ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129490 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #70 เมื่อ: เมษายน 14, 2011, 09:16:31 pm »
.
รับประทานอาหารกระป๋องให้ปลอดภัย



ช่วงวันสงกรานต์อย่างนี้ ร้านรวงหลายแห่งก็ปิด การหาอาหารทานช่างยากลำบาก คงต้องหยิบอาหารกระป๋องที่เก็บไว้ขึ้นมากิน แต่ก็ไม่แน่ใจว่า อาหารกระป๋องเหล่านั้น จะปลอดภัยพอที่จะรับประทานได้ไหม ลองอ่านดู มีคำแนะนำ

เริ่มตั้งแต่เวลาซื้ออาหารกระป๋องมาใหม่ ๆ ถ้าอยากให้อยู่ได้นานและมีคุณภาพดีจนถึงวันหมดอายุ ก็ควรเก็บในที่แห้งและสะอาด ไม่ร้อนจัดจนเกินไป แต่ถ้าสงสัยว่าอาหารกระป๋องที่เก็บไว้ยังทานได้หรือไม่ แนะนำให้หยดน้ำลงบนกระป๋อง 2-3 หยด แล้วใช้ตะปูใหม่ ๆ ที่ไม่เป็นสนิม เช็ดให้สะอาด เจาะกระป๋องให้ทะลุ ถ้าลมในกระป๋องดูดน้ำลงไปแสดงว่าอาหารยังดีสามารถรับประทานได้ แต่ถ้ามีลมดันน้ำขึ้นมา แสดงว่าเสียห้ามทาน

ทางที่ดีไม่ควรบริโภคอาหารกระป๋องที่เก็บไว้นานเกินไป เพราะอาจมีปริมาณของโลหะบางชนิดจากภาชนะที่บรรจุอาหารอยู่ ละลายลงสู่อาหารในระดับที่สูงเกินมาตรฐานกำหนด อาจทำให้เกิดพิษต่อผู้บริโภคได้

สิ่งที่ควรทำอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อจะรับประทานให้เทอาหารจากกระป๋องใส่ในภาชนะอื่น แล้วสังเกตดูว่าด้านในกระป๋องที่บรรจุนั้น มีรอยถูกกัดกร่อนหรือไม่ เพราะหากมีอาจจะได้รับอันตรายจากโลหะที่หลุดลอกออกมาได้

ส่วนอาหารคาวนั้นถ้าเป็นไปได้ควรจะใส่ภาชนะหุงต้ม แล้วนำไปอุ่นให้เดือดก่อนรับประทาน (ห้ามอุ่นด้วยกระป๋อง) ประมาณ 5-10 นาที เพราะนอกจากจะทำให้อาหารน่ารับประทานยิ่งขึ้นแล้ว ยังมั่นใจได้ว่าปลอดภัยอีกด้วย.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

.

Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > รับประทานอาหารกระป๋องให้ปลอดภัย






.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=132531

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #71 เมื่อ: เมษายน 15, 2011, 02:13:35 pm »
เที่ยวอยู่ผิดที่ ‘ท้องผูก’ ดื่มน้ำ3ผักแก้ได้



เห็นว่าเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ คนจำนวนไม่น้อยเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ต้องพักค้างอ้างแรมในต่างถิ่น ซึ่งอาจทำให้บางคนที่ระบบขับถ่ายหวั่นไหว เมื่อไม่คุ้นชินกับสถานที่จึงไม่อาจถ่ายหนักออกมาได้ กักเก็บไว้รอกลับมาระบายออกในส้วมที่บ้านอันคุ้นเคย พาลเกิดปัญหาท้องผูก ยามเมื่อถ่ายได้ อุจจาระแข็งใหญ่ออกยาก เสี่ยงปากทวารหนักเป็นแผล หรือริดสีดวงกำเริบ

เหตุสำคัญข้างต้น ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ สัปดาห์นี้ขอส่งเครื่องดื่มสุขภาพ ช่วยแก้อาการท้องผูก และกระตุ้นการขับถ่ายให้ง่ายขึ้น ด้วยสารอาหารจาก ผัก-ผลไม้ 3 ชนิด อย่าง แครอต แอปเปิ้ลเขียว และส้ม

