ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129477 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #90 เมื่อ: ธันวาคม 09, 2011, 09:39:53 pm »
"วาซาบิ" ป้องกันฟันผุ

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2554 เวลา 00:00 น.

-http://beta.dailynews.co.th/article/822/2213-




เครื่องปรุงสุดซีดจี๊ดขึ้นสมอง แต่ในