แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน

<< < (4/8) > >>

ฐิตา:



อภิปรัชญา : เรื่องไร้สาระ

ข้อสังเกตุจากบทก่อน นับว่ามีความสัมพันธ์โดยตรงกับเซน
จนอาจพูดได้ว่าหลักการต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น
เป็นจุดเริ่มต้นแห่งพุทธศาสนา และในขณะเดียวกันก็เป็นจุดเริ่มต้นของเซนด้วย

ถ้าการขบคิดใคร่ครวญไม่อาจแสวงหาความจริงออกมาได้แล้ว ความรู้ที่เกิดจากการนึกคิด
อนุมานเอาเกี่ยวกับความเป็นจริงจึงอาจถือได้ว่าเป็นความรู้ที่ผิด

ตามที่มีปรากฏอยู่บ่อยครั้งที่พระพุทธเจ้ามักจะตรัสบอกสาวกของพระองค์
ไม่ให้เสียเวลาและพลังงานไปในการขบคิดเกี่ยวกับอภิปรัชญา

ทุกครั้งที่มีผู้ถามพระองค์ในปัญหาเกี่ยวกับเรื่องอภิปรัชญา พระองค์ได้แต่ทรงดุษณี
โดยไม่ตอบคำถาม

พระองค์มักจะทรงแนะให้สาวกหันมาเอาใจใส่และมีความเพียรในการปฏิบัติธรรม
วันหนึ่งมีผู้ถามพระองค์เกี่ยวกับเรื่องอายุขัยของโลก
ว่าโลกนี้มีวันสิ้นสุดหรือไม่สิ้นสุด  พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบว่า

" ไม่ว่าโลกนี้จะมีจุดจบหรือไร้จุดจบ ไม่ว่าโลกนี้จะมีขอบเขตหรือไร้ขอบเขต
เรื่องการหลุดพ้นจากวัฏสงสารก็ยังคงเป็นปัญหาอยู่เช่นเดิม "

ฐิตา:



และยังมีอีกคราวหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า

" สมมติว่ามีบุรุษผู้หนึ่ง ถูกปักตรึงด้วยลูกศรอาบยา และแพทย์ผู้รักษาประสงค์จะผ่าลูกศรนั้นออกในทันที
หากบุรุษนั้นไม่ยินยอมจะผ่าให้ลูกศรออก จนกว่าเขาจะได้รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ยิงมีชื่อว่าอะไร มีอายุเท่าใด

บิดามารดาโคตรวงค์มีนามว่าอะไร ด้วยเหตุใดจึงมาทำร้ายเขาครั้นเมื่อได้รู้สิ่งเหล่านี้แล้ว
จึงจะยอมให้ถอนลูกศรออก ดังนี้แล้วจะยังรู้ละหรือว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับคนคนนั้น
ถ้าเขายังต้องรอให้ได้รับคำตอบทั้งหมดนี้
ตถาคตเกรงว่าบุรุษผู้นั้นคงจะสิ้นชีพไปเสียก่อนจะได้ทันรักษาเยียวยา "

ชีวิตนี้สั้น เราย่อมไม่อาจที่จะใช้ชีวิตที่มีเวลาอยู่อย่างแสนสั้นนี้ไปในการขบคิดใคร่ครวญ
เรื่องทางอภิปรัชญาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพราะอภิปรัชญาไม่อาจนำไปสู่สัจจะอันยิ่งใหญ่ได้เลย

แต่ถ้าหากว่าความรู้อันเกิดจากการนึกคิดทั้งหลายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเสียแล้ว เราจะใช้
เครื่องมืออะไรในการแสวงหาความจริง

ถ้าตอบตามแบบพุทธศาสนา ก็ถือว่าบุคคลอาจเข้าถึงสัจภาวะได้ด้วยประสบการณ์โดยตรงเท่านั้น
ด้วยการศึกษาเล่าเรียนและการใคร่ครวญนั้นมีพื้นฐานอยู่บนความนึกคิด