คุณค่าของแครอต ช่วยเสริมประสิทธิภาพการย่อย กำจัดแบคทีเรียตัวร้ายในลำไส้ใหญ่ เพราะมีเบต้าแคโรทีน แคลเซียม แมกนีเซียม ซัลเฟอร์ และคลอรีน

ส่วนแอปเปิ้ลเขียว อันอุดมไปด้วยวิตามินบี1 บี2 และบี6 โพแทสเซียม แมกนีเซียม กำมะถัน เหล็ก และสารต้านอนุมูลอิสระ กรดมาลิก กรดแทนนิก เส้นใยเพ็กติน แอปเปิ้ลจึงช่วยย่อยอาหาร ทำความสะอาดลำไส้เล็ก แถมยังเป็นผลไม้ที่ช่วยลดความเครียดได้ด้วย

สำหรับส้มนั้น กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกสดชื่น ช่วยในการขับถ่าย ในส้มจะมีวิตามินซี ไบโอฟลาโวนอยด์ เบต้าแคโรทีน โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และสังกะสี

ส่วนผสมที่ต้องเตรียม คือ…

    * แครอต 1 ถ้วย
    * แอปเปิ้ลเขียว 1 ถ้วย
    * ส้ม 2 ผล


ขั้นตอนในการทำ หลังจากล้างทำความสะอาดส่วนผสมทั้งหมดแล้ว ให้นำแครอตไปขูดเป็นเส้นเล็กๆ ส่วนแอปเปิ้ลเขียวหั่นขนาดสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ปอกเปลือกส้มและแกะออกเป็นกลีบ โดยไม่ต้องเลาะเมล็ดออก จากนั้นนำส่วนผสมทั้งสามชนิดไปสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วสามารถเติมน้ำแข็งเพิ่มความเย็นสดชื่นก่อนดื่มได้

อยากขับถ่ายออกได้ไม่ต้องอึดอัด นอกจากดื่มน้ำผัก-ผลไม้นี้แล้ว ควรเน้นกินผักและผลไม้สดๆ ให้มาก รวมถึงนมเปรี้ยวและโยเกิร์ต ที่มีเส้นใยช่วยและจุลินทรีย์ที่ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentID=132421


.


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #72 เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 10:43:21 pm »
ดื่มเติมภูมิกันหวัด กระดูก-หัวใจแข็งแรง




ทำสิ่งใดๆ ถ้าไม่ตั้งใจ ผลลัพธ์ก็ยากที่จะออกมาดี เช่นเดียวกับเรื่องสุขภาพ ถ้าไม่ใส่ใจดูแลให้ดี แล้วจะแข็งแรงได้อย่างไร?

ตั้งต้นไปอย่างนั้น ก็เพราะ ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ หวัง ให้ผู้อ่านรักษ์สุขภาพอย่าได้ถอดใจกับการเตรียมส่วนผสมในสูตรเครื่องดื่ม เพื่อสุขภาพประจำสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจดูมากอย่างและหายากสำหรับบางคน แต่รับรองว่าคุณประโยชน์ที่ได้ คุ้มค่ากับความตั้งใจ

เครื่อง ดื่มสูตรนี้ได้จากแครอท อินทผลัมสด งาขาว จมูกข้าวสาลี และน้ำส้มคั้น กลายเป็นแหล่งรวมแมกนีเซียม แคลเซียม และวิตามินซีสูง ช่วยลดความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจ เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคหวัด คลายเครียด บำรุงผิวพรรณ

ส่วนผสมต่างๆ ให้เตรียมตามสัดส่วนต่อไปนี้ (สำหรับ 1 แก้ว)

    * แครอทขนาดกลาง 1 หัว
    * อินทผลัมสด 3 ผล
    * งาขาว 1 ช้อนโต๊ะ
    * จมูกข้าวสาลี 1 ช้อนโต๊ะ
    * น้ำส้มคั้นสด 1/3 ถ้วยตวง
    * น้ำแข็ง พอประมาณ


