ผู้เขียน หัวข้อ: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ  (อ่าน 47521 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2013, 08:04:30 am »
4 เทคนิคง่ายๆ ป้องกันภาวะสมองเสื่อม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    12 ตุลาคม 2556 10:16 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000128166-

สังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คือ มีผู้สูงอายุเพิ่มจำนวนมากอย่างรวดเร็ว โดยคาดการณ์ว่าในปี 2593 ไทยจะมีผู้สูงอายุล้นเมือง คือมีมากถึงร้อยละ 27 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งปัญหาสำคัญคือ นอกจากขาดแคลนแรงงานที่จะมาช่วยพัฒนาประเทศแล้ว ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในการดูแลร่างกายวัยปลดเกษียณคงบานปลายจนเกินกว่าภาครัฐจะรับได้ไหว

 เพราะต้องยอมรับว่า ผู้สูงอายุที่ร่างกายเสื่อมโทรมและสึกหรอไปตามวัย คงไม่สามารถคงสภาพความแข็งแรงไว้ได้ดังเดิม โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพจิต ที่เป็นปัญหามากก็คือ 20% ของผู้สูงอายุ มักต้อวทนทุกข์ทรมานอยู่กับปัญหาสุขภาพจิตหรือปัญหาทางระบบประสาท โดยเฉพาะภาวะสมองเสื่อม!!

 ซึ่งภาวะดังกล่าว นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า เป็นความผิดปกติในการทำงานของสมอง ที่ได้รับผลกระทบจากโรค หรือความผิดปกติบางอย่าง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการความจำเสื่อม มีความถดถอยของพฤติกรรมและบุคลิกภาพ เกิดอาการสับสน และอาการผิดปกติด้านการพูดและความเข้าใจ อาการเหล่านี้จะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทบกระเทือนกับการใช้ชีวิตประจำวัน และการเข้าสังคมของผู้ป่วย
       
       "คาดการณ์ว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมประมาณ 35.6 ล้านคน ทุก 20 ปี จะมีปริมาณผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า และภายในปี ค.ศ. 2050 จะมียอดผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมรวมกว่า 115.4 ล้านคน โดยโรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดร้อยละ 60-80 ของภาวะสมองเสื่อมทั้งหมด รองลงมาคือ ภาวะสมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือด สำหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เคยคาดการณ์จำนวนผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมไว้ประมาณ 229,000 คน ในปี 2005 และมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยโรคอัลไซเมอร์ มีร้อยละ 40-70 ของภาวะสมองเสื่อมทั้งหมด"
       
       นพ.เจษฎา บอกว่า บางกลุ่มอาการรักษาไม่ได้ แต่ก็มีบางกลุ่มอาการที่สามารถรักษาได้ ถ้าค้นพบสาเหตุได้ชัดเจน การวินิจฉัยโรคที่รวดเร็วและแม่นยำจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่คงไม่เท่าการป้องกันโรคนี้ได้ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 4 เทคนิคด้วยกันคือ
       
       1.บริหารสมอง โดยฝึกทักษะการใช้มือ เท้า และประสาทสัมผัสทั้ง 5 ให้สามารถรับรู้และเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ ให้ระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาทและสมองส่วนต่างๆ ทำงานประสานสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ เช่น เต้นรำ เล่นหมากรุก หมากล้อม โยคะ รำมวยจีน ต่อจิ๊กซอว์ อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ทำงานบ้านหรืองานอดิเรกที่ชอบ เป็นต้น

 2.บริโภคอาหาร โดยรับประทานอาหารครบหมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้เกินเกณฑ์ หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่จะทำให้เกิดอันตรายแก่สมอง เช่น การดื่มเหล้าจัดหรือการรับประทานยาโดยไม่จำเป็น เลือกรับประทานอาหารที่บำรุงสมอง เช่น ธัญพืชหรือถั่ว ผักใบเขียวทุกชนิด ถั่วเหลือง อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง ผลไม้รสเปรี้ยว ปลาทะเลน้ำลึก ปลาทูน่า เป็นต้น
       
       3.รักษาร่างกาย โดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตรวจสุขภาพประจำปี หรือถ้ามีโรคประจำตัวอยู่เดิมก็ต้องติดตามการรักษาเป็นระยะ หากมีอาการเจ็บป่วยควรปรึกษาแพทย์แต่เนิ่น โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เพื่อลดโอกาสเกิดอาการสับสนเฉียบพลัน ที่สำคัญ ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุต่อสมอง ระวังการหกล้ม เป็นต้น
       
       และ 4.ผ่อนคลายความเครียด โดยการหารูปแบบที่เหมาะสมกับตนเองให้มากที่สุดและสามารถนำมาใช้ได้กับชีวิตจริง เช่น การฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ การฝึกสมาธิ การพูดคุย หรือพบปะผู้อื่นบ่อยๆ เช่น ไปวัด ไปงานเลี้ยงต่างๆ หรือเข้าชมรมผู้สูงอายุ เป็นต้น
       


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2013, 08:25:26 am »
เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง - X-RAY สุขภาพ
-http://www.dailynews.co.th/article/1490/239792-


แม้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน จะออกจากโรงพยาบาลรามาธิบดีไปแล้วเมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังเข้ารับการรักษา “ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง” ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 4 ต.ค. แต่สิ่งที่หลายคนยังให้ความสนใจอยากรู้ คือ ภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นกลุ่มเสี่ยงบ้าง แล้วมีวิธีการรักษาอย่างไร ไปฟังคำตอบจาก นพ. เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ศัลยแพทย์ระบบประสาทและสมอง รพ.ราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

นพ.เมธี อธิบายว่า เยื่อหุ้มสมองมี 3 ชั้น คือ ชั้นนอกสุด ชั้นกลาง และชั้นในสุด  ที่เจอปัญหา คือ เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกสุด และชั้นกลาง โดยเฉพาะชั้นกลางถือเป็นเรื่องใหญ่ มักเกิดจากเส้นเลือดแดงใหญ่ฉีกถึงขั้นเสียชีวิตได้ ส่วนกรณีภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกสุดเมื่อทำการผ่าตัดระบายเลือดออกก็จบ

ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกสุด เกิดจากเส้นเลือดดำฉีก เลือดจะออกแบบค่อยเป็นค่อยไป มักกินเวลานานโดยจะเริ่มจากปริมาณเลือดน้อย ๆ และขยายตัวขึ้นในเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ พบได้ในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง คือ สมองฝ่อตัว จะมีช่องว่างอยู่ในสมอง ทำให้เส้นเลือดฉีกได้ง่าย เวลามีการกระแทกล้ม  พบได้บ่อยในผู้ป่วยวัยชราตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ที่มีการเสื่อมของสมอง หรือหากพบในกลุ่มที่มีอายุน้อยหรืออายุมากแต่ไม่ถึงกับวัยชรา ก็มักเป็นกลุ่มที่มีประวัติดื่มเหล้าต่อเนื่อง เป็น “แอลกอฮอล์ลิซึ่ม” มีประวัติได้รับยากันการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยาต้านเกล็ดเลือด ในรายที่เกิดจากการฝ่อของสมอง อาจได้รับประวัติอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนมีอาการประมาณ 2-4 สัปดาห์ 

ถ้าพูดในทางการแพทย์ กลุ่มเสี่ยง คือ คนแก่ คนที่มีภาวะเลือดออกง่าย ดื่มสุราต่อเนื่อง  ซึ่งกรณีที่เกิดจากพิษสุราจะมีอุบัติการณ์สูง  นอกเหนือจากนี้ไม่ค่อยเจอ เช่น คนอายุน้อย ๆ ยกเว้นเป็นโรคตับอาจเจอได้ เพราะโรคตับส่วนใหญ่ก็สัมพันธ์กับเหล้า

คนไข้ที่มีอาการแล้วมาโรงพยาบาลแสดงว่าเป็นมานานแล้วอย่างน้อย 2 สัปดาห์ คือ เลือดออกวันแรก ๆ ไม่มีอาการอะไร แต่ถ้าทิ้งไว้สัก 1-2 สัปดาห์จะเริ่มมีอาการ

อาการที่เด่นชัด คือ ปวดหัวเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ รู้สึกมึน ๆ ตื้อ ๆ สมองไม่โปร่ง คิดอ่านช้าลง การตัดสินใจผิดปกติไม่สมเหตุสมผล ตอบสนองช้าลง แขนขาอ่อนแรง เดินเซ ล้มง่าย หรือพูดไม่ชัด ความจำไม่ปกติ ลืมง่าย

ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก คนที่เป็นส่วนใหญ่จะฟื้นตัวเร็วกลับมาเหมือนเดิมได้ แต่ในคนที่ดื่มสุรา ปัญหา คือ ต้องเลิกเหล้า ถ้าไม่เลิกมักจะเป็นกลับมาอีกเรื่อย ๆ ดังนั้นเมื่อรักษาคนไข้แล้วแพทย์มักจะแนะนำให้หยุดเหล้า

การรักษาภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก คนไข้กลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อเอาเลือดที่คั่งในสมองออก โดยการเจาะรูระบายเลือดออก หรือบางแห่งอาจโกนศีรษะผ่าตัดเอาเลือดออกซึ่งแล้วแต่เทคนิคของแพทย์แต่ละคน ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจในการเลือกวิธีการรักษาของแพทย์

ท้ายนี้ นพ.เมธี ยังได้ฝากท่านผู้อ่านที่สนใจ อยากรู้โรคทางสมอง ไขสันหลัง ระบบประสาท กระดูกสันหลัง การผ่าตัดผ่านกล้อง แผลเล็ก เจ็บน้อย สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ http://www.drmethee.com

นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน


-------------------------------------------------------------


เส้นเลือดหัวใจตีบไม่มีอาการ-จะทำอย่างไร? - มองคุณภาพชีวิต
วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/article/1490/239791-





โรคภัยไข้เจ็บที่พบอยู่ทุกวันนี้มีหลายรูปแบบ บางรายเป็นน้อย เป็นมาก ทั้งมีอาการและไม่มีอาการ ทำให้บางครั้งคนไข้สับสนจะทำอย่างไรดี ผู้ที่มีความรู้ก็มักจะไปตามผู้รู้หรือไปพบแพทย์เพื่อปรึกษา ผู้ที่ไม่เข้าใจเห็นไม่มีอาการบางท่านก็จะปล่อยดูไปเรื่อย บางครั้งก็ปล่อยนานเกินไปจนสายเกินแก้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งที่อยากคุยวันนี้

ร่างกายเรามีหลายโรคหลายอวัยวะที่อาจเกิดเป็นโรค เกิดการอักเสบ เจ็บป่วยขึ้นมา แล้วอยู่ ๆ ก็หายไป เป็น ๆ หาย ๆ เป็นธรรมชาติของโรค บางครั้งป่วยแล้วอาการหายไปเอง ก็ทำให้เกิดความต้านทานมาป่วยใหม่เป็นครั้งที่ 2 ก็จะไม่ค่อยรุนแรงเหมือนเก่า บางท่านกลัวพบแพทย์แล้วจะต้องมีการรักษาอาจให้ยาหรือผ่าตัด ความกลัวพอโรคทุเลาหรือหายก็ลืม ๆ ไป โชคดีโรคนั้นสงบก็มีชีวิตไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องไปทำอะไรกับอวัยวะนั้น ๆ  ต่อไป

ตัวอย่างของโรค : ต่อมทอนซิลอักเสบ บางคนเวลาเกิดอาการอักเสบ ทรมานมาก ผู้ที่เป็นบ่อย อักเสบบ่อย พอค่อยหายดีมักไปพบแพทย์เพื่อต้องการให้ผ่าตัดออก บางท่านกลัวผ่าตัด อักเสบคราวใดกินยาไปก็หายเลยไม่ได้ผ่าตัด อยู่ไปเรื่อยก็สบายดี ไส้ติ่งอักเสบ รายที่เกิดอักเสบฉุกเฉิน มักถูกผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกทันที พวกที่อยู่ไกลหน่อยบางครั้งกินยาระงับอักเสบจนอาการดีขึ้น ก็รอ ๆ ไปก่อน บางรายกลัวว่าอาจเกิดอักเสบอีกเมื่อไรก็ได้ ก็มาทำผ่าตัดเอาออก พวกที่กลัวก็ปล่อยไปเรื่อย ๆ อักเสบใหม่อีกค่อยมาทำผ่าตัดก็มี

นิ่วในถุงน้ำดี : พบบ่อยบางท่านก็มีอาการถุงน้ำดีอักเสบ หรือปล่อยทิ้งไว้จนเป็นหนองก็ได้ถูกผ่าตัดออก ทั้งนิ่วและถุงน้ำดีถูกตัดออกไปพร้อมกัน บางรายมีนิ่วอยู่ในถุงน้ำดี อาจก้อนเดียวหรือหลายก้อน ไม่มีอาการ ชีวิตอยู่เป็นปกติดีก็ไม่ได้ตัดออก อยู่ไปจนวันหนึ่งเกิดปวดขึ้นมา จึงค่อยถูกผ่าตัดออก รายที่ไม่มีอาการพบนานเกิน 10 ปีก็มีอยู่มาก จึงอยู่ที่เหตุผลและความจำเป็นของแต่ละบุคคลไป

ก้อนตามตัว : พบบ่อยทั้งมีอาการและไม่มีอาการ ที่สำคัญต้องสังเกตว่ามีสิ่งผิดปกติร่วมด้วยหรือไม่ ถ้าก้อนโตเร็ว สีเปลี่ยนไปก็ต้องรีบปรึกษาแพทย์เพื่อผ่าตัดออกทันที อาจกลายเป็นเนื้องอกแบบมีพิษได้ โดยเฉพาะก้อนที่เต้านม คลำพบได้เมื่อใดต้องรีบปรึกษาแพทย์เพื่อเอาออกแต่เนิ่น ๆ ทีเดียว

ในภาพรวมโรคในร่างกายมีหลายรูปแบบ แต่ละคนแต่ละโรคไม่เหมือนกัน จะเอาเป็นบรรทัดฐานแบบใช้ทั่ว ๆ ไปไม่ได้ ตัวอย่างอีกหนึ่งอย่างที่จะขอคุยวันนี้ คือ เส้นเลือดหัวใจ เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าตีบลง แต่อาการเป็นปกติในชีวิตประจำวัน จะตัดสินใจอย่างไรดี

คนไข้ชายอายุ 82 ปี ชีวิตประจำวันเป็นปกติดี ไม่เจ็บอก ไม่เหนื่อย ขึ้นบันได 2-3 ชั้นช้า ๆ ได้ เห็นเขาตรวจเดินสายพานกัน ลองไปตรวจดูบ้าง แพทย์ดูจากกราฟตรวจหัวใจบอกว่าเส้นเลือดหัวใจตีบ แนะนำให้พบแพทย์หัวใจเพื่อดำเนินการฉีดสีดูต่อ
   
คนไข้รายนี้มีความรู้ดีคิดว่าหากทิ้งไว้นานเวลามีอาการเกรงจะมากขึ้น จึงอยากตรวจและแก้ไขสิ่งผิดปกติไปเลย วันที่แพทย์นัดฉีดสีเข้าหลอดเลือดเมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อดูว่าเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจถูกอุดตันมากน้อยเพียงใด ผมได้มีโอกาสเข้าไปดูด้วยที่ห้องปฏิบัติการตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือด รพ.ศิริราช ทีมแพทย์คนไข้รายนี้ นพ.ดำรัส ตรีสุโกศล, นพ.สำรวย กริดกระโทก, ชัชญาภา ศรีพรม และ สุรีย์ โพธาราม ด้วยการประสานงาน นพ.ยงยุทธ และ พญ.จิราศรี วัชรดุลย์ ร่วมสังเกตการณ์อยู่ด้วย

แพทย์ได้พบจุดที่อุดตันของหลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ได้ใช้บอลลูนขยายและใส่ขดลวดชุบน้ำยาคาไว้บริเวณที่ตีบคนไข้รู้สึกตัวดีตลอด เพียงใช้ยาชาเฉพาะที่ราว 2 ชั่วโมงก็เสร็จเรียบร้อย อยู่โรงพยาบาลหลังทำ 1 คืนก็กลับบ้านได้

ที่คุยมาเป็นตัวอย่างของเรื่องเจ็บป่วย แม้จะไม่มีอาการหากได้ตรวจพบก็ควรให้การรักษาให้เรียบร้อย รอมีอาการจะยุ่งยากมากขึ้น โดยเฉพาะผู้สูงวัยควรตรวจดูเรื่องหัวใจไว้ด้วย.

นพ.สุวิทย์ เกียรติเสวี
suvit.kiatisevi@gmail.com




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2013, 10:02:07 am »
บิ๊ก อย.เตือนกินเจระวัง "สารเคมีตกค้างในผัก" ชี้ระยะยาวเสี่ยงความจำเสื่อม-เป็นหมัน-มะเร็งลำไส้
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1380877529&grpid=&catid=09&subcatid=0902-

อย. แนะนำ วิธีการเลือกซื้อและล้างผักผลไม้ให้ปราศจากสารพิษตกค้างจากสารฆ่าแมลงในช่วงเทศกาลกินเจ เพราะหากผู้บริโภคได้รับสารฆ่าแมลงเข้าไปในร่างกายเป็นเวลานานจะทำให้การทำงานของระบบอวัยวะภายในร่างกายผิดปกติ อาจถึงขั้นเป็นมะเร็งได้

         
นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่าในช่วงเทศกาลกินเจปีนี้ มีผู้นิยมรับประทานอาหารเจเป็นจำนวนมาก โดยผักผลไม้ เป็นส่วนประกอบ ที่สำคัญของอาหารเจ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีความห่วงใยในเรื่องความปลอดภัยจากการรับประทานผักผลไม้ เนื่องจากที่ผ่านมามักพบปัญหาการปนเปื้อนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชหรือสารฆ่าแมลง ดังนั้น จึงขอแนะนำให้เลือกซื้อผักที่มีสภาพสดใหม่ สะอาด ไม่มีลักษณะแข็งหรือกรอบจนเกินไป ไม่มีกลิ่นฉุนแสบจมูก ไม่มีเชื้อรา ไม่มีสีผิดจากธรรมชาติ ไม่มีเศษดินหรือสิ่งสกปรกเกาะเป็นคราบติดอยู่ และที่สำคัญต้องไม่มีคราบสีขาวของสารฆ่าแมลงตกค้างอยู่


