ผู้เขียน หัวข้อ: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ  (อ่าน 47505 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #90 เมื่อ: เมษายน 23, 2014, 10:15:29 pm »
สัปดาห์นี้ร้อนสุดๆ “คนอ้วน-เด็ก-แก่” ระวัง “โรคลมแดด” อาจถึงตาย!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 เมษายน 2557 15:55 น.


-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000045199-

  สธ. เตือนสัปดาห์นี้ร้อนสุดๆ ระวังโรคลมแดด ชี้อันตรายร่างกายปรับอุณหภูมิไม่ทันอาจถึงตาย เผยหน้าร้อนปีที่แล้วตายถึง 20 ราย แนะ 6 กลุ่มเสี่ยงป้องกันตัว โดยเฉพาะคนสูงอายุ เด็ก ความดัน อ้วน อดนอน ทำงานกลางแดด และกินเหล้า ให้ดื่มน้ำมากๆ เลี่ยงแดด ใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ระบายความร้อนดี

สัปดาห์นี้ร้อนสุดๆ “คนอ้วน-เด็ก-แก่” ระวัง “โรคลมแดด” อาจถึงตาย!!
   
       นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ช่วงสัปดาห์นี้ กรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่าเป็นช่วงที่มีอากาศร้อนที่สุด ที่น่าห่วงและมีอันตรายคือ โรคลมแดด หรือ ฮีตสโตรก (Heat stroke) ซึ่งเป็นภาวะวิกฤตที่ร่างกายไม่สามารถปรับความร้อนในร่างกายได้ อุณหภูมิร่างกายจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิน 40 องศาเซลเซียส ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หน้ามืด เพ้อ ชัก ไม่รู้สึกตัว หายใจเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ ช็อก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้ กลุ่มเสี่ยงมี 6 กลุ่ม ได้แก่ 1. ผู้ที่ทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแดด 2. เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบและผู้สูงอายุ 3. ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง 4. คนอ้วน 5. ผู้ที่อดนอน และ 6. ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
       
       “ร่างกายของคนอ้วนและผู้ที่อดนอน จะตอบสนองต่อความร้อนที่ได้รับช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะคนอ้วนจะมีไขมันใต้ผิวหนังมาก กลายเป็นฉนวนกันความร้อน ทำให้ร่างกายระบายความร้อนออกได้น้อยกว่าคนทั่วไป ส่วนคนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัว ร่างกายจึงสูญเสียน้ำและเกลือแร่สูงกว่าคนไม่ได้ดื่ม ที่สำคัญอากาศที่ร้อนจัดทำให้แอลกอฮอล์ถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้รวดเร็ว กระตุ้นหัวใจให้สูบฉีดเลือดเร็วและแรงขึ้น เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย แต่เลือดไปเลี้ยงที่ตับ ไตน้อยลง ทำให้ไตวาย ร่างกายอาจปรับสภาพไม่ทัน เกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้” ปลัด สธ. กล่าว
       
       ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า ปัญหาจากอากาศร้อนมีผลกระทบต่อสุขภาพ 4 ระดับ ได้แก่ 1. ผิวหนังไหม้ (Sun burn) 2. ตะคริวจากความร้อน (Heat cramp) เนื่องจากสูญเสียน้ำและเกลือแร่ไปกับเหงื่อมาก 3. เพลียแดด (Heat exhaustion) จากร่างกายสูญเสียเหงื่อมาก ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อลดลง มีอาการหน้าซีด ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน หน้ามืด ตาลาย และ 4. ลมแดด (Heat Stroke) ทั้งนี้ สำนักระบาดวิทยา รายงานปี 2546-2556 มีผู้เสียชีวิตจากโรคลมแดดรวม 196 ราย เป็นผู้สูงอายุมากที่สุด รองลงมาคือผู้มีอาชีพรับจ้าง มีโรคประจำตัว และดื่มสุรา โดยปี 2556 มีผู้เสียชีวิต มี.ค. - เม.ย. จำนวน 20 ราย ส่วนใหญ่เป็นเพศชายและอายุมากกว่า 60 ปี เสียชีวิตในบ้านมากที่สุด รองลงมาคือ ที่ทำงาน และในรถยนต์
       
       นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า การช่วยเหลือผู้เป็นลมแดด ให้นอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด คลายชุดชั้นในและถอดเสื้อผ้าออกให้เหลือน้อยชิ้น ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามซอกคอ ตัว รักแร้ ขาหนีบ หน้าผาก ร่วมกับการใช้พัดลมช่วยเป่าระบายความร้อน หรือเทน้ำเย็นราดตัว เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายให้ต่ำลง และรีบส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ในรายที่อาการยังไม่มากควรให้ดื่มน้ำเปล่ามากๆ ส่วนการป้องกันนั้น ช่วงที่อากาศร้อนขอให้ใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ไม่หนา ระบายความร้อนได้ดี ลดกิจกรรมออกแรงกลางแจ้ง ดื่มน้ำสะอาดบ่อยๆ เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอย่าทิ้งเด็ก ผู้สูงอายุ หรือสัตว์เลี้ยงไว้ในรถที่จอดกลางแจ้ง ผู้ที่ออกกำลังกายควรทำในช่วงเช้าหรือช่วงเย็น ซึ่งอากาศไม่ร้อนมาก และค่อยเป็นค่อยไป ส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัวหากมีอาการผิดปกติ เช่น วิงเวียนปวดศีรษะ ใจสั่น ขอให้พบแพทย์



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #91 เมื่อ: เมษายน 26, 2014, 07:54:54 am »
อากาศร้อน...กลิ่นตัวแรง..กำจัดอย่างไรดี


-http://guru.sanook.com/27011/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99...%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87..%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B5/-



วันนี้พี่เอมี่เจอเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาปรึกษาปัญหากลิ่นตัว..เพราะอากาศร้อนมาก อาบน้ำไม่นานเหงื่อก็ออกอีกแล้ว เพื่อนพี่บอกว่าขนาดใช้โรลออนที่โฆษณาว่าได้ผลนักหนายังไม่ช่วยอะไรเลย ทำอย่างไรดี

โดยปกติแล้วทุกคนจะมีกลิ่นกายเฉพาะตัว ซึ่งเป็นกลิ่นธรรมชาติ เช่นเดียวกับเด็กที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนดม ต่างจาก กลิ่นตัว (Body Odor) ซึ่งเกิดจากการที่ต่อมของร่างกาย ขับเหงื่อและไขมันออกมาทางผิวหนัง ทำให้เกิดความชื้น ส่งผลให้เกิดการเปื่อยยุ่ย และลอกออกของผิวหนัง จากนั้นแบคทีเรียและเชื้อราก็จะกินเซลล์ที่ตายแล้ว และขับกรดออกมาทำให้เกิดกลิ่นเหม็น
บริเวณที่มักขับเหงื่อออกมามากที่สุด คือ ที่อับชื้น ได้แก่ รักแร้ ซอกขา ซอกนิ้วเท้า ข้อพับต่างๆ และอวัยวะเพศ แต่ด้วยเป็นจุดอับ เวลาเหงื่อออกจึงระเหยออกไปได้ยาก ทำให้เกิดการหมักหมมเป็นกลิ่นเหม็น กลิ่นตัวของคนจะแรงขึ้น เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ
นอกจากนี้ อาหารบางชนิด เช่น ไขมันจากสัตว์ เนื้อสัตว์ สะตอ กระเทียม หอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ตลอดจนยาบางชนิด ก็อาจเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นตัวได้เช่นกัน เช่น การใช้ยารักษาสิวทั่วไปที่มีสารเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) ผสมอยู่เป็นประจำ รวมถึงโรคประจำตัวอื่นๆ ทั้งท้องผูก ตับอักเสบ ไต เบาหวาน พยาธิในระบบทางเดินอาหาร และมะเร็ง ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัวเช่นกัน

