความเชื่ออย่างแรงกล้าต่อสิ่งที่ขอไว้ จึงจะได้ผลตามที่ปรารถนาไว้ ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้

1. การตั้งจิตให้มีสมาธิ มีพลังแข็งแกร่งตั้งมั่นด้วยแรงศรัทธาอธิษฐานอย่างแรงกล้าในสิ่งที่ปรารถนาไว้ จะส่งผลให้มีพลังมหาศาลทำให้ได้ผลตามที่มุ่งหวัง เนื่องจากจิตใจที่ตั้งมั่นจะเป็นแรงส่งหรือเชื่อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นพลังขั้นแรกในการส่งไปขอพร ขออำนาจบุญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

พลังจิตเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของแต่ละบุคคล จะมีมากหรือน้อยจะส่งผลกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ขอไว้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด และฐานกำลังจิตที่มาจากกรรมดี ที่เคยทำมาในอดีตชาติ หรือมีกรรมร่วมกันมากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นหรือไม่ การทำสมาธิที่เป็นการตั้งจิตให้แน่วแน่และมีความปลอดภัยที่สุดคือการทำสมาธิแบบ "อานาปานสติ" โดยการกำหนดลมหายใจเข้าออก โดยการภาวนาตามลมหายใจ เมื่อจิตนิ่งไม่วอกแวกคิดเรื่องอื่น จิตก็มีความบริสุทธิ์

2. การทำร่างกายให้บริสุทธิ์ ผู้บูชาต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้อยู่ในทาน ศีลและภาวนา นึกถึงบุญคุณความดีที่ได้กระทำมา ถึงจะเริ่มจะบูชาหรือสวดคาถาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากไม่มีบุญของตัวเองเป็นที่ตั้ง บุญจากที่อื่นก็ไม่สามารถช่วยได้ ควรต้องรักษาศีลอย่างน้อยสุดคือศีล 5 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเรื่องของกรรมวาจา ซึ่งหมายถึง ต้องเป็นคนที่พูดจาเป็นมงคล เพราะการพูดมงคลนั้นเป็นการนำสิ่งที่ดีเข้าใส่ตัว แต่การพูดไม่ดีนั้นจะขัดแย้งกับมนต์คาถาศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งออกมา

การเบียดเบียนผู้อื่นเป็นสิ่งที่ต้องไม่ทำอย่างเด็ดขาด เพราะกรรมนั้นจะขัดแย้งกันกับสิ่งที่เราปรารถนาจะได้มา การขอพรต้องขออย่างมีสติ ต้องรู้ตัวเองก่อนว่าเรา มีศีลอะไรบ้าง มีความดีอะไรบ้าง เมื่อปฏิบัติดีอยู่ในศีลด้วยความดี ตั้งใจมั่นศรัทธา ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นกับเรา

3. เหตุจากกรรมของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นกรรมเก่าหรือกรรมใหม่ สิ่งที่จะต้องทำก่อนคือ ต้องสร้างกรรมดีขึ้นมาใหม่ ต้องทำให้สม่ำเสมอมากพอและนานพอ เป็นบุญใหม่เพื่อนำไปชดเชยหรือลดกรรมเก่าเพราะถ้าหากมีกรรมเก่ามากและเป็นวิบากกรรมหนักนั้นจะส่งผลต่อชีวิตในปัจจุบัน ทำให้การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งมงคล ส่งผลกับแรงอธิษฐานได้น้อยมาก

จึงจะต้องขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรเสียก่อน ทำให้เจ้ากรรมนายเวรนั้นยกโทษให้ และมาอนุโมทนาส่วนบุญกุศลนี้ไปให้เจ้ากรรมนายเวรก่อน เพื่อคลายวิบากกรรมไม่ดีออกไป เมื่อรู้จักการบูชาอนุโมทนาน้อมนำพระคุณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว พลังอำนาจเหล่านั้นก็จะหลั่งไหลรวมกันเข้าหาตัว ทำให้เกิดโชคลาภโดยเร็ว

4. การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกต้อง การที่จะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะช่วยดลบันดาลให้มีอานุภาพสูงสุดนั้น จะต้องรู้จักวิธีการบูชาที่ถูกต้องเสียก่อน เพราะดวงจิตวิญญาณที่สถิตย์หรือรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น มีเจตจำนงในความต้องการแตกต่างกัน แล้วแต่พลังจิตวิญญาณนั้นๆ ว่าท่านอยู่ในระดับชั้นใด แต่ที่เหมือนกันก็คือท่านทรงไว้ด้วยคุณความดีและมีพลังบุญ บางองค์นั้นท่านเป็นพระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ พรหมเทพเทวา หรือ เทพเจ้าต่างๆ วิญญาณบรรพบุรุษ หรือผู้ที่เคยมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดิน

ก่อนการบูชาต้องจัดวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตำแหน่งที่เหมาะสม อยู่ในทิศทางที่เป็นมงคลถูกต้อง การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางครั้ง การถือศีล หรือเจริญภาวนา ทำสมาธิ ก็เพียงพอในการส่งบุญบารมี แต่ในบางครั้ง อาจจะต้องมีเครื่องเซ่นไหว้บูชาประกอบด้วย

