ผู้เขียน หัวข้อ: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ  (อ่าน 47512 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #130 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2014, 09:44:10 pm »
อันนี้ควร save เก็บไว้ครับเพราะเป็นกันเยอะ

 ใครมีอาการ...ลองเอาไปใช้ดูครับ

ท่ายืดกล้ามเนื้อท้ายทอย -
 http://youtu.be/mkLzLY0Hdjs

ท่ายืดกล้ามเนื้อบ่าและต้นคอ - 
http://youtu.be/IjjadrM8-ZA
 
ท่ายืดกล้ามเนื้อสะบัก - 
http://youtu.be/xXfvy9N-pyo

ท่ายืดกล้ามเนื้อคอด้านหน้า - 
http://youtu.be/eITtsSDJV_o

ท่านั่งแบบสมดุล สำหรับคนปวดหลัง - 
http://youtu.be/XAspVSaqtOo

ท่ายืดกล้ามเนื้อใต้ขาพับ - 
http://youtu.be/c9SYYYL309g

สัญญานอันตรายของคนปวดหลัง - 
http://youtu.be/sUB96DVpV2w

--------------------------------------------



อันนี้ควร save เก็บไว้ครับเพราะเป็นกันเยอะ

 ใครมีอาการ...ลองเอาไปใช้ดูครับ

ท่ายืดกล้ามเนื้อท้ายทอย -
 -http://youtu.be/mkLzLY0Hdjs-

ท่ายืดกล้ามเนื้อบ่าและต้นคอ - 
-http://youtu.be/IjjadrM8-ZA-
 
ท่ายืดกล้ามเนื้อสะบัก - 
-http://youtu.be/xXfvy9N-pyo-

ท่ายืดกล้ามเนื้อคอด้านหน้า - 
-http://youtu.be/eITtsSDJV_o-

ท่านั่งแบบสมดุล สำหรับคนปวดหลัง - 
-http://youtu.be/XAspVSaqtOo-

ท่ายืดกล้ามเนื้อใต้ขาพับ - 
-http://youtu.be/c9SYYYL309g-

สัญญานอันตรายของคนปวดหลัง - 
-http://youtu.be/sUB96DVpV2w-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #131 เมื่อ: สิงหาคม 12, 2014, 08:21:26 am »

ไม้ดีมีประโยชน์ : 'สามสี' ใบรักษาแผล

-http://www.komchadluek.net/detail/20140812/189942.html-


ไม้ดีมีประโยชน์ : 'สามสี' ใบรักษาแผล : โดย...นายสวีสอง
 
                        บางพื้นที่เรียกต้น "สามสี" ว่าพุดตาน สามผิว มีถิ่นกำเนิดแถบบ้านเรา ปลูกง่าย ดอกสวยงามมาก สรรพคุณทางยาก็มี ใบแห้งผสมน้ำผึ้งทารักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกได้ 
 
 
                        เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ในวงศ์  MALVACEAE  ลำต้นและกิ่งก้านมีสีเทา มีขนปกคลุม
 
 
                        ใบ  เป็นใบเดี่ยว รูปไข่ เรียงสลับ ปลายแหลม โคนรูปหัวใจ ขอบเว้าลึก 3-5 แฉก แผ่นใบสีเขียวค่อนข้างหนา มีขนปกคลุม สากมือ 
 
 
                        ดอก เป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอก ปลายกิ่ง มี 5 กลีบเลี้ยง มีทั้งชั้นเดียวและซ้อนกัน กลีบดอกเปลี่ยนสีไปตามอุณหภูมิของวัน ตอนเช้าสีขาว กลางวันสีชมพู ตอนเย็นสีชมพูเข้ม
 
 
                        ผล ทรงกลมมีจะงอย ขนาดราว 2 เซนติเมตร เมื่อแก่แตกเป็น 5 แฉก เมล็ดรูปไต มีขนยาว 
 
 
                        ขยายพันธุ์ ปักชำกิ่ง เพาะเมล็ด เติบโตเร็วในดินร่วน ระบายน้ำดี ความชื้นปานกลาง แสงแดดเต็มวัน
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #132 เมื่อ: สิงหาคม 24, 2014, 09:08:14 am »
10 พฤติกรรมทำจนชิน พากระดูกเสื่อมก่อนวัย

-http://health.kapook.com/view96478.html-





10 พฤติกรรม พากระดูกเสื่อมก่อนวัย (e-magazine)

          บุคลิกภาพที่ดีเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง เพราะฉะนั้นในการดำเนินชีวิตของเราสิ่งที่ควรระวังให้มาก ๆ คือพฤติกรรมที่จะนำไปสู่การทำร้ายบุคลิกภาพ

          อย่างเช่น การนั่งไขว่ห้างหรือการสวมรองเท้าส้นสูงจะทำให้ผู้หญิงเดินอย่างมั่นใจ สง่า แต่บางทีการกระทำเหล่านั้นอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อกระดูกในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการเดิน นั่ง หรือนอน ก็มีโอกาสที่จะทำลายกระดูกได้ทั้งนั้น แม้จะเสริมให้บุคลิกภาพดีในช่วงปัจจุบัน แต่ทว่า อนาคตอาจจะบั่นทอนบุคลิกภาพของเราไปอีกยาวนาน

          สำหรับกระดูก เป็นอวัยวะที่ประกอบขึ้นเป็นโครงร่างแข็งภายใน (endoskeleton) ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง หน้าที่หลักของกระดูกคือการค้ำจุนโครงสร้างของร่างกาย การเคลื่อนไหว การสะสมแร่ธาตุและการสร้างเซลล์เม็ดเลือด เพราะฉะนั้นหากเราไม่ดูแลรักษากระดูก ก็เป็นการทำลายกระดูก ทำร้ายร่างกายตัวเอง

          เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาดูกันว่า พฤติกรรมใดบ้างที่จะทำร้ายกระดูกโดยของเราได้โดยไม่รู้ตัว

1. พฤติกรรมการยืนแอ่นพุง/หลังค่อม

          กลายเป็นสิ่งที่ทำจนติดเป็นนิสัยสำหรับหลาย ๆ คน ที่มักจะยืนแอ่นพุง หรือไม่ก็เดินหลังค่อม จนทำให้เสียบุคลิกภาพ แถมยังไปทำร้ายกระดูกอีกต่างหาก เพราะพฤติกรรมการยืนแอ่นพุงไปด้านหน้า หรือการยืนหลังค่อมก็จะทำให้กระดูกสันหลังขดงอ ผิดรูปไปได้

          การยืนหลังตรงจึงเป็นการยืนที่ดีที่สุดสำหรับการยืนที่ดี คือการแสดงถึงการมีบุคลิกภาพที่ดีของบุคคลนั้น การยืนหลังตรง หน้าอกผาย จะทำให้เราเป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่ดี ดูน่าสนใจ



2. พฤติกรรมการนอนขดตัว/นอนตัวเอียง

          เวลาที่แต่ละคนนอน มักจะมีท่านอนประจำของตัวเองที่ทำให้หลับสบาย บางคนชอบนอนหงาย บางคนชอบนอนคว่ำ หรือนอนตะแคง แต่ไม่ว่าคุณจะนอนในลักษณะไหน การนอนหลับให้เพียงพอในแต่ละวันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือควรนอนหลับอย่างต่อเนื่อง 6-8 ชม.