แล้วทำอย่างไรจะช่วยกำจัดหรือลดปัญหากลิ่นตัวได้บ้าง

1. รักษาความสะอาด อาบน้ำให้สะอาด สวมเสื้อผ้าที่สะอาด โดยเลือกเนื้อผ้าที่ใช้เส้นใยจากธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้ายที่ระบายเหงื่อได้ดี ในกรณีที่กลิ่นยังติดอยู่บนเสื้อผ้า ซักด้วยผงซักฟอกแล้วยังไม่ออก ให้ลองแช่ผ้าในน้ำเกลืออุ่นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง โดยใช้เกลือ 3 ช้อนโต๊ะต่อน้ำประมาณ 1 ลิตร
2. ผ่อนคลายความเครียด บางครั้งความเครียดก็มีส่วนทำให้เกิดกลิ่นตัวได้เหมือนกัน เพราะร่างกายจะหลั่งสารอดรีนาลีนออกมา
3. ทำดีท็อกซ์ การสะสมสารพิษในร่างกาย ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัวได้เหมือนกัน ปัญหานี้ช่วยได้ด้วยการทำดีท็อกซ์
4. ไม่ควรขัดผิวบ่อยๆเพราะจะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์กับร่างกายถูกทำลาย ทำให้เกิดกลิ่นตัวง่าย ดังนั้นขัดผิว 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอ
นอกจากนี้ การรับประทานอาหารบางประเภทก็ส่งผลต่อปัญหากลิ่นตัวของเราได้ ดังนั้น มีวิธีลดกลิ่นตัวด้วยอาหาร ดังนี้

1. กินอาหารหลากหลาย กินโปรตีนจำพวกธัญพืชต่างๆ ผักสดทั้งใบเขียวและใบเหลือง ผลไม้สดโดยเฉพาะแก้วมังกรวันละ 1 จานเล็ก จะช่วยได้ดี หรือน้ำคั้นสดจากผักและผลไม้ รวมทั้งกินอาหารที่มีธาตุสังกะสี หรือแมกนีเซียม เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท และอาหารทะเล 2. เลี่ยงการกินอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กุยช่าย ขิงสด สะตอ หัวหอม กระเทียม และเครื่องเทศต่างๆ รวมถึงเลี่ยงการสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
3. เลี่ยงอาหารก่อพิษ จำพวกเนื้อสัตว์ใหญ่ ทั้งหมู เนื้อ ไก่ ไข่ ตับ รวมทั้งช็อกโกแลต ลูกเกด ถั่วลิสง เพราะจะทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ขับไขมันออกมามาก โดยเฉพาะใต้วงแขน และที่สำคัญจะก่อให้เกิดสารตกค้างในลำไส้  ทำให้เหงื่อมีกลิ่นเฉพาะตัว แต่หากเกิดปัญหากลิ่นตัวแล้ว จะระงับได้อย่างไร พี่เอมี่มีวิธีด้วยสมุนไพรตามแบบธรรมชาติมาแนะนำค่ะ

1. ใบพลู นำใบพลูมาขยี้แล้วทารักแร้หลังอาบน้ำ เพราะใบพลูมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้หลายชนิด 2. ใบฝรั่ง นอกจากจะช่วยระงับกลิ่นปากได้แล้ว ใบฝรั่งยังช่วยระงับกลิ่นตัวได้เช่นกัน โดยนำใบฝรั่งประมาณ 10 ใบ มาโขลกให้ละเอียดแล้วทารักแร้ ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วอาบน้ำให้สะอาด 3. มะนาว ใช้มะนาวผ่าซีกทาบริเวณรักแร้ขณะอาบน้ำ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด 4. มะขามเปียก คั้นน้ำมะขามเปียกปริมาณพอเหมาะ จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้น้ำมะขามแทนสบู่ตอนอาบน้ำ มะขามเปียกจะช่วยกำจัดเซลล์ที่ตายแล้วไม่ให้เกิดการหมักหมม

ถ้าสมุนไพรยากไป มีอีกหลายวิธีที่นิยมค่ะ

1. สารส้ม ใช้สารส้มถูทาที่รักแร้หลังจากอาบน้ำทุกครั้ง โดยทาขณะที่รักแร้ยังเปียกอยู่ 2. สารส้มและพิมเสน นำสารส้มสะตุผสมพิมเสนอย่างละเท่าๆ กัน บดให้ละเอียด แล้วผสมแป้งฝุ่นหรือดินสอพอง หยดน้ำลงไปนิดหน่อย ทาที่รักแร้ปล่อยให้แห้ง 3. ปูนแดง ใช้ปูนแดงผสมน้ำทารักแร้หลังอาบน้ำ เพื่อใช้ความเป็นด่างของปูนแดง ช่วยปรับภาวะกรดในร่างกายที่ขับแบคทีเรียออกมาบนผิวหนัง (อย่าใช้ปูนแดงปริมาณมากเกินไป เพราะจะทำให้กัดผิวได้) 4. สารสกัดจากสะระแหน่ หยดน้ำมันที่สกัดจากสะระแหน่ 2-3 หยด ใส่ลงในอ่างอาบน้ำ เพราะสะระแหน่มีคุณสมบัติเป็นยาดับกลิ่นตามธรรมชาติอยู่แล้ว

และสุดท้าย เพื่อสาวทำงานแบบพี่เอมี่โดยเฉพาะ

วิธีกำจัดกลิ่นตัวอย่างง่ายในออฟฟิศ

ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำสะอาด หยดโคโลญเล็กน้อย หรือจะใช้น้ำมันหอมกลิ่นที่ชอบก็ได้ เช็ดใต้วงแขน หรือแผ่นหลัง สัก 1-2 รอบ จะรู้สึกสบายตัว เหมือนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เป็นวิธีขจัดเหงื่ออย่างได้ผล และไม่เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ตามมาอีกด้วย  ก่อนจากไป ขอสารภาพว่ายังไม่เคยทดลองใช้วิธีไหนเลยค่ะ เพื่อนๆ คนไหนทดลองแบบใดได้ผลไม่ได้ผลอย่างไรบอกข่าวกันบ้างก็ดีนะคะ...Happy Summer ค่ะ

ที่มา : sizterss.blogspot.com


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #92 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2014, 07:54:21 am »
10 วิธีลดเครียดเพียง 5 นาที!
ASTVผู้จัดการออนไลน์
   30 เมษายน 2557 07:38 น.
-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000046788-


By Lady Manager
       
       ความเครียด ไม่ควรเก็บไว้นาน ควรเอามันออกจากหัว และหัดปล่อยวางบ้าง เพราะสังคมทุกวันนี้อาจจะต้องแข่งขันกันสุดๆ
       
       เรามีวิธีลดเครียดด้วยวิธีแสนง่าย และรวดเร็วมาฝากกันค่ะ ปิ๊ง!! เพียงแค่ 5 นาที หายเครียดเป็นปลิดทิ้ง
       
       1. จิบชาเขียว


       ชาเขียวเป็นแหล่งที่มาของ L-Theanine สารเคมีที่ช่วยให้บรรเทาความโกรธ ต้มน้ำที่เทออกและใช้จิบผ่อนคลายเป็นประจำทุกวันช่วยคุณให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบนิ่ง แม้จะอยู่ในสิ่งรายล้อมอันแสนจะวุ่นวาย แถมยังทำให้สุขภาพดีด้วยนะ
       
       2. เคี้ยวหมากฝรั่ง


       รสมิ้นต์, ผลไม้  ของหมากฝรั่งนุ่มๆ เหนียวๆ หวานๆ เย็นๆ เคี้ยวปุ้บจะทำให้คุณหายเครียดทันทีทันใด เป็นวิธีลดเครียดที่ง่ายและรวดเร็วที่จะเอาชนะความเครียด
       