ขั้นตอนในการทำ ให้ปอกเปลือกแครอทและหั่นพอหยาบ ส่วนอินทผลัมให้คว้านเอาเมล็ดออก งาขาวนำไปขั้วให้สีอมน้ำตาลอ่อน ได้แล้วนำส่วนผสมทั้งสามใส่รวมกับจมูกข้าวสาลี น้ำส้มคั้นสด และน้ำแข็ง ปั่นรวมกันจนเข้ากันดีเป็นเนื้อเดียว เทใส่แก้วดื่มทันที

แค่นี้ก็จะได้เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพปั่นเย็น รสสัมผัสกรุบๆ จากแครอท งา และจมูกข้าวสาลี ออกหวานนิดๆ จากอินทผลัมและน้ำส้มคั้นสด โดยไม่ต้องง้อน้ำตาล.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com





Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > ดื่มเติมภูมิกันหวัด กระดูก-หัวใจแข็งแรง



.


http://www.dailynews.co.th/newstartp...ntentId=134117

.


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #73 เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 04:21:46 pm »
“ชะคราม” รสเค็ม เต็มคุณค่า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 เมษายน 2554 10:31 น.



 “108 เคล็ดกิน” ได้ไปลองชิมอาหารอยู่จานหนึ่งที่ชื่อว่ายำชะคราม ฟังดูแล้วชื่อไม่ค่อยคุ้นหูเสียเท่าไหร่ก็เลยลองกลับมาหาความรู้ดูว่า “ชะคราม” ที่ว่านี้คืออะไรกันแน่
       
       “ชะคราม” หรือในบางพื้นที่อาจจะเรียกว่า “ชักคราม” หรือ “ส่าคราม” เป็น ไม้ล้มลุก และเป็นวัชพืชที่เจริญเติบโตได้ง่ายในบริเวณที่ดินเค็ม ใบของชะครามจะดูดเอาความเกลือจากดินมาเก็บไว้ จึงทำให้ใบมีรสเค็ม ซึ่งเมื่อใบชะครามแก่ขึ้นเรื่อยๆ ความเค็มก็จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วย
       
       ฉะนั้น เวลาจะเลือกชะครามมาปรุงอาหารให้เลือกใช้ใบอ่อน นำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วต้มคั้นน้ำทิ้งไป 2-3 ครั้งเพื่อให้ลดความเค็มลง จากนั้นก็นำไปทำอาหารจานเด็ดได้เลย ซึ่งก็ทำได้หลากหลายเมนู อย่างเช่น ยำชะคราม ใส่ลงไปในแกงเผ็ดกับปูหรือกุ้ง ทำเป็นผักลวกจิ้มราดกะทิกินคู่กับน้ำพริก นำไปใส่ไข่เจียวแทนชะอม หรือเอาใบชะครามไปชุบแป้งทอดก็อร่อยเหมือนกัน
       
       นอกจากจะเป็นส่วนประกอบในอาหารหลายจานแล้ว ชะครามก็ยังมีสารอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็ง ที่เริ่มมีผู้สนใจทำวิจัยสาระสำคัญในชะครามเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในภายภาค หน้า
       
       ในส่วนรากของชะคราม ให้กินเป็นยาบำรุงกระดูก แก้พิษฝีภายใน ดับพิษในกระดูก แก้น้ำเหลืองเสีย ผื่นคัน แก้โรคผิวหนังและเส้นเอ็นพิการ
       
       ลำต้นและใบของชะครามก็มีประโยชน์ต่อร่างกายเราเช่นกัน เพราะตัวชะครามดูดเกลือจากดินมาเก็บไว้ ทำให้มีธาตุไอโอดีนสะสมอยู่ ซึ่งสามารถป้องกันโรคคอพอกได้ และยังมีสรรพคุณใช้รักษารากผม แก้ผมร่วงได้ด้วย
       
       ได้รู้จักกับชะครามกันแล้ว คราวหน้าถ้าหากเห็นเมนูที่ทำมาจากชะคราม “108 เคล็ดกิน” คงไม่พลาดที่จะลิ้มลองแน่ๆ


.
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000048166

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #74 เมื่อ: พฤษภาคม 06, 2011, 10:56:36 pm »
“มะม่วง” กินสุกก็หวาน กินดิบก็อร่อย หลากหลายคุณค่า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   5 พฤษภาคม 2554 12:31 น.