          และเนื่องจากเวลา 6-8 ชม. เป็นเวลาที่นานพอสมควร ลักษณะของท่านอนของคุณจึงส่งผลโดยตรงกับการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะคนที่ชอบนอนขดตัว หรือนอนตัวเอียงที่ส่งผลกระทบกับกระดูกโดยตรง เนื่องจากการนอนที่ผิดรูปทรงของกระดูกจึงเป็นการทำลายกระดูกได้ดีที่เดียว

          ท่าในการนอนที่ดีที่สุด คือการนอนหงายจึงเป็นการนอนที่ถูกต้องที่สุด อย่าลืมลองเปลี่ยนท่านอนกันนะคะ

3. นั่งกอดเข่า

          การนั่งกอดเข่า เป็นท่านั่งของคนที่จิตตกก็ว่าได้ คิดอะไรไม่ออก เสียใจ ก็ชอบนั่งท่านี้ เด็ก ๆ จะชอบนั่งเวลาไม่ได้ดั่งใจ หากทำบ่อย ๆ จะก่อเป็นพฤติกรรมที่ทำลายกระดูก เพราะทำให้หลังช่วงบน สะบักและหัวไหล่ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรงหรือชาได้

          นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูป จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง และจำกัดการไหลเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เป็นสาเหตุของการอาการปวดศีรษะ หรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้ ไม่อยากเสี่ยงภัยก็อย่าลืมควบคุมตัวเองไม่ให้นั่งท่านี้กันนะ



4. สะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว

          ในชีวิตของคนเราในปัจจุบัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเดินทางเป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องทำเป็นประจำอยู่ทุกวัน และการเดินทางนั้นคงไม่มีใครเดินทางตัวเปล่าแน่นอน ไม่ว่าจะเดินทางใกล้หรือไกล ทุกคนก็ย่อมมีสัมภาระ มีสิ่งของที่จะต้องพกพากันทั้งนั้น และกระเป๋าก็เป็นสิ่งหนึ่งที่คนแทบทุกคนจะต้องมี

          แน่นอนว่าการสะพายกระเป๋านั้น หากเป็นกระเป๋าสะพายข้าง ไม่ใช่กระเป๋าเป้ที่สะพายหลังแล้ว โดยทั่วไปเราจะสะพายไปข้างที่ตัวเองถนัด สะพายด้วยแขนเดียว ซึ่งพฤติกรรมการสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียวนั้นทำให้ไหล่ของเราต้องรับน้ำหนักอยู่ข้างด้วย และยิ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำบ่อย ๆ ทุกวัน ก็จะเป็นการทำลายกระดูกได้อย่างที่เราไม่ทันคิดกันเลย

5. นั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น

          มีสาว ๆ หนุ่ม ๆ จำนวนไม่น้อย ที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าเอกสาร หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน และก็ย่อมจะเกิดอาการเมื่อยล้ากันบ้าง จึงทำให้บางคนชอบการนั่งเก้าอี้แบบครึ่งก้น ซึ่งหารู้ไม่ว่าพฤติกรรมการนั่งเก้าอี้ไม่เต็มก้นนี้ จะส่งผลทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ กระดูกต้องรับน้ำหนักตัวมาก มีผลต่อกระดูกที่จะค่อย ๆ เสื่อมลง

          แต่ถ้าเรานั่งให้เต็มก้นเต็มเบาะ คือเลื่อนก้นให้เข้าในสุดจนติดพนักพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยและเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่ ดังนั้นถ้าหากอยากให้มีกระดูกที่แข็งแรงไปอีกนาน ก็ลองปรับท่านั่งในการทำงานใหม่ค่ะ




6. นั่งหลังงอ หลังค่อม

          คงจะเป็นไปได้ยากที่เราจะหลังตรงกันตลอดเวลา อาจจะต้องมีบ้างที่แอบเผลอนั่งหลังงอ หรือนั่งหลังค่อม แต่การนั่งแบบนี้จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลคติค ทำให้มีอาการปวดเมื่อย แล้วปัญหากระดูกผิดรูปก็จะตามมา

          การนั่งหลังตรงเป็นท่านั่งที่ถูกวิธีที่สุด เพราะฉะนั้นหากไม่อยากเป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่ไม่ดี เราควรฝึกฝนให้นั่งหลังตรงจนติดเป็นนิสัย

7. หิ้วของหนักด้วยนิ้ว

          ในทุก ๆ การซื้อของหรือหิ้วของ เราจะต้องใช้นิ้วมือในการหิ้ว และการใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อย ๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ

          ทั้งนี้อาจเป็นเพราะจริง ๆ แล้ว กล้ามเนื้อในมือเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก หน้าที่หลักของนิ้วคือการใช้หยิบ, จับโดยไม่หนัก แต่หากต้องใช้จับหรือหิ้วหนัก ๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการเสียดสี และเกิดพังผืดในที่สุด ยิ่งหิ้วหนักมาก ๆ จะทำให้รั้งกล้ามเนื้อมัดอื่น ๆ และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ มีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้

          เพราะฉะนั้น ลองหาวิธีหิ้วของที่เราจะถนอมกระดูกนิ้วมือมาใช้กัน เช่น การใส่ของลงกระตร้าหรือรถเข็นนะคะ




8. ใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง

          สำหรับรองเท้าส้นสูง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า คือ accessories สำคัญสำหรับผู้หญิง ซึ่งยากนักที่จะเลี่ยงได้ เพราะสาว ๆ หลายคนจำเป็นต้องสวมใส่ในการทำงาน

          การใส่รองเท้าส้นสูงนั้น จะทำให้ดูเป็นคนที่มีความสง่า และมีบุคลิกภาพที่ดี เสริมสร้างความมั่นใจแก่ผู้หญิง แต่ทว่าการใส่รองเท้าส้นสูงนานเกินไป หรือบ่อยเกินไปก็จะเป็นการทำลายกระดูกได้ด้วย เนื่องจากจะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลังและการมีโครงสร้างร่างกายที่ผิด

