ผู้เขียน หัวข้อ: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ  (อ่าน 47501 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #60 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2014, 10:02:51 pm »
5 อาการ...ดวงตาบอกสุขภาพ

-http://campus.sanook.com/1370658/5-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3...%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/-

ดั่งคำที่กล่าวว่า มองตาก็รู้ใจแล้ว...ดวงตายังจะสามารถบอกสุขภาพของคุณได้อีกด้วย โดยสังเกตได้จากอาการต่างๆ ที่เกิดกับดวงตาคู่สวยของคุณ งั้นไปสังเกตดวงตากันเลยค่ะ





1.เปลือกตากระตุก อาการแบบนี้จะมาทันทีเมื่อกล้ามเนื้อหนังตาเกร็งตัวหรือเกิดกระแสส่งประสาทอย่างมากเกิดการกระตุ้นกล้ามเนื้อตาผิดปกติ แต่มักจะเกิดเวลาเครียดจัดๆหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ เชื่อว่าหลายคงคงเคยเจอปัญหาตากระตุกแล้วบอกเป็นรางร้าย!! แนะนำว่าควรรีบกลับไปนอนดีกว่า

2.ขนตาร่วงผิดปกติ ขนตาของคนเราก็เหมือนผม สามารถหลุดร่วงได้ทุกวัน แต่ถ้าอยู่ดีๆขนตาดกหนาของคุณร่วงจนบางอย่างเห็นได้ชัด อาจเพราะคุณกำลังมีอาการเปลือกตาอักเสบก็ได้ อาการนี้จะเกิดขึ้นหากคุณขยี้ตาบ่อยหรือใช้ขนตาปลอมและมาสคาร่าคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ของเหล่านี้จะทำให้รูขุมขนบริเวณดวงตาอุดตันจนเกิดการอักเสบขึ้นมา ถ้าขนตาร่วงมากๆ วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ไม่ใช่การไปหาหมอ แต่คุณควรเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ความสวยจะดีกว่าขยี้ตาบ่อยๆ


3.ขอบตาดำคล้ำ อาการแบบนี้หมายถึงการไหลเวียนในหลอดเลือดฝอยบริเวณตาอาจจะเกิดการอุดตัน ไหลเวียน ไม่สะดวก หากปล่อยไว้ไม่ทำอะไรเลยการอุดตันจะยิ่งมากแล้วขอบตาก็จะดำ ส่วนใหญญ่แล้วอาการเหล่านี้จะเกิดกับ

# คนที่นอนน้อยเกินไป การพักผ่อนน้อยจะทำให้เกิดของเสียสะสมรอบบดวงตา ไปอุดตันการไหลเวียนของเลือดจนตาดำอย่างที่เห็น

# ขยี้ตาบ่อยๆ เพราะการขยี้ตาบ่อยๆเป็นการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีบริเวณรอบดวงตา อาทำให้ขอบตาดำถาวร ต้องพึ่งศัลยกรรมลูกเดียว

#เป็นโรคภูมิแพ้ คนที่เป็นโรคนี้มักจะมีตับและไตที่อ่อนแอ พอตับซึ่งมีหน้าที่ฟอกเลือดไม่แข็งเรง เลือดก็จะไม่สะอาด อาจจะหนืดหรือทำให้หลอดเลือดอุดตันได้ง่าย

#ความเครียด การกินอาหารขยะก็เป็นอีกสาเหตุของปัญหาขอบตาคล้ำ หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ที่ชื่นชอบรับประทานแฮมเบอร์เกอร์หรือของทอดๆ มากเกินไป ลองเปลี่ยนมากินผักสดและดื่มน้ำเปล่ามากๆ ขอบตาคุณก็จะหายดำคล้ำแล้ว

4.ถุงใต้ตาบวม สำหรับใครที่มีเหมือนถุงกาแฟห้อยอยู่ใต้ตา แสดงว่าชอบกลั้นปัสาวะระหว่างนอนหลับ หรือไม่ก็แพ้อาหารบางอย่างเช่นถั่ว อาหารทะเล ปกติถุงใต้ตา จะบวมอยู่ไม่กี่ชั่วโมงก็ยุบหายไปเอง แต่ถ้าใต้ตาของคุณบวมเรื้อรังนั่นเป็นสัญญาณว่าคุณเป็นเกี่ยวกับไต โดยเฉพาะโรคไตวายยิ่งต้องระวังให้มากที่สุด

5.ตาเหลือง ส่วนใหญ่อาการนี้มาจากโรคดีซ่านแต่สำหรับบางคนที่นอนน้อย ทำงานหนักติดต่อกันมากๆ หรือชอบกินเหล้าสูบบุหรี่ เป็นไปได้ว่าอาจมีปัญหาในถุงน้ำดี เป็นนิ่วในถุงน้ำดี เป็นมะเร็งตับอ่อน หรือไม่ก็เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี เพื่อความปลอดภัยสาวๆตาเหลืองควรไปเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลด่วนๆ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #61 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 08:56:16 pm »
เตือนภัย “โรคพิษสุนัขบ้า” พบได้ตลอดปี ติดเชื้อตาย 100 เปอร์เซ็นต์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 กุมภาพันธ์ 2557 12:49 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000015309-



      สธ. เตือนภัยโรคพิษสุนัขบ้าพบได้ตลอดปี เป็นโรคร้ายแรงป่วยแล้วเสียชีวิต 100 เปอร์เซ็นต์ ทั่วโลกพบผู้เสียชีวิตปีละไม่ต่ำกว่า 50,000 ราย ส่วนไทยปีที่แล้วมี 6 ราย ชี้โรคนี้ป้องกันได้ด้วยวัคซีนโดยฉีดในสัตว์เลี้ยงทุกปี ส่วนในคนหากถูกสุนัขหรือแมวกัด ข่วน ให้รีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาด และพบแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคทันที

นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคพิษสุนัขบ้า(Rabies) เป็นโรคร้ายแรงที่พบได้ตลอดปี โรคนี้มีความเป็นพิเศษต่างจากโรคอื่นๆ คือ หากติดเชื้อจนมีอาการป่วยจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ ต้องเสียชีวิตทุกราย แต่โรคนี้ป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนในสัตว์เลี้ยง และในคนหลังถูกสุนัข หรือแมวกัด แต่ละปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้กว่า 50,000 คน ประเทศไทยสัตว์ที่แพร่เชื้อมากที่สุดคือ สุนัข พบผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าทุกปี ในปี 2556 มี 6 ราย ทุกรายถูกสุนัขกัด และไม่ได้ฉีกวัคซีนหลังถูกกัด จึงนับว่าโรคนี้ยังเป็นปัญหาอยู่ เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันในสุนัขบางพื้นที่ครอบคลุมไม่ถึงร้อยละ 80 ของสุนัขในพื้นที่ ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ซึ่งคาดว่าทั่วประเทศมีประชากรสุนัขประมาณ 7 ล้านตัว ในแต่ละปีคนไทยถูกสุนัขกัดไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ในจำนวนนี้ประมาณร้อยละ 50 เท่านั้นที่มารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค
       
        นพ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งสร้างพื้นที่ในชนบท และเขตเมืองทั่วประเทศให้ปลอดโรคพิษสุนัขบ้า ตั้งเป้าครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2558 เพื่อกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดไปจากประเทศภายใน พ.ศ.2563 ตามเป้าที่อนามัยโลก และองค์การควบคุมโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศกำหนด โดยร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัขตั้งแต่อายุ 3 เดือนขึ้นไป ครอบคลุมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของสุนัขที่มีในหมู่บ้าน ขึ้นทะเบียนการเลี้ยงทุกหลังคาเรือน และทำหมัน เพื่อควบคุมจำนวนสุนัข โดยเฉพาะสุนัขจรจัด และให้เจ้าของนำสุนัขไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคทุกปี
       
        ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ เกิดจากเชื้อไวรัส ก่อโรคในสัตว์เลือดอุ่นเลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดเช่น สุนัข แมว วัว ควาย ลิง ชะนี เป็นต้น ในไทยพบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคนี้มากที่สุดร้อยละ 96 รองลงมาคือ แมว เชื้อติดต่อสู่คนจากการถูกสัตว์ที่เป็นโรคกัด ข่วน เลีย น้ำลายกระเด็นเข้าทางตา ปาก หรือบาดแผลตามผิวหนัง โดยเชื้อไวรัสจะเพิ่มจำนวนที่บริเวณแผลถูกกัด หลังจากนั้นประมาณ 3 สัปดาห์-4 เดือน จะมีอาการป่วย บางรายอาจเร็วเพียง 4 วัน การป่วยจะช้า หรือเร็วขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อที่เข้าไป ตำแหน่งบาดแผล หากอยู่ใกล้สมอง เชื้อจะเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง หรือเข้าสู่สมองได้เร็ว ผู้ป่วยจะมีอาการคลุ้มคลั่ง ดุร้าย กระวนกระวาย หากเชื้อเข้าสู่ไขสันหลังจะทำให้สมอง และไขสันหลังทำงานผิดปกติ มีอาการอัมพาต และเสียชีวิตในที่สุด
       
        ปัจจุบันยังไม่มียาใดที่รักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคพิษสุนัขบ้าแล้วจะเสียชีวิตทุกราย แต่สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน หากถูกสุนัขกัด ถูกเล็บข่วน หรือถูกเลียบริเวณที่มีบาดแผล ขอให้รีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาด และไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ในสถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่ใกล้ที่สุด ทั้งนี้ อาการของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคพิษสุนัขบ้าที่สังเกตง่ายคือ สุนัขจะมีอารมณ์หงุดหงิด หางตก น้ำลายไหล อาจมีอาการคล้ายคล้ายกระดูก หรือก้างติดคอ ซึ่งอาจทำให้เจ้าของเข้าใจผิด เอามือไปล้วงที่ปาก คลำหาก้าง หรือกระดูก หากพบสุนัขมีอาการดังกล่าวขอให้นึกถึงโรคพิษสุนัขบ้า และแยกสุนัขไว้ไม่ให้คลุกคลีกับสุนัขอื่น หรือคน และแจ้งปศุสัตว์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที
       
       ด้านนพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณภัยด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีการชุมนุมทางการเมืองของกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการประเมินผลการปฏิบัติงานของทีมแพทย์กู้ชีพในรอบ 24ชั่วโมง มีผู้บาดเจ็บเพิ่ม 2 ราย ที่นำส่งรักษาที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ตรวจอาการและเย็บแผลให้กลับบ้านแล้ว
       
       นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ความคืบหน้าของการจัดบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองและผู้ชุมนุมชาวนาว่า ได้จัดทีมแพทย์กู้ชีพชั้นสูง จากโรงพยาบาลบ้านหมี่ จ.ลพบุรี ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับสภากาชาด และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จ.สระแก้ว เตรียมพร้อมดูแลผู้ชุมนุมในพื้นที่ ร่วมกับโรงพยาบาลราชวิถี นพรัตนราชธานี และเลิดสิน และปฏิบัติกู้ชีพขั้นพื้นฐาน เตรียมพร้อมดูแล คือบริเวณสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมืองทองธานี โดยปฏิบัติงานร่วมกับมูลนิธิร่วมกตัญญู มูลนิธิป่อเต็กตึ้ง เตรียมพร้อมทีมแพทย์ฯ พร้อมให้การสนับสนุน
       
       "ส่วนกรณีของผู้ชุมนุมชาวนาที่กระทรวงพาณิชย์ สนามบินน้ำ ได้มอบให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี และโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า โดยปฏิบัติงานร่วมกับมูลนิธิร่วมกตัญญู มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และทีมมูลนิธิกู้ชีพในพื้นที่ ติดตามดูแลการเจ็บป่วยและให้ทุกจังหวัดที่มีการชุมนุมทางการเมืองและการชุมนุมของชาวนา จัดทีมแพทย์ดูแลทุกจุด" ปลักสธ. กล่าว


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #62 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2014, 08:23:16 am »

กลิ่นเท้าแรง มีวิธีแก้

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87_%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89/-


เรื่องเล็กๆ แต่ก็มีความสำคัญไม่น้อย
คุณเคยได้กลิ่นเหม็นอบอวน ชวนอาเจียนโชยมาในห้องเรียน,ออฟฟิศ หรือที่ต่างๆบ้างไหม แล้วคุณคิดว่ากลิ่นมันมาจากไหน เจ้าของกลิ่นจะรู้ตัวหรือไม่ ว่ากำลังทำร้ายคนรอบข้างอยู่ แน่นอนเข้าคงไม่รู้ตัวหรอก เพราะถ้าเขารู้เขาคงไม่ถอดรองเท้าออกปล่อยกลิ่นขนาดนั้น หรือไม่กลิ่นอาจจะมาจากเท้าของคุณเองก็ได้ ไม่เชื่อลองแอบยกมาดมดูสิ "กลิ่นเท้า" เกิดจากการหมักหมมของแบคทีเรียของรองเท้า ทำให้เกิดกลิ่นมักจะเกิดกับคนที่มีเหงื่อออกเท้ามาก แต่ถ้าคุณไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้กับตัวเอง เพียงรักษาความสะอาดซักนิดนอกจากเท้าของคุณจะปราศจากกลิ่นแล้วเท้าของคุณก็จะไม่หยาบกร้าน ส้นเท้าแตก แก่ก่อนวัย

วิธีดูแล
1. ทำความสะอาดเท้าด้วยการล้างน้ำอุณภูมิปกติ
2. ผสมน้ำอุ่นกับสบู่ แช่เท้าลงไปประมาณ 5 นาที เพื่อให้รูขุมขนเปิดและทำให้สิ่งสกปรกหลุดออกไปได้ง่าย
3. จากนั้นขัดเท้าและซอกนิ้วด้วยที่ขัดเท้า ขัดเป็นวงกลมนวดไปให้ทั่วโดยเน้นเฉพาะส่วนที่หยาบ หนากว่าส่วนอื่น
4. ล้างออกด้วยน้ำอุ่นอุณหภูมิปรกติเพื่อปิดรูขุมขน แล้วเช็ดออกด้วยผ้า
5. ทาครีมบำรุงให้ทั่วเท้าโดยเฉพาะส้นเท้าและซอกนิ้ว ทำสัปดาห์ละครั้ง นอกจากจะได้เท้าสะอาดไร้กลิ่นยังเป็นการผ่อนคลายความเครียดได้อีกทางด้วย




ข้อมูลและรูปภาพจาก : ความรู้รอบตัว.com

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #63 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2014, 11:12:12 am »
รักษาโรคสะเก็ดเงิน ด้วยการแพทย์แผนไทย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 กุมภาพันธ์ 2557 17:17 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000018107-




โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) หรือ เรื้อนมูลนก ในทางการแพทย์แผนไทยเกิดจากเลือดและน้ำเหลืองที่ผิดปกติ ทำให้น้ำเหลืองเสีย ส่งผลให้แสดงอาการเป็นผื่นที่ผิวหนัง ผู้ป่วยจะมีรอยผุดขึ้นเป็นแว่น เป็นวง ตามผิวหนัง เล็กบ้างใหญ่บ้าง มีสีขาว มีขอบนูนเล็กน้อย และมีอาการคันร่วมด้วย เมื่อนานเข้าจะลามไปทั่วร่างกาย
       