นอกจากนี้ควรเลือกซื้อผักที่มีรูพรุนจากการเจาะของแมลง ซึ่งอาจแสดงว่าผักนี้ไม่ใช้สารฆ่าแมลง  ส่วนการเลือกซื้อผลไม้ ต้องดูที่ผิวสดใหม่ ขั้วหรือก้านยังเขียวและแข็งเปลือกไม่ช้ำหรือดำ ที่สำคัญหลังจากที่ซื้อผักผลไม้มาแล้วนั้น ควรทำความสะอาดก่อนนำไปรับประทานหรือนำไปปรุงอาหาร เพื่อลดสารพิษตกค้าง จากสารฆ่าแมลง โดยวิธีการล้างผักผลไม้มีหลายวิธีที่จะแนะนำ ดังนี้  ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต  (เบ็คกิ้งโซดา) 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำอุ่น 20 ลิตร แช่นาน 15 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด จะช่วยลดปริมาณสารตกค้างได้ 80-95%หรือเด็ดผักเป็นใบ ใช้น้ำสะอาดไหลผ่านหลายๆครั้ง จะช่วยลดปริมาณสารตกค้างได้  54-63% หรืออาจจะใช้ด่างทับทิม 20-30 เกร็ด ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด ช่วยลดปริมาณสารตกค้างลงได้ 35-43% หรือใช้น้ำส้มสายชูที่มี  1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด จะสามารถช่วยลดปริมาณสารพิษลงได้ 29-38% หรือใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด ช่วยลดปริมาณสารตกค้างได้ 27-38%อย่างไรก็ตามผักผลไม้ที่จะต้องปอกเปลือก ควรล้างน้ำให้สะอาดก่อนปอกเปลือก

       

รองเลขาธิการ ฯ อย. กล่าวต่อไปว่า ขอให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญในการเลือกซื้อและล้างผักผลไม้ หากเลือกซื้อหรือล้างผักผลไม้อย่างไม่ถูกวิธี อาจได้รับอันตรายจากสารเคมีตกค้างได้โดยถ้าได้รับในปริมาณมาก อาจแสดงอาการภายใน 2-3 ชั่วโมง อาการที่พบได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ท้องร่วง เป็นต้น แต่ถ้าได้รับในปริมาณน้อย แต่บ่อยครั้ง เป็นเวลานานในระยะยาวอาจทำให้เกิดอาการผิวหนังแห้ง ความจำเสื่อม เป็นหมัน มะเร็งลำไส้ เป็นต้น

 

ฉะนั้น จึงขอย้ำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อและล้างผักผลไม้ให้ถูกวิธี เพราะนอกจากจะลดสารพิษที่ตกค้างอยู่ได้แล้วยังจะคงคุณค่าสารอาหารทั้งวิตามินและแร่ธาตุได้อย่างครบถ้วนอีกด้วย

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2013, 10:13:21 am »
วางแผนสู่"วัยทอง" ความสุขหลังเกษียณ
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE1UTXdNalF3TlE9PQ==&subcatid=-
รายงานพิเศษ


ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว และคาดการณ์ว่าจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในไม่ช้า คนส่วนใหญ่คาดหวังว่าในวัยเกษียณน่าจะเป็นวัยที่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่ความเป็นจริงผู้สูงอายุกลับต้องเผชิญกับปัญหายุ่งยาก เพราะไม่ได้เตรียมพร้อมกับชีวิตวัยสูงอายุไว้ล่วงหน้า

พญ.ภัทรวรรณ ขันธ์แก้ว จิตแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ ร.พ.มนารมย์ อธิบายว่า เมื่ออายุมากขึ้นหรือแก่ขึ้นก็มักจะเกิดความเจ็บป่วย เช่น ปัญหาความจำ ปัญหาเกี่ยวกับไขข้อและกระดูก ปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น-ได้ยิน การกลั้นปัสสาวะไม่ได้ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น ส่งผลต่อภาวะจิตใจจนอาจกลายเป็นปัญหาทางอารมณ์ได้

"สังคมปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะไม่จ้างคนอายุ 45 ปีขึ้นไปเข้าทำงาน จึงพบว่ามีผู้สูงอายุจำนวนมากที่ไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ในที่สุดจึงถูกมองว่าเป็นภาระของครอบครัวและสังคม ประกอบกับการสูญเสียเพื่อนวัยเดียวกัน และความยากลำบากในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน"

สำหรับครอบครัวที่ยังมีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย อยู่ ลูกหลานควรให้การดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด สังคมควรมองผู้สูงอายุด้วยความเมตตาและให้ความช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ

จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ บอกด้วยว่า วัยหนุ่มสาวที่ชีวิตเป็นช่วงขาขึ้น ต้องฝึกวางแผนการใช้ชีวิตในแต่ละช่วงชีวิตให้ดี เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นผู้สูงอายุที่มีความสุข เริ่มต้นจากวางแผนการเงินในอนาคต และเรื่องที่อยู่อาศัย ทำงานอดิเรกที่ชอบ พร้อมพัฒนาอารมณ์ให้มั่นคง รู้จักหาความสุขและความสนุกสนานได้เสมอจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว เช่น กับเพื่อนฝูง กับครอบครัว กับอาชีพการงานที่ทำอยู่ เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ ประนีประนอมและยอมรับความคิดเห็นผู้อื่น จะปรับตัวในวัยสูงอายุ ได้ดีขึ้น

"เมื่อพัฒนาและเตรียมความพร้อมให้ตนเองแล้ว ก็ควรเผื่อแผ่สู่สังคมด้วยการช่วยกันรณรงค์เรื่องปัญหาผู้สูงอายุ เพื่อเปลี่ยนทัศนคติของคนในสังคมที่มีต่อผู้สูงอายุเสียใหม่แทนที่จะมองว่าเป็นภาระครอบครัวและสังคม แล้วหันมาให้ความเห็นอกเห็นใจและ ทำกิจกรรมที่สนุกสนานและเป็นประโยชน์ร่วมกัน" จิตแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ

สำหรับผู้ที่ก้าวเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว ปฏิบัติตนให้มีความสุขได้ ด้วยการยอมรับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ปัจจุบัน ค้นหาเพื่อนใหม่ๆ ปรับความคิดให้รู้จักยืดหยุ่นและปรับตัวได้ตามยุคสมัย ลดการบ่นหรือการตำหนิติเตียนลูกหลานหรือคนรุ่นใหม่ รักษาอารมณ์ให้สดชื่นอยู่เสมอ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: ตุลาคม 19, 2013, 08:39:01 pm »
5 เคล็ดลับบอกลา "เบาหวาน"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 ตุลาคม 2556 18:32 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000131238-


โดย : สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย
       
       การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคเบาหวานอย่างต่อเนื่องในประชากรทั่วโลก และการรักษาที่ยังไม่ครอบคลุม ทำให้ในปี 2534 สหพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation: IDF) และองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ได้ร่วมกันกำหนดให้วันที่ 14 พ.ย.ของทุกปี เป็นวันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) เพื่อเชิญชวนให้ทุกประเทศร่วมรณรงค์ปัญหาโรคเบาหวาน มีการจัดกิจกรรมวันเบาหวานโลกทุกปีต่อเนื่องมาตลอด
       
       อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของปัญหากลับทวีมากขึ้น ไม่มีแนวโน้มที่จะหยุดหรือชะลอลง ทั้งนี้ IDF และประเทศสมาชิกกว่า 150 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ได้เห็นพ้องว่าโรคเบาหวานเป็นปัญหาสาธารณสุขของทุกประเทศทั่วโลก เป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง เป็นภาระทางเศรษฐกิจและสังคม จึงร่วมกันนำประเด็นโรคเบาหวานเข้าสู่ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติและสมัชชาได้ผ่านญัตติ เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2549 (UNR 61/225) ให้โรคเบาหวานเป็นปัญหาที่ทุกประเทศต้องให้ความสำคัญ ให้มีการดำเนินนโยบายจัดการและควบคุมโรคในระดับประเทศอย่างต่อเนื่อง และให้วันที่ 14 พ.ย. เป็นวันเบาหวานโลกที่เป็นทางการขององค์การสหประชาชาติด้วย
       
       แม้มีการรณรงค์อย่างแพร่หลาย แต่ข้อมูลล่าสุดของ IDF พบว่า ขณะนี้ผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลกมีจำนวนมากกว่า 371 ล้านคน หากไม่ดำเนินการใดๆ คาดว่าใน พ.ศ.2573 ผู้ป่วยเบาหวานจะเพิ่มขึ้นเป็น 552 ล้านคน โดยร้อยละ 80 ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมดเป็นประชากรในประเทศด้อยพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มองเห็นถึงภัยเงียบของโรคเบาหวานซึ่งกำลังคุกคามสุขภาพประชาชนไทย เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ได้ประสานความร่วมมือกับองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รณรงค์ให้สังคมไทยตระหนักถึงภัยคุกคามจากโรคเบาหวาน
       
       เพื่อให้การรณรงค์มีน้ำหนักและสอดคล้องกันทั่วโลก ในแต่ละปี IDF จะกำหนดหัวข้อ คำขวัญ ข้อมูลและภาพที่ต้องการสื่อสาร ส่งให้ประเทศสมาชิกนำไปสื่อสารสู่สาธารณะในบริบทของตน ให้มีการรับรู้อย่างทั่วถึงและสร้างความตื่นตัว ใน 5 ปีที่ผ่านมา ระหว่างปี พ.ศ.2552 - พ.ศ.2556 เรื่องที่รณรงค์คือ “Diabetes Education and Prevention” หรือ “การให้ความรู้และป้องกันโรคเบาหวาน” คำขวัญสำหรับปี 2556 คือ “พิทักษ์อนาคตไทย พ้นภัยเบาหวาน” ข้อความที่ต้องการสื่อสาร คือ จำนวนประชากรที่เป็นเบาหวานในขณะนี้ ผู้ที่เป็นเบาหวานแต่ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคอยู่ ผลร้ายที่เกิดจากโรคเบาหวาน และ คนที่เป็นเบาหวานไม่ต่างจากคนทั่วไปต้องไม่แบ่งแยกออกจากสังคม