       เพียงไม่กี่นาทีของการเคี้ยวหมากฝรั่งสามารถลดความวิตกกังวลและลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) หรือที่เรียกว่า ฮอร์โมนแห่งความเครียดจะถูกหลั่งออกมาเมื่อร่างกายเกิดความเครียด หรือนอนไม่เพียงพอ
       
       แม้แต่การกินขนมขบเคี้ยวช่วยลดความเครียดได้ เช่น ถั่ว เมล็ดพืช และช็อคโกแลตชิป กินสักหนึ่งกำมือคุณก็พอจ้ะ มิเช่นนั้นน้ำหนักอาจจะพุ่งพรวดได้ เครียดหนักกว่าเดิม
       
       3. ใช้ความคิดสร้างสรรค์
       
       การสร้างภาพในจิตนาการ หรือความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เราได้รับความสุขแห่งจินตนาการ มันจะเพิ่มอารมณ์สุขขึ้นมาทันทีในวันที่เรารู้สึกเครียด และตื่นเต้นโดยไม่รู้ตัว
       
       4. วางหัวลงบนหมอน


       การนอนหลับ 8 ชั่วโมงต่อวันเป็นสิ่งที่ดี แต่หากคุณอยู่ในออฟฟิศและมีความเครียดสะสมในช่วงเช้า พอถึงช่วงเที่ยงหรือบ่าย หากคุณมีเวลางีบสัก 10-15 นาที จะสามารภทำให้สมอง จิตใจ ร่างกาย ได้รับการพักผ่อนและชาร์ทพลัง
       
       ดังนั้นการมีหมอนนุ่มๆ เล็กไว้ในโต๊ะทำงานก็เป็นสิ่งที่เยี่ยมมาก เพียงวางหัวของคุณลงบนหมอนนุ่มๆ หรือเบาะนุ่มๆ เพียงไม่กี่นาทีจะทำให้คุณคลายกังวล ตื่นมาด้วยจิตที่เบิกบานได้ ลองดูสิ
       
       5. หายใจเข้า-ออกช้าๆ ลึกๆ
       
       ค่อยๆ หายใจเข้าและหายใจลึกๆ กำหนดลมหายใจเหมือนการนั่งสมาธิ เพียงแค่นี้ก็ช่วยลดความเครียดได้ ซึ่งบางทีเรามักลืมทำ แต่เป็นวิธีคลายเครียดที่เลิศมาก
       
       การหายใจช้าๆ ลึกๆ สามารถช่วยลดความดันโลหิตและอัตราการเต้นหัวใจได้ บรรเทาความวิตกกังวล รักษาสมดุลของจิตและกาย
       
       6. นวดมือด้วยตัวเอง


       ระหว่างทำงาน มือวางบนคีย์บอร์ด ตาจ้องหน้าคอมพ์ แน่นอนทั้งร่างกายล้าโดยไม่รู้ตัวเพราะคร่ำเคร่งกับงานหยุดจากจอคอมพ์สักครู่
       
       จากนั้นหันมาคว้าโลชั่น โดยบีบบนฝ่ามือ และใช้มือนวดฐานของกล้ามเนื้อใต้นิ้วหัวแม่มือเพื่อบรรเทาความเครียด ไหล่ คอ
       
       นอกจากนี้ การได้ยืดแข้งยืดขา สามารถคลายกล้ามเนื้อได้เช่นกัน
       
       7. หลับตาลง


       ไม่ต้องหลับลึกนะคะ เพียงแค่หลับตาจากความวุ่นวาย พักสายตา และสมองด้วยวิธีที่รวดเร็วและง่าย แค่ลดเปลือกตาจะทำให้จิตสงบลดเครียดได้ดีจริงๆ
       
       8. หยดน้ำเย็นบนข้อมือของคุณ
       
       บริเวณข้อมือจะมีหลอดเลือดแดงใหญ่อยู่ ภายใต้ผิวจะมีการระบายความร้อนเพื่อให้พื้นที่เหล่านี้สามารถช่วยให้สงบทั้งร่างกาย
       
       แนะนำว่า หากอยากลดความเครียดถูกต้องควรหยดน้ำเย็นให้โดนเส้นเลือดแดงจะทำให้ลดอุณหภูมิความร้อนได้ จิตใจสงบขึ้น
       
       9. หวีผม


       การหวีผมบ่อยๆ หรือการเคลื่อนไหวบริเวณหนังศีรษะซ้ำๆ ด้วยการแปรงผมจะทำให้ผ่อนคลายได้ เหมือนได้นวดศีรษะ
       
       แปรงที่ผ่านหนังศีรษะซ้ำๆทั่วหัวจะทำให้คุณผ่อนคลาย บางคนถึงขนาดอยากนอนเลยก็มี นั่นหมายความว่า อาจแปรงผมจะช่วยให้คุณอยากพักผ่อน และลดเครียดได้
       
       10. อยู่คนเดียว


       การหลีกหนีจากผู้คน หรือสังคมอันวุ่นวาย ไม่จำเป็นต้องอยู่คนเดียวนานมาก เพียงแค่ 10-30 นาที หลีกหนีออกมาจากเพื่อนฝูงเจ้านายสักพัก
       
       เพราะการได้อยู่คนเดียวจะทำให้คุณอยู่กับจิตใจตัวเองจริงๆ สามารถช่วยทำให้มีสมาธิ และล้างความเครียดจากคนอื่นได้อย่างดี
       
       เรียบเรียงจากวูเมนเฮลธ์

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #93 เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2014, 07:56:48 pm »
บำบัดการปวดหลัง 2555 sripai.com

บำบัดการปวดหลัง 2555 sripai.com

http://www.youtube.com/watch?v=ECtcKE3Lr6Q&feature=youtu.be

-http://www.youtube.com/watch?v=ECtcKE3Lr6Q&feature=youtu.be-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #94 เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2014, 07:12:43 pm »
"ดร.เทอรี่ กรอสแมน" แนะวิธีบริหารสมองไม่เสื่อม

-http://campus.sanook.com/1371206/%E0%B8%94%E0%B8%A3.%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1/-


"หากคุณอยากบริหารสมองและฝึกความจำละก็ ลุกขึ้นมาเต้นรำกันเถอะ"

ข้อความข้างต้นเป็นหนึ่งในคำแนะนำจาก "ดร.เทอรี่ กรอสแมน" ผู้อำนวยการด้านการแพทย์นานาชาติ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล

ดร.เทอรี่ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การเต้นรำไม่ว่าจะจังหวะอะไร สไตล์ไหน ทั้งวอลซ์ แทงโก้ รุมบ้า หรือซัลซ่า เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการออกกำลังกายสมองและเพิ่มความสามารถของสมอง เพราะต้องทำความเข้าใจกับท่าใหม่ ฟังเพลง ตัดสินใจ ตลอดจนจดจ่อกับจังหวะและท่าเต้น

นอกจากการเต้นรำแล้ว ดร.เทอรี่แนะนำเพิ่มเติมว่า การเรียนภาษาใหม่เพิ่มก็เป็นวิธีที่ดีอีก วิธีหนึ่งในการออกกำลังกายสมองเหมือนกัน โดยการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากการทำงานหรือแม้แต่งานอดิเรก เช่น อ่านหนังสือ เล่นกีฬา ออกกำลังกาย เล่นเกมปริศนาอักษรไขว้ เล่นวิดีโอเกม เล่นดนตรี เป็นต้น

การลดความเครียดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการรักษาความจำ ซึ่ง ดร.เทอรี่มองว่า คนส่วนใหญ่สูญเสียความทรงจำ เพราะความเครียดมากกว่าโรคภัยหรือการเจ็บป่วยเสียอีก

"ความเครียดเป็นตัวทำลายความจำอันดับหนึ่ง สิ่งสำคัญที่ต้องสังเกต คือมีทั้งความเครียดที่ดีและไม่ดี ทุกคนควรรักษาความสมดุลของความเครียดทั้งสองส่วน"