ก็ในกระบวนการนึกคิดนั้นเรามักจะตัดความจริงออกเป็นส่วน ๆ คล้ายกับว่าความจริงเสี้ยวเล็ก ๆ
ที่ตัดออกมาเป็นอิสระ  ไม่เกี่ยวข้องกับความจริงเสี้ยวอื่น ๆ

การจัดระบบเช่นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นความคิดแบบวิกัลปะ คือการใช้ปัญญาในการคิดแยกแยะ
ซึ่งมีปรากฏอยู่ในนิกายวิญญาณวาทของฝ่ายมหายาน

ส่วนนิกายทางฝ่ายที่เราแสวงหาประสบการณ์จากสัจจะโดยตรง โดยไม่อาจอาศัยประสบการณ์
ผ่านมาทางการนึกคิด เรียกกันว่า นิรวิกัลปญาณ คือความหยั่งรู้โดยไม่ต้องใช้ปัญญาแยกแยะ

ปัญญาชนิดนี้เป็นผลมาจากสมาธิภาวนา ซึ่งนับเป็นความรู้เกี่ยวกับสัจภาวะอย่างสมบูรณ์และเกิดขึ้นโดยตรง
เป็นความรู้ชนิดที่ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างอัตตา ( ผู้รับรู้ ) และกรรม ( ผู้ที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้ )
ซึ่งเป็นความรู้ชนิดที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้ความนึกคิดและแสดงออกมาโดยภาษาพูด

ฐิตา:


 

เป็นตัวประสบการณ์นั้นเอง

สมมติว่าท่านกำลังอยู่ที่บ้านของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้เชิญท่านดื่มน้ำชา
ท่านก็ยกถ้วยขึ้นจิบชาในถ้วย รู้สึกว่าท่านพอใจในรสชาติของชา

ท่านวางถ้วยลงบนโต๊ะและเราก็สนทนากัยต่อไป ทีนี้หากข้าพเจ้าจะถามท่านว่า ท่านรู้สึกว่า
ชาเป็นอย่างไร ท่านย่อมเริ่มใช้ความจำ ความนึกคิด และใช้ศัพท์แสงทางภาษาพูด

เพื่อที่จะบรรรยายถึงรสชาติของชาออกมา เช่น ท่านอาจพูดว่า " ชาดีมากเป็นชาเตี้ยกวนหยิง
ทำจากโรงงานที่กรุงไทเป เมื่อจิบแล้วก้รู้สึกชุ่มชื่น " ท่านอาจแสดงความรู้สึกออกมาได้หลายวิธี

แต่ความคิดและคำพูดเหล่านี้เป็นเพียง " การบรรยายประสบการณ์ที่เกิดจาก
การดื่มชาเท่านั้น หาใช่ตัวประสบการณ์โดยตรงไม่ "



ตามความเป็นจริงแล้ว ในประสบการณ์โดยตรงที่เกิดจากการดื่มชา
ท่านคงไม่ได้แยกว่าตัวท่านเองเป็นผู้ลิ้มรสและชาเป็นรส

ท่านคงไม่ได้คิดว่าชานั้นเป็นชายี่ห้อเตี้ยกวนหยิงชนิดดีหรือเลวจากไทเปหรือจากใหน
ประสบการณ์นี้เป็นประสบการณ์ภายในที่ไม่มีความคิดและคำพูดมาจำกัดขอบเขต

ความรู้สึกล้วน ๆ นี้ย่อมเกิดมาจากประสบการณ์ ท่านอาจบรรยายความรู้สึกออกมา
เท่าที่ท่านต้องการ

แต่มีเพียงตัวท่านเองเท่านั้นที่เป็นพยานในการรับรู้ประสบการณ์ในการดื่มชานั้น
เมื่อผู้อื่นได้มาฟังท่านพูด เขาก็คงได้แต่สร้างความรู้สึกขึ้นมาใหม่

 โดยอาศัยพื้นฐานจากประสบการณ์เกี่ยวกับการดื่มชาที่เขามีอยู่ในอดีต แม้แต่ตัวท่านเอง
ก็เช่นกัน เมื่อท่านพยายามที่จะบรรยายประสบการณ์ของท่านออกมา