  โรคเบาหวาน เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอ หรือร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน โดยปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์และถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอินซูลิน ดังนั้น การที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ หรือเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมากกว่าปกติ ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ในระยะยาวจะทำลายเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย หลอดเลือด ระบบประสาทส่วนปลาย และอวัยวะอื่นๆ นำไปสู่สภาวะแทรกซ้อนในอวัยวะต่างๆ ได้แก่ ตา ไต เส้นประสาทและสมอง หัวใจ หรือเกิดปัญหาที่เท้า รวมทั้งแผลเรื้อรังที่เกิดจากโรคเบาหวาน
       
       สำหรับประชาชนทั่วไป สามารถป้องกันโรคเบาหวานได้เองง่ายๆ โดยใช้เคล็ดลับ “ใส่ใจ 3 อ. บอกลา 2 ส. ต้านโรคเบาหวาน” ประกอบด้วย ใส่ใจ 3 อ. ได้แก่ 1.อาหาร โดยเลือกรับประทานอาหารไม่หวานจัด มันน้อย เค็มน้อย รับประทานปริมาณเหมาะสม มีผักและผลไม้พอเหมาะ 2.ออกกำลังกาย ประมาณ 50-60 นาที อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ หรือให้ได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ และ 3.อารมณ์ ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม บอกลา 2 ส. ได้แก่ 1.งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงจากสถานที่ที่มีควันบุหรี่ และ 2.งดดื่มสุรา
       
       สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน สามารถทำความรู้จักและเข้าใจโรค เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้โดยใช้เคล็ดลับเดียวกัน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือใกล้เคียง และลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยรับคำแนะนำ / การรักษาโดยตรงกับแพทย์และทีมงาน ทำให้เกิดความสมดุลทั้งในด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย และการใช้ยารักษา ควรเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ การกินยาบางชนิดหรือยาสมุนไพรอาจมีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนเลือกผลิตภัณฑ์หรือยาเหล่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงในระยะยาว การรักษาที่ได้ผลตามเป้าหมายจะลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ก่อให้เกิดการเจ็บป่วย ความพิการ หรือเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
       
       การเกิดภาวะแทรกซ้อน ส่งผลให้เกิดความพิการทางด้านร่างกาย และกระทบต่อการประกอบอาชีพ รายได้ของผู้ป่วยและครอบครัว ประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปทุก ๆ 100 คนจะมีผู้เป็นเบาหวานถึง 7 คน ร้อยละ 95 ของผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศไทยเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 จึงมีความจำเป็นที่คนไทยทุกคนต้องรู้จักโรคเบาหวาน ตระหนักถึงปัญหาและภัยของโรคเบาหวาน มีความตื่นตัวเรื่องการดูแลสุขภาพของตนเอง รู้วิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรคเบาหวานขึ้น มีการตรวจค้นหาและวินิจฉัยโรคเบาหวานให้ได้เร็วที่สุด เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะเริ่มแรก รวมทั้งเพิ่มประสิทธิผลในการดูแลรักษาโรค ซึ่งจะช่วยลดอัตราความพิการ การเสียชีวิตที่เกิดจากโรคเบาหวาน ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมีคุณภาพชีวิตที่ดี ใกล้เคียงกับคนปกติทั่วไป

---------------------------------------------------------------------------------------

ออกกำลังกายอย่างไร ลดโรคกระดูกพรุน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 ตุลาคม 2556 09:40 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000130972-



“การออกกำลังกาย” เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของการป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน นอกจากเป็นการสร้างกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ให้แข็งแรงแล้ว ยังสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับกระดูกได้อีกด้วย
       
       นพ.อรรถฤทธิ์ ศฤงคไพบูลย์ รองประธาน มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทยฯ อธิบายถึงการออกกำลังกายที่ช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อความแข็งแรงของกระดูก ว่า วิธีป้องกันโรคกระดูกพรุนที่ดี คือ การรับประทานอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูง เพื่อเป็นต้นทุนสำหรับการสร้างเนื้อกระดูก และวิตามินดี ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม และต้องทำร่วมกับการออกกำลังกายที่เหมาะสมและถูกต้องอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ รวมถึงหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อกระดูก การออกกำลังกายที่ช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการป้องกันโรคกระดูกพรุน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
       
       1. การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก คือ การออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนัก โดยเฉพาะการลงน้ำหนักต้านแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งชนิดของการออกกำลังกายและระดับความหนักเบาในการกระแทกหรือการลงน้ำหนัก ขึ้นอยู่กับช่วงวัยและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล
       2. การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพราะกระดูกและกล้ามเนื้อมีความสัมพันธ์กัน กล้ามเนื้อจะทำหน้าที่ช่วยพยุงกระดูกส่วนต่างๆ รวมถึงการทรงตัวของร่างกาย และถึงแม้กระดูกจะแข็งแรง หากถูกกระแทกจากการหกล้มบ่อยๆ ก็ส่งผลเสียกับกระดูกเช่นเดียวกัน
       “เพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรงในระยะยาว การดื่มนมเป็นประจำทุกวัน เลือกรับประทานอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมและวิตามินดีสูงควบคู่กับการออกกำลังกายที่ถูกวิธีอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งสร้างพฤติกรรมเสริมสุขภาพที่ดีให้กับตัวเองด้วยการ ลด ละ เลี่ยง พฤติกรรมที่ส่งผลร้ายทำลายกระดูก เช่น ลดหรือเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เลิกสูบบุหรี่ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินซ้ำๆ ไม่หลากหลาย หรือแม้แต่การใส่รองเท้าส้นสูง การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว และควรให้ร่างกายได้รับแสงแดดในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อช่วยในการสังเคราะห์วิตามินดี” นพ.อรรถฤทธิ์ กล่าว
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2013, 07:34:48 am »
รู้เท่าทันโรคสมองเสื่อม (1)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 กันยายน 2556 14:24 น.
-http://www.thaiday.com/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9560000113944-


ผศ.พญ.กอบหทัย สิทธิรณฤทธิ์
       ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
       
       เมื่ออายุเพิ่มขึ้น หลายท่านมักพบว่าตนเองมีความคิดอ่านช้าลง ใช้เวลาในการตัดสินใจนานขึ้น หลงลืมง่ายขึ้น จนอาจเกิดความกังวลว่าตนเองมีอาการหลงลืมตามวัยที่เพิ่มขึ้นหรือว่าได้ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมแล้ว
       
       โรคสมองเสื่อม เป็นภาวะที่ประสิทธิภาพการทำงานของสมองเสื่อมลงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆ โดยเฉพาะด้านความจำเป็นหลัก ร่วมกับสูญเสียความสามารถด้านอื่นๆ ของสมองด้วย เช่น ความสามารถในการเรียนรู้ การใช้เหตุผล การควบคุมอารมณ์ การตัดสินใจ ฯลฯ และอาจพบการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ พฤติกรรม และบุคลิกภาพในผู้ป่วยสมองเสื่อมได้เช่นกัน ซึ่งอาการเหล่านี้มักส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดปัญหาในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ โดยในขณะที่เกิดภาวะสมองเสื่อมนี้ ผู้ป่วยจะยังมีสติและรู้สึกตัวดีอยู่

   
       โรคสมองเสื่อมเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากพยาธิสภาพของร่างกาย เช่น เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ผู้ที่มีแนวโน้มจะเกิดสมองเสื่อมจากสาเหตุนี้ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง สูบบุหรี่จัด ซึ่งอาจทำให้ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดสมองลดลง เกิดการแข็งตัวของหลอดเลือดสมอง และส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ นอกจากนี้สมองเสื่อมยังอาจเกิดได้จากการมีเนื้องอกในสมอง โพรงน้ำในสมองขยายตัว ภาวะต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ • การติดเชื้อในสมอง ซึ่งเชื้อที่พบบ่อย ได้แก่ เชื้อ HIV และเชื้อวัณโรค การขาดวิตามินบางชนิด เช่น วิตามิน B1 (ในผู้ดื่มสุราจัด) B12 (ในผู้ที่ผ่าตัดกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็ก) และกรดโฟลิก ภาวะเลือดออกในสมอง ภาวะสมองขาดออกซิเจนเป็นเวลานาน ซึ่งพบบ่อยในผู้ป่วยที่มีอาการชัก หรือมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นเวลานาน การได้รับสารพิษบางชนิดมากเกินไป หรือไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนซึ่งก็คือกลุ่มผู้ป่วยอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) ที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆ นั่นเอง
       
       ปัจจุบันพบผู้ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมประมาณร้อยละ 5 ในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และพบเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20-40 ในผู้ที่มีอายุ 85 ปีขึ้นไป
       
       อาการของโรคสมองเสื่อมนั้น แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะแรก ผู้ป่วยมักจะมีปัญหาด้านความจำ หลงลืมง่าย โดยจะสูญเสียความทรงจำระยะสั้นๆ ก่อน เช่น เมื่อเช้ากินอะไร วางแว่นตาไว้ที่ไหน ต่อมาก็จะเริ่มสูญเสียความทรงจำระยะยาวขึ้น เช่น จำวัน เวลาไม่ได้ หรือสับสนจำวันผิด อาจมีอารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป เช่น ซึมเศร้า หงุดหงิดง่ายขึ้น ควบคุมอารมณ์ลำบากขึ้น ไม่สามารถทำงานที่ค่อนข้างซับซ้อนได้ แต่ยังสามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้ ระยะกลาง ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาในการดูแลสุขอนามัยตนเอง เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน ควบคุมการขับถ่าย การแต่งตัว การรับประทานอาหาร จะต้องได้รับการช่วยเหลือจากผู้ดูแลในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ เป็นบางส่วน
       