          ดังนั้นแล้ว หากวันไหนที่ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูง สาว ๆ อาจจะใส่รองเท้าส้นเตี้ยแทน เพราะแค่มีความมั่นใจ บุคลิกภาพก็ดีได้แล้ว

9. ยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว

          เวลาที่เราต้องยืนตรงนาน ๆ ก็ต้องรู้สึกเมื่อยกันบ้าง และเราก็จะพยายามหาท่ายืนที่ช่วยลดอาการเมื่อยลงบ้าง อย่างเช่นการยืนพักขาข้างเดียว

          การยืนพักขาด้วยการลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียวเป็นการลงน้ำหนักตัวที่ขาข้างเดียว จะเป็นผลให้กระดูกเชิงกรานบิดเบี้ยวทำให้กระดูกสันหลังคด

          สำหรับท่ายืนที่ถูกต้องก็คือ ท่ายืนที่ลงน้ำหนักที่สองขาพร้อมกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความสมดุลของร่างกาย ไม่ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป แต่หากเมื่อย อยากจะพักขา ก็ทำได้ แต่พักได้ไม่นานค่ะ สลับขากันไป




10. นั่งไขว่ห้าง

          ถือเป็นพฤติกรรมที่คาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว เพราะสาว ๆ มักจะนิยมนั่งไขว้ห้างเป็นประจำ หรือบางทีหนุ่ม ๆ หลายคนก็เป็น อาจเป็นเพราะนั่งแล้วทำให้ดูขาสวย ทำให้นั่งแล้วดูสง่า มั่นใจ แต่หลายคนคงจะยังไม่รู้ว่าการนั่งไขว่ห้างนั้นเป็นท่านั่งที่จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการกระดูกคดโดยไม่รู้ตัว นี่จึงเป็นการทำลายกระดูกอย่างยิ่งทีเดียว

          การนั่งตัวตรง หลังตรง คือวิธีที่ถูกต้องค่ะ ซึ่งจะทำให้กระดูกของเราจะได้อยู่กับเราอย่างสวยงามไปนาน ๆ

          หากรู้แล้วว่า พฤติกรรมไหนที่เสี่ยงต่อกระดูกเสื่อมแล้ว ก็ให้คุณสังเกตตัวเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หันมาดูแลรักษากระดูกของเรากันดีกว่า ให้กระดูกนั่นอยู่เสริมบุคลิกภาพกับเราไปอีกนาน ๆ ค่ะ

ลิขสิทธิ์บทความของ emaginfo.com
ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #133 เมื่อ: สิงหาคม 24, 2014, 08:23:54 pm »
3 กลุ่มโรคมากับน้ำท่วม ไม่ระวังอาจถึงตาย!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 สิงหาคม 2557 15:16 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000096745-


กรมควบคุมโรคเตือน 3 กลุ่มโรคที่มากับน้ำท่วม เสี่ยงบาดเจ็บ เจ็บป่วย จนถึงเสียชีวิต แนะดูแลสุขภาพ พักผ่อน ออกกำลังกายให้เพียงพอ จัดการสิ่งแวดล้อมไม่ให้เป็นแหล่งเพาะโรค พบป่วยไข้เกิน 2 วันให้รีบพบแพทย์

 วันนี้ (24 ส.ค.) นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวถึง ช่วงฤดูฝนอาจมีฝนตกหนักและเกิดน้ำท่วมได้ในบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพตัวเอง เนื่องจากอาจเจ็บป่วย บาดเจ็บ และเสียชีวิต จากกลุ่มโรคที่มากับน้ำท่วมได้ มี 3 กลุ่ม คือ 1.โรคติดเชื้อ 7 โรค ได้แก่ โรคผิวหนัง โรคตาแดง โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวม อุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ และโรคไข้ฉี่หนู บางโรคอาจมีความรุนแรงน้อย เช่น โรคผิวหนัง จำพวกน้ำกัดเท้า เชื้อรา แผลพุพองเป็นหนอง เกิดจากการย่ำน้ำที่มีเชื้อโรค หรือความอับชื้นจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ไม่สะอาด ส่วนบางโรคมีอาการรุนแรง และทำให้เสียชีวิต เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งปีนี้ระบาดรุนแรงกว่า 2-3 ปี โดย 8 เดือนมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 60 ราย ประชาชนกลุ่มเสี่ยงควรรีบไปรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ฟรีที่สถานพยาบาลรัฐ
       
       นพ.โสภณ กล่าวว่า 2. การบาดเจ็บที่เกิดจากสัตว์ แมลงมีพิษกัดต่อย เช่น งู ปลิง แมลงและสัตว์อื่นๆ เป็นต้น เพราะสัตว์เหล่านี้จะหนีน้ำท่วมขังขึ้นมาหลบบนที่สูง ถ้าถูกงูหรือสัตว์พิษกัด ต้องตั้งสติให้มั่น ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด (ถ้ามี) ห้ามกรีดแผล ห้ามดูดแผล ห้ามใช้ไฟ หรือไฟฟ้าจี้ที่แผล ห้ามประคบน้ำแข็ง ห้ามพอกสมุนไพร ห้ามดื่มสุรา แต่ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลหรือสถานบริการสุขภาพที่ใกล้ที่สุด และ 3. อุบัติเหตุ ได้แก่ จมน้ำ ไฟฟ้าดูด วัตถุแหลมคม โดยเฉพาะประชาชนที่ประกอบอาชีพทางน้ำ เช่น หาปลา ต้องเข้าไปในพื้นที่ที่มีน้ำท่วม พักอาศัยในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ ไม่ควรลงเล่นน้ำในช่วงน้ำท่วม อย่าพยายามวิ่งหรือขับรถผ่านบริเวณที่น้ำท่วมขัง ให้ขนย้ายอุปกรณ์ไฟฟ้าขึ้นที่สูง จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย ดูแลเด็กเล็กอย่างใกล้ชิด อย่าปลอดให้อยู่ตามลำพัง ถ้าเดินทางควรเดินทางเป็นกลุ่ม และสวมชูชีพหรือเตรียมอุปกรณ์อื่นที่ช่วยในการลอยตัวในน้ำ เป็นต้น
       
       “ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพมากขึ้น พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ จัดการสิ่งแวดล้อมรอบบ้านไม่ให้เป็นแหล่งเพาะโรค กำจัดขยะและแอ่งน้ำขัง หากป่วยมีไข้สูงเกิน 2 วันไม่ลดควรรีบพบแพทย์” อธิบดี คร. กล่าว



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #134 เมื่อ: สิงหาคม 27, 2014, 09:56:41 pm »
อันตรายและโรคของ ′สังคมก้มหน้า′ที่คุณควรรู้ไว้ ?