คำบรรยายนั้นก็หาใช่ " ตัวประสบการณ์แท้ ๆ " ที่ท่านได้รับไม่ ด้วยประสบการณ์แท้ ๆ นั้น
ท่านได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับชา ไม่มีผู้ดื่ม ไม่มีชา ไม่มีการให้คุณค่า ไม่มีการแบ่งแยก

ความรู้สึกอันไม่มีอื่นใดเจือปนนี้แหละ อาจยกมาเป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นแทน นิรวิกัลปญาณ
( การหยั่งรู้โดยไม่ต้องใช้ปัญญาแยกแยะ )
ซึ่งเป็นปัญญาเครื่องนำเราให้เข้าสู่หัวใจแห่งความเป็นจริง


ฐิตา:




ช่วงเวลาแห่งการตรัสรู้ 

การที่จะเข้าถึงสัจจะได้ มิใช่ด้วยการสะสมความรู้
แต่ด้วยการตื่นขึ้นในท่ามกลางแก่นแท้แห่งความเป็นจริงเท่านั้น ความจริงทั้งสิ้น
จะเปิดเผยตัวเองออกมาอย่างหมดจดในช่วงเวลาแห่งการตรัสรู้
ด้วยแสงสว่างแห่งการรู้แจ้งเห็นแจ้งนี้
ย่อมสมบูรณ์ในตนเองชนิดที่เรียกว่า ไม่มีอะไรจะต้องเพิ่มเข้ามา หรือ
ไม่มีอะไรที่ขาดตกบกพร่องไป อารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากความนึกคิดนั้น
จะไม่สามารถมีอิทธิพลต่อมนุษย์ได้อีกต่อไป



ถ้าหากว่าท่านโพธิธรรมเป็นพระอริยบุคคลในอุดมคติแล้ว
ก็ด้วยเหตุว่า ท่านมีภาพพจน์เป็นเอกบุรุษ
ผู้สามารถทำลายโซ่ตรวนแห่งมายา ซึ่งได้พันธนาการมนุษย์ไว้
ในโลกแห่งอารมณ์ลงได้



และค้อนซึ่งใช้ทุบโซ่ตรวนนั้นให้ขาดสะบั้นลงก็คือการปฏิบัติเซน
ในช่วงเวลาแห่งการตรัสรู้นั้น อาจสังเกตเห็นได้จากเสียงหัวเราะที่ระเบิดขึ้นมา
แต่เสียงหัวเราะนี้ มิใช่เสียงหัวเราะของผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งได้รับ
มหาโชคอย่างทันทีทันใด ทั้งมิใช่เสียงหัวเราะของผู้ชนะ
แต่เป็นเสียงหัวเราะของผู้หนึ่ง ซึ่งหลังจากได้แสวงหาอะไรบางอย่าง อย่างรวดร้าว
มาเป็นเวลานาน ในที่สุด เช้าวันหนึ่งก็ได้พบสิ่งนั้นอยู่ในกระเป๋าเสื้อของตนนั่นเอง
วันหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงยืนอยู่เบื้องหน้าที่ประชุมสงฆ์ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ขณะที่สงฆ์ทุกรูปกำลังรอสดับพระธรรมเทศนาประจำวันอยู่ แต่พระองค์ก็ยังทรงอยู่ในอาการดุษณีภาพ หาได้เอ่ยวาจาใดไม่ ชั่วขณะหนึ่งพระพุทธองค์ทรงยกหัตถ์ขวาอันบรรจงจับดอกบัวชูขึ้น มองดูสังฆสภาโดยมิได้ตรัสแต่ประการใด พระภิกษุสงฆ์ทุก ๆ รูปเพ่งดูพระองค์อย่างไม่เข้าใจ มีเพียงแต่พระมหากัสสปรูปเดียวเท่านั้นที่แลดูพระพุทธองค์ด้วยดวงตาอันเปล่งประกายจำรัสพร้อมกับรอยยิ้มละไม ครั้นแล้วพระพุทธองค์จึงตรัสขึ้นในท่ามกลางที่ประชุมว่า