       ระยะสุดท้าย ผู้ป่วยจะสูญเสียความจำระยะยาว เช่น จำเหตุการณ์สมัยยังเด็กไม่ได้ จำญาติใกล้ชิดไม่ได้ จำชื่อตนเองไม่ได้ มีปัญหาเรื่องการทรงตัว การยืน การเดิน และบางรายอาจมีพฤติกรรมเดินไปเดินมาไร้จุดหมาย หรือหลงออกนอกบ้านแล้วจำทางกลับบ้านไม่ได้ ระยะนี้ผู้ป่วยจะต้องพึ่งพาผู้ดูแลในทุก ๆ ด้านของชีวิต อย่างไรก็ตาม แต่ละช่วงระยะเวลาอาจใช้เวลาไม่เท่ากันในผู้ป่วยแต่ละราย และอาการในแต่ระยะอาจมีความคาบเกี่ยวกันได้
       
       โปรดติดตามแบบคัดกรองผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์จากญาติหรือผู้ดูแลในครั้งหน้า


--------------------------------------------------------------------

รู้เท่าทันโรคสมองเสื่อม (2)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 กันยายน 2556 05:38 น.
-http://www.manager.co.th/qol/viewnews.aspx?NewsID=9560000117159-

 ผศ.พญ.กอบหทัย สิทธิรณฤทธิ์
       ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
       
       ปัจจุบันมีแบบคัดกรองผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์จากญาติหรือผู้ดูแล ซึ่งพัฒนาโดย ศ.พญ.นันทิกา ทวิชาชาติ และณภัทร อังคะสุวพลา
       
                                                        ญาติของท่านมีอาการต่อไปนี้หรือไม่





 ข้อละ 1 คะแนน รวมคะแนนในข้อ 1-11 และนำมาเทียบดังนี้
       น้อยกว่า 4 คะแนน เป็นคนปกติ
       มากกว่า 4 คะแนน เข้าข่ายภาวะสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์
       
       หมายเหตุ แบบทดสอบนี้เป็นเพียงการคัดกรองภาวะสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์เท่านั้น ไม่สามารถคัดกรองภาวะสมองเสื่อมจากสาเหตุอื่นได้ อย่างไรก็ตาม หากญาติของท่านทำแบบทดสอบแล้วเข้าข่ายว่ามีภาวะสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ ควรมาพบจิตแพทย์ อายุรแพทย์สาขาประสาทวิทยา หรืออายุรแพทย์สาขาปัจฉิมวัย เพื่อรับ
       การตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
       
       ครั้งหน้าพบการรักษาและป้องกันโรคสมองเสื่อมค่ะ

---------------------------------------

รู้เท่าทันโรคสมองเสื่อม (จบ)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 กันยายน 2556 08:13 น.
-http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9560000120602-


ผศ.พญ.กอบหทัย สิทธิรณฤทธิ์
       ภาควิชาจิตเวชศาสตร์

       คงจะดีไม่น้อย หากสามารถป้องกันโรคสมองเสื่อมได้ผล แต่น่าเสียดายทำได้เพียงชะลออาการเท่านั้น
        ภาวะสมองเสื่อมอาจค่อยเป็นค่อยไปหรือเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ เช่น ถ้าเป็นโรคอัลไซเมอร์ที่ไม่ได้รับการรักษา อาจใช้เวลานาน 5-6 ปี แต่ถ้าเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ แตกหรือตัน จะใช้เวลาเป็นเดือน หรือบางรายเกิดจากการติดเชื้อไวรัสในสมอง ใช้เวลาสั้นเพียง 1-2 สัปดาห์ก็มี

       นอกจากนี้ โรคทางจิตเวชหลายโรคอาจมีอาการคล้ายโรคสมองเสื่อมได้ เช่น โรคซึมเศร้า และโรคจิต นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาแยกโรคสมองเสื่อมออกจากผู้ป่วยที่มีอาการเพ้อ สับสนจากสาเหตุทางกาย ซึ่งมักจะรู้สึกตัวไม่ค่อยดี หรือมีการเปลี่ยนแปลงของระดับการรู้สึกตัวในระหว่างวันได้ เช่น อาการสับสนที่เกิดขึ้นภายหลังการชัก ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของเกลือแร่ในร่างกาย เป็นต้น
       ในการรักษาผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม จะมีทั้งจิตแพทย์ อายุรแพทย์สาขาประสาทวิทยาและสาขาปัจฉิมวัยร่วมกัน แต่จะรักษากับใครก่อน ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยจะสะดวกไปพบแพทย์ และจะหายขาดหรือไม่ ต้องดูว่าโรคสมองเสื่อมเกิดจากสาเหตุใด
       โดยทั่วไปประมาณร้อยละ 15 ของผู้ป่วยสมองเสื่อมอาจสามารถรักษาให้หายได้ ถ้าสาเหตุนั้นเกิดจากภาวะเลือดคั่งที่ผิวสมอง โพรงน้ำในสมองขยายตัว ขาดวิตามิน B ต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงที่เกิดจากเยื่อหุ้มสมองบริเวณฐานสมอง หรือลมชักที่ไม่ได้รับการควบคุมรักษาที่ดีและถูกต้อง ทั้งนี้ ต้องได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง รวดเร็ว และทันท่วงทีเพื่อไม่ให้สมองถูกทำลายไปมาก และสามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติได้ มิเช่นนั้นแล้วอาจหลงเหลืออาการของภาวะสมองเสื่อมในผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้เช่นกัน
       เมื่อตัดสินใจไปรับการรักษา เบื้องต้นแพทย์จะซักถามประวัติจากผู้ป่วยและผู้ดูแลใกล้ชิด ตรวจร่างกายและตรวจสภาพจิตใจ (รวมถึงตรวจการทำงานของสมอง) ตรวจเลือด เพื่อแยกว่าผู้ป่วยมีภาวะสมองเสื่อมจริงหรือเป็นเพียงอาการหลงลืมตามวัยเท่านั้น และหากมีภาวะหลงลืมจริง สาเหตุนั้นเกิดจากอะไร รวมถึงประเมิน ปัญหาในการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมร่วมกับประเมินสภาพจิตใจของผู้ดูแลผู้ป่วยด้วย บางรายแพทย์อาจส่งเอกซเรย์สมองด้วยคอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเจาะตรวจน้ำไขสันหลังเพิ่มเติมประกอบการวินิจฉัยด้วย จากนั้นแพทย์จะรักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมก่อน
        หากไม่สามารถรักษาได้ จะแก้ไขด้วยการปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยร่วมกับการให้ยาชะลอภาวะสมองเสื่อม และ/หรือให้ยาเพื่อควบคุมอารมณ์ พฤติกรรม หรือภาวะอื่นทางจิตเวชที่พบในผู้ป่วยสมองเสื่อมควบคู่กันไป (ในกรณีที่การปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยไม่ได้ผล) อย่างไรก็ตามยังไม่มียาตัวใดในปัจจุบันที่สามารถรักษาภาวะสมองเสื่อมให้หายขาดได้ เป็นเพียงชะลอการดำเนินโรคของภาวะสมองเสื่อมเท่านั้น
       อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยมีระดับการศึกษาสูง ไม่สูบบุหรี่ มีการใช้ความคิดวางแผนแก้ปัญหาเป็นประจำ ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมบ่อย ๆ และตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคสมองเสื่อม เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง หรือถ้าเป็นโรคดังกล่าวแล้วพบแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อควบคุมอาการของโรคให้อยู่ในภาวะปกติ ก็อาจช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2013, 08:17:39 am »
หลากวิธีแก้โรคเท้าเหม็น (Pitted Keratolysis) อย่างได้ผล

-http://club.sanook.com/10882/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%87-


ช่วงนี้ยังคงมีฝนตกบ้างประปราย บางครั้งการเดินทางในแต่ละวัน ก็อาจจะต้องเจอกับแอ่งน้ำ หรือต้องลุยน้ำฝน ความเปียกชื้นทั้งหลาย จุดนี้บางคนอาจจะเป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่สำหรับบางคนก็อาจจะเป็นปัญหาใหญ่มากๆเลยล่ะค่ะ เพราะความเปียกชื้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยของการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ค่ะ โดยเฉพาะกับส่วนที่อับชื้นง่ายเช่นเท้า หรือรองเท้าของเราๆนั่นเอง วันนี้เรามีข้อแนะนำเกี่ยวกับปัญหา และวิธีแก้ไขโรคเท้าเหม็นมาให้อ่านกันค่ะ

บางคนอาจจะมองว่า ปัญหาเท้าเหม็น นั้นเป็นเรื่องปกติที่เกิดกับทุกคนได้ถ้าใส่รองเท้าผ้าใบ รองเท้าหนัง หรือรองเท้าที่มีการระบายต่ำ ถอดรองเท้าออกมาก็น่าจะเกิดกลิ่นเหม็นกันทุกคน ซึ่งไม่จริงเสมอไปเพราะบางคนที่ถึงจะใส่รองเท้าหรือถุงเท้ายังไงเท้าก็อาจจะไม่เหม็นเลย ปัญหาเท้าเหม็นนั้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากกว่า เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าปัญหาเท้าเหม็นนั้นเกิดจากอะไรได้บ้าง ทำไมบางคนเหม็นแบบสุดๆ แต่บางคนกลับไม่มีกลิ่นเลย

 โรคเท้าเหม็น

 