-http://campus.sanook.com/1373249/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%89/-


โรค′เท็กซ์เนค′ อาการของ′สังคมก้มหน้า′

โดย ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ pairat@matichon.co.th

อันที่จริงเรื่อง "เท็กซ์เนค" ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่พูดถึงกันมา 2-3 ปีแล้ว ที่ผมหยิบกลับมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งเป็นเพราะว่าตอนนี้มันกำลังกลายเป็น "โกลบอล ซินโดรม" คือออกอาการกันแพร่หลายไปทั่วโลก ตามการแพร่ระบาดของอุปกรณ์พกพาสารพัดตั้งแต่ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เรื่อยไปจนถึงอีบุ๊กรีดเดอร์

ทั้งหลาย

ก่อนหน้านี้อุปกรณ์เหล่านี้ถูกจำกัดการใช้งานด้วยการเชื่อมต่อแต่ตอนนี้เมื่อสามารถเชื่อมต่อได้ทุกที่ทุกเวลาเนื้อหาที่มากับหน้าจอก็หลากหลายมากขึ้น ดึงดูดใจมากขึ้น ทั้งไลน์ ทั้งเกม ทั้งอีบุ๊กสารพัด สัดส่วนการใช้งานต่อวันก็เพิ่มขึ้นมากมายมหาศาล ไปไหนมาไหนก็เจอแต่ผู้คนก้มหน้าลงหาจออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นบนรถไฟฟ้า รถประจำทาง ร้านอาหาร

หนักๆ เข้าเดินไปไหนมาไหน ยังไปในลักษณะ "ก้มหน้า" จนผู้ใหญ่ท่านหนึ่งค่อนแคะให้เข้าหูว่าสังคมยุคนี้กลายเป็น "สังคมก้มหน้า" ไปแล้ว

"เท็กซ์เนค" เป็นคำที่ นายแพทย์ดีน ฟิชแมน แพทย์กายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญด้านบำบัดอาการของกระดูกสันหลังชาวอเมริกัน คิดขึ้นเพื่อใช้เรียกกลุ่มอาการของโรคที่เกิดขึ้นจากการ "ก้มหน้า" บ่อยๆ ซ้ำๆ และนานเกินปกตินี้ อาการที่เกิดขึ้นมีตั้งแต่ การปวดกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ กล้ามเนื้อคอ ปวดศีรษะเรื้อรัง ปวดทุกวัน หนักเข้าก็อาจพาลไปถึงเกิดการอักเสบของข้อต่อกระดูกสันหลังส่วนบน ซึ่งถือว่าสาหัสเลยทีเดียวครับ

ที่น่ากังวลก็คือ การก้มหน้าในลักษณะนี้บ่อยๆ นานๆ จะส่งผลต่อบุคลิกท่าทาง และการเติบโตของร่างกายในเด็กและวัยรุ่นให้ออกมาบิดเบี้ยวโค้งงอจนต้องมาหาทางแก้กันยุ่งยากในภายหลัง

ที่มาของโรคนี้คือการก้มนั่นแหละครับในทางการแพทย์เขาบอกว่าเพียงแค่การก้มศีรษะลงไปข้างหน้า ผิดจากท่าปกติตามธรรมชาติ (คือเมื่อหูของเราอยู่ในแนวเดียวกับไหล่) เพียงแค่นิ้วเดียว น้ำหนัก

ของศีรษะก็จะทำให้ กล้ามเนื้อ เอ็น กระดูกและเส้นประสาทในบริเวณไหล่ คอ ต้องแบกรับภาระหนักเพิ่มขึ้นมากแล้ว น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นด้วยการถ่วงไปข้างหน้าจะไปดึงรั้งกล้ามเนื้อเส้นเอ็นทั้งหมดให้ต้องแบกรับภาระมากขึ้นตามไปด้วยอาการตึงจะเกิดขึ้นตามมาถ้าทำซ้ำๆ หลายๆ ครั้งก็จะเกิดการบาดเจ็บขึ้นได้ทั้งกับกล้ามเนื้อ เอ็น และเส้นประสาทในบริเวณดังกล่าว

ดร.ฟิชแมนเคยแสดงให้เห็นฟิล์มเอกซเรย์ของวัยรุ่นอเมริกันที่แสดงชัดเจนว่ากระดูกสองสามชิ้นบริเวณข้อต่อกระดูกสันหลังส่วนบนโค้งงอไปด้านหน้าแบบผิดธรรมชาติเพราะเหตุนี้มาแล้ว

ข้อมูลที่ได้จากผลการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งเมื่อปี2000ระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้วศีรษะของคนเราจะหนักประมาณ 5 กิโลกรัม การก้มไปข้างหน้าทุกๆ 2 เซนติเมตร จะทำให้ไหล่ต้องแบกรับน้ำหนักมากขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ถ้าก้มลงไป 6 เซนติเมตร น้ำหนักของศีรษะที่ไหล่ คอ และกระดูกสันหลังที่ต้องรองรับนั้นจะเพิ่มมากขึ้นเป็น 20 กิโลกรัม

น้ำหนักขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมการก้มนานๆ ซ้ำๆ อยู่ทั้งวันถึงก่อให้เกิดอาการได้มากขนาดนั้น

คำแนะนำของแพทย์เพื่อการป้องกันไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อของเท็กซ์เนคอย่างง่ายๆก็คือ ละสายตาจากจอ เปลี่ยนท่าจากการก้มหน้า ปล่อยให้ศีรษะกลับคืนสู่ท่าธรรมชาติในทุกๆ 15 นาที เงยหน้าขึ้น เหลียวไปรอบๆ ถ้ายังจำเป็นต้องจ้องจออยู่ก็ยกมันให้ขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา เพื่อลดการแบกรับน้ำหนักของคอลงเป็นระยะๆ

ถ้าเป็นไปได้ก็ควรออกกำลังกาย ในแบบที่จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่ได้ผ่อนคลาย จะเป็นโยคะก็ได้ หรือจะเป็นกายบริหารแบบพิลาทีสที่มุ่งเน้นไปที่การทำให้ร่างกายของเราอยู่ในท่าทางที่ถูกต้องก็ได้ ทำให้ได้ทุกวันจะป้องกันปัญหานี้ได้