       โรคสะเก็ดเงิน จัดว่าเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจผู้ป่วยเป็นอย่างมาก ซึ่งสาเหตุของโรคยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่ที่พบเจอได้บ่อยมักมีคนในครอบครัวที่เป็นโรคนี้หรือมีสาเหตุจากพันธุกรรมนั่นเอง และการรักษาแผนปัจจุบันมักเป็นเพียงการให้ยาเพื่อไม่ให้อาการกำเริบ แต่ศาสตร์การแพทย์แผนไทย ได้มีมุมมองการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้อย่างลึกซึ้งไปถึงพื้นฐานของโรค มีการวิเคราะห์มูลเหตุการเกิดโรค ลักษณะอาการ และมีการแยกตามลักษณะหรือธาตุประจำตัวผู้ป่วยร่วมด้วย เพื่อใช้ในการตั้งตำรับยาอย่างตรงจุด และช่วยปรับสมดุลต่างๆ ของร่างกายให้ดีขึ้น และรักษาอาการของโรคสะเก็ดเงินไปพร้อมกัน โดยยาสมุนไพรส่วนใหญ่ที่ใช้จะเป็นกลุ่มยาบำรุงและระบายน้ำเหลืองเสีย โดยมีทั้งยาต้ม ยาอาบ ยาแช่ และยาน้ำมันทาภายนอกแก้คัน
       
       อาการเริ่มต้นของโรคนี้ คือ จะมีอาการคันที่หนังศีรษะ มีสะเก็ดคล้ายรังแคแต่มีขนาดใหญ่กว่า และเป็นเรื้อรัง ใช้แชมพูขจัดรังแคก็ไม่หาย หรือมีสะเก็ดสีขาวขึ้นตามข้อศอก ข้อพับต่างๆ มีอาการกำเริบมากในช่วงที่อาการแห้ง หรืออากาศเย็น เมื่อไม่ได้รับการรักษา โรคจะลามเข้าเล็บทำให้เล็บเหลือง เป็นคลื่น คล้ายดอกเล็บสีขาวแต่มีขนาดใหญ่กว่า คล้ายกับมีเชื้อราที่เล็บ ถ้าเป็นเรื้อรัง หรือรับการรักษาไม่ต่อเนื่อง ประกอบกับการรับประทานของแสลงอยู่เรื่อยๆ จะทำให้อาการของสะเก็ดเงินล่ามเข้าไปในข้อ เข้ากระดูก ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดตามข้อ ตามกระดูก นานเข้าก็จะทำให้เกิดอาการข้อผิดรูป หงิก งอ โดยเฉพาะข้อมือ ข้อเท้า
       
       การรักษา
       
       ใช้ยาต้มสมุนไพร ที่มีรสเมาเบื่อ เพื่อแก้น้ำเหลืองเสีย แก้พิษโลหิต และใช้ยาทา เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก้ผิว พวกน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น กลีเซอรีน หรือโลชั่นบำรุงผิว (แต่ต้องทามากกว่าปกติ 2-3 เท่า) ที่สำคัญผู้ป่วยควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และต้องมาพบแพทย์แผนไทยก่อน เพื่อทำการประเมินและแยกโรค และจ่ายยาให้เหมาะสมกับผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน
       
       โดยการประเมินผู้ป่วยนั้นจะประเมินจาก
       
       1.ลักษณะความสุขสบาย ภาวะความเครียด ผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งได้จากการซักประวัติ และสังเกตบุคลิก อารมณ์ สีหน้า ฯลฯ
       
       2.ลักษณะของผิวหนัง เช่น ผื่น สีผิว ความร้อน-เย็น ตำแหน่งของผื่น
       
       3.ลักษณะของเล็บ ซึ่งมักจะพบลักษณะเล็บของผู้ป่วยผิดปกติ เช่น เป็น Oil Drop (ลักษณะเล็บเป็นคลื่นขรุขระ)
       
       4.ลักษณะของการขับถ่าย ซึ่งโดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีภาวะท้องผูกร่วมด้วย
       
       อาการแสดงของโรคสะเก็ดเงิน แบ่งออกเป็น
       
       1.ผิวหนังชื้น ลอก แดง เป็นลักษณะที่แสดงถึงภาวะความผิดปกติของน้ำเหลือง ซึ่งต้องจ่ายยาในกลุ่มของน้ำเหลืองเป็นหลัก เช่น ข้าวเย็นทั้งสอง, เปลือกขันทองพยาบาท, เหงือกปลาหมอ เป็นต้น
       
       2.ผิวหนังแห้ง ขุย ล่อน เป็นลักษณะที่แสดงถึงภาวะความผิดปกติของโลหิต ต้องจ่ายยาในกลุ่มบำรุงเลือด เช่น ฝาง, คำฝอย, คำไทย เป็นต้น
       
       ข้อห้ามและข้อควรระวังของผู้ป่วยสะเก็ดเงิน
       
       1.งดอาหารแสลง (ห้ามรับประทานเด็ดขาด) อาทิ ปลาไม่มีเกล็ด เช่น ปลาดุก ปลาไหล ปลากราย เพราะเมือกและความคาวของปลาจะทำให้อาการของโรคกำเริบมากขึ้น และจะทำมีอาการคันมากขึ้นด้วย ปลาครีบแข็ง เช่น ปลาหมอ ปลานิล ของหมักดอง เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ อาหารรสจัด อาหารรสมันจัด หวานจัด เค็มจัด อาหารทะเล
       
       2.หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเครียด
       
       3.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
       
       จากประสบการณ์การรักษาที่ผ่านมากว่า 4 ปี ของร้านยาไทยโพธิ์เงินโอสถ อภัยภูเบศร พบว่า ผู้ป่วยมีอาการค่อยๆ ดีขึ้น เป็นที่น่าพอใจ แต่ทั้งนี้ ต้องควบคู่ไปกับการดูแลตนเองอย่างถูกวิธี การงดอาหารแสลง ทำจิตใจให้สบายไม่เครียด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้และด้วยทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้เล็งเห็นว่าโรคนี้เป็นปัญหาสุขภาพและมีผลกระทบต่อคนไทยเพิ่มมากขึ้น จึงได้ทำการเปิดคลินิกพิเศษโรคสะเก็ดเงินภายในงานการแพทย์แผนไทยของโรงพยาบาลขึ้น เพื่อขยายช่องทางการรับบริการ โดยปัจจุบันผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาได้ 2 ช่องทาง คือ ที่ร้านยาไทยโพธิ์เงินโอสถ อภัยภูเบศร และที่งานการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ตั้งแต่เวลา 13.00-16.30 น.(เฉพาะวันทำการ จันทร์-ศุกร์) โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านยาไทยโพธิ์เงินโอสถ อภัยภูเบศร 087-582-0597 และงานการแพทย์แผนไทย 085-391-2255

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #64 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2014, 05:31:47 pm »
วิธีป้องกันและดูแลอาการป่วย โรคอีสุกอีใส

-http://club.sanook.com/23327/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2-






วิธีป้องกันและดูแลอาการป่วย โรคอีสุกอีใส

อีสุกอีใส เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่าย พบได้บ่อยในเด็กวัยเรียน นับเป็นโรคที่ไม่รุนแรงในเด็กปกติ สามารถหายได้เองและไม่มีอันตราย แต่อาจทำให้มีผลเสียทางอ้อม เช่น ต้องหยุดโรงเรียน พ่อแม่หรือผู้ปกครองต้องหยุดงานเพื่อมาดูแล อาการของโรคและผลกระทบจะมากขึ้นกรณีเป็นเด็กโต นอกจากนี้ เด็กโต ผู้ใหญ่ และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้มากขึ้น

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไวรัสอีสุกอีใส ซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดงูสวัด

 