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเครื่องเซ่นไหว้ใด ก็จะต้องเป็นสิ่งของที่บริสุทธิ์ ซื้อมาจากเงินที่บริสุทธิ์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ด้วยจิตใจที่พากเพียรน้อมนำในการจัดหา ในเวลาที่กำลังขอพรอยู่นั้นจะต้องรวมจิตให้แน่วแน่กับสิ่งที่ขอพรเพื่อให้มีพลังเชื่อมบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้รับรู้ในสิ่งที่ปรารถนาซึ่งจะส่งผลให้ประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น

5. อำนาจบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแต่ละท่านแต่ละองค์มีความศักดิ์สิทธิ์ในด้านต่างๆ กัน จึงไม่สามารถช่วยบันดาลสิ่งที่ขอพรได้ในทุกด้าน จึงควรระลึกถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีกำลังสูงเป็นพิเศษในด้านที่ขอ แต่สิ่งที่มีพลังอานุภาพสูงสุดในภูมิโลกนี้ ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด เกินคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์

จึงควรตั้งนะโมฯ ขอกำลังคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ให้เป็นองค์ประธานในการอธิษฐานจิตขอพรใดๆ แล้วจึงต่อด้วยการขอบารมีพระสยามเทวาธิราช เทพพรหมเทวดาครูบาอาจารย์ทั้งหมดทั่วสากลโลกที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกให้ระลึกถึงอานุภาพพระคุณของท่านทั้งหลาย

6. สิ่งที่ขอ การที่จะขอพรให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น จะต้องเป็นเรื่องที่ดีไม่เบียดเบียนหรือเป็นเรื่องที่เอาเปรียบใคร กุศลกรรมดีที่ทำไว้จะหนุนนำให้เกิดผลโดยเร็ววัน หากขอในช่วงเวลาที่เหมาะสมและดวงขึ้นก็จะส่งผลให้พรประสบผลสำเร็จได้ง่ายและเร็วขึ้น หากขอพรในสิ่งใดต้องขยันทำกรรมดีในเรื่องนั้นๆ ด้วย และการอธิษฐานในด้านกิจธุระต่างๆ ถ้าทำในจังหวะเวลาที่คนหมู่มากร่วมด้วย ก็จะยิ่งบังเกิดผลสำเร็จได้ง่าย

7. อธิษฐานเผื่อแผ่ แรงอธิษฐานที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ใช่มุ่งเน้นประโยชน์ความต้องการของตนเองเพียงอย่างเดียว เมื่อได้ในสิ่งที่ตนเองปรารถนาแล้วควรจะแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่นไปด้วยเพื่อให้คนที่เรารักและมีความปรารถนาดีมีความสุขไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าเป็นพรหมวิหารธรรม คือ เมตตา ปรารถนาจะให้ผู้อื่นมีความสุขเหมือนกับที่ตนได้รับการอธิษฐานเพื่อหวังผลประโยชน์สุขของผู้อื่นด้วยจะยังก่อให้เกิดความสุขที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแท้จริงด้วย

ดังนั้นผู้หวังผลเลิศจากการอธิษฐาน จึงควรชำระจิตใจตนเองให้บริสุทธิ์ ดังนี้

ทานบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรให้ทานแบบไม่หวังผลตอบแทน
ศีลบารมี : ก่อนอธิษฐานจิต สำหรับฆราวาสควรสมาทานศีล 8 แบบ 3 ชั้นคือจะไม่ทำลายศีล 8 ด้วยตนเอง ไม่ยุยงให้ผู้อื่นทำลายศีล และไม่ยินดีที่ผู้อื่นได้ทำลายศีลของเขาแล้ว
เนกขัมมะบารมี เมตตาบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรขจัดนิวรณ์ 5 ประการออกจากใจ โดยการสวดมนต์ แผ่เมตตาไม่มีประมาณ เพื่อให้เป็นจิตของผู้ถือบวชที่เรียกว่าเนกขัมมะ
ปัญญาบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรพิจารณาปลดสังโยชน์ให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อ เพื่อให้จิตบริสุทธิ์เทียบเคียงพระโสดาบันคือ

- คิดว่าวันนี้เราอาจจะต้องตาย ตายเมื่อไรก็ช่างมัน เราขอไปนิพพานจุดเดียว (ตัดสักกายทิฏฐิ)
- คิดว่าวันนี้ ก่อนที่จะตาย เราขอเคารพจริงใจในคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ไม่ยอมปล่อย (ตัดวิจิกิจฉา)
- คิดว่าวันนี้ ก่อนที่จะตาย เราจะยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด (ตัดสีลัพพตปรามาส)

วิริยะบารมี : ให้ตั้งใจว่าเราจะเพียรคิดดี พูดดี ทำดี ทรงอารมณ์พระโสดาบันให้ได้เต็มความสามารถที่เรามี
ขันติบารมี : ให้ตั้งใจว่า อะไรที่จะมาขวางให้เราทรงอารมณ์พระโสดาบันไม่ได้ เราจับไล่อารมณ์นั้นออกไปอย่างเต็มความสามารถที่เรามี
สัจจะบารมี : ให้ตั้งใจว่า เราจะไม่ยอมให้จิตละไปจากอารมณ์พระโสดาบันเด็ดขาด
อธิษฐานบารมี อุเบกขาบารมี : ให้ตั้งใจว่า ถ้าเราตายเมื่อไรก็ขอไปพระนิพพาน


ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)