ระยะนี้ “108 เคล็ดกิน” เห็นมีมะม่วงมากมายหลายสายพันธุ์มาวางขายตามท้องตลาด มีทั้งแบบที่กินสุกและกินดิบ ซึ่งมะม่วงในบ้านเรานั้นก็มีให้กินกันได้ทั้งปี แต่จะเลือกแบบไหนให้อร่อยถูกปากถูกใจเรานั้นก็มาดูกันได้เลย

มะม่วงกินดิบ สายพันธุ์ที่นิยมกินกัน เช่น เขียวเสวย ฟ้าลั่น กาละแม มันคุณศรี โชคอนันต์ แก้ว เขียวไข่กา มันเดือนเก้า ซึ่งเป็นประเภทที่จะกรอบ มัน ส่วน มะม่วงแรด หนองแซง น้ำดอกไม้ เป็นประเภทกินดิบที่มีรสเปรี้ยว

ส่วนมะม่วงกินสุก ที่นิยมกัน เช่น พันธุ์น้ำดอกไม้ อกร่อง พิมเสน และนิยมกินคู่กับข้าวเหนียวมูลเพิ่มรสชาติความอร่อยให้เต็มปากเต็มคำ

นอกจากนี้ก็ยังมีมะม่วงอีกหลายสายพันธุ์ ทั้งที่เป็นพันธุ์ที่ปลูกได้ทั่วไปและมีเฉพาะในท้องถิ่น ซึ่งก็มีลักษณะและรสชาติเฉพาะตัว

และนอกเหนือจากความอร่อยแล้ว มะม่วงก็ยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย ส่วนที่เป็นเปลือกต้นและเนื้อในเมล็ด มีฤทธิ์ฝาดสมาน ใช้รักษาอาการท้องเสีย แก้บิด แก้อาเจียน ผลสดแก่ กินแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน วิงเวียน กระหายน้ำ

ใบอ่อน และยอดมะม่วง มีรสเปรี้ยวอมฝาด ผลสดดิบ ให้พลังงานกับร่างกาย ประกอบด้วย เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เบด้าแคโรทีน วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง ไนอาซิน วิตามินซี เป็นต้น






-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000053623-




.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #75 เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2011, 06:56:18 pm »
ต้นใต้ใบสุดยอดสมุนไพรรักษาโรค

วันพุธ ที่ 11 พฤษภาคม 2554 เวลา 0:00 น



สมุนไพรชื่อแปลก ๆ แต่สรรพคุณสุดยอด หญิงสาวหลายคนรู้จักมันอย่างไม่เต็มใจเพราะต้องเคยดื่มน้ำขม ๆ เวลาเป็นไข้ทับฤดู

ต้นใต้ใบ ลูกใต้ใบ หญ้าใต้ใบ หรือ มะขามป้อมดิน ล้วนเป็นชื่อของสมุนไพรชนิดนี้ เป็นพืชล้มลุกสูงประมาณ 1-2 ฟุต ทุกส่วนมีรสขม ลำต้นเรียบแตกกิ่งก้านสาขามาก ใบเดี่ยวเรียงสลับกัน ใบมน ก้านใบสั้น ผลรูปกลมแป้นขนาดเล็ก ลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรที่แพร่กระจายอยู่ในหลายๆ ประเทศ แต่ละถิ่นที่มีลูกใต้ใบจะใช้ประโยชน์ทางยาจากสมุนไพรชนิดนี้เหมือน ๆ กัน

สรรพคุณของมันมีมากมาย ลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรสำหรับทานแก้ไข้ได้ทุกชนิด รวมทั้งแก้ท้องเสียด้วย ชาวบ้านในหลายพื้นที่นิยมตากลูกใต้ใบให้แห้งเก็บใส่โหลไว้ชงเป็นชากินเพื่อแก้ไข้ มีรายงานการวิจัยพบว่าลูกใต้ใบมีฤทธิ์ในการแก้ไข้ แก้อักเสบได้ สอดคล้องกับการใช้ตามภูมิปัญญาชาวบ้าน นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อตับอีกด้วย คือ ถ้าต้มลูกใต้ใบดื่มติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์จะช่วยกำจัดพิษออกจากตับ มีผลทำให้สายตาดี บำรุงตับ และรักษาอาการดีซ่าน รวมถึงสามารถรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบี ได้ผลดีอีกด้วย