ใครที่ใช้มาตรการประดานี้แล้วยังไม่ได้ผล แสดงว่า เท็กซ์เนคของคุณค่อนข้างไปทางรุนแรงแล้ว ควรไปพบแพทย์ อย่างน้อยๆ ก็อาจต้องใช้ยาจำพวกคลายกล้ามเนื้อช่วย แต่ถ้าอาการเกิดไปกระทบทำให้กลุ่มประสาทในบริเวณดังกล่าวถูกบีบ กดอยู่นานๆ จนเกิดอาการปวดประสาท ก็จัดอยู่ในขั้นต้องให้แพทย์ที่เชี่ยวชาญดูแลเป็นการเฉพาะจะดีที่สุด

แล้วก็ต้องลดการตกไปเป็นส่วนหนึ่งของ"สังคมก้มหน้า"ลงให้เหลือน้อยที่สุดแล้วละครับ

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #135 เมื่อ: กันยายน 02, 2014, 10:20:56 pm »
วิธีไล่แมลงวันสารพัดสูตร ให้หมดไปจากบ้าน

-http://home.kapook.com/view97127.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           วิธีไล่แมลงวัน สำหรับคนที่กำลังถูกรบกวนจากแมลงหัวเขียว และอยากกำจัดแมลงวันให้ออกไปพ้น ๆ จากบ้านสักที วันนี้เรามีวิธีไล่แมลงวันมาบอก

           เคยเป็นไหมคะ ถึงแม้จะทำความสะอาดบ้านจนเอี่ยมอ่องเท่าไร แต่ก็ยังเผลอมีแมลงวันตัวจ้อยบินวนเวียนเข้ามาส่งเสียงคำรามเบา ๆ ให้รำคาญใจทุกที แถมยังไล่แล้วไล่อีกก็ไม่ยอมบินออกจากบ้านไปง่าย ๆ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขอรวบรวม วิธีไล่แมลงวัน มาช่วยแก้ปัญหาให้คนที่กำลังหนักใจกับฝูงแมลงวันในบ้านอยู่ ลองไปดูวิธีกันเลยจ้า

วิธีไล่แมลงวัน

1. น้ำยาล้างจานผสมน้ำ

           เป็นวิธีบ้าน ๆ ที่ไม่ต้องหาซื้ออุปกรณ์จากไหน เพียงแค่นำน้ำยาล้างจานมาผสมกับน้ำเปล่าในปริมาณเท่า ๆ กัน อัตราส่วน 1 : 1 จากนั้นก็นำส่วนผสมที่ได้ไปใส่ลงในกระบอกฉีดน้ำ แล้วนำไปพ่นใส่แมลงวัน จะทำให้แมลงวันหายใจไม่ออก หากไม่อยากให้ถึงตายก็พ่นแค่ละอองเบา ๆ โดยเว้นระยะห่างให้เยอะหน่อย แมลงวันก็คงเข็ดจนหนีหัวซุกหัวซุนแล้วล่ะ

2. พริกไทยป่นผสมน้ำตาลปีบ

           อีกหนึ่งอุปกรณ์ไล่แมลงวันที่มีอยู่ในครัว คือพริกไทยป่นและน้ำตาลปีบ โดยให้นำมาผสมกันให้เป็นเนื้อเหนียว ๆ แล้วนำไปป้ายลงบนกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าเพื่อวางล่อแมลงวัน จากนั้นเมื่อแมลงวันบินมาตอมพิษเผ็ดร้อนของพริกไทยก็จะทำให้แมลงวันสิ้นใจทันที

3. น้ำเชื่อมผสมพริกไทย

           วิธีที่ยากขึ้นมาอีกหน่อย คือการมองหาน้ำเชื่อมเข้มข้นที่มีความเหนียวหนืด นำมาผสมกับพริกไทย จากนั้นใส่ภาชนะแล้วนำไปตั้งไว้ในบริเวณที่แมลงวันชุม เมื่อแมลงวันบินเข้ามาตอมก็จะติดกับดักน้ำเชื่อมเหนียวหนืด และบินหนีไปไหนไม่ได้อีก

4. ยางพาราสดผสมน้ำมันพืช

           ทำกาวดักแมลงวันแบบง่าย ๆ ด้วยการใช้ยางพาราสดมาผสมเข้ากับน้ำมันพืช ให้มีความลื่นและเหนียว จากนั้นใส่ภาชนะหรือป้ายลงบนกระดาษ อาจจะวางเหยื่อล่อนิดหน่อย เช่น อาหารบูด เมื่อแมลงวันมาตอมก็จะติดกับดัก

5. น้ำส้มสายชูผสมน้ำ

           ใช้ประโยชน์จากน้ำส้มสายชูที่มีอยู่ในบ้านด้วยการนำมาผสมเข้ากับน้ำ โดยเน้นความเข้มข้นของน้ำส้มสายชูมากกว่า จากนั้นนำใส่กระบอกฉีดหรือชุบผ้า แล้วนำไปพ่นหรือทาบริเวณมุ้งลวด และจุดที่มีแมลงวันชุม กลิ่นฉุน ๆ ของน้ำส้มสายชูจะทำให้แมลงวันหลีกเลี่ยงและบินหนีไปที่อื่น


วิธีไล่แมลงวันสารพัดสูตร ให้หมดไปจากบ้าน


6. กระเทียมต้มน้ำเดือด

           ปอกกระเทียมแล้วนำไปใส่หม้อต้มน้ำให้เดือด จากนั้นกิ่งไม้เล็ก ๆ มาแช่ลงไปในน้ำกระเทียมที่ต้มเดือดแล้ว แช่ทิ้งไว้จนแน่ใจว่ากลิ่นจะติดกิ่งไม้ได้นาน ก็นำขึ้นไปปักไล่แมลงวันในจุดที่ชุกชุม กลิ่นฉุนของกระเทียมจะทำให้แมลงวันไม่อยากเข้าใกล้

7. รวมมิตรผักกลิ่นฉุน

           ระดมนำเอาผักสดกลิ่นฉุน เช่น ต้นหอม กระเทียม หอมแดง หอมใหญ่ หั่นให้กลิ่นออกแล้วนำไปวางไว้ตามหน้าต่าง หรือโซนที่คิดว่าแมลงวันชอบมาป้วนเปี้ยน กลิ่นฉุนตามธรรมชาติที่ถูกผนึกกำลังกันของผักสด จะทำให้แมลงวันเหม็นจนไม่อยากผ่านเลย

8. เผาเปลือกส้มตากแห้ง

           เปลือกส้มแห้งสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ไล่แมลงวันได้ เพียงแค่นำมาเผาให้เกิดควัน เพื่อให้แมลงวันบินหนีไป และนอกจากจะช่วยไล่แมลงวันได้แล้ว กลิ่นไม่พึงประสงค์ในบ้านยังถูกกำจัดออกไปได้ด้วย