ปัญหาเท้าเหม็นเกิดจาก

สาเหตุที่ทำให้เท้าของเราเหม็นนั้นไม่ได้เกิดจากเหงื่อที่ออกมาจากเท้าเราโดยตรง แต่เกิดจากแบคทีเรียที่อยู่ที่เท้าของเราต่างหากที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นเน่าออกมา โดยเชื้อแบคทีเรียที่ว่ามันก็จะไปทำปฏิกิริยากับเหงื่อที่ออกผสมผสานกันอย่างลงตัวจนได้กลิ่นมาดามเฉพาะตัวออกมา ซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์เอามากๆ และอีกสาเหตุหนึ่งซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าบางคนที่เท้าเหม็นมากๆนั้นจริงแล้วเค้าเป็น “โรคเท้าเหม็น” หรือ Pitted Keratolysis ซึ่งอาการที่จะสังเกตได้ก็คือ เท้าจะเหม็นอย่างรุนแรง อาจมีหลุมเล็กๆบริเวณฝ่าเท้าและง่ามเท้า บางครั้งเวลาสวมถุงเท้าและถอดออกถุงเท้ามักจะแนบติดกับตัวเท้าจะหนืดนิดนึงเวลาถอด ซึงหากใครเป็นโรคเท้าเหม็นแล้วก็ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่แล้วล่ะ บางครั้งการเข้าไปปรึกษาแพทย์อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดก็ได้

 

แต่ก่อนที่เราจะไปหาหมอเพื่อให้หมอช่วยรักษาอาการเท้าเหม็นนั้น บางทีเราก็ไม่อยากไปหาหมอสักเท่าไร เพราะคงไม่มีใครมีความสุขเวลาไปหาหมอแน่ หากเราสามารถรักษา บำบัด และป้องกันปัญหาเท้าเหม็นด้วยตนเองได้ก็คงจะดีไม่น้อย อย่างแรกก็คือไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปหาหมอ และไม่ต้องเสียเงินค่ารักษาค่ายา ทีนี้เราจะแยกวิธีการแก้ปัญหาออกเป็น 2 ส่วนหลักๆก็คือ

    แก้ปัญหาที่เท้าของเรา
    แก้ปัญหารองเท้า + ถุงเท้าที่เราสวมใส่

เรามาดูวิธีแก้ปัญหาเท้าเหม็นไปทีละข้อกันค่ะ
1. แก้ปัญหาเท้าเหม็นที่เท้าของเรา

แช่เท้าในน้ำอุ่นผสมเกลือ

เป็นวิธีการง่ายๆแต่ได้ผลดีมากก็คือต้มน้ำให้เดือดและทิ้งไว้ให้พออุ่น จากนั้นใส่เกลือแกงที่เรากินกันนี่แหละลงไปในน้ำที่เตรีมไว้ จากนั้นก็เอาเท้าลงแช่ประมาณ 15-20 นาที ทำอย่างนี้ทุกวัน ภายใน 1 เดือนอาหารเท้าเหม็นของเราจะทุเลาลงได้ เท้าจะเหม็นน้อยลงหรืออาจจะหายไปเลยก็ได้

 

แช่เท้าในน้ำยาเดทตอล

หาซื้อน้ำยาฆ่าเชื้อเดทตอลที่เป็นขวดน้ำสีส้มๆมาโดยเอาผสมกับน้ำในถังหรือกะละมังที่เตรีมไว้ เวลาแช่ก็ให้เอาแปรงที่ใช้ขัดเท้าขัดทำความสะอาดไปด้วย โดยเฉพาะบริเวณซอกเล็บกับง่ามนิ้วเท้าต้องขัดเป็นพิเศษเพราะเชื้อแบคทีเรียจะอยู่แวนั้นเยอะ ขัดทุกวันก่อนเข้านอนจะช่วยให้เท้าหายเหม็นแน่นอน

โรคเท้าเหม็น

แช่เท้าในน้ำยาบ้วนปาก

อีกหนึ่งสูตรการแช่เท้าก็คือไปหาซื้อน้ำยาบ้วนปากมาสักขวด เอายี่ห้ออะไรก็ได้ จากนั้นก็เทลงผสมกับน้ำสัก 2 ฝา แล้วก็นั่งแช่ไปเรื่อยๆตามความพอใจ เอาจนเท้าเปื่อยเลยก็ได้ น้ำยาบ้วนปากจะมีตัวยาที่ใช้ทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ดีเช่นกัน แช่เป็นประจำก็ช่วยแก้ปัญหาเท้าเหม็นได้เหมือนกัน แต่จะเปลืองตังค์หน่อยนะ

 

ขัดเท้าด้วยสารส้ม

หาซื้อสารส้มมาสัก  1 ก้อน แล้วก็เอาถูให้ทั่วเท้าทั้งฝ่าเท้า ง่ามเท้า หลังเท้า ทำเวลาอาบน้ำก็ได้อาบน้ำไปถูเท้าไป สารส้มเป็นยาระงับกลิ่นอย่างดี นอกจากเอามาขัดเท้าแล้วก็เอามาถูจั๊กแร้สำหรับคนที่มีกลิ่นตัวกลิ่นเต่าแรงๆได้ผลดีสุดๆ แต่ทาบ่อยๆผิวบริเวณนั้นจะตึงและอาจจะแตกได้นะ

โรคเท้าเหม็น

 

ขัดเท้าด้วยเบคกิ้งโซดา

ซื้อเบคกิ้งโซดาหรือผงฟูที่เราเอามาทำขนม เช่น ซาลาเปา ขนมถ้วยฟู ขนมสาลี่ นั่นแหละ มันจะเป็นเม็ดละเอียดๆสีขาวๆ เอามาผสมในน้ำพอให้ข้นๆ จากนั้นก็เอามาทาให้ทั่วเท้าแล้วใช้แปรงขัดทุกมุมของเท้าให้สะอาด เบคกิ้งโซดาจะช่วยฆ่าเชื้อโรคและทำความสะอาดเท้าไปในตัวได้ หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เบเกอร์รี่ทั่วไป ไม่แพงด้วยซองเล็กประมาณ 10-12 บาท

โรคเท้าเหม็น

 
2. แก้ปัญหารองเท้า + ถุงเท้าที่เราสวมใส่

ซักรองเท้าถุงเท้าให้สะอาด

การซักรองเท้าเราให้สะอาดนั้นหากเป็นรองเท้าผ้าใบก่อนอื่นก็เอารองเท้าไปแช่ในน้ำที่ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเดทตอลซะก่อน ทิ้งไว้สัก 20 นาที แล้วก็สักด้วยผงซักฟองตามปกติ จากนั้นก็เอาไปตากแดดยิ่งจัดยิ่งดี ตากให้แห้งสนิทเพราะถ้าไม่แห้งแล้วมันก็จะเหม็นได้ง่ายมาก ส่วนถุงเท้านั้นก่อนสักก็เอาไปแช่ในน้ำร้อนก่อนสักครึ่งชั่วโมง แล้วก็ซักด้วยผงซักฟอกตามปกติตากให้แห้งสนิม จะได้ไม่มีเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เท้าเหม็นติดอยู่ ช่วยลดความเหม็นไปได้เยอะ

อย่าใส่รองเท้าคู่เดิมซ้ำๆกัน

เรื่องถุงเท้าคงไม่ต้องบอกนะว่าไม่ควรใส่ซ้ำ แต่มีบางคนช่วยใส่ถุงเท้าซ้ำแบบว่าขี้เกียจซัก อันนี้เลือกทำซะมันเท้าให้เท้าเหม็นมาก ส่วนรองเท้านั้นเราไม่ควรใส่คู่เดิมติดต่อกันเกิน 2 วัน เต็มที่ไม่เกิน 3 วัน จะได้ไม่สะสมเชื้อโรคมากนัก ให้มันได้พักเอาไปตากแดดบ้างอย่างน้อยก็สัก 24 ชั่วโมง สับเปลี่ยนใส่กันไปก็ช่วยลดความอับความเหม็นของเท้าได้เป็นอย่างดี

เปลี่ยนพื้นรองรองเท้าใหม่เป็นประจำ

พื้นรองรองเท้าไม่ว่าจะเป็นรองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าหนังที่ขาด จะเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นที่เท้าชั้นดี เพราะฉะนันหากพื้นรองรองเท้าของเราเกิดขาดเป็นรูขึ้นมา ก็หาซื้อพื้นรองเท้าที่มีวางขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปมาเปลี่ยนซะ BigC ,  Lotus มีหมดตามแผนกขายรองเท้านั่นแหละ คู่ละไม่กีบาท บางทีแค่เปลี่ยนพื้นรองรองเท้าอาจช่วยให้เท้าหายเหม็นเลยก็ได้

โรคเท้าเหม็น

 

ปัญหาเท้าเหม็นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะนอกจากจะส่งผลต่อคนรอบตัว หรือผู้ร่วมงานที่ได้สัมผัสกับกลิ่นแล้ว ยังส่งผมลต่อบุคลิกภาพของเราในสายตาของคนอื่นด้วย หน้าตาดี แต่งตัวดี แต่ถอดรองเท้าออกมาเหม็นเป็นปลาเน่า คะแนนก็อาจจะติดลบเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นดูแลใส่ใจเท้าและรองเท้าของเราให้ดี เพื่อเท้าที่หอมของเรา เพื่อตัวคุณและคนที่คุณรัก “วันนี้คุณซักรองเท้าแล้วหรือยัง?”