ลูกใต้ใบยังเป็นสมุนไพรยอดนิยมสำหรับผู้ป่วยเบาหวานเพราะช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือด เป็นยาขับปัสสาวะ ซึ่งมีประโยชน์ในการขับนิ่ว และลดความดัน สำหรับสาว ๆ ที่เป็นไข้ระหว่างมีประจำเดือน แนะนำให้นำต้นใต้ใบนี้มามัดรวมแล้วต้มดื่มน้ำ หรือนำหญ้าใต้ใบล้างน้ำให้สะอาด ตำละเอียดผสมสุรา คั้นเฉพาะน้ำยา กินครั้งละ 1 ถ้วยชาก็ได้ ข้อควรระวังก็คือ ห้ามใช้ในคนท้อง เพราะลูกใต้ใบเป็นยาขับประจำเดือน แน่นอนมันเป็นยารักษาโรคได้มากขนาดนี้ ย่อมมีรสขมมาก พืชชนิดนี้หาไม่ยาก แต่คนมักไม่สนใจไม่รู้จัก จึงทำลายทิ้ง หากทราบประโยชน์ของมันอย่างนี้แล้ว คราวหน้าถ้าเห็น ก็ควรช่วยกันอนุรักษ์ไว้.

ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=138028
.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #76 เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2011, 05:37:01 pm »
“ยอ” ของดีตำรับไทย
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 พฤษภาคม 2554 16:00 น.
 
 


ปัจจุบันนี้เรามักจะเห็นสมุนไพรไทยที่มีการนำมาแปรรูปในรูปแบบต่างๆ ทั้งแบบแคปซูล สกัดเป็นสารออกมาแล้วผสมกับส่วนผสมอื่นๆ หรือแปรรูเป็นเครื่องดื่ม อย่างเช่น “น้ำลูกยอ” ที่ “108 เคล็ดกิน” เคยเห็นวางขายอยู่ตามห้างทั่วไป

สำหรับสรรพคุณของ “ยอ” นั้นก็มีอยู่อย่างมากมาย ในส่วนของ “ลูกยอ” มีทั้งวิตามินเอ วิตามินซี และโพแทสเซียมสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์กล่อมประสาท เป็นยานอนหลับอ่อนๆ บำรุงสมอง บำรุงการไหลเวียนของเส้นเลือดในสมอง

ในผลยอมีสารสำคัญคือแอสปรูโลไซต์ (Asperuloside) ซึ่งสารนี้จะออกฤทธิ์แก้คลื่นไส้อาเจียนได้เป็นอย่างดี ส่วนสารโปรซีโรนีน (Proxeronine) ที่มีอยู่มากในผลยอนั้น จะช่วยปรับสภาพเซลล์ให้มีความสมดุลแข็งแรง และมีภูมิต้านทานที่ดีอีกทั้งยังช่วยซ่อมแซมและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติและกระตุ้นให้เซลล์ใหม่เติบโตและทำหน้าที่ได้เป็นปกติ

ในผลยอยังประกอบ ด้วยสารสำคัญอีกมากมายเช่น สารแอนทรา ควิโนน (Antraquinones) ที่ช่วยควบคุมการติดเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการอักเสบและฆ่าเชื้อโรคต่างๆ สารสโคโปเลติน (Scopoletin) มีคุณสมบัติช่วยให้เส้นเลือดขยายตัวจึงสามารถช่วยลดความดันโลหิตสูงกลับเป็นปกติได้ และสารเซโรโทนิน(Serotonin) ที่ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดีและสมบูรณ์มากขึ้นทำให้ลำไส้ดูดซึมได้ง่าย จึงช่วยลดอาการท้องผูกจุกเสียด ช่วยระบายท้อง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ และยังช่วยขับพยาธิตัวกลมโดยเฉพาะพยาธิเส้นด้ายและพยาธิไส้เดือนได้เป็นอย่างดี