9. ตะไคร้หอม

           เรามักจะคุ้นเคยกับสรรพคุณไล่ยุงของตะไคร้หอม แต่จริง ๆ แล้วตะไคร้หอมก็สามารถนำมาไล่แมลงวันได้ไม่ต่างกัน เพียงแค่จุดเตาดินเผาเหมือนที่ใช้ในสปา จากนั้นก็นำตะไคร้หอมใส่ลงไปเผาให้เกิดควัน กลิ่นหอมปนฉุนของตะไคร้หอม จะช่วยไล่แมลงวันและกำจัดยุงได้ในคราวเดียวกันเลย

10. น้ำหมักเหล้าขาว

           สูตรนี้เป็นสูตรจัดหนักที่จะใช้ปราบแมลงวันให้สิ้นซาก ด้วยการนำ เหล้าขาว 40 ดีกรี 1 ขวด, น้ำส้มสายชู 2 ขวด, กากน้ำตาล 1 ลิตร, น้ำเปล่า 6 ลิตร และ EM สูตรขยาย 1 ลิตร นำมาผสมให้เข้ากันแล้วหมักไว้ 21 วัน

           เมื่อถึงเวลาให้นำมาใช้ครั้งละ 15 ซีซี ผสมกับน้ำอีก 1 ลิตร หรือลองปรับให้น้อยลงในกรณีที่ใช้น้อย จากนั้นให้นำไปฉีดพ่นแหล่งกำเนิดแมลงวัน จะทำให้ไข่ฝ่อจนหมด นอกจากนี้น้ำหมักที่เหลือ ยังสามารถนำไปฉีดพ่นต้นไม้ในสวนให้งามไม่มีแมลงรบกวนได้อีกด้วย


           ได้รู้จักกับวิธีไล่แมลงวันพร้อมสูตรต่าง ๆ เหล่านี้ หวังว่าจะช่วยให้แมลงวันที่คอยกวนใจหมดไปจากบ้านของคุณสักทีนะคะ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #136 เมื่อ: ตุลาคม 05, 2014, 08:25:43 am »
สเปรย์ฉีดพ่นเพื่อกำจัดแมลงเป็นทางเลือกของผู้บริโภคหลายราย เนื่องจากสะดวกใช้งาน สามารถกำจัดแมลงต่าง ๆ ได้ ยาฆ่าแมลงประเภทสเปรย์ฉีดพ่นจะมีฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นพิษ
วันเสาร์ 4 ตุลาคม 2557 เวลา 00:00 น.



-http://www.dailynews.co.th/Content/economic/271218/%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87++-+%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84-



ปัจจุบันเราจะพบเห็นสินค้าหลากหลายชนิดที่มีการบรรจุในกระป๋องสเปรย์เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการใช้งานเพียงแค่กดหัวฉีดก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างง่ายดาย โดยกระป๋องสเปรย์ที่ใช้บรรจุสินค้านั้นจะมีการอัดก๊าซบางชนิดเข้าไปเพื่อเป็นแรงขับดันให้ผลิตภัณฑ์ถูกฉีดพ่นออกมา โดยเฉพาะสเปรย์ฉีดพ่นเพื่อกำจัดแมลงต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลาย

สเปรย์ฉีดพ่นเพื่อกำจัดแมลงเป็นทางเลือกของผู้บริโภคหลายราย เนื่องจากสะดวกใช้งาน สามารถกำจัดแมลงต่าง ๆ ได้ ยาฆ่าแมลงประเภทสเปรย์ฉีดพ่นจะมีฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นพิษ ถ้าหากสัมผัสแล้วซึมผ่านเข้าทางผิวหนัง ตัวยาจะยับยั้งเอนไซม์ cholinesterase ซึ่งส่งผล อย่างรวดเร็วต่อระบบประสาททำหน้าที่ฆ่าแมลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสารเคมีประเภทนี้จะสลายตัวภายใน 72 ชั่วโมง ปกติยาฆ่าแมลงในกลุ่มนี้ที่พบตามท้องตลาดคือ chlopyrifos, dichlovos หรือ DDVP พบในสเปรย์กำจัดยุงและแมลงสาบ สเปรย์กำจัดแมลงสาบ และสเปรย์กำจัดปลวก มด และมอด

ปัจจุบันผู้ผลิตได้มีการเติมสารต่าง ๆ เช่น กลิ่นผลไม้ กลิ่นดอกไม้ และกลิ่นหอมต่าง ๆ ผสมลงในสารเคมีกำจัดแมลง อาจทำให้เข้าใจว่า สเปรย์ฉีดพ่นกำจัดแมลงดังกล่าว ไม่เป็นอันตราย ซึ่งจริง ๆ แล้วยาฆ่าแมลงจะถูกสะสมไว้ในเซลล์ไขมัน เนื่องจากโมเลกุลของยาฆ่าแมลงนี้เป็นสารพิษร่างกายจะนำไขมันไปล้อมสารพิษไว้และเก็บไว้ในเซลล์ไขมัน เพื่อไม่ให้ออกมาทำอันตรายต่อร่างกายซึ่งระบบร่างกายที่ได้รับผลกระทบจากยาฆ่าแมลงเหล่านี้โดยตรง ได้แก่ ตับ ไต และระบบประสาท ผลจากการได้รับสารพิษจากยาฆ่าแมลงสะสมเป็นเวลานาน จึงเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว พันธุกรรมบกพร่อง เป็นหมัน ตับถูกทำลาย โรคผิดปกติของต่อมไทรอยด์ โรคเบาหวาน และโรคไต

ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์ยากำจัดแมลง ผู้บริโภคจะต้องอ่านฉลากให้ละเอียดก่อนการใช้งาน ควรสวมเครื่องป้องกันตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสทางผิวหนังที่สำคัญอย่าฉีดพ่นในห้องที่มีเด็ก ผู้ป่วย ผู้อยู่อาศัย และสัตว์เลี้ยง รวมทั้งในบริเวณที่มีอาหารและบริเวณที่มีเปลวไฟ ควรจัดเก็บในที่มิดชิดห่างไกลมือเด็กหลังจากมีการฉีดพ่นควรปิดห้อง ไว้สักระยะหนึ่ง เพื่อให้ละอองสารเคมีกำจัดแมลงที่กระจายในอากาศเจือจาง แล้วค่อยทำความสะอาดพื้นห้องควรอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกครั้งหลังจากการฉีดพ่น ส่วนภาชนะที่บรรจุผลิตภัณฑ์เมื่อใช้หมดแล้ว ให้นำไปฝังดินห้ามนำไปเผาเพราะอาจจะทำให้เกิดระเบิดได้.