การติดต่อ

ติดต่อโดยการสัมผัสถูกตุ่มน้ำที่ผิวหนังผู้ป่วยโดยตรง หรือสัมผัสถูกของใช้ เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม ที่นอนของผู้ป่วยที่สัมผัสกับตุ่มน้ำ หรือจากการสูดหายใจเอา ละอองของตุ่มน้ำผ่านเข้าทางเยื่อเมือก ระยะติดต่อคือ ช่วง ก่อนเกิดตุ่มคันที่ผิวหนัง 1 หรือ 2 วัน

 

อาการ

หลังจากได้รับเชื้อเข้าไปจากการสัมผัสโดยตรงหรือจากการหายใจ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการภายใน 10-21 วัน เริ่มต้นด้วยมีไข้ต่ำๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว 2-4 วัน หลังจากนั้นจะเริ่มมีผื่นเกิดขึ้น ผื่นของโรคนี้อาจมีอาการคันได้ ผื่นจะเกิดขึ้นที่บริเวณใบหน้าและลำตัวก่อนแล้วค่อยๆลามไปยังแขนขา ผื่นจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะต่างๆอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง จากผื่นแดงกลายเป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำและตกสะเก็ด ตุ่มน้ำจะมีลักษณะคล้ายหยดน้ำอยู่บนผิวหนังที่แดง เมื่อตุ่มน้ำโตเต็มที่จะกลายเป็นตุ่มหนอง ต่อมาตุ่มหนองจะแห้งลง มีลักษณะบุ๋มตรงกลางแล้วตกสะเก็ดหลุดไปในเวลา 5-20 วัน หลังสะเก็ดหลุด จะเห็นผิวหนังเป็นหลุมเล็กๆสีชมพู ซึ่งต่อมาจะจางเป็นสีขาวและไม่เกิดแผลเป็น แต่ในรายที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อนหรือแกะสะเก็ดให้หลุดไปก่อนจะเกิดแผลเป็นตามมาได้ ผื่นของโรคนี้มักอยู่เป็นกลุ่มและมักพบผื่นหลายระยะในบริเวณใกล้ๆกัน โดยพบมากที่บริเวณศีรษะ ลำตัว และใบหน้า ส่วนบริเวณแขนขาจะมีตุ่มขึ้นน้อยกว่า

ลักษณะไข้มักเป็นพร้อมผื่น โดยจะเป็นอยู่ 2-4 วัน และหายไปเมื่อตุ่มตกสะเก็ด โรคอีสุกอีใสในเด็กเล็กอาจไม่มีไข้ หรือมีไข้ต่ำๆ แต่ในเด็กวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่มักมีอาการไข้ ปวดศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว และเบื่ออาหารนำมาก่อนที่จะมีผื่นเกิดขึ้นประมาณ 1-2 วัน

 

ภาวะแทรกซ้อน

โดยทั่วไปโรคนี้มักจะหายเป็นปกติได้เอง พบภาวะ แทรกซ้อนได้น้อยในเด็ก พบบ่อยขึ้นในผู้ใหญ่และมักมีอาการรุนแรง ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ เช่น

1. การติดเชื้อแบคทีเรีย มักเกิดบริเวณผิวหนังที่เป็นตุ่มน้ำหรือติดเชื้อในกระแสเลือด ข้อหรือกระดูกได้

2. สมองอักเสบ พบได้น้อยกว่า 1 ใน 1,000 ราย อาการที่พบบ่อยคือ เดินเซ โดยมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี หรือผู้ใหญ่ อาการมักเกิดหลังผื่นขึ้น3-8 วัน

3. ปอดอักเสบ มักพบในผู้ใหญ่ โดยจะมีอาการไอ เจ็บหน้าอก หายใจเร็ว หอบเหนื่อย อาจมีอาการเขียวหรือไอเป็นเลือดได้ มักเกิดภายในวันที่ 1-5 หลังผื่นขึ้น

4. การติดเชื้อแบบแพร่กระจาย มักพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยโรคไต หรือผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน อาการของโรคมักรุนแรงมีการดำเนินโรคเร็ว

นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคนี้ในระยะก่อนคลอด 5 วันหรือหลังคลอด 2 วัน ทารกที่เกิดมาอาจเป็นโรคอีสุกอีใสชนิดรุนแรงได้

การรักษา

เนื่องจากโรคนี้หายได้เองโดยธรรมชาติ การรักษาส่วนใหญ่จึงเป็นการรักษาตามอาการ

 

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยควรได้รับการพักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ

2. ถ้ามีไข้ ให้ใช้ยาลดไข้พาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาลดไข้แอสไพรินเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่มอาการไรย์ (Reye’s syndrome) ซึ่งเป็นความผิดปกติของสมองและตับ ทำให้มีอาการของสมองอักเสบร่วมกับตัวเหลืองจนเกิดอันตรายร้ายแรงได้ นอกจากนี้ ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อยๆ

3. ถ้าปากหรือลิ้นเปื่อย ให้ใช้น้ำเกลือกลั้วปาก

4. ควรอาบน้ำ ฟอกสบู่ให้สะอาด อาจใช้สบู่ที่มียาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

5. ควรตัดเล็บให้สั้น พยายามไม่แกะหรือเกาตุ่มคันซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อกลายเป็นตุ่มหนองได้

6. ควรระมัดระวังไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น ระยะแพร่เชื้อคือตั้งแต่ระยะ 24 ชั่วโมงก่อนมีผื่นขึ้นจนกระทั่งระยะ 6 วันหลังผื่นขึ้น

7. โรคนี้ไม่มีอาหารแสลง ควรรับประทานอาหารจำพวกโปรตีนเช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่างๆ เพื่อให้มีภูมิต้านทานโรค

 

การป้องกันโรค

การป้องกันการติดต่อของโรคนี้ทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1-2 วันก่อนผื่นขึ้นจนผื่นตกสะเก็ด

• เด็กที่เป็นโรคอีสุกอีใสควรงดไปโรงเรียนจนผื่นตกสะเก็ดหมด อย่างไรก็ตาม เพื่อนๆในห้องอาจได้รับเชื้อไปตั้งแต่ก่อนผื่นขึ้นแล้ว

• การป้องกันที่ได้ผลในปัจจุบันคือ การฉีดวัคซีนป้องกัน วัคซีนนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันโรคได้ดีในเด็ก

 

การฉีดวัคซีน

• เด็กอายุ 1-12 ปี ป้องกันโดยฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียว

• เด็กอายุ 13 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ การเกิดภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีนไม่ดีเท่าเด็กเล็ก จึงต้องฉีด 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน

 

ผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน

• มีไข้ต่ำๆหรือตุ่มน้ำเล็กน้อยในบางราย

• การฉีดวัคซีนไม่สามารถป้องกันการเกิดโรคได้ทุกคน โดยจะป้องกันได้ร้อยละ 85-95

• ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วเมื่อเป็นโรคจะมีอาการไม่รุนแรงมีตุ่มขึ้นจำนวนน้อยและหายเร็ว

• โรคงูสวัดจะพบน้อยลงหลังฉีดวัคซีน

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หน่วยสุขศึกษา โรงพยาบาบจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

เว็บไซค์ : http://www.chulalongkornhospital.go.th/

ภาพประกอบจาก www.Photos.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #65 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 17, 2014, 05:40:44 am »
ออกกำลังได้มากขึ้น ด้วยวิธีเพิ่มกำลังให้แรงบีบมือ

-http://men.kapook.com/view80175.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก robshep, thebaseballzone, oneresult เเละ shapefit
 
          หลายคนคงมีเป้าหมายในการออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อแขนสุดล่ำ หน้าอกที่ดูบึกบึน รวมถึงรูปร่างทรงวีเชปที่แสนเซ็กซี่ โดยคุณจำเป็นต้องออกกำลังกายด้วยการใช้ดัมเบล บาร์เบล และการโหนบาร์อย่างหนักหน่วง ซึ่งส่วนสำคัญของการออกกำลังกายเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่กล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างไทรเซปส์หรือหัวไหล่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงส่วนที่ทำหน้าที่จับอุปกรณ์ทั้งหลายเอาไว้ด้วยอย่างมือก็สำคัญเช่นกัน ได้ยินแบบนี้แล้ว หลายคนคงสงสัยว่า แรงบีบมือ ของเราสำคัญต่อการออกกำลังกายอย่างไรกันแน่ ถ้างั้นลองมาติดตามวิธีบริหารกำลังมือที่เรานำมาจากเว็บไซต์ fashionbeans.com ก่อนเลยดีกว่าครับ

          กล้ามเนื้อมือสำคัญไฉน ?