กิจกรรมเพื่อลดความเครียดแบบง่าย ๆ ได้แก่ การเล่นโยคะ การนวด การออกกำลังกาย การรำไท้เก๊ก ฟังเพลง และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการนอนหลับสนิทในตอนกลางคืน เมื่อคนเราอ่อนล้าหรือเหนื่อยมาก ๆ ร่างกายจะเกิดความเครียดและความดันเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น

การออกกำลังกายสมองตลอดช่วงชีวิตจะช่วยป้องกันการสูญเสียความจำ โรคอัลไซเมอร์ และโรคสมองเสื่อมชนิดต่าง ๆ ในเวลาต่อมาได้

ดร.เทอรี่กล่าวว่า การฟังเพลงเบา ๆ อาบน้ำอุ่น ๆ เป็นวิธีเตรียมตัวสำหรับการนอนหลับที่ดี สิ่งที่ไม่แนะนำอย่างยิ่งก่อน

เข้านอน คือการมองที่หน้าจอสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ เนื่องจากแสงสีฟ้าที่เปล่งออกมาจากอุปกรณ์เหล่านี้จะรบกวนการนอนหลับ เพราะมนุษย์ไม่คุ้นเคยกับแสงสีนี้ในเวลากลางคืน

สิ่งที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของสุขภาพสมองได้ คืออาหารที่มีคุณค่าและสมดุลทางโภชนาการ กล่าวคือ ควรรับประทานอาหารจำพวกปลา ผักและผลไม้สด หรือการดื่มไวน์ 1 แก้วต่อวัน ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากธรรมชาติอย่างแปะก๊วยหรือวิโนซีติน ก็สามารถช่วยบำรุงสมองได้เช่นกัน

ควรหลีกเลี่ยงผลไม้รสหวานจัดและอาหารทอด เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ หรือที่เรียกว่า "โรคเบาหวานของสมอง"

"ในอนาคต การใช้สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และแท็บเลตที่แพร่หลาย จะเปลี่ยนวิธีการใช้สมองของเรา เทคโนโลยีจะมีอิทธิพลต่อวิธีการใช้สมองของเรา และอาจช่วยให้เราสามารถประมวลผลข้อมูลได้มากขึ้น การวิจัยและพัฒนาสมองอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต จะทำให้การรักษาสมองจากโรคภัยและความเจ็บป่วยเปลี่ยนแปลงไป"

เพื่อเป็นการระแวดระวังไม่ให้โรคนี้เกิดขึ้นกับคนรอบข้างในระยะที่เกินเยียวยา ดร.เทอรี่แนะนำว่า หมั่นสังเกต

เห็นคนที่คุณรัก ไม่ว่าจะเป็นญาติ คู่รัก หรือเพื่อน หากไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวัน อย่างการขับรถ แต่งตัว ทำอาหาร หรือกิจวัตรประจำวันอื่น ๆ ได้ ควรทำแบบประเมินกิจวัตรประจำวัน เพื่อดูว่าต้องรับการรักษาหรือไม่


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #95 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2014, 10:27:12 am »
“ความดันโลหิตสูง” ภัยเงียบ..เสียชีวิตก่อนวัยอันควร

ไม่ได้จั่วหัวเรื่อง “ความดันโลหิตสูง” ให้ดูน่ากลัว แต่ถ้าทุกๆคนได้อ่านบทความนี้จากกรมการแพทย์แล้ว จะต้องทำให้ทุกคนหยุดคิด แล้วก็ต้องหันมาดูแลตัวเองกันมากๆแล้วล่ะค่ะ

 

ความดันโลหิตสูง

 

อธิบดีกรมการแพทย์ชี้ 1 ใน 3 คน มีภาวะความดันโลหิตสูง ระบุภัยร้ายความดันโลหิตสูงเป็น 1 ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร พร้อมแนะลดหวาน มัน เค็ม ป้องกันโรคไต โรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์และอัมพาต

นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคความดันโลหิตสูงคือภาวะที่มีระดับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง ซึ่งค่าความดันปกติในปัจจุบันถือเอาค่าตัวบน ไม่เกิน 140 มิลลิเมตรปรอท และค่าตัวล่างไม่เกิน 90 มิลลิเมตรปรอท  และมีคนจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะนี้ เนื่องจากไม่ปรากฏอาการในช่วงแรก เมื่อปล่อยนานไปโดยไม่รับการรักษาแรงดันในหลอดเลือดที่สูง จะไปทำลายผนังหลอดเลือดและอวัยวะที่สำคัญหลายระบบในร่างกายเป็นเหตุให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ และโรคไต เรียกว่าเพชฌฒาตเงียบ  ซึ่งโรคความดันโลหิตสูงเป็น 1   ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร  จากสถิติขององค์การอนามัยโลก รายงานว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมากถึงพันล้านคน โดยประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลก 1 ใน 3 คน มีภาวะความดันโลหิตสูง และได้คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2568 จะมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงทั่วโลกสูงถึง 1.56 พันล้านคน และข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบระหว่าง ปี พ.ศ. 2544 พบผู้ป่วย จำนวน 156,442 ราย และ ปี 2555 พบผู้ป่วย 1,009,385 ราย ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีอัตราเพิ่มขึ้นสูงถึง 5 เท่า

จากความรุนแรงดังกล่าว สมาพันธ์ความดันโลหิตสูงโลก จึงได้กำหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันความดันโลหิตสูงโลก โดยได้กำหนดคำขวัญการรณรงค์ว่า “Know Your Blood Pressure” และคำขวัญของกระทรวงสาธารณสุขและสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย คือ ท่านทราบระดับความดันโลหิตของท่านหรือไม่ เพื่อให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพ  โดยมุ่งเน้นการป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ และโรคไตที่มีสาเหตุมาจากโรคความดันโลหิตสูง

ปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการบริโภคอาหารเค็ม รับประทานผักและผลไม้ไม่เพียงพอ  ภาวะอ้วน ขาดการออกกำลังกาย   ดื่มแอลกอฮอล์มาก สูบบุหรี่และมีภาวะเครียด รวมทั้งอายุที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นได้ ดังนั้น วิธีการปฏิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันโรคความดันโลหิตสูง คือ ลดการบริโภคเกลือหรืออาหารที่มีรสเค็ม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มการบริโภคผักและผลไม้ที่หวานน้อยรวมถึงบริโภคธัญพืชแทนของว่าง ขนมกรุบรอบ ลดการรับประทานอาหารที่ผ่านกระบวนการ อาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป ลดอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่   ที่สำคัญผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ ตลอดจนวัดความดันโลหิตเป็นประจำพร้อมจดบันทึกค่าความดันโลหิตในช่วงของการกินยา เพื่อประสิทธิภาพในการรักษา และป้องกันโรค

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมการแพทย์
ภาพประกอบจาก Thinkstockphoto.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #96 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2014, 11:33:54 am »
วิธีป้องกันงูกัด-ปฐมพยาบาลอย่างไร เรื่องใกล้ตัวที่ต้องรู้ !