http://www.dailynews.co.th/Content/economic/271218/%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87++-+%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #137 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2014, 10:02:13 am »
8 โรคที่มักแถมมาจากโรงพยาบาล
(ผู้หญิงถึงผู้หญิง)
-http://ch3.sanook.com/37195/8-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A2-

เรามีชีวิตอยู่ในโลกที่มีเชื้อโรคห้อมล้อมอยู่ตลอดเวลา ยิ่งโรงพยาบาลด้วยแล้ว ก็มีเชื้อโรคมากมาย แถมยังเป็นเชื้อก่อโรคด้วย  มีการพบเชื้อโรคบนเสื้อกาวน์ บนหูฟังของแพทย์ บนเตียงคนไข้ เวชระเบียน และในโรงพยาบาลชั้นยอดที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ในห้องคนไข้ก็พบเชื้อโรคมากบนคีย์บอร์ด คนไข้ที่เข้าพักในโรงพยาบาลเพียง 1 วัน จะมีเชื้อโรคของโรงพยาบาลติดตัวไปอยู่นาน 2 สัปดาห์ คนนอนโรงพยาบาลติดเชื้อมากกว่าคนอยู่บ้าน การเข้านอนในโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็นจึงไม่มีผลดี   และต่อจากนี้คือ โรคที่มักจะติดมาจากการไปโรงพยาบาล

1. ไข้หวัดใหญ่
คนป่วยด้วยโรคนี้กันมาตลอดทั้งปี แล้วที่ที่คนเป็นหวัด มักไปชุมนุมกันอย่างคึกคัก ก็คือ ห้องรอตรวจ หรือโอพีดี ของโรงพยาบาลนั่นเอง

2. ไข้หวัด เจ็บคอเสียงเป็ดเรียกพี่
คนไข้ที่ติดเชื้อนี้จะมีทั้งเจ็บคอและเสียงเปลี่ยน การได้รับเชื้อมาก็ง่ายแสนง่าย แค่นั่งอยู่ใกล้ ๆ คนป่วย โดยเฉพาะอยู่ในห้องแอร์ ที่แบ่งกันหายใจด้วยอากาศเก่า ๆ

3. ปอดติดเชื้อ
มีหลักฐานที่แน่นหนาว่ามากจากโรงพยาบาลโดยตรง ถึงขนาดมีชื่อเรียกสามัญประจำโรคว่า “ปอดติดเชื้อจากโรงพยาบาล” โดยคนป่วยเป็นโรคนี้มักเกิดจากไป “แอดมิท” หรือนอนค้างอ้างแรมที่โรงพยาบาล

4. มือเท้าปาก (Hand Foot Mouth disease)
สามารถติดได้จากการสัมผัสและการหายใจ สิ่งที่น่ากลัวของโรคที่ว่านี้ คือ เป็นเชื้อ ไวรัส ที่ไม่มียารักษา

5. สุกใส (อีสุกอีใส)
มันติดได้ทางอากาศและการสัมผัสขอเพียงแค่มีสะเก็ดของสุกใสขนาดจิ๋ว ที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ ก็สามารถที่จะพาเชื้อไวรัส ติดปีก ไปติดได้ไกลแล้วผ่านระบบท่อแอร์ของโรงพยาบาล

6. เชื้อสวาปามเนื้อ (Flesh-eating bacteria)
ชื่อจริงของมันก็คือ เชื้อดื้อยา “เอ็มอาร์เอสเอ (MRSA)” เป็นเชื้อดื้อยาที่มีสิทธิ์มาติดคนไข้ที่มานอนรักษาตัวในโรงพยาบาลได้ อาการของมัน คือ จะมีไข้สูงอุกอาจมาก อาจจะมีจุดที่ผิวหนังให้เห็นได้ โดยมีรอยแดงกว้างแล้วจากนั้นไม่นานเชื้อก็จะลามลึกไปในผิวหนังจนทำให้เกิดเนื้อตายเป็นวงใหญ่

7. โรคที่เกิดกับลำไส้
โรคนี้คือ “ท้องเสียจากการให้ยาปฏิชีวนะมากเกินไป” โดยเชื้อโรคนี้จะล่องลอยอยู่ในโรงพยาบาล แล้วเมื่อคนไข้ที่นอนรักษาตัวอยู่บริโภคเข้าไปโดยไม่รู้ตัวผ่านทางอาหาร (เพราะเล็กมากมองไม่เห็น) ก็จะทำให้เกิดลำไส้ติดเชื้อ

8. เยื่อหุ้มสมองติดเชื้อลุกลามในเลือด (Meningococcal disease)
ทำให้เด็กที่ติดเชื้อนั้นเสียชีวิตแทบทั้งหมด ส่วนรายที่รอดได้ก็จะต้องตัดแขนตัดขาส่วนที่ติดเชื้ออกไปเพื่อช่วยชีวิต โรคนี้ไม่พบบ่อยแต่ว่าน่ากลัวมาก เพราะว่าทำให้ตายแทบทุกราย


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #138 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2014, 06:10:48 pm »
กรมอนามัยเตือน กินเนื้อสัตว์ร้านปิ้งย่าง ระวังเป็นไข้หูดับ

-http://ch3.sanook.com/37915/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD-

-http://www.krobkruakao.com/-



Family News Today  กินเนื้อสัตว์ร้านปิ้งย่าง ระวังเป็นไข้หูดับ (นาทีที่ 00.12)

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนกินอาหารประเภทปิ้ง ย่าง หรืออาหารประเภทรมควันในช่วงหน้าหนาว เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง และโรคหูดับ

กรมอนามัย เปิดเผยถึงการกินอาหารประเภทปิ้ง ย่างเพื่อคลายหนาวเสี่ยงโรคมะเร็ง ว่า ในขณะนี้หลายๆ พื้นที่ในประเทศไทยเริ่มหนาวเย็นลง ซึ่งนอกจากการใส่เสื้อผ้าที่หนาเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายแล้ว ในส่วนของการกินอาหารก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เพราะในช่วงนี้ประชาชนส่วนใหญ่มักเลือกอาหารประเภทปิ้งย่างเป็นเมนูสำหรับคลายหนาว