" ตถาคตเป็นผู้มีญาณทัสนะอันรู้จบพร้อมในธรรม ตถาคตเป็น
ผู้มีดวงจิต อันหลุดพ้นแล้ว
คือมีพระนิพพานเป็นที่พักอาศัย ตถาคตเป็นผู้ธำรงสัจจะอันบริสุทธิ์ไม่เคลือบคลุม
สิ่งใดอันตถาคตเป็น ธรรมใดตถาคตรู้
สิ่งนั้น ธรรมนั้น ตถาคตได้ถ่ายทอดให้แก่ มหากัสสป โดยครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว "


พระมหากัสสปถึงช่วงเวลาแห่งการตรัสรู้ เมื่อพระพุทธองค์ชูดอกบัวขึ้นถ้าพูดกันอย่างเซนแล้วก็ต้องว่าท่านได้รับ " ตราแห่งจิต " มาจากพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงส่งทอดปัญญาญาณจากจิตสู่จิต พระพุทธองค์ได้ทรงหยิบดวงตาแห่งจิตอันใช้สำหรับประทับถือไว้ในพระหัตถ์ และทรงประทับตรานั้นลงไปบนดวงจิตของพระมหากัสสป รอยยิ้มของพระมหากัสสปก็เป็นเช่นเดียวกับการเปล่งเสียงหัวเราะของอาจารย์เซนนั่นเอง พระมหากัสสปตรัสรู้โดยอาศัยดอกไม้ ในทำนองเดียวกับอาจารย์เซนหลาย ๆท่าน ที่บ้างก็ตรัสรู้เมื่อได้ยินเสียงสะท้อน บ้างก็ตรัสรู้เมื่อโดนเตะอย่างหนักหน่วง


ฐิตา:




ภาค ๓ สนในสวน
ภาษาเซน

แก่นหลักของเซนคือการตื่นขึ้น นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้เราไม่อาจพูดคุยกันได้
เกี่ยวกับเรื่องเซน ผู้ใดอยากรู้เรื่องเซน ผู้นั้นจะต้องปฏิบัติเอง
หาประสบการณ์เอง การตื่นขึ้นนั้นเป็นปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ ฉายรัศมี
แพรวพราวดุจดังดวงอาทิตย์
บุคคลผู้รู้แจ้ง บุคคลผู้ตื่นขึ้นจากความหลับใหลแล้ว ย่อมมีที่ให้สังเกตเห็น
ได้บางประการ ประการแรกคือ ความเป็นอิสรภาพหลุดพ้นจากข้อผูกพันทั้งปวง
เขาย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความเปลี่ยนแปลงของชีวิต

ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความรื่นเริง ความหงุดหงิด ความสำเร็จ ความล้มเหลว ฯลฯ
ดังนั้นจึงมีพลังอำนาจแห่งจิต ซึ่งแสดงออกมาในรูปของรอยยิ้ม
อันสงบสุขุมอย่างสุดที่จะพรรณา และความสงบรำงับแห่งอากัปกิริยาไม่อาจนับว่า
เป็นเรื่องเกินความจริง หากจะกล่าวว่า รอยยิ้มสายตา ถ้อยคำ
และอาการทั้งหมดของบุคคลผู้ตื่นแล้ว ผู้รู้แจ้งแล้ว ย่อมประกอบขึ้นเป็น
" ภาษาแห่งการรู้แจ้ง "
ซึ่งอาจารย์เซนได้ใช้ภาษาเหล่านี้แหละในการชี้นำศิษย์ของตน




อาจารย์เซนก็ยังคงใช้ความคิดและถ้อยคำเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ
เพียงแต่ว่า ท่านมิได้ถูกจำกัดหรือติดยึดอยู่กับการกับการนึกคิดและถ้อยคำเหล่านั้น
ภาษาของเซนมุ่งที่จะทำลายตัวตนของผู้ที่รู้จักแต่เพียงการคิด
โดยใช้สัญลักษณ์ลงภาษาของเซนทำให้คนเหล่านั้นจนแต้ม ซึ่งอาจจะพลิกเขา
กลับไปสู่มรรคผลแห่งการ ตรัสรู้ ได้ในที่สุด

ขอให้ลองพิจารณาการสนทนาที่ตัดตอนมาสองเรื่องนี้ดู



- ๑ -
เจาจู ถาม นานจว๋าน ว่า อะไรคือมรรค
นานจว๋าน : คือ จิตทุกขณะ
เจาจู : หากเป็นดังนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการบรรลุถึงหรือไม่
นานจว๋าน : ความปรารถนาที่จะบรรลุถึงมรรค ย่อมเป็นสิ่งขัดแย้งกับมรรคอยู่แล้ว
เจาจู : หากไร้ความปรารถนาเสียแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่านั่นคือมรรค
นานจว๋าน : มรรคนั้นมิได้อยู่ที่ว่า " รู้ " หรือ " ไม่รู้ " ถ้ามีใครคนหนึ่งที่ " รู้ "

ความรู้นั้นก็เป็นเพียงสิ่งที่ประกอบขึ้นมาจากความนึกคิด ถ้า " ไม่รู้ " ความไม่รู้
นั้นก็หาได้แตกต่างไปจากสิ่งไร้ชีวิตทั้งหลายไม่
ถ้าท่านได้ไปจนถีงสภาวะอันเป็นที่สิ้นสุดแห่งความสงสัยทั้งมวล ท่านก็จะแลเห็น
จักรวาลอันไร้ขอบเขตเปิดโล่งอยู่เบื้องหน้า
จักรวาลอันสรรพสิ่งได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวนี่แหละ ใครจะเป็นผู้แบ่งแยกสรรพสิ่ง
ในขณะที่อาศัยอยู่ในโลกอันกลมกลืน



-๒-
พระรูปหนึ่งมาถามอาจารย์เจาจู ว่า : อะไรคือความปรารถนาของท่านโพธิธรรม
เมื่อท่านเดินทางมาสู่ประเทศจีน
อาจารย์เจาจู ตอบว่า : จงมองดูต้นไม้ในสวน

บทสนทนาข้อต้นมุ่งจะชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคซึ่งสร้างขึ้นโดย วิธีการนึกคิด
และในขณะเดียวกัน ก็นำผู้ถามให้กลับไปสู่
การสำนึกถึงการไม่แบ่งแยกสิ่งต่าง ๆ และสภาวธรรมต่าง ๆ ออกเป็นส่วน ๆ

บทสนทนาที่สอง มุ่งที่จะสั่นคลอน ความนึกคิด ของผู้ถาม
และทำให้ผู้ถาม ตกตะลึง เพื่อนำไปสู่การรู้แจ้ง
ถ้าหากจิตใจของบุคคลสุกงอมพอแล้ว การตรัสรู้ก็อาจปรากฏขึ้นมาในตัวของเขา




อาจารย์เซนผู้รู้ชอบแล้ว ย่อมมีญาณพิเศษที่อาจหยั่งรู้ถึง
อารมณ์ความนึกคิดของศิษย์ ด้วยเหตุที่ท่านล่วงรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของศิษย์
นี่เอง ท่านจึงอาจหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพ
ที่จะนำศิษย์ของท่านให้ก้าวล่วงสู่ภพอันตื่นแล้ว ภาษาของเซน
อาจนับเป็นหนึ่งในวิธีการเหล่านี้ ด้วยมุ่งที่จะช่วยเหลือผู้ฝึกฝน

ภาษาเหล่านี้จะต้องมีลักษณะ ซึ่ง
๑. ประกอบไปด้วยอำนาจ อันช่วยให้บุคคลหลุดพ้น..
..จากอคติ และความยึดมั่น ในความรู้ที่  ตน  มีอยู่
๒. เหมาะสมกับบุคคลแต่ละคน เป็นคน ๆ ไป
๓. เป็น   วิธีการ   ที่.. จัดเจนและมีประสิทธิภาพ



นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version