-http://health.kapook.com/view88365.html-





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          วิธีป้องกันงูกัด งูชนิดไหนมีพิษบ้าง หากถูกกัดแล้วจะมีอาการอย่างไร แล้วจะปฐมพยาบาลอย่างไร เรื่องใกล้ตัวที่ต้องรู้รับฤดูฝน

          ฤดูฝนไม่ได้มาพร้อมกับสายฝนที่ชุ่มฉ่ำเท่านั้น แต่จะไปไหนมาไหนก็ต้องระวังสัตว์มีพิษชนิดต่าง ๆ ที่พบได้บ่อยในช่วงนี้ด้วย โดยเฉพาะ "งู" ที่อาศัยอยู่ตามสภาพแวดล้อมใกล้ตัว เพราะหากไม่ระวังก็เสี่ยงถูกงูพิษกัดจนเสียชีวิตได้เลย

          สำหรับเรื่องของงูนั้น นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ ได้ให้ความรู้เพื่อแจ้งเตือนให้พวกเราได้ระวังกันว่า งูมีอยู่หลายชนิด ทั้งมีพิษและไม่มีพิษ หากถูกงูพิษกัดจะมีรอยเขี้ยว 1-2 แผลเสมอ และมีเลือดออกซึม ๆ แต่ถ้าถูกงูกัดแล้วไม่พบรอยเขี้ยว แสดงว่านั่นไม่ใช่งูพิษ

 ทั้งนี้ งูพิษที่คนถูกกัดบ่อย ๆ นั้นมีอยู่ 7 ชนิด คือ งูเห่า งูจงอาง งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ งูแมวเซา งูสามเหลี่ยม และงูทับสมิงคลา ซึ่งเราสามารถจำแนกพิษของงูได้เป็น 4 ประเภท คือ

          1. พิษต่อระบบประสาท ได้แก่ พิษของงูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม ทำให้เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อ ลืมตาไม่ได้ กลืนลำบาก เสียชีวิตได้

          2. พิษต่อโลหิต ได้แก่ พิษของงูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ ทำให้มีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ ตามผิวหนัง เหงือก อาเจียนเป็นเลือด

          3. พิษต่อกล้ามเนื้อ ได้แก่ พิษงูทะเล ปวดกล้ามเนื้อมาก ปัสสาวะสีดำเนื่องจากกล้ามเนื้อถูกทำลาย

          4. พิษต่อกล้ามเนื้อหัวใจ ได้แก่ พิษงูเห่า งูจงอาง ทำให้ลืมตาไม่ขึ้น น้ำลายมากกลืนลำบาก เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ

          ในส่วนวิธีการป้องกันงูกัดนั้น ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการเดินในที่แคบ หรือบริเวณที่รกมีหญ้าสูง ถ้าจำเป็นต้องเดินผ่านควรใส่รองเท้าหุ้มข้อเท้า กางเกงขายาว เสื้อแขนยาว เตรียมไฟฉายและไม้

          แต่หากถูกงูกัดแล้วควรปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยการล้างแผลด้วยน้ำสะอาด ไม่ควรใช้เหล้า ยาสีฟัน หรือสิ่งอื่น ๆ ทาแผล ไม่ควรใช้ปากดูดเลือด ไม่ควรใช้ผ้าหรือเชือกรัดเหนือบริเวณที่ถูกกัดแน่นเกินไป หากจะรัดควรรัดให้แน่นพอที่สามารถสอดนิ้วมือเข้าใต้วัสดุที่ใช้รัดได้ 1 นิ้วมือ รัดทั้งเหนือและใต้แผลประมาณ 3 นิ้วมือ และรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #97 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2014, 12:34:35 pm »
แชร์ประสบการณ์เมื่อโดนแมงกะพรุน รักษาเบื้องต้นอย่างไรดี


-http://health.kapook.com/view88427.html-





เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1337171 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          ช่วงนี้อากาศช่างเป็นใจให้ยกขบวนไปเที่ยวทะเลเสียจริง ๆ แต่ถ้ามัวแต่เล่นน้ำทะเลจนเพลินไม่ระแวดระวังรอบตัวให้ดี ก็อาจจ๊ะเอ๋กับ "แมงกะพรุน" ที่แม้จะตัวเล็ก ๆ แต่ก็ทำให้เราเจ็บจี๊ด ปวดแสบปวดร้อนจนเกินคำบรรยายได้เลย

          ฟังแล้วชักสยองขึ้นมานิด ๆ ซะแล้ว แต่อย่าเพิ่งกังวลใจไป เพราะวันนี้ คุณสมาชิกหมายเลข 1337171 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้ตั้งกระทู้บอกเล่าประสบการณ์ที่โดนพิษแมงกะพรุนที่หัวหิน พร้อมแนะนำวิธีรักษาเบื้องต้นด้วย ใครกำลังจะแพ็กกระเป๋าไปเที่ยวทะเล ลองมาอ่านแล้วจำไว้เผื่อใช้ในยามฉุกเฉินดูกันเลยจ้า


          แชร์ประสบการณ์โดนแมงกะพรุน ณ หัวหิน + วิธีรักษาเบื้องต้นเมื่อโดนพิษแมงกะพรุน โดย คุณสมาชิกหมายเลข 1337171 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผมได้ไปเที่ยวทะเลหัวหิน วันที่ 24-26 ไปกับเพื่อนรวมแล้ว 11 คน ในวันแรกที่ไปถึง เมื่อเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย ก็ไปหาอะไรกินกัน แล้วจึงไปเล่นน้ำทะเลที่หาดหัวหิน โดยไม่รู้เลยว่าวันที่ 23 (ก่อนผมจะมา 1 วัน) มีฝนตก ซึ่งเค้าบอกกันว่า หลังฝนตกไม่ควรเล่นน้ำ เพราะจะมีแมงกะพรุนลอยตามชายหาดเยอะ ด้วยความไม่รู้ จึงเล่นกันเต็มที่ครับ 5555

          จนกระทั่งเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มร้องขึ้นมา ผมก็นึกว่าเหยียบเศษหอยในน้ำ แล้วเพื่อนก็วิ่งหนีขึ้นฝั่ง แต่พวกผมก็เล่นน้ำต่อ ไม่ได้ไปดูว่าเพื่อนเป็นอะไร หลังจากนั้นประมาณ 1 นาที เพื่อนอีกคนก็ตะโกนว่าเจอแมงกะพรุน จังหวะนั้นผมก็รีบหันมาดูว่าอยู่ตรงไหน ปรากฏคือ มันอยู่หลังผมเลยครับ หันไปปุ๊บ มันลอยมาแปะขาพอดี

          ด้วยความตกใจ เพราะรู้สึกสยองมากตอนมันมาแปะขา เห็นตัวนิ่ม ๆ เหมือนไม่มีอะไร ที่ไหนได้ ความรู้สึกตอนโดนเหมือนโดนเข็มแหลม ๆ เป็นสิบ ๆ อันมาจิ้มขาครับ ผมเลยรีบวิ่งขึ้นหาด  ตอนนั้นก็เริ่มเจ็บ ๆ แสบ ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ ครับ เพื่อนคนแรกที่วิ่งหนีไปก็วิ่งกลับมาหาครับ สรุปว่าเพื่อนก็โดนเหมือนกัน แปะเต็ม ๆ แข้งทั้งสองข้างเลย ผมกับเพื่อนที่โดนเลยบอกเพื่อนคนอื่นว่าขอวิ่งไปที่เกสท์เฮ้าส์ก่อน ให้เพื่อนที่เหลือวิ่งตามมา

          ขณะที่วิ่งไปที่พักครับ ตรงจุดที่โดนแมงกะพรุนนั้น แดงขึ้นมาเป็นเส้น ๆ เลยครับ เหมือนโดนหนวดมัน ปวดแสบปวดร้อนมาก ๆ เหมือนโดนน้ำร้อนลวกอะครับ เราก็รีบวิ่งไป 200 เมตรก็ถึงที่พักครับ พี่ที่เกสท์เฮ้าส์บอกว่าเค้าไม่มียา ให้ไปที่ร้านขายยา ตรงไปอีก 200 เมตรจากเกสท์เฮ้าส์ ผมกับเพื่อนคนนี้ก็วิ่งไปครับ รวมแล้ว 400 เมตร เพื่อนที่เหลือก็วิ่งตาม ๆ กันมา กลุ่มหนึ่งมาซื้อยากับผม อีกกลุ่มไปอาบน้ำ

          พอถึงร้านขายยา ผมก็ถามว่ามียาอะไรใช้ทาได้บ้าง พี่เค้าก็หยิบแอมโมเนียครับ คนละขวด มาราดแผล ตอนนั้นแสบมากขึ้นเรื่อย ๆครับ เหมือนว่าเข็มพิษแมงกะพรุนมันกัดแผลอยู่  เพื่อนที่ตาม ๆ มาก็ซื้อยามาให้อีกหลอดครับ เป็นยาทารักษาแผลไฟไหม้ ให้พอกแผลไว้ แสบ ๆ คัน ๆ ครับ

          ***** สำหรับคนที่โดนพิษแมงกะพรุนนะครับ ถ้าแถวนั้นไม่มีผักบุ้งทะเล แนะนำให้ไปร้านขายยาโดยเร็วที่สุดครับ เพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้น อย่าเอาน้ำจืดมาราดแผลเด็ดขาด !!! เพราะพิษจะยิ่งลามไปเรื่อย ๆ ครับ อย่าเอานิ้วไปเกา หรือไปถูแผลด้วยครับ **********





          หลังจากปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว ผมกับเพื่อนก็กลับไปที่เกสท์เฮ้าส์  ในตอนนั้นชาวบ้านหัวหินใจดีมาก ๆ ครับ ทุกคนมาถามแล้วก็บอกว่า ให้ไปเอาใบผักบุ้งทะเลตามชายหาดมาบดแล้วมาโปะแผลไว้ เพื่อดับพิษแมงกะพรุน เพื่อน ๆ ผมสามคนก็ไปถามจากชาวประมงแถวนั้น แล้วก็เก็บมาหนึ่งกำครับ
                 
          ในตอนนั้นจำได้ว่า ตอนกำลังทำแผลอยู่ที่ร้าน รู้สึกปวดต้นขาข้างขวาครับ ปวดเหมือนจะเป็นตะคริว ปวดได้ประมาณ 10-15 นาที ก็ค่อย ๆ ปวดน้อยลงครับ (ส่วนเพื่อนปวดที่เอว ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงปวด) เมื่อกลับมาถึงเกสท์เฮ้าส์ ก็รีบอาบน้ำ แสบมากกกกกกกกกกกกกกกกครับ ก้าวขาแต่ละทีรู้สึกเกร็ง ๆ เพราะว่าแผลของผมเป็นหลายที่ครับ โดนเต็ม ๆ อยู่3ที่  คือบริเวณข้าง ๆ หัวเข่าข้างขวา บริเวณข้อพับขาขวา (หายยากมากครับตรงนี้ เพราะเป็นที่ข้อพับพอดี) และก็ตรงต้นขาข้างขวาครับ นี่คือแผลใหญ่   ส่วนแผลเล็ก ๆ มีเป็นจุดเล็ก ๆ ประมาณ10กว่าจุดได้ มีตรงข้อเท้ามั่ง หน้าแข้งมั่ง กระจายกันไปครับ ส่วนมากจะอยู่ด้านหลัง เพราะผมโดนแปะที่ด้านหลังครับ





          แผลเล็ก ๆ บริเวณต้นขาครับ

          เพื่อน ๆ ที่ไปเอาใบผักบุ้งทะเล ก็กลับมาครับ พร้อมกับซื้อน้ำส้มสายชูมาหนึ่งขวดครับ วิธีผสมยาคือ เอาใบผักบุ้งทะเล บดให้ละเอียดครับ หาอะไรก็ตามที่ใช้บดได้ (****ทุกอย่างต้องล้างให้สะอาดนะครับ โดยเฉพาะใบผักบุ้งทะเล ต้องล้างดี ๆ****) เมื่อบดเสร็จแล้วจึงผสมกับน้ำส้มสายชู ให้ใบพอแฉะ ๆ ครับ ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำส้มสายชูมากเกินไปครับ

          เมื่อผมอาบน้ำเสร็จ (ที่อาบน้ำ เพื่อล้างแอมโมเนียและครีมที่พอกไว้ตอนแรกออกครับ) ก็นอนให้เพื่อนรีดเข็มพิษออกครับ โดยทำตามที่เภสัชกรบอก วิธีการคือเอาสำลีชุบน้ำส้มสายชูครับ มาถูกับแผลให้แรงที่สุดเท่าที่พอทำได้ เพื่อขูดเอาเข็มพิษออกครับ เจ็บมากกกกกกกกก มันแสบอยู่แล้ว พอมาถูกับน้ำส้มสายชู ยิ่งปวดยิ่งแสบครับ ถูกันอยู่เกือบ 20 นาที ก็เริ่มเอาใบผักบุ้งทะเลที่บดไว้มาโปะแผลครับ แผลมันปวดตุ้บ ๆ เลยครับตอนนั้น เหม็นน้ำส้มสายชูมาก ๆ ครับ

          พอกไว้ทั้งคืนนะครับ *******ผักบุ้งทะเล มีสรรพคุณคือ แก้พิษของแมงกะพรุนครับ ส่วนน้ำส้มสายชูมีสรรพคุณคือ จะช่วยยับยั้งไม่ให้เข็มพิษแตกเพิ่มขึ้น ห้ามถู หรือสัมผัสบริเวณแผลด้วยมือเปล่า (ใช้สำลีแทน) เพราะอาจจะมีเข็มพิษอยู่ครับ*********

          ภาพหลังจากโปะใบผักบุ้งทะเลครับ (ที่โปะทั่วขา เพราะมันเป็นจุดเล็ก ๆ คล้ายผื่น แต่จะแสบ ๆ ครับ)







          รูปประกอบ ใบผักบุ้งทะเลครับ มีขึ้นอยู่ตามชายฝั่ง ถ้าไม่แน่ใจ ควรถามชาวประมงหรือชาวบ้านแถวนั้นครับว่าผักบุ้งขึ้นตรงไหน


ผักบุ้งทะเล


ผักบุ้งทะเล


ผักบุ้งทะเล


          ในวันที่ 2 หลังจากตื่นขึ้นมา พบว่ารอบ ๆ แผลแดงขึ้นมาเป็นเส้น ๆ เลยครับ แผลไหนเล็ก ๆ ก็เป็นจุดแดง ๆ ทั่วขา วันนี้ผมกับเพื่อนเหมารถไปเที่ยวรอบตัวเมืองหัวหินครับ เวลาเดินจะเจ็บแผลที่ข้อพับที่สุดครับ เพราะแผลยังปวดและแสบอยู่ แต่น้อยกว่าตอนโดนใหม่ ๆ เยอะครับ ลืมบอกไปครับ ในคืนแรก ผมกินยาแก้แพ้ครับ เพราะพี่สาวบอกว่าเดี๋ยวจะเป็นไข้แล้วเที่ยวไม่สนุก เลยกินไป 2 เม็ดครับ

          ภาพนี้ถ่ายไว้ตอนเช้าวันที่สองครับ สังเกตได้เลยว่าแผลนูนขึ้น และชัดขึ้นมากกว่าเมื่อคืน





          ใช้เวลาในการเที่ยวรอบหัวหินเกือบ 6 ชั่วโมงครับ ไปซาฟารีหัวหิน วัดห้วยมงคล ซานโตรินี่ Swiss sheep farm แล้วก็เวเนเซียครับ  อากาศร้อนมาก ๆ แล้วผมใส่กางเกงขาสั้นผมดี ขากางเกงก็ดันไปถูกับแผลตลอด ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันไหมนะครับ แต่แผลยิ่งบวมและแดงมากขึ้น ตามภาพเลยครับ