ทั้งนี้กรมอนามัย เตือนประชาชนให้งดรับประทานเนื้อหมูที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ เช่น หมูกระทะที่ปิ้งย่างไม่สุก จิ้มจุ่มที่ต้มไม่สุก ลาบ หลู้ หมูดิบ เนื่องจากในช่วงนี้ฟาร์มหรือโรงเลี้ยงสัตว์มีความอับชื้น ส่งผลให้สัตว์เลี้ยงมีโอกาสป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะหมูซึ่งเป็นพาหะนำเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) เป็นสาเหตุของโรคไข้หูดับ ที่มักติดมาสู่คนได้และมีอันตรายถึงชีวิต

ทั้งนี้ จากข้อมูลสำนักระบาดวิทยากรมควบคุมโรค  ระบุว่า  ผู้ป่วยโรคไข้หูดับส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงานที่มักดื่มสุราร่วมกับการรับประทานเนื้อหมูที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ โดยเชื้อแบคทีเรียจจะอยู่ในทางเดินหายใจ และกระแสเลือดของหมูที่กำลังป่วย ติดต่อสู่คนทางบาดแผล รอยขีดข่วนตามร่างกาย ทางเยื่อบุตา และจากการรับประทาน หลังจากนั้นเชื้อจะเข้าไปทำให้เยื่อหุ้มสมอง เยื่อบุหัวใจอักเสบประสาทหูอักเสบและเสื่อมจนหูหนวก

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #139 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2014, 10:02:42 pm »
“มะเร็ง” หายขาดได้ ถ้ารักษาเร็ว

-http://club.sanook.com/64771/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87-%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81/-


“มะเร็ง” หายขาดได้ ถ้ารักษาเร็ว

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระดมแพทย์ทั่วประเทศ พัฒนาศักยภาพรักษาผู้ป่วยมะเร็ง พร้อมระบุมะเร็งหลายชนิด  อาทิ มะเร็งเต้านม  มะเร็งลูกอัณฑะ  มะเร็งรังไข่ชนิดเนื้อเยื่อบุผิว หากตรวจพบในระยะเริ่มแรกสามารถรักษาหายได้


นายแพทย์ภาสกรชัยวานิชศิริ    รองอธิบดีกรมการแพทย์  เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการโรคมะเร็งแห่งชาติ ครั้งที่ 12 ว่า  โรคมะเร็งเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของทุกประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย จากรายงานของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ปี พ.ศ. 2554 พบว่า ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิต  จากโรคมะเร็ง ปีละประมาณ 60,000 รายหรือเฉลี่ย 7   รายต่อชั่วโมง และยังคงพบอัตราการเกิดโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมะเร็งที่พบมากที่สุด 3 อันดับแรกในเพศชาย คือ มะเร็งตับและทางเดินน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ส่วน  3  อันดับแรกในเพศหญิง คือ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก  มะเร็งตับและทางเดินน้ำดี  ซึ่งการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องใช้ระยะเวลาต่อเนื่อง และเสียค่าใช้จ่ายสูง  จึงส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวม และเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาประเทศ ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาโรคมะเร็ง  รวมทั้งเพื่อให้ผลลัพธ์จากความก้าวหน้าทางวิชาการ  มีความเชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์การควบคุมโรคมะเร็งระดับชาติ   ซึ่งจะนำไปสู่การดำเนินงานของแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข  คือ การลดอัตราการเกิด และการตายจากโรคมะเร็ง ทำให้ประชาชนชาวไทยห่างไกลจากโรคมะเร็ง ยกระดับการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งนับว่าเป็นการพัฒนาประเทศอีกทางหนึ่ง ดังนั้น สถาบันมะเร็งแห่งชาติ   จึงร่วมกับโรงพยาบาลมะเร็งภูมิภาค 7 แห่ง ของกรมการแพทย์ จัดประชุมวิชาการโรคมะเร็งแห่งชาติในหัวข้อ “National Strategies to Nationwide Cancer Care” โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล นักวิชาการ นักวิจัย บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง ในหลากหลายสาขา จำนวน 800 คน จากทั่วประเทศ   มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง ได้ทราบถึงความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี และวิทยาการต่าง ๆ ในการป้องกัน ควบคุม และรักษาโรคมะเร็ง  รวมถึงแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประสบการณ์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการนำไปพัฒนาการป้องกัน ควบคุม และรักษาโรคมะเร็งให้มีประสิทธิภาพและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น

นายแพทย์วีรวุฒิ  อิ่มสำราญ  ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ  กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นกลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติที่ DNA หรือสารพันธุกรรม ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต มีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ มากกว่าปกติ ให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติลุกลามไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง หลอดเลือดและหลอดน้ำเหลืองและในที่สุดก็จะทำให้เกิดการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ส่งผลให้การทำงานของอวัยวะเหล่านั้นผิดปกติโดยมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ที่สำคัญ 3 ประการ คือ หนึ่ง ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย เช่น สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหาร อากาศ เครื่องดื่ม  ยารักษาโรค  รวมทั้งการได้รับรังสี เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย และพยาธิบางชนิด สอง ปัจจัยจากพฤติกรรม  เช่น การสูบบุหรี่  ดื่มสุราเป็นประจำ การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงหรือเค็มจัด อาหารที่มีส่วนผสมดินประสิวและไหม้เกรียมเป็นประจำและสุดท้ายปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น ความผิดปกติของยีน  และความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน

ในปัจจุบันแพทย์สามารถรักษามะเร็งหลายชนิดให้หายได้ และทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีอัตรารอดชีวิตที่ยาวนานมากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง ระยะของมะเร็งที่พบ  เพราะมะเร็งระยะเริ่มแรกย่อมมีการตอบสนองต่อการรักษาหรือมีโอกาสหายขาดมากกว่าระยะลุกลาม หรือระยะสุดท้าย  ดังนั้น  การตรวจค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรกจึงมีความสำคัญ

สำหรับการป้องกันโรคมะเร็ง มีหลักการง่าย ๆ คือ  ออกกำลังกายประจำ ทำจิตแจ่มใส กินผักผลไม้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของมื้ออาหาร  กินอาหารให้หลากหลาย ไม่ซ้ำซาก จำเจ และใหม่สด สะอาด ปราศจากเชื้อรา ไม่กินอาหารที่มีไขมันสูง  อาหารปิ้งย่างหรือทอดไหม้เกรียม  อาหารหมักดองเค็ม และปลาน้ำจืดที่มีเกล็ดดิบ ๆ รวมทั้งไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา  ไม่มีเซ็กซ์มั่วหรือไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย  ไม่อยู่กลางแดดนานๆ  และที่สำคัญคือตรวจร่างกายเพื่อค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรก เป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง

 

ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมการแพทย์
ภาพประกอบจาก istockphoto.com

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)