ผู้เขียน หัวข้อ: ทาน ศีล ภาวนา  (อ่าน 8601 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: ทาน ศีล ภาวนา
« ตอบกลับ #40 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2012, 10:40:10 pm »
ธรรมะปฏิบัติ การรักษาศีล จำแนกตามประเภทบุคคล : ศีล ๓๑๑
-http://thammapedia.com/practice/patipatti_sil311.php-

๕. ปาฏิเทสนียะ มี ๘ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน)

๑. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค เนยใส
   ๕. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค ปลา
๒. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค น้ำมัน    ๖. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภคเนื้อ
๓. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค น้ำผึ้ง    ๗. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค นม
๔. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค น้ำอ้อย    ๘. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค นมสด
     [กลับขึ้นด้านบน]
๖. เสขิยะ : ข้อที่ภิกษุณีพึงศึกษาเรื่องมารยาท ๗๕ ข้อ แบ่งเป็น ๔ หมวดคือ
หมวดที่ ๑ : สารูป (ความเหมาะสมในการเป็นสมณะ) มี ๒๖ ข้อ
๑.นุ่งให้เป็นปริมณฑล
(ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)    ๑๔.ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน
๒.ห่มให้เป็นนปริมณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน)    ๑๕.ไม่โคลงกายไปในบ้าน
๓.ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน    ๑๖.ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน
๔.ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน    ๑๗.ไม่ไกวแขนไปในบ้าน
๕.สำรวมด้วยดีไปในบ้าน    ๑๘.ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน
๖.สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน    ๑๙.ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน
๗.มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่)    ๒๐.ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน
๘.มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน    ๒๑.ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน
๙.ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน    ๒๒.ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน
๑๐.ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน    ๒๓.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน
๑๑.ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน    ๒๔.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน
๑๒.ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน    ๒๕.ไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน
๑๓.ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน    ๒๖.ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน
     [กลับขึ้นด้านบน]

หมวดที่ ๒ : โภชนปฏิสังยุตต์ (ว่าด้วยการฉันอาหาร) มี ๓๐ ข้อ
๑.รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ    ๑๖.ไม่เอามือทั้งมือใส่ปากในขณะฉัน
๒.ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแต่ในบาตร    ๑๗.ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก
๓.รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไม่รับแกงมากเกินไป)    ๑๘.ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก
๔.รับบิณฑบาตแค่พอเสมอขอบปากบาตร    ๑๙.ไม่ฉันกัดคำข้าว
๕.ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ    ๒๐.ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
๖.ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแต่ในบาตร    ๒๑.ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
๗.ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ (ไม่ขุดให้แหว่ง)    ๒๒.ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว
๘.ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป    ๒๓.ไม่ฉันแลบลิ้น
๙.ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป    ๒๔.ไม่ฉันดังจับๆ
๑๐.ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก    ๒๕.ไม่ฉันดังซูด ๆ
๑๑.ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้    ๒๖.ไม่ฉันเลียมือ
๑๒.ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ    ๒๗.ไม่ฉันเลียบาตร
๑๓.ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป    ๒๘.ไม่ฉันเลียริมฝีปาก
๑๔.ทำคำข้าวให้กลมกล่อม    ๒๙.ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
๑๕.ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง    ๓๐.ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน
     [กลับขึ้นด้านบน]

หมวดที่ ๓ : ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ (ว่าด้วยการแสดงธรรม) มี ๑๖ ข้อ
๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ    ๙.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า
๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ    ๑๐.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ
๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ    ๑๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ
๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ    ๑๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุอยู่บนแผ่นดิน
๕.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท่า (รองเท้าไม้)    ๑๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุ
๖.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า    ๑๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุยืน
๗.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน    ๑๕.ภิกษุเดินไปข้างหลัง ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า
๘.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน    ๑๖.ภิกษุเดินไปนอกทาง ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง
     [กลับขึ้นด้านบน]