          ถึงแม้ว่าเป้าหมายการออกกำลังกายของคุณจะเป็นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าอก ไทรเซปส์ หรือหัวไหล่ แต่คุณก็ต้องพึ่งพามือในการจับบาร์เบล ยึดตัวไว้กับบาร์โหนอยู่ดี ซึ่งถ้าหากกล้ามเนื้อมือไม่แข็งแรงพอ ก็จะไม่สามารถใช้มือประคองน้ำหนักที่มากขึ้นได้ รวมทั้งเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บ นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อการออกกำลังกายในระยะยาวมากทีเดียว รู้ความสำคัญขนาดนี้แล้ว คุณก็ควรเริ่มบริหารกล้ามเนื้อมือไว้เสียแต่เนิ่น ๆ รับรองว่า ทั้งง่ายและคุ้มค่ากว่าที่คิดแน่นอน



          เทคนิคช่วยเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อมือ

          ใช้มือเปล่าออกกำลัง ถึงแม้ว่าถุงมือจะช่วยให้การออกกำลังกายง่ายขึ้นและลดอาการบาดเจ็บลงไปได้ แต่การฝึกใช้มือเปล่าออกกำลังกายก็ยังจำเป็นอยู่เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของมือ ซึ่งส่งผลต่อการออกกำลังกายในระยะยาวของคุณอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว

          เน้นการบริหารบ่อย ๆ กล้ามเนื้อมือก็เหมือนกล้ามเนื้ออื่น ๆ ที่ต้องการความถี่ในการฝึกฝน แต่ต่างที่การฝึกกล้ามเนื้อมือไม่จำเป็นต้องแยกออกไปเป็นการบริหารเฉพาะอย่าง และสามารถสอดแทรกมันลงไปได้ในการโหนบาร์ การยกเล่นเวทได้ เพียงแค่คุณออกแรงบีบบาร์โหน หรือเปลี่ยนจากถือด้วยอุ้งมือก็ลองใช้นิ้วมือประคองบาร์เบลแทน

          ฝึกในสิ่งที่ต้องการ ตั้งเป้าหมายในการฝึกว่าต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการกับท่าออกกำลังกายแบบใด เพื่อจะได้ฝึกให้ถูกลักษณะ เช่น ถ้าต้องการยกน้ำหนักแบบ Dead Lift ได้มากขึ้น คุณก็ควรฝึกโหนบาร์ค้างเพื่อเรียกความแข็งแรง และไม่จำเป็นต้องฝึกหมุนข้อมือเพื่อความยืดหยุ่นมากนัก

          ท่าการบริหารกล้ามเนื้อมือ



          โหนบาร์ค้างไว้

          ท่านี้ง่ายนิดเดียว เพียงแค่โหนบาร์ค้างไว้ให้นานที่สุด ซึ่งยิ่งผ่านไปนานเท่าไรความแข็งแรงก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น เบื้องต้นควรใช้สองมือ แต่ถ้ามันไม่ท้าทาย จะใช้มือข้างเดียวสลับกันก็ได้ ควรทำท่านี้ให้ได้อย่างน้อย 1 นาทีโดยไม่ปล่อยมือ



          ถือจานน้ำหนักด้วยนิ้ว

          ถือจานน้ำหนักขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นให้ใช้นิ้วมือถือจานน้ำหนัก โดยไม่ให้ใช้ฝ่ามือช่วย นอกจากนี้ คุณสามารถเพิ่มจานน้ำหนักขึ้นเรื่อย ๆ ได้ตามความเหมาะสม




          เปลี่ยนวิธีโหนบาร์

          ปกติแล้วท่า Pull Up หรือการโหนบาร์ก็เป็นท่าที่เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมืออยู่แล้ว แต่ถ้าหากอยากบริหารให้มากกว่านี้ คุณก็ต้องเปลี่ยนวิธีการจับบาร์โหน เช่น เอาผ้าเช็ดตัวพันบาร์โหนให้แน่น ซึ่งทำให้บาร์โหนลื่นมากกว่าปกติเลือกโหนบาร์ที่มีความหนามากขึ้น หรือจะเอาที่จับออกจากตัวบาร์เลยก็ยังได้ ทั้งหมดนี้จะทำให้การโหนบาร์ยากขึ้น จึงต้องอาศัยความพยายามในการจับมากขึ้นตามไปด้วย




          หมุนข้อมือ

          ใช้มือถือบาร์เบลในลักษณะคว่ำมือ จากนั้นก็หงายมือขึ้นเพื่อหมุนบาร์เบลเหมือนท่าควงคฑาจากนั้นคว่ำมือลง ทำ 10 รอบ รับรองว่ามือคุณจะแข็งแรงขึ้นแน่นอน

          ได้รู้ทั้งความสำคัญและเทคนิควิธีการบริหารกล้ามเนื้อมือกันไปแล้ว ก็อย่าลืมนำไปใช้ปฏิบัติจริงกันบ้าง เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายของการออกกำลังกายที่คุณตั้งใจไว้ได้อย่างรวดเร็วขึ้นยังไงล่ะครับ...


http://men.kapook.com/view80175.html
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #66 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2014, 05:50:42 am »

สี ลิ้น บอกโรค

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%AA%E0%B8%B5_%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99_%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84/-



"ลิ้น" เป็นอวัยวะสำคัญที่แพทย์จีนแผนโบราณใช้ในการตรวจโรค เพราะลิ้นเป็นอวัยวะที่บอบบาง ลักษณะของลิ้นจึงเปลี่ยนไปตามสภาพร่างกายได้ง่าย โดยตำราแพทย์แผนจีนแบ่งแผนที่ "ลิ้น" ออกเป็นธาตุทั้ง 5 ดังนี้

ปลายลิ้น : ธาตุไฟ
ระบบหลอดเลือดหัวใจ
      ปลายลิ้นจะบ่งบอกถึงสุขภาพหัวใจทั้งกายและจิต สีแดงและจุดแดงที่ปลายลิ้น แสดงถึงความเครียดต่าง ๆ โดยธาตุไฟที่พลุ่งพล่านนี้จะสื่อว่า หัวใจของเราทำงานหนักเกินไป เพราะมีความเครียดและแรงกดดันนั่นเอง

ส่วนถัดจากปลายลิ้นเข้ามา : ธาตุเหล็ก
ระบบหายใจและระบบภูมิคุ้มกัน
      บริเวณนี้หมายถึงแนวโค้งที่อยู่ถัดจากปลายลิ้นเข้ามา หากมีสีออกแดง หรือมีจุดสีแดงขนาดเท่าหัวเข็ม อาจสื่อถึงการติดเชื้อในปอดสีซีด บ่งบอกว่าระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ถ้ามีสีออกน้ำตาลอาจแสดงถึงเชื้อราในปอด