          หลังจากไปเที่ยวกลับมาช่วงบ่าย ก็ไม่ได้เข็ดแต่อย่างใด ไปเล่นน้ำทะเลต่อที่เดิม 5555 แต่คราวนี้ไม่ลงไปไกลมาก และสอดส่องก่อนตลอดเวลา ว่ามีไคจูตัวไหนจะโผล่มาไหม สาเหตุนั้นแหละครับ ทำให้แผลเริ่มเละไปอีก (คือไม่ควรลงน้ำทะเลหรือทางที่ดี ไม่ควรโดนน้ำเลยครับ) ตอนโดนน้ำทะเล ก็แสบ ๆ คัน ๆ เล็กน้อย แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เล่นกันจนมืดมาก ๆ เลยกลับขึ้นมาอาบน้ำครับ  มาดูแผลอีกที มีตุ่มใส ๆ เล็ก ๆ ขึ้นรอบ ๆ แผลครับ เป็นทุกที่เลย แผลเล็กแผลใหญ่ก็ขึ้นหมด ลองบีบ ๆ มัน น้ำแตกครับ ! น้ำใส ๆ ในตุ่มนั่นแหละ ไม่รู้ว่าใช่หนองรึเปล่านะครับ




          ก็กินยาแก้แพ้ต่อครับ แล้วก็ไปหาของกินที่ถนนคนเดินต่อ (**** เมื่อมีแผลประเภทนี้ ไม่ควรกินอาหารทะเล ไข่ หรืออาหารที่มีเปลือก และของแสลงครับ เท่าที่ทราบมา ก็เพื่อไม่ให้แผลอักเสบไปมากกว่านี้ และเพื่อไม่ให้เป็นแผลเป็นชัด ๆ ครับ*****)

          หลังจากผ่านไปประมาณเกือบ 2 สัปดาห์ แผลก็เริ่มแข็งเป็นสะเก็ด มีหนอง เหมือนแผลไฟลวกครับ แต่ไม่หนักเท่าหลาย ๆ เคสที่เคยเห็น
             
          ใช้วิธีเอาน้ำเกลือราดเอาแล้วเอาสำลีซับอะครับ คือผมทำแผลแบบนี้ไม่ค่อยเป็น เลยใช้วิธีที่เคยทำ (เคยโดนตะปูเกี่ยวนิ้วเห็นว่าแผลคล้าย ๆ กัน) หลังจากราดน้ำเกลือก็ทาเบตาดีนเอาครับ ไม่กล้าราดไฮโดรเจน ตอนอยู่บ้านก็ไม่ได้เอาผ้าก็อซปิดแผลนะครับ เพราะอยากให้แผลแห้ง แต่ตอนไปข้างนอกก็ปิดเอาไว้ครับ

          ภาพนี้เป็นแผลช่วงที่เริ่มเป็นสะเก็ดครับ





          สารภาพเลยว่าเป็นคนมือซนมาก ๆๆ ชอบเผลอเอามือไปเขี่ย ๆ แผล จนสะเก็ดมันหลุด เลือดกับหนองไหล เป็นบ่อยมาก เลยทำให้แผลหายช้า+เป็นแผลเป็นชัดขึ้นไปอีก ยิ่งผ่านไปก็ยิ่งบุ๋ม หลังจากนั้นเลยไม่แกะเลยครับ แผลก็เป็นแบบนี้ประมาณ 7-10 วันครับ

          แผล ณ ปัจจุบันนี้ หายแล้วครับ เป็นแค่แผลเป็นยาว ๆ ไว้ทาครีมเอาครับ ส่วนเพื่อนที่โดน ตอนนี้ยังไม่หายเลยครับ 2 เดือนแล้ว  เพราะของเพื่อนจะเป็นวงกลมครับเท่าเหรียญ 50 สตางค์ แต่มีเต็มหน้าแข้งครับ เยอะมาก ของผมโชคดีที่เป็นเส้น ๆ หายง่ายกว่า

          ****ทางที่ดี ก่อนลงทะเลควรเช็กให้แน่ใจนะครับ เพื่อความปลอดภัย อย่างผมเนี่ย ไม่รู้ว่าฝนตกแล้วแมงกะพรุนจะขึ้นมา หรือเมื่อโดนแล้วก็ควรรักษาเบื้องต้นให้เร็วที่สุดครับ สิ่งเบื้องต้นที่ดีที่สุดคือน้ำส้มสายชูและผักบุ้งทะเลครับ****

          ขอบคุณที่ติดตามครับ"

          ทั้งนี้ ก็ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นพร้อมแชร์ประสบการณ์ในกระทู้นี้อย่างมากมาย รวมทั้ง คุณ ส.มโนมัย สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ซึ่งเป็นแพทย์ผิวหนัง ก็ได้เข้ามาให้ความรู้เพิ่มเติมถึงวิธีการปฐมพยาบาลเมื่อโดนแมงกะพรุนเบื้องต้นด้วยว่า สามารถใช้ได้ทั้งผักบุ้งทะเลและน้ำส้มสายชู ซึ่งผักบุ้งทะเลมีประสิทธิภาพไม่ต่างจากน้ำส้มสายชู แต่ผักบุ้งทะเลจะได้ผลเมื่อตำให้ละเอียดแล้วเอามาล้างแผลแมงกะพรุน ฉะนั้น การล้างด้วยน้ำส้มสายชู จะสะดวกและรวดเร็วกว่า

          อย่างไรก็ตาม เมื่อโดนแมงกะพรุนแล้ว ห้ามล้างแผลด้วยสบู่เด็ดขาด เพราะจะทำให้แคปซูลพิษของแมงกะพรุนที่ค้างอยู่บนผิวหนังแตกออก และจะยิ่งทำอันตรายผิวหนังมากขึ้น การล้างควรล้างเบา ๆ ให้แคปซูลพิษค่อย ๆ หลุดไป หากถูแรง ๆ เหมือนที่เจ้าของกระทู้ทำจะยิ่งทำให้แคปซูลพิษแตกง่ายขึ้น จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้อาการในวันที่สองเป็นมากขึ้น

          ส่วนเรื่องการกินอาหารทะเลนั้น คุณหมอก็ให้ข้อมูลด้วยว่า ไม่ได้ทำให้อาการเป็นมากขึ้น ดังนั้น สามารถทานอาหารทะเลได้ เพราะอาการจะเป็นมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง




























คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #98 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2014, 12:42:41 pm »
“ความดันโลหิตสูง” ภัยเงียบ..เสียชีวิตก่อนวัยอันควร

-http://club.sanook.com/31233/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87-%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B5/-



“ความดันโลหิตสูง” ภัยเงียบ..เสียชีวิตก่อนวัยอันควร

ไม่ได้จั่วหัวเรื่อง “ความดันโลหิตสูง” ให้ดูน่ากลัว แต่ถ้าทุกๆคนได้อ่านบทความนี้จากกรมการแพทย์แล้ว จะต้องทำให้ทุกคนหยุดคิด แล้วก็ต้องหันมาดูแลตัวเองกันมากๆแล้วล่ะค่ะ

อธิบดีกรมการแพทย์ชี้ 1 ใน 3 คน มีภาวะความดันโลหิตสูง ระบุภัยร้ายความดันโลหิตสูงเป็น 1 ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร พร้อมแนะลดหวาน มัน เค็ม ป้องกันโรคไต โรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์และอัมพาต

นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคความดันโลหิตสูงคือภาวะที่มีระดับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง ซึ่งค่าความดันปกติในปัจจุบันถือเอาค่าตัวบน ไม่เกิน 140 มิลลิเมตรปรอท และค่าตัวล่างไม่เกิน 90 มิลลิเมตรปรอท  และมีคนจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะนี้ เนื่องจากไม่ปรากฏอาการในช่วงแรก เมื่อปล่อยนานไปโดยไม่รับการรักษาแรงดันในหลอดเลือดที่สูง จะไปทำลายผนังหลอดเลือดและอวัยวะที่สำคัญหลายระบบในร่างกายเป็นเหตุให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ และโรคไต เรียกว่าเพชฌฒาตเงียบ  ซึ่งโรคความดันโลหิตสูงเป็น 1   ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร  จากสถิติขององค์การอนามัยโลก รายงานว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมากถึงพันล้านคน โดยประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลก 1 ใน 3 คน มีภาวะความดันโลหิตสูง และได้คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2568 จะมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงทั่วโลกสูงถึง 1.56 พันล้านคน และข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบระหว่าง ปี พ.ศ. 2544 พบผู้ป่วย จำนวน 156,442 ราย และ ปี 2555 พบผู้ป่วย 1,009,385 ราย ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีอัตราเพิ่มขึ้นสูงถึง 5 เท่า