 

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ :: healthbeautydd.blogspot.com

----------------------------------------------------------------------

20 วิธีช่วยตัวเองให้มีความสุข

-http://club.sanook.com/11926/20-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7-

การทำงานเป็นสาเหตุของความเครียดได้เสมอ ไม่ว่าความเครียดนั้นจะมาจากหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง หรือแม้แต่ตัวเนื้องานเอง  นอกจากจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงแล้ว ยังมีผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจอีกด้วย    การมีความกดดันในที่ทำงานบ้างเป็นสิ่งที่ดี เพราะ มันจะช่วยให้คุณปฏิบัติงานได้ดีขึ้น และเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่มาท้าทาย หรือการกระทำต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าความกดดัน และความต้องการมีมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิด ความเครียดที่สัมพันธ์กับการทำงาน  เพราะแบบนี้เราก็ควรจะมาทำให้ชีวิตการทำงานมีความสุขดีกว่า

1. เช็ดโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานอาทิตย์ละ 1 ครั้ง อาการสิวขึ้นเป็นแถบที่ข้างแก้ม นั้นคือสิวที่เกิดจากโทรศัพท์ที่เราพูดลงไปทุกวัน ทั้งฝุ่น ทั้งน้ำลาย แต่ไม่ต้องห่วง สำลีชุบแอลกอฮอล์ช่วยคุณได้

2. ช้อนส้อม 1 ถ้วยกาแฟ 1 ฟองน้ำล้างจาน 1 ต้องมี! ไม่ใช่ว่ารังเกียจ ไม่ได้ทำตัวเป็นคุณหนู แต่มีไว้ใช้เป็นของส่วนตัวสบายใจ สบายตัวที่สุด เพราะคุณจะรู้หรือว่าใครไม่สบายเป็นอะไรกันรบ้าง แล้วคุณรู้มั้ยว่าฟองน้ำล้างจาน ตรงมุมกาแฟนั้น แม่บ้านเปลี่ยนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

3. อย่าเด็ดขาด! อย่าใส่ชุดสีดำทึม เทาในวันที่ซึมเศร้า เบื่อหน่าย ไปทำงาน เพราะจะทำให้คุณรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม

4. ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้วเชื่อหรือไม่? ว่าอากาศในออฟฟิศที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำนั้นแห้งได้พอๆ กับทุ่งนากลางแจ้งผิวคุณก็จะขาดความชุ่มชื่นไปได้อย่างไม่รู้ตัว

5. ยิ้มทุกครั้งเวลาที่รับโทรศัพท์ จะช่วยให้เสียงสวยจนปลายสายอยากเห็นหน้า

6. ตั้งกระจกไว้ที่โต๊ะทำงาน ช่วยแก้ฮวงจุ้ยได้บ้าง แต่งานหลักเอาไว้ให้เราได้ฝึกยิ้มอยู่เสมอ ยิ้มบ่อยๆ จะเครียดน้อยลง ใจจะสบายขึ้น

7. โหลดวอลล์เปเปอร์เป็นรูปขำๆ หรือวิวสวยๆ ไว้ที่หน้าจอ พักสายตาได้ดี

8. วางแฮนด์ครีมกลิ่นหอมๆ ถูกใจที่สุด ไว้ไกล้ๆ มือ หาบ่อยๆ กลิ่นหอมจะช่วยผ่อนคลายได้ แถมมือยังนุ่มตามมา

9. เลือกเพลงแจ๊สเบาๆ หรือเป็นเพลงแบบมิวสิคบ็อกซ์  ใสๆ ฟังได้สบายๆ หรือจะเป็นเพลงคลาสสิกก็ดี คลื่นสมองเราจะทำงานได้สงบดีขึ้น แล้วจะเลือกแผ่นไหนดี ให้เลือกเพลงที่ฟังได้เพลินๆ ทำงานไปได้เรื่อย โดยที่ไม่รู้สึกว่าเสียสมาธินั่นละ

10. One free Day แค่อาทิตย์ละวัน วันไหนที่ไม่ต้องมีนัดกับใครไม่ต้องไปประชุมกับลูกค้า ยกเว้นนั้นให้ตัวเองได้ แต่งตัวสบายๆ หยุดพยายามสวยกันสักหนึ่งวัน

11. ขยับตัว ยืดหลัง 2 ครั้ง ต่อวัน เป็นอย่างน้อย

12.วางคริสตัลหรือแท่งแก้ว หินสีไว้ที่โต๊ะทำงาน ศาสตร์ทางฮวงจุ้ยบอกว่าจะช่วยดูดพลังร้ายๆไป ศาสตร์เรื่องหินจะบอกว่า จะช่วยดูดซับพลังความร้อนจากคอมพิวเตอร์ได้

13. มีรองเท้าแตะไว้ที่ใต้โต๊ะ ไว้เปลี่ยนตอนเมื่อยๆจากรองเท้าส้นสูง

14. ซ่อนเก้าอี้ซักผ้าตัวเล็กๆ ไว้ใต้โต๊ะ ไว้พักขา ยืดขาตอนเมื่อยๆ

15. เคลียร์โต๊ะทุกอาทิตย์ เคลียร์เอกสาร ทุก 2 อาทิตย์ เรามักจะใช้เวลา 1 ใน 3 ของวันในการหาของหรือเอกสารที่ต้องการใช้ ถ้าเรามีโต๊ะที่ยุ่งเหยิง หาอะไรไม่เคยเจอ ยิ่งหายิ่งเครียด หงุดหงิด ทำงานไม่ได้ดี หมอดูเห็นก็จะทำนายว่าชีวิตการงานจะยุ่งเหยิง (แม่นแน่ๆ)

16. ปัดฝุ่นบนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ก็ผลิตฝุ่นได้และมากอย่างที่เรานึกไม่ถึงด้วย วันละนิด วันละนิด

17. ลบเมล์ Delete ไฟล์ที่ไม่ใช้ใน Inbox ออกจากคอมพิวเตอร์บ้าง การทำงานจะง่ายขึ้น หาอะไรก็เจอ ความเครียดก็จะลดลง คล่องตัวขึ้น คอมพิวเตอร์ ก็เร็วขึ้นด้วย

18. Emergency Kit เพื่อความไม่ประมาท ควรมี 4 สิ่งนี้ติดลิ้นชักไว้เสมอ• ผ้าอนามัย แค่สักชิ้นก็พอ เผื่อฉุกเฉิน• แปรงสีฟัน+ยาสีฟัน+ควรใช้หลังอาหารเที่ยง หรือก่อนไปพบลูกค้า• โรลออน หรือสเปรย์ระงับกลิ่นกายแบบแห้งเร็ว สำหรับวันไหนที่ร้อน และเหงื่อออกมากกว่าปกติ• สเปรย์ระงับกลิ่นเท้า ปกติอาจจะไม่มี แต่ถ้าวันนั้นเดินมาก และเจอรองเท้าคู่อับ ก็มีสิทธิ์ได้ออกมาใช้เหมือนกัน

19. ใช้อุปกรณ์แฮนด์ฟรีหรือเฮดเซ็ท สำหรับคนที่ต้องคุยโทรศัพท์ทั้งวัน เพราะถ้าคุณเอียงคอ หนีบโทรศัพท์เรื่อยๆ มีโอกาสหมอนรองกระดูกอาจจะเสื่อม

20. รักงาน รักเพื่อน ร่วมงาน ทัศนคติที่ดีกับการทำงานจะช่วยให้คุณทำงานได้ดีขึ้น เหนื่อยน้อยกว่าที่ควรจะเป็นปัญหาทุกอย่างจะมีทางออกอยู่เสมอง เมื่อรู้สึกดีๆ กับงานที่ทำ กับคนที่ทำงานด้วยกันชีวิตจะเป็นสุข
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2013, 08:20:35 pm »
เป็นตะคริว...ทำอย่างไรดี
-http://health.kapook.com/view860.html-


เป็นตะคริว...ทำอย่างไรดี (Lisa)

       ไม่ใช่เฉพาะนักกีฬาเท่านั้นที่มักเป็นตะคริวที่น่อง หรือที่กล้ามเนื้อต้นขา บางคนมักเป็นตะคริวตอนกลางคืน ซึ่งเจ็บปวดทรมานจนทำให้รบกวนการนอนหลับ

       สาเหตุของตะคริว อาจเกิดจากการเสียเหงื่อมากจนทำให้ร่างกายต้องการแมกนีเซียม โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์หรือเกิดจากร่างกายต้องทำงานหนัก (ออกกำลังกาย) และมีความเครียดสะสมมานาน นอกจากนี้ก็อาจเกิดจากร่างกายสูญเสียเกลือแร่ ซึ่งเกิดจากการกินยาบางชนิด อาเจียน หรือท้องเสียเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ  หรือโรคเบาหวานก็สามารถทำให้ร่างกายขาดแมกนีเซียมได้ แต่สาเหตุที่พบบ่อยคือ การกินอาหารชนิดเดียวซ้ำๆ ซากๆ การไดเอ็ท และการขาดน้ำ

       สูญเสียเหงื่อมากกับการออกกำลังกาย จำเป็นต้องให้ร่างกายมีความสมดุลเมื่อสูญเสียน้ำและเกลือแร่ เช่น แมกนีเซียม จึงต้องเติมน้ำและเกลือแร่ให้แก่ร่างกาย ที่สำคัญคือร่างกายควรได้รับแมกนีเซียมวันละประมาณ 300 มิลลิกรัม

       เล่นเทนนิส ไม่ขาดแมกนีเซียมแต่มักเป็นตะคริว ก็ต้องถามว่าดื่มน้ำเพียงพอหรือไม่ เพราะเมื่อมีเหงื่อออกร่างกายก็จะสูญเสียทั้งน้ำและเกลือแร่ อาจทำให้เซลล์กล้ามเนื้อขาดน้ำ ส่งผลให้เป็นตะคริว จึงควรดื่มน้ำอย่างน้อยที่สุดวันละประมาณ 1.5 ลิตร หากออกกำลังกายก็ให้ใส่เกลือลงไปในน้ำเล็กน้อย (มีโซเดียม) หากออกกำลังกายมากกว่าหนึ่งชั่วโมง ก็เป็นไปได้ว่าตะคริวเกิดจากการขาดแมกนีเซียมและโซเดียม