ปัจจุบันนิยมนำมาแปรรูปเป็นชนิดแคปซูลโดยการบดลูกยอเป็นผงแล้วนำมาบรรจุแคปซูล หรือนำไปไปสกัดเป็นน้ำลูกยอ

หรือหากว่าจะทำกินเองแบบง่ายๆ เพียงแค่นำลูกยอมาฝานเป็นแว่นๆ ตากแดดให้แห้ง เมื่อจะกินก็นำแว่นลูกยอที่ตากแห้งดีแล้วใส่แก้ว แล้วเทน้ำร้อนลงไป ทิ้งไว้สักครู่ และดื่ม ลักษณะคล้ายกับการดื่มชา
นอกจากลูกยอแล้ว “ยอ” ก็ยังสามารถนำส่วนอื่นมาใช้ได้ด้วย อาทิ ใบยอ มีวิตามินเอมาก มีคุณสมบัติในการบำรุงสายตา บำรุงหัวใจ หรือนำใบไปคั้นน้ำนำมาสระผมฆ่าเหา หรือนำใบยอไปปรุงอาหาร สามารถแก้ท้องร่วงได้

รากของต้นยอ สามารถใช้เป็นยาระบาย แก้กระษัย และยังสามารถนำมาสกัดเป็นสีย้อมผ้าได้ โดยสีเดิมจะมีสีเหลือง หรือเหลืองปนแดง หากผสมเกลือตามสัดส่วนต่างๆ จะได้สีที่ต่างกัน เช่น ชมพู น้ำตาลอ่อน สีม่วงแดง หรือสีดำ เป็นต้น


.

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000058907-

.




http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000058907

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #77 เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2011, 07:53:08 pm »
เจ็บคอ ‘กะหล่ำปลี’ ช่วยบรรเทา


 
แก้เจ็บคอ บรรเทาอาการไอ กะหล่ำปลี ควงมาพร้อมแครอต และแอปเปิ้ล

เชื่อว่าสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ความชื้นที่มากับฤดูฝน คงเป็นตัวกระตุ้นอาการภูมิแพ้กำเริบ พาลพาให้รู้สึกคัดจมูก เป็นหวัด แถมอาการเจ็บคอยังติดสอยห้อยตามมาด้วย

‘มุมสุขภาพ-กินดี’ วันนี้ มีสูตรเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากผักและผลไม้ใกล้ๆ ตัว มาแนะนำให้ปรุงดื่มแก้เจ็บคอและบรรเทาอาการหวัดคัดจมูก ซึ่งพระเอกในสูตรนี้ คือ ‘กะหล่ำปลีม่วง’ อันอุดมด้วยสารไฟโตเคมิคอล ซัลโฟราเฟน กลูโคซิโนเลต เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และกรดโฟลิก สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ แก้ไอ แถมสารอาหารในผักชนิดนี้ยังเป็นเกราะป้อนกันเซลล์มะเร็งด้วย

ส่วนผักและผลไม้ที่สามารถช่วยลดกลิ่นเหม็นเขียวให้จางลง และช่วยให้เครื่องดื่มสูตรนี้ดื่มได้ง่ายขึ้น คือ แครอตกับแอปเปิ้ล ซึ่งต่างก็มีสรรพคุณที่ช่วยเกื้อหนุนเสริมคุณค่ามากยิ่งขึ้น สำหรับ ‘แครอต’ ก็ยังช่วยบรรเทาอาการไอได้เช่นกัน ในผักสีส้มสวยนี้ มีเบต้าแคโรทีน ซัลเฟอร์ คลอรีน ส่วน ‘แอปเปิ้ล’ ช่วยลดไข้ แก้หวัด คัดจมูก เพราะมีวิตามินซี บี1 บี2 และบี6 นั่นเอง