จากความรุนแรงดังกล่าว สมาพันธ์ความดันโลหิตสูงโลก จึงได้กำหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันความดันโลหิตสูงโลก โดยได้กำหนดคำขวัญการรณรงค์ว่า “Know Your Blood Pressure” และคำขวัญของกระทรวงสาธารณสุขและสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย คือ ท่านทราบระดับความดันโลหิตของท่านหรือไม่ เพื่อให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพ  โดยมุ่งเน้นการป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ และโรคไตที่มีสาเหตุมาจากโรคความดันโลหิตสูง

ปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการบริโภคอาหารเค็ม รับประทานผักและผลไม้ไม่เพียงพอ  ภาวะอ้วน ขาดการออกกำลังกาย   ดื่มแอลกอฮอล์มาก สูบบุหรี่และมีภาวะเครียด รวมทั้งอายุที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นได้ ดังนั้น วิธีการปฏิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันโรคความดันโลหิตสูง คือ ลดการบริโภคเกลือหรืออาหารที่มีรสเค็ม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มการบริโภคผักและผลไม้ที่หวานน้อยรวมถึงบริโภคธัญพืชแทนของว่าง ขนมกรุบรอบ ลดการรับประทานอาหารที่ผ่านกระบวนการ อาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป ลดอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่   ที่สำคัญผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ ตลอดจนวัดความดันโลหิตเป็นประจำพร้อมจดบันทึกค่าความดันโลหิตในช่วงของการกินยา เพื่อประสิทธิภาพในการรักษา และป้องกันโรค

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมการแพทย์
ภาพประกอบจาก Thinkstockphoto.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #99 เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2014, 07:11:55 am »
โรคกระดูกพรุน คืออะไร


-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/238108/_%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99+%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%3F_-


จากโครงสร้างของกระดูกที่เคยหนาแน่นประสานกันเป็นโยงใยในการรับน้ำหนักได้ดีขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดการโปร่งบาง
วันอาทิตย์ 18 พฤษภาคม 2557 เวลา 00:00 น.

เป็นภาวะที่ความหนาแน่นเนื้อกระดูกลดลง จากโครงสร้างของกระดูกที่เคยหนาแน่นประสานกันเป็นโยงใยในการรับน้ำหนักได้ดีขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดการโปร่งบางของโครงสร้างกระดูกไม่สามารถรับน้ำหนักได้ดีเท่าเดิม อีกทั้งยังมีโอกาสเปราะหักเกิดการบาดเจ็บได้ง่ายอีกด้วย

มีภาวะใดบ้างที่ก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุน

• เพศหญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากกว่าเพศชายเนื่องจากโครงกระดูกในเพศหญิงมีความหนาแน่นน้อยกว่า

• เมื่อมีอายุสูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่ออายุเกินกว่า 40 ปี

• ภาวะหมดประจำเดือนในเพศหญิงที่เกิดการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน

• ผู้ที่รับแคลเซียมและวิตามินดี ในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

ทำอย่างไรจึงจะรักษาความหนาแน่นของกระดูก เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน?

• กระดูกคนเราจะมีความหนาแน่นสูงสุดในอายุ 30 ปี ดังนั้นการเสริมสร้างกระดูกให้มีความหนาแน่นมากที่สุดเมื่ออายุ 20-30 ปี เป็นช่วงที่สำคัญที่สุด และระยะสำคัญรองลงมาก็คือในช่วงก่อนหมดประจำเดือน

• เสริมสร้างกระดูกให้มีความหนาแน่นมากที่สุด ตั้งแต่ในช่วงอายุ 20-30 ปี ด้วยการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงและวิตามินดีให้เพียงพอ นอกจากนี้อาจใช้ยาช่วยได้ ซึ่งแบ่งกลุ่มยาเป็น 2 กลุ่มคือ

1. ยาระงับการทำลายกระดูก ได้แก่ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ฮอร์โมนแคลซิโตนิน ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนท และแคลเซียม เป็นต้น

2. ยากระตุ้นการสร้างกระดูกได้แก่ วิตามินและฟลูออไรด์

มีวิธีป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนได้อย่างไร?

ในผู้ที่มีเนื้อกระดูกมากตั้งแต่แรกจะมีโอกาสเกิดการกระดูกพรุนได้น้อยกว่าผู้ที่มีเนื้อกระดูกน้อย ดังนั้น “การสะสมเนื้อกระดูกอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วัยหนุ่มสาวก็จะเป็นวิธีการป้องกันกระดูกพรุนได้ดีที่สุด รวมถึงการได้รับการตรวจ

วัดความหนาแน่นของกระดูกซึ่งสามารถตรวจพบการลดลงของเนื้อกระดูกตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นได้”

ตรวจวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนได้อย่างไร?

จากการใช้เครื่องตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Densitometer) ที่ใช้เทคนิคการเรดิเอชั้น ซอร์ส (Radiation Source) โดยใช้หลักการจากการดูความหนาแน่น (Thickness) และส่วนประกอบของเนื้อ (Composition) แล้วนำไปเปรียบเทียบกับค่าปกติ

บุคคลที่ควรได้รับการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกด้วยเครื่อง Bone Densitometry

• หญิงทุกคนที่มีอายุมากกว่า 65 ปี

• หญิงวัยหมดประจำเดือน แม้ว่าอายุน้อยกว่า 65 ปี แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุน

• หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีประวัติกระดูกหัก หรือมีภาพเอกซเรย์กระดูกผิดปกติ หญิงที่ต้องการรักษาโรคกระดูกพรุน การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกจะช่วยในการตัดสินใจ

• หญิงที่ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน มาเป็นระยะเวลานาน ๆ

• บุคคลที่มีภาวะกระดูกสันหลังผิดปกติ

• บุคคลที่ได้รับยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน

• บุคคลที่ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ

• เพื่อติดตามการรักษากระดูกพรุน

• บุคคลที่สูบบุหรี่ ดื่มสุรา

• บุคคลที่ไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ

ผู้หญิงอายุเท่าไหร่ ที่ควรรับประทานแคลเซียมเสริม?

ผู้หญิงควรรับประทานแคลเซียมในช่วงอายุ  20-30 ปี และในช่วงก่อนหมดประจำเดือน

การรักษา

เป็นการรักษาที่มุ่งเน้นเพื่อให้มีผลยับยั้งการทำลายกระดูกและเพื่อเป็นการเสริมสร้างให้กระดูกหนาแน่นและมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น

จะติดตามผลการรักษาภาวะกระดูกพรุนได้อย่างไร?

จากการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกด้วยเครื่องตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Densitometry) เป็นระยะสม่ำเสมอตามแผนติดตามการรักษาของแพทย์

การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกด้วยเครื่อง Bone Densitometry ต่างจากการตรวจด้วยเครื่อง Ultrasound อย่างไร?

การตรวจด้วยเครื่อง Bone Densi-tometry เป็นวิธีการตรวจที่จะได้รับความหนาแน่นของกระดูกมาตรฐาน ถูกต้องและแม่นยำมากที่สุดในขณะนี้

ข้อมูลจาก ศูนย์กล้ามเนื้อกระดูกและข้อ โรงพยาบาลพญาไท 1 / http://www.phyathai.com

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)