       กินกล้วยช่วยป้องกันตะคริวได้มั้ย กล้วยมีสาระสำคัญๆ มากมาย เช่น  โพแทสเซียมและแมกนีเซียม แต่มันต้องใช้เวลานานกว่าจะดูดซึมเข้าเส้นเลือด หากเกิดตะคริวก็ต้องรีบช่วยตัวเองอย่างเร่งด่วน วิธีที่ดีที่สุดคือ ยืดเหยียด นวด และประคบร้อนบริเวณที่เป็นตะคริว

       กล้ามเนื้อเป็นตะคริวบ่อยควรไปพบแพทย์มั้ย หากเป็นตะคริวบ่อยและเกิดขึ้นเกือบทุกเวลาก็ควรไปพบแพทย์ เพราะอาจเกิดจากโรคบางชนิดหรือหากมีคนในครอบครัวเป็นตะคริวก็อาจเกิดจากพันธุกรรม

       ป้องกันตะคริวได้อย่างไร เราควรบริหารเท้าทุกวัน ยืดเหยียดและบริหารกล้ามเนื้อน่องและเท้า นวดและประคบร้อนหรือเย็น ทดลองดูว่าแบบใดได้ผลดีกับคุณ หลายคนที่เป็นตะคริวมักใช้หมอนวางใต้เข่าเวลานอนและรู้สึกดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากล้ามเนื้อจะต้องได้รับการยืดเหยียดอย่างเร่งด่วน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ลิซ่า(Lisa)
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2013, 07:52:11 am »
รู้เปล่า? ผลวิจัยชี้ "นอนหลับ" ช่วยกำจัดขยะสมอง

-http://campus.sanook.com/1370103/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87/-

ผลงานวิจัยตีพิมพ์ลงในวารสารไซน์ส เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ชี้ว่า ระหว่างการนอนหลับสมองจะเกิดกระบวนการกำจัดขยะ และยังเป็นกระบวนการที่ช่วยป้องกันโรคอีกด้วย ซึ่งผลการค้นคว้าดังกล่าวตอบคำถามที่ว่า เพราะเหตุใดมนุษย์จึงต้องใช้เวลานอนหลับถึง 1 ใน 3 ของชีวิต และอาจช่วยรักษาอาการสมองเสื่อมรวมถึงความผิดปกติทางระบบประสาทอื่นๆ ได้อีกด้วย

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยศูนย์การแพทย์โรเชสเตอร์ ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นำโดยนายไมเคน เนเอร์การ์ด ได้ทำการทดลองในหนูทดลอง พร้อมสังเกตการกำจัดเซลล์ขยะ รวมไปถึงโปรตีนที่ชื่อว่าแอมีลอยด์ บีตา โปรตีนที่ก่อให้เกิดอาการสมองเสื่อม ทางหลอดเลือดเข้าสูระบบหมุนเวียนของร่างกายก่อนที่จะถูกส่งไปยังตับ

นักวิจัยชี้ว่าน้ำหล่อสมองไขสันหลังซึ่งถูกสูบฉีดเข้าไปในสมองจะทำหน้าที่กำจัดขยะดังกล่าวในช่วงเวลาที่กำลังหลับ โดยช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่เซลล์หดตัวส่งผลให้น้ำหล่อสมองไขสันหลังสามารถเคลื่อนที่ไปทั่วสมองได้อย่างรวดเร็วและกำจัดขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าตอนที่ตื่นอยู่ถึง 10 เท่า โดยนักวิทยาศาสตร์เรียกกระบวนการดังกล่าวว่าระบบ กลิมพาติก

(ที่มา:มติชนรายวัน 22 ต.ค.2556)

http://campus.sanook.com/1370103/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87/
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2013, 07:59:14 am »
ความหมายที่แท้จริงของ “มอก.”

-http://club.sanook.com/12123/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-


ความหมายที่แท้จริงของ “มอก.“

วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับความหมายที่แท้จริงของเครื่องหมาย ” มอก. “  ว่าจริงๆแล้ว เครื่องหมาย ” มอก. ” นี้จะได้มาด้วยวิธีการใดบ้าง และมีประโยชน์ต่อผู้ผลิตและผู้บริโภคอย่างไรกันค่ะ


มอก. คืออะไร

มอก.เป็นคำย่อมาจาก”มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม” หมายถึงข้อกำหนดทางวิชาการที่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.)ได้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้ผลิตในการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพในระดับที่เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุดโดยจัดทำออกมาเป็นเอกสารและจัดพิมพ์เป็นเล่ม

ภายในมอก.แต่ละเล่มประกอบด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการผลิตผลิตภัณฑ์นั้นๆ เช่น เกณฑ์ทางเทคนิค คุณสมบัติที่สำคัญ ประสิทธิภาพของการนำไปใช้งาน คุณภาพของวัตถุที่นำมาผลิต และวิธีการทดสอบเป็นต้น

ปัจจุบันสินค้าที่สมอ. กำหนดเป็นมาตรฐานปัจจุบันมีอยู่กว่า 2,000 เรื่อง ครอบคลุมสินค้าที่เราใช้ อยู่ในชีวิตประจำวันหลายๆ ประเภท ได้แก่ ประเภทอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานพาหนะ สิ่งทอ วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น

 

มอก. มีความสำคัญอย่างไร

มอก. มีประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวข้องในหลายด้านด้วยกัน ดังนี้

ประโยชน์ต่อผู้ผลิต

1. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต

2. ลดรายจ่าย ลดเครื่องจักร ลดขั้นตอนการทำงานซ้ำซ้อน

3. ช่วยให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ

4. ทำให้สินค้ามีคุณภาพดีขึ้น และมีราคาถูกลง

5. เพิ่มโอกาสทางการค้า ในการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานราชการที่มีการกำหนดให้สินค้านั้นๆต้องได้รับมอก.


ประโยชน์ผู้บริโภค

1. ช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า และ

2. สร้างความปลอดภัยในการนำไปใช้

3. ในกรณีที่ชำรุด ก็สามารถหาอะไหล่ได้ง่าย เพราะสินค้ามีมาตรฐานเดียวกัน ใช้ทดแทนกันได้

4. วิธีการบำรุงรักษาใกล้เคียงกัน ไม่ต้องหัดใช้สินค้าใหม่ทุกครั้งที่ซื้อ

5. ได้สินค้าคุณภาพดีขึ้นในราคาที่เป็นธรรมคุ้มค่ากับการใช้งาน

ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจส่วนรวมหรือประโยชน์ร่วมกัน

1. ช่วยเป็นสื่อกลางเป็นบรรทัดฐานทางการค้า ทำให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคมีความ เข้าใจที่ตรงกัน

2. ก่อให้เกิดความยุติธรรมในการซื้อขาย

3. ประหยัดการใช้ทรัพยากรของชาติ ทำให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด

4. สร้างโอกาสทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย

5. ป้องกันสินค้าคุณภาพต่ำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ

6. สร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ


เครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)

การนำมาตรฐานไปใช้ และประโยชน์ของการมาตรฐาน

ผลิตภัณฑ์ที่แสดงเครื่องหมายมาตรฐาน หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรองจาก สมอ. แล้วว่ามีคุณภาพได้มารฐานตามที่กำหนดมีความปลอดภัยในการอุปโภค บริโภค มีประสิทธิภาพในการใช้งาน และมีคุณภาพสมราคา ปัจจุบัน สมอ. กำหนดเครื่องหมายมาตรฐานไว้ 3 ประเภท คือ





เครื่องหมายมาตรฐานทั่วไป ใช้สำหรับผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคซึ่งผู้ผลิตสามารถยื่นขอการรับรองด้วยความสมัครใจเพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามเกณฑ์กำหนดมาตรฐาน

 



เครื่องหมายมาตรฐานบังคับ เป็นเครื่องหมายผลิตภัณฑ์ที่กฎหมายกำหนดให้ผู้ผลิตต้องทำตามมาตรฐาน และต้องแสดงเครื่องหมายผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค

 




เครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) เป็นเครื่องหมายที่ให้การรับรองผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยชุมชนเพื่อช่วยพัฒนาและยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ชุมชน ตามโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของรัฐบาล

ผลิตภัณฑ์ที่แสดงเครื่องหมายมอก.ได้นั้น ต้องได้รับการตรวจสอบจากสมอ.แล้วว่ามีคุณภาพเป็นไปตาม ที่กำหนด การตรวจสอบของสมอ. จ ะนำตัวอย่างผลิตภัณฑ์มาตรวจสอบคุณภาพ ว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งจะตรวจสอบทั้งระบบการผลิตและระบบการควบคุมคุณภาพของโรงงานด้วยว่าผ่านเกณฑ์หรือไม่ ถ้าผ่าน สมอ.จะออกใบอนุญาตให้ผู้ผลิตแสดงเครื่องหมายมอก.ที่ผลิตภัณฑ์ของตนได้ โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ที่สมอ.กำหนดด้วย หลังจากนั้นสมอ.ก็จะมีการติดตามผลโดยการตรวจสอบระบบควบคุมคุณภาพของโรงงานและสุ่มตัวอย่างผลิตภัณฑ์ทั้งจากโรงงานสถานที่นำเข้าและสถานที่จำหน่ายมาตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่แสดงเครื่องหมายมอก. จะมีคุณภาพตามมาตรฐานและโรงงานยังสามารถรักษาคุณภาพไว้ได้ตามที่กำหนด

Credit : krumai.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)