ส่วนผสมและสัดส่วนในสูตร เตรียมดังต่อไปนี้...
กะหล่ำปลีม่วง 1 ถ้วย
แครอต 1 ถ้วย
แอปเปิ้ลแดง 1 ถ้วย
ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากทำความสะอาดล้างผักและผลไม้ให้เรียบร้อย จากนั้นนำกะหล่ำปลีซอยเป็นชิ้นเล็กๆ แครอตกับแอปเปิ้ลหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดพอประมาณ นำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดพร้อมกันโดยใช้เครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เมื่อได้น้ำผักและผลไม้สูตรนี้แล้ว จะเติมน้ำแข็งป่นสักเล็กน้อยช่วยให้ดื่มง่ายขึ้นก็ย่อมได้ แต่ไม่ควรเติมมากเกินไปเพราะจะทำให้ระคายคอ.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com


-http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=557&contentId=139818-

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=557&contentId=139818


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #78 เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2011, 06:28:35 pm »
ปั่น 'ส้ม-มะม่วง-ขิง' ดื่มต้านมะเร็ง

น้ำส้มคั้น ไม่ว่าจะดื่มกันสดๆ หรือนำไปปั่นให้เย็นสดชื่น ต่างก็เป็นน้ำผลไม้ที่ดื่มง่าย ถูกใจหลายคน เพราะรสชาติเปรี้ยวอมหวาน ชวนให้รู้สึกตื่นตัวกระปรี้กระเปร่า ส้มที่อุดมด้วยวิตามินซี ยังช่วยบรรเทาและต้านโรคหวัด ทว่าอยากเติมคุณค่า เปลี่ยนเป็นน้ำส้มที่ไม่ธรรมดา ลองใส่ มะม่วงกับขิง เข้าไป ช่วยเพิ่มให้เครื่องดื่มสูตรนี้มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ ตัวการก่อมะเร็งร้าย และป้องกันการอักเสบของร่างกาย

สำหรับส่วนผสมของน้ำปั่นส้ม เพิ่มมะม่วง เติมขิง ประกอบไปด้วย...

น้ำส้มคั้นสด 1 ถ้วย

มะม่วงสุกลูกโตปอกเปลือกครึ่งผล

น้ำขิง 1 ช้อนชา กับอีก 1/4 ช้อนชา หากเป็นน้ำขิงคั้นสดจะดีมาก

น้ำแข็ง 4 ก้อนเล็ก

ขั้นตอนในการทำ นำส่วนผสมทั้งหมดใส่เครื่องปั่นแล้วปั่นให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว เสร็จแล้วควรดื่มทันที อย่างไรก็ตาม สามารถเพิ่มความข้นให้กับเครื่องดื่มโดยการเพิ่มกล้วยสุกปอกเปลือกครึ่งผล ปั่นรวมกับส่วนผสมอื่นๆ ก็ไม่ทำให้เสียคุณค่า

ส่วนคุณค่าทางโภชนาการ เครื่องดื่มสูตรนี้ให้พลังงาน 201 แคลอรี มีคาร์โบไฮเดรต 48 กรัม ใยอาหาร 3 กรัม โซเดียม 4 กรัม โปรตีน 3 กรัม ไม่มีไขมันทั้งชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว ไม่มีคอเลสเตอรอล

วัตถุดิบแต่ละอย่างหาง่ายใกล้ตัว วิธีทำไม่ยุ่งยากอย่างนี้ ผู้อ่านรักษ์สุขภาพอย่าลืมลองทำดื่มกันนะคะ.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com

.


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=557&contentId=140985

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #79 เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2011, 07:28:11 pm »
สกัดนิสัยพาอ้วนเพื่อสุขภาพที่ดี

คมชัดลึก : คุณเคยสังเกตตัวเองไหมว่ารูปร่างที่เปลี่ยนไป ดูสมบรูณ์ บางทีมันอาจเกิดจากนิสัยการกินเล็กๆ น้อยๆ ในตัวคุณที่ถูกมองข้ามไป ภก.ดร.พงศกรพัฒน์ อรุโณทยานันท์ ผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรม สถาบันการเรียนรู้และฝึกอบรม อาวียองซ์ อะคาเดมี เปิดประเด็นชวนคิด “กินทั้งที ต้องกินให้คุ้ม ต้องกินให้หมด”