กลางลิ้น : ธาตุดิน
ระบบย่อยอาหาร
       กลางลิ้นจะเกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหาร ม้าม และตับอ่อน รวมถึงปัญหาของระบบขับถ่าย เช่น คราบสีแดงและเหลืองที่กลางลิ้น บ่งบอกถึงโรคกรดไหลย้อนที่ทำให้เราตื่นขึ้นมากลางดึก การเปลี่ยนแปลงใดก็ตามในบริเวณธาตุดินอาจช่วยชี้ปัญหาในระบบขับถ่ายที่เรายังไม่รู้ก็ได้

ข้างลิ้น : ธาตุไม้ 
ระบบของตับ
       หากมีรอยฟันที่ข้างลิ้นอาจหมายความว่าพลังงานที่ตับไม่ไหลเวียน บางครั้งจะเห็นเป็นจุดสีเขียวช้ำหรือม่วง หากเป็นสีเข้มอาจสื่อถึงปัญหาร้ายแรง เช่น กระดูก ซี่โครงด้านล่างขยายตัวหรืออาการปวดบวมบริเวณท้องน้อย

โคนลิ้น : ธาตุน้ำ
ระบบปัสสาวะ
       โดยหลักแล้วโคนลิ้นจะสื่อถึงไตและกระเพาะปัสสวะ สิ่งที่เราต้องดูคือสีและคราบ ถ้าโคนลิ้นตรงกลางมีคราบสีเหลืองอาจแสดงว่ากระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ ซึ่งบรรเทาอาการได้ด้วยการดื่มน้ำวันละ 8-12 แก้ว กันไว้ก่อนดีกว่าต้องไปพบแพทย์ทีหลัง


ที่มาข้อมูล :  นิตยสาร Lisa
รูปภาพจาก : www.dek-d.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #67 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2014, 06:02:24 am »
แอร์บ้าน…5 เรื่องที่คนไม่รู้ควรอ่าน


-http://club.sanook.com/24948/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-5-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1-




เครื่องปรับอากาศ คือ ภัยที่หลายคนมองข้ามในฐานะแหล่งเพาะเชื้อโรคหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะเชื้อที่มีการแพร่ทางอากาศ ยิ่งเปิดนาน ก็ยิ่งรับการสะสมภัยอันตรายมาก และนี่คือ 5 เรื่องที่คุณไม่รู้ที่ควรอ่าน


1. แพทย์ยืนยันชัดเจนว่ามีเชื้อโรคนานาชนิดอยู่ในเครื่องปรับอากาศ และเชื้อโรคที่อยู่ในเครื่องปรับอากาศทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา มักเป็นเชื้อโรคที่เจริญเติบโตได้รวดเร็ว และแพร่เชื้อผ่านทางอากาศ ส่งผลให้คนที่ใช้เครื่องปรับอากาศสุขภาพเสื่อมโทรม และเป็นโรคต่าง ๆ มากมาย ทั้ง วัณโรค เชื้อไวรัส โรคสุกใส งูสวัด โรคภูมิแพ้ หืดหอบ ปอดบวม และหัดเยอรมัน

2. อาการโรคภูมิแพ้ จากเครื่องปรับอากาศคือ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการคันจมูก คันตา จามบ่อย แน่นจมูก และเมื่อตื่นนอนขึ้นมาจะมีอาการระคายคอ และหากมีอาการป่วยรุนแรงมาก จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

3. ควรสังเกตว่า เวลาที่เปิดเครื่องปรับอากาศถ้ามี กลิ่นอับชื้นที่มากับความเย็น กลิ่นอับชื้นเหล่านี้มักมาจากเชื้อโรคที่ออกมาจากช่องระบายความเย็น และแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศ โดยความชื้นจะเป็นแหล่งสะสมเพาะพันธุ์อย่างดีของเชื้อโรค และเมื่อสะสมมาก ๆ เข้า เชื้อโรคก็จะหลุดลอยออกมาปะปนกับอากาศเย็นภายในห้อง

4. ควรล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ โดยดูตามความเหมาะสมจากสภาพแวดล้อมและการใช้งาน ด้วยวิธีการล้างแผ่นกรองอากาศอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยใช้น้ำฉีดแรง ๆ ที่ด้านหลัง ด้านที่ไม่ได้รับฝุ่น ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกหลุดออก และในแต่ละปีควรล้างเครื่องปรับอากาศแบบเต็มระบบ

5. ควรปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม โดยทั่วไปควรตั้งไว้ที่ 25 องศาเซลเซียส และเปิดพัดลมระบายอากาศ เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศได้อย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษ ในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ เช่น การสูบบุหรี่ การปรุงอาหาร ที่สำคัญ ควรดูแลสิ่งแวดล้อมในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ โดยกำจัดฝุ่น กำจัดแหล่งที่อยู่ของแมลงสาบ ละอองเกสรพืช ไรฝุ่นในที่นอน ขนสัตว์ และแมลงอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ หมั่นทำความสะอาดบ่อย ๆ และควรทำความสะอาดเพดาน ม่าน กำแพง ทุก ๆ 2 -3 เดือน กำจัดแหล่งเชื้อรา อย่าให้เกิดความชื้น หรือกลิ่นอับขึ้นภายในบ้านหรือในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก วิชาการดอทคอม


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #68 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2014, 10:08:44 am »
ปวดหัว อย่าชะล่าใจ ไม่ธรรมดา


-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/217939/%E2%80%98%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7+%E2%80%93+%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88+%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2%E2%80%99+-+%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-



ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันผู้คนต่างหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพกันมากขึ้นครับ นั่นก็เพราะคนเราเริ่มมีอายุยืนมากขึ้น ซึ่งการจะใช้ชีวิตยืนยาวได้อย่างมีความสุขปัจจัยหนึ่งคือจะต้องปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวง
วันอาทิตย์ 23 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 00:00 น.

ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันผู้คนต่างหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพกันมากขึ้นครับ นั่นก็เพราะคนเราเริ่มมีอายุยืนมากขึ้น ซึ่งการจะใช้ชีวิตยืนยาวได้อย่างมีความสุขปัจจัยหนึ่งคือจะต้องปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวง

และหนึ่งในโรคหรืออาการที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งนำเราไปพบแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นในคลินิกหรือตามโรงพยาบาลก็คือ อาการ “ปวดศีรษะ หรือ ปวดหัว” นั่นเอง ซึ่งบางคนบอกว่าอาการปวดหัวนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์เรามาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ขณะที่อีกหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยมีใครที่เกิดมาแล้วในชีวิตนี้ไม่เคยปวดหัว เรียกว่าพบได้บ่อยจนกลายเป็นเรื่องปกติ...แต่น้อยคนจะทราบว่าภายใต้คำว่า “ปวดศีรษะ” นั้น อาจมีโรคบางอย่างที่เป็นอันตรายซ่อนเร้นอยู่ ฉบับนี้เราจะมาเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคปวดศีรษะให้มากขึ้นครับ

เมื่อไม่นานนี้ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับ “อ.นพ.ปรีชา ศตวรรษธำรง” อดีตผู้อำนวยการสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ในเรื่องเกี่ยวกับโรคปวดศีรษะ ซึ่ง อ.นพ.ปรีชา มีความคิดเห็นในแนวทางเดียวกับผมว่า ปัจจุบันมีคนไข้มาพบแพทย์ด้วยอาการปวดศีรษะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ บางคนปวดถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือบางคนปวดจนไม่สามารถทำงาน เรียนหนังสือหรือใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับแพทย์คือจะต้องแยกให้ออกว่าอาการปวดศีรษะของคนไข้นั้นจัดอยู่ในกลุ่มใด ซึ่งในทางการแพทย์ จะแบ่งโรคปวดศีรษะออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1.กลุ่มที่ไม่ได้มีรอยโรคในสมองหรือในเยื่อหุ้มสมองเลย แต่เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะเอง เช่น โรคไมเกรน, ปวดศีรษะจากความเครียด, ปวดศีรษะจากเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ, ปวดศีรษะจากเส้นประสาทใบหน้าอักเสบ โดยลักษณะอาการที่พบได้คือ

1. มีอาการปวดศีรษะแบบเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังมาเป็นเวลานาน ช่วงที่ไม่มีอาการก็เป็นปกติ

2. ไม่มีความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น ปากเบี้ยว หลับตาไม่สนิท พูดไม่ชัด หรือแขนขาอ่อนแรง

3. ไม่มีไข้ หรือคอแข็งตึง

4. มักพบในคนอาชีพที่มีความเครียดสูง เช่น นักธุรกิจ นักศึกษา

 

5. เริ่มมีอาการตั้งแต่อายุยังไม่มาก ซึ่งโดยทั่วไปจะพบในกลุ่มอายุน้อยกว่า 60 ปี

 

6. มีปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น ความเครียด การอดนอนหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ อากาศเปลี่ยนแปลง รวมถึงการมีประจำเดือน

2. กลุ่มที่มีรอยโรคอยู่ในสมองและศีรษะจริง ในกลุ่มนี้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา อาจเกิดอันตรายรุนแรงถึงชีวิตได้ เช่น โรคเนื้องอกในสมอง, หลอดเลือดสมองโป่งพอง, เลือดออกในเยื่อหุ้มสมอง, เลือดคั่งในสมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, โรคฝีในสมอง ซึ่งอาการปวดศีรษะในกลุ่มนี้อาจมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน เช่น

1. ปวดทันทีและรุนแรงมาก แบบที่ไม่เคยปวดมาก่อนเลยในชีวิต

2. ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ติดต่อกันหลายวันหรือหลายสัปดาห์ โดยไม่มีช่วงหายดีเลย

3. ปวดรุนแรง พร้อมกับมีอาการคอแข็ง หรืออาเจียนมาก

4. มีอาการแขนขาอ่อนแรง มองเห็นภาพซ้อน ตามัว ซึมลง สับสน ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด หรือหมดสติ รวมกับอาการปวด

 

5. ปวดเมื่อไอ จาม หรือ เบ่งถ่ายอุจจาระจะยิ่งทวีความปวดขึ้น

 

6. ปวดครั้งแรก เมื่ออายุมากกว่า 50 ปี โดยไม่ได้มีโรคปวดหัวใด ๆ มาก่อน

ในคนไข้ปวดศีรษะกลุ่มที่ 1 ซึ่งไม่ได้มีรอยโรคในสมองหรือเยื่อหุ้มสมองเลย พบได้ประมาณ 80% ของคนไข้ปวดศีรษะทั้งหมด โดยส่วนใหญ่มีอาการเรื้อรังเป็น ๆ หายๆ หลังจากที่แพทย์ซักประวัติและวินิจฉัยแล้ว จะแนะนำให้คนไข้ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ผ่อนคลายขึ้น, ให้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และอาจพิจารณาให้ยาแก้ปวดในรายที่จำเป็น เช่น ในคนไข้ปวดศีรษะไมเกรน แต่สิ่งสำคัญสำหรับคนไข้กลุ่มนี้ก็คือ ต้องพยายามสังเกตตัวเองว่าอะไรเป็นสาเหตุหรือเป็นปัจจัยกระตุ้นทำให้เกิดการปวดศีรษะ ซึ่งจะช่วยให้การรักษาคนไข้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น โดยปัจจัยที่พบบ่อยก็เช่น เรื่องของอารมณ์, การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, การทำงานที่เครียดหรือหักโหมจนเกินไป ปัญหาเศรษฐกิจครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาครอบครัว ซึ่งคนไข้บางรายสามารถหายเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมาพบแพทย์เลยครับ

แต่ความน่ากลัวของอาการปวดศีรษะก็คือการที่มีโรคร้ายแอบแฝงอยู่ นั่นก็คือในคนไข้กลุ่มที่ 2 ที่มีรอยโรคอยู่ในสมองและศีรษะ ซึ่งพบได้ประมาณ 20% ของคนไข้ปวดศีรษะทั้งหมดครับ ดังนั้นการซักประวัติและการให้ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างละเอียดแก่แพทย์ จะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวินิจฉัยและรักษา หากพบว่าคนไข้มีลักษณะอาการเข้าข่ายว่าจะเป็นโรคร้ายแรงโรคใดโรคหนึ่ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่เหมาะสมเข้ามาช่วย เช่น ถ้าสงสัยว่ามีภาวะเลือดคั่งในสมองหรือเส้นเลือดในสมองแตก แพทย์จะใช้การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง (CT – 64 Slices), ถ้าสงสัยหลอดเลือดขอดในสมอง และเนื้องอกในสมอง อาจต้องทำการตรวจด้วยเครื่องสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อดูอย่างละเอียดทั้งในส่วนของสมองและหลอดเลือด ถ้าสงสัยภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือมีเลือดออกซึมในชั้นเยื่อหุ้มสมอง อาจต้องมีการเจาะตรวจน้ำไขสันหลังทางห้องปฏิบัติการอย่างละเอียด ร่วมกับการตรวจ CT-Scan หรือ MRI-Scan

การตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดดังที่กล่าวมาทั้งหมด ก็เพื่อให้คนไข้ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที ถูกต้อง และเหมาะสมกับโรคและอาการที่เป็นอยู่ แต่เหนือสิ่งอื่นใด คนไข้จะต้องรู้จักตัวเองและรู้จักภาวะโรคที่ตนเองเผชิญอยู่ด้วย เพราะถ้าหวังพึ่งแต่แพทย์เพียงอย่างเดียว เชื่อว่าการรักษาคงไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรครับ

การดูแลสุขภาพตัวเอง เช่น การออกกำลังกายก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี เหมาะสำหรับคนทุกวัยและทุกโรค เพราะมันช่วยให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายได้ดีขึ้น ช่วยให้หลอดเลือดเสื่อมช้าลง อีกทั้งยังทำให้หลับสบาย จิตใจผ่อนคลายขึ้น การศึกษาธรรมะ การมีสติ มีสมาธิ สนใจพิจารณาแก้ไขปัญหาด้วยปัญญาและประสบการณ์หรือปรึกษานักจิตวิทยา จิตแพทย์ แพทย์ระบบประสาทและสมองก็เป็นหลาย ๆ ทางเลือกที่ควรเลือกใช้ เลือกปฏิบัติ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว อาการปวดศีรษะไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ก็สามารถจะบรรเทาและลดน้อยลงไปได้เอง หรือปรับปรุงแก้ไขรักษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมครับ.