หมวดที่ ๔ : ปกิณณกะ (เบ็ดเตล็ด) มี ๓ ข้อ
๑. ภิกษุณีไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
๒. ภิกษุณีไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ)
๓. ภิกษุณีไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ
[กลับขึ้นด้านบน]
๗. อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์)
๑. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ในที่พร้อมหน้า (บุคคล วัตถุ ธรรม)
๒. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ
๓. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า
๔. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือตามคำรับของจำเลย
๕. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ
๖. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด
๗. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยให้ประนีประนอมหรือเลิกแล้วกันไป
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: ทาน ศีล ภาวนา
« ตอบกลับ #41 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2012, 10:40:46 pm »
ธรรมะปฏิบัติ การรักษาศีล จำแนกตามประเภทบุคคล : ศีล ๓๑๑
-http://thammapedia.com/practice/patipatti_sil311.php-


จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
     จุดหมายสูงสุด ของพระพุทธศาสนา พึงบรรลุได้ด้วยความสุขหรือด้วยข้อปฏิบัติที่มีความสุข มิใช่บรรลุด้วยความทุกข์ หรือด้วยข้อปฏิบัติที่เป็นทุกข์
      ผู้ปฏิบัติจะต้องไม่ติดใจหลงไหลในความสุขที่เกิดขึ้นแก่ตน ไม่ปล่อยให้ความสุขที่เกิดขึ้นนั้น ครอบงำ
        จิตใจของตน ยังมีจิตใจเป็นอิสระ สามารถก้าวหน้าไปในธรรมเบื้องสูง ต่อๆ ไป จนบรรลุความเป็นอิสระ
        หลุดพ้นโดยบริบูรณ์
      ซึ่งเมื่อบรรลุจุดหมายนั้นแล้ว ก็สามารถเสวยความสุขที่เคยเสวยมาแล้ว โดยที่ความสุขนั้น ไม่มีโอกาส
        ครอบงำจิตใจ ทำให้ติดพันหลงไหลได้เลย
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

หลักแห่งพระพุทธศาสนาโดยสรุป
     พุทธศาสนาคือวิชาและระเบียบปฏิบัติ เพื่อให้รู้สิ่งทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งทั้งปวง มีสภาพตามที่เป็นจริง คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวหรือของตัว ; แต่สัตว์ทั้งหลายยังหลงรัก หลงยึดติดสิ่งทั้งปวง เพราะอำนาจของการยึดมั่นที่ผิด ในพุทธศาสนามีวิธี ปฏิบัติเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ ตัดการติดการยึดมั่นนั้นเสีย อุปาทาน การยึดมั่นนั้นมีสิ่งที่ลงเกาะหรือจับยึด คือ ขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
      เมื่อรู้จักขันธ์ทั้งห้า ตามที่เป็นจริง ก็จะสามารถเข้าใจสิ่งทั้งปวงจนถึงกับเบื่อหน่ายคลายความอยาก ไม่ยึดอะไร ติดอะไร และเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างที่เรียกว่า "เป็นอยู่ชอบ" คือให้ วันคืนเต็มไปด้วยความปีติ ปราโมทย์ อันเกิดมาจากการกระทำที่ดีที่งามที่ถูกต้องอยู่เป็นประจำ แล้วระงับความฟุ้งซ่าน เกิดสมาธิ เกิดความเห็นแจ้งได้เรื่อยๆ ไป จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่าย ความคลายออก ความหลุดพ้น และนิพพานได้ตามความเหมาะสมของสิ่งแวดล้อม
      ถ้าเราจะรีบเร่งทำให้ได้ผลเร็วขึ้น ก็มีแนวปฏิบัติที่เรียกว่า วิปัสสนาธุระ เริ่มตั้งแต่มี ความประพฤติบริสุทธิ์ มีใจบริสุทธิ์ มีความเห็นบริสุทธิ์ เรื่อยขึ้นไปจนถึงมีปัญญา คือความเห็นแจ้งบริสุทธิ์ ในที่สุดก็จะตัดกิเลสที่ผูกมัดคนให้ติดอยู่กับวิสัยโลกออกเสียได้ เรียกว่า การบรรลุมรรคผล
ท่านพุทธทาสภิกขุ : คู่มือมนุษย์

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)