ภก.ดร.พงศกรพัฒน์ กล่าวขยายคำพูดดังกล่าวให้ฟังว่า คนอ้วนส่วนใหญ่เกิดจากนิสัยการกิน กินทั้งที ต้องกินให้คุ้ม กินให้หมด เสียดายของ และผลสุดท้ายก็เป็นอันตรายต่อการดูแลรูปร่างและสุขภาพอย่างมาก เพราะจากที่ร่างกายต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรีต่อวัน แต่การกินทั้งทีต้องคุ้มอย่างบุฟเฟ่ต์ คุณจะได้รับพลังงานโดยเฉลี่ยต่อมื้อถึง 3,000 กิโลแคลอรี อีกนัยหนึ่งคือ น้ำหนักคุณจะเพิ่มขึ้นมื้อละ 1.4 ขีด  เชียวนะ ถ้าคุณเผลออ้วนแล้วล่ะก็ การที่จะกลับมาทำให้หุ่นดีได้ดังเดิมนั้นมันยาก และอาจใช้เงินมากกว่าค่าอาหารในวันนั้นเป็นไหนๆ แต่ถ้าคุณพลาดไปแล้วล่ะ ให้ลองทำวิธีนี้ คือให้ลดปริมาณแคลอรีที่จะได้รับในวันต่อๆ ไปวันละ 500 กิโลแคลอรี สัก 4 วัน ก็น่าจะพอช่วยได้ หรือจะออกกำลังกายว่ายน้ำ  ประมาณ 2 ชั่วโมง หรือไม่ก็นัดก๊วนแก๊งที่ไปกินบุฟเฟต์ด้วยกันนี่แหละ  ไปตีแบดสัก 2-3  ชั่วโมง  จะได้ไม่อ้วนและก็สุขภาพแข็งแรงกันทั้งกลุ่ม

 สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานฟาสต์ฟู้ดจำพวกแฮมเบอร์เกอร์ โดนัท ไก่ทอด ฯลฯ คุณรู้ไหม ? องค์การอนามัยโลกเรียกอาหารเหล่านี้ว่า “อาหารขยะ” เพราะเป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการที่ไม่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ให้แต่เฉพาะพลังงานมากกว่าอื่นๆ และยังมีโซเดียมสูง ไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งหากคุณกิน “อาหารขยะ” ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ นอกจากจะเป็นอันตรายต่อเส้นรอบเอวแล้ว ยังนำมาซึ่งโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้วหันมากินอาหารที่มีประโยชน์ อย่างอาหารไทยทั่วไปนี่แหละ เช่น ข้าวน้ำพริกกะปิกินคู่ผักสดหรือผักต้ม อร่อยแสนอร่อย อุดมด้วยวิตามินแถมยังให้แคลอรีน้อยกว่าแฮมเบอร์เกอร์เพียงครึ่งชิ้นอีกต่างหาก

 "เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเหล้า เบียร์ เป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูงพอๆ กับการกินอาหารมื้อใหญ่เลยทีเดียว แล้วยิ่งสาวๆ ทั้งหลายที่มักนิยมดื่มเหล้าจางๆ ผสมน้ำอัดลมด้วยแล้วล่ะก็ คุณก็จะได้ของแถมเป็นน้ำตาลปริมาณพอๆ กับที่ร่างกายต้องการทั้งสัปดาห์ ยิ่งคนที่ดื่มเหล้าหรือเบียร์ทุกวัน จะมีพลังงานส่วนเกินจากเครื่องดื่มเหล่านี้สะสมในร่างกายวันละ 50-200 กิโลแคลอรี เหมือนกินไขมัน 1-4 ช้อนชา ทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอาจเดือนละ 1  กิโลกรัม  ซึ่งความอ้วนจะมาพร้อมกับความเมาเสมอ ฉะนั้นโดยส่วนใหญ่กลุ่มที่เสี่ยงกับโรคอ้วน เพราะขี้เกียจออกกำลังกายจึงควรปรับเปลี่ยนนิสัยหรือหันมาพึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สามารถสกัดกั้นการดูดซึมแป้งและไขมัน และช่วยเผาผลาญพลังงานที่เหลือใช้ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี”  ภก.ดร.พงศกรพัฒน์ สรุปปิดท้าย

.

http://www.komchadluek.net/detail/20110529/98857/%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5.html

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)