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #69 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2014, 06:24:10 pm »
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสุขภาพ แต่เกี่ยวกับความสวย ความหล่อ ครับ



---------------------------------------------------------------------------

ตามหาสาเหตุของ “ผมหงอก หัวขาว”


-http://club.sanook.com/25233/%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%9C%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%81-%E0%B8%AB-


ตามหาสาเหตุของ “ผมหงอก หัวขาว”

ผมหงอก … หัวหงอก … ผมขาว
รองศาสตราจารย์ ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล
ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

สีเส้นผมเกิดจากเม็ดสีซึ่งรากผมสร้างขึ้นมา ทำให้เส้นผมมีสีต่างๆตามพันธุกรรม ถ้าเม็ดสีมีมากและเข้มข้น เส้นผมจะมีสีเข้ม แต่ถ้าเม็ดสีถูกสร้างมาน้อย สีเส้นผมก็จะอ่อน ระดับของเม็ดสีของเส้นผมจะเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพของร่างกาย ธรรมชาติของสีผมมีทั้งสีดำ เช่นคนเอเชีย สีน้ำตาลและสีบลอนด์ เช่น ชาวตะวันตก สีเส้นผมจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับพันธุกรรม และสีผิวกับสีนัยน์ตา

เส้นผมสีดำนับเป็นสีที่พบมากที่สุดของคนทั่วโลก รองลงมาคือผมสีน้ำตาลซึ่งพบทั่วไปในทวีปยุโรป เส้นผมสีดำโดยทั่วไปมักจะประกอบด้วยเม็ดสีเข้มข้นน้อยกว่าผมสือื่นๆ สีดำของเส้นผมโดยธรรมชาติมีหลายเชดสี ตั้งแต่สีดำจัดคล้ายผงถ่าน ดำอ่อน ดำน้ำตาล จนถึงดำน้ำเงิน

 

ผมสีเทาและผมสีขาว

ผมสีเทาหรือสีขาว ซึ่งมักเรียกกันว่าผมหงอกหรือหัวหงอก ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์การแพทย์นั้นไม่ได้มีสาเหตุจากการสร้างเม็ดสีขาวแทนเม็ดสีดำ แต่เกิดจากการที่รากผมไม่สร้างเม็ดสี ทำให้เส้นผมไม่มีสี กลายเป็นเส้นผมสีขาวหรือเทาเงินเมื่อสะท้อนแสง เส้นผมสีเทาหรือขาวมักเกิดขึ้นเมื่อคนเรามีอายุสูงวัย แต่ก็สามารถพบได้ในเด็กตั้งแต่อายุ 10 ปี ด้วยต้นเหตุเดียวกันคือรากผมไม่สร้างเม็ดสีให้เส้นผม ทำให้เส้นผมไม่มีสี ในบางกรณีผมสีเทาอาจเกิดได้จากโรคต่อมไทรอยด์ หรือในคนที่ร่างกายขาดวิตามินบี12

จากงานวิจัยปี คศ.2005 ในวารสารการแพทย์พบว่าคนเอเซียจะเริ่มมีผมหงอกหรือผมขาวตั้งแต่อายุปลาย 30 ส่วนฝรั่งหรือชาวตะวันตกจะพบเส้นผมเริ่มขาวตั้งแต่อายุ 35 แต่ชาวอัฟริกัน-อเมริกันจะพบเส้นผมขาวได้ช้ากว่าเมื่ออายุประมาณ 45 ปีขึ้นไป ส่วนผู้ที่มีสีผิวและ เส้นผมเป็นสีเผือกนั้นมีสาเหตุจากเม็ดสีทั่วร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมีน้อยมากนั่นเอง

ความเข้าใจที่ว่าถ้าดึงเส้นผมหงอกออก 1 เส้น ผมหงอกจะงอกขึ้นเป็นทวีคูณ เป็นความเข้าใจที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

 

ปัจจัยที่มีผลต่อสีผมธรรมชาติ

อายุ เด็กทารกแรกเกิดสีผมจะอ่อน และจะค่อยๆดำเข้มขึ้นตามวัยจนถึงวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงของสีผมจะเป็นไปโดยธรรมชาติเมื่ออายุเจ้าของสูงวัยขึ้นจนเป็นผมสีเทาหรือสีดอกเลาหรือสีผมหงอก บางคนเกิดมาก็มีผมขาวทั้งหัวซึ่งเป็นไปตามพันธุกรรมก็มี

สาเหตุทางการแพทย์ เช่น คนที่มีปัญหาโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด ทำให้เส้นผมด่างขาวเป็นกลุ่มๆ คนที่มีปัญหาร่างกายขาดสารอาหาร มีผลทำให้เส้นผมไม่แข็งแรง ผมเส้นบางและเบา สีผมอ่อนและขาวไวกว่าอายุ เส้นผมที่ดำขำอาจเปลี่ยนแปลงเป็นน้ำตาลแดงคล้ายกากมะพร้าวเนื่องจากรากผมไม่สามารถผลิตเม็ดสีได้ปกติ หากร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนและแข็งแรง สภาพเส้นผมจะกลับคืนมีชีวิตชีวาได้ในกรณีนี้ อีกกรณี เช่น คนที่มีปัญหาโรคโลหิตจางหรือซีด อาจมีผลทำให้เกิดเส้นผมขาวหรือหงอกได้เร็วเพราะรากผมขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงหรือไม่เพียงพอ นอกจากนี้ทางการแพทย์ยังมีข้อสังเกตุว่า คนที่มีอายุระหว่าง 50-70 ปี และมีเส้นผมขาวแต่มีขนคิ้วดำ มีสถิติว่าจะมีโรคเบาหวานร่วมด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับคนวัยเดียวกันที่มีผมขาวและขนคิ้วสีขาวไปด้วยกัน

 

ปัจจัยร่วมอื่นๆ เช่น

คนที่สูบบุหรี่จะมีแนวโน้มของผมขาวเร็วกว่าคนไม่สูบบุหรี่ถึง 4 เท่า

ผมขาวบางครั้งอาจค่อยๆดำขึ้นเมื่อร่างกายมีอาการอักเสบและกินยาบางชนิดร่วมด้วยซึ่งเป็นปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงของร่างกายต่อยารักษา

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ร้ายแรงที่ทำให้ร่างกายตกใจหรือเสียใจอย่างรุนแรง ทำให้รากผมชะงักการเจริญเติบโตชั่วคราวและผมร่วงเป็นกระจุก อาจทำให้เห็นผมหงอกได้เร็วเสมือนหนึ่งเผมหงอกชั่วข้ามคืน

เมื่อคนเราอายุ 30 เส้นผมจะหงอกขาวเพิ่มขึ้นประมาณ 10-20% ทุกๆ 10 ปี

คนที่ทำงานหนักเกินไป ร่างกายพักผ่อนน้อย รวมทั้งการรับประทานอาหารไม่ครบหมู่ ทำให้การเจริญเติบโตของรากผมไม่แข็งแรง นอกจากเส้นผมหลุดร่วงได้ง่ายแล้ว การสร้างเม็ดสีก็ลดน้อยลง ทำให้เส้นผมขาว

เป็นที่น่าเสียใจที่ไม่พบว่ามีอาหารชนิดพิเศษอย่างหนึ่งอย่างใด หรืออาหารเสริมพิเศษชนิดใด รวมทั้งไม่พบหลักฐานทางการแพทย์ว่าโปรตีนเสริมหรือวิตามินใดๆที่สามารถเสริมเพื่อชะลอหรือยับยั้งการเกิดผมสีขาวหรือผมหงอกได้

 

คุณค่าอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์บำรุงให้เส้นผมแข็งแรง เช่น

วิตามินเอ จำเป็นต่อสุขภาพหนังศีรษะและเส้นผมที่แข็งแรง พบทั่วไปในผักใบเขียวเข้ม ผลไม้สีผมและสีหลือง

วิตามินบี ช่วยควบคุมการหลั่งของน้ำมันธรรมชาติเพื่อหล่อลื่นเส้นผมให้เงางามและชุ่มชื้น พบในผักใบเขียว มะเขือเทศ กล้วย โยเกริต และธัญพืช

แร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก สังกะสี ทองแดง ช่วยบำรุงให้เส้นผมแข็งแรง ได้จากแหล่งอาหาร เช่น เนื้อแดง เนื้อไก่ ไข่แดง อาหารทะเล และธัญพืช

โปรตีน ช่วยบำรุงให้เส้นผมเงางามและมีความยืดหยุ่นดี ไม่ขาดตอน พบทั่วไปในเนื้อสัตว์ ไข่ เต้าหู้ ฯลฯ

 

Credit : ผมหงอก … หัวหงอก … ผมขาว มหาวิทยาลัยมหิดล คณะเภสัชศาสตร์
ภาพประกอบจาก : www.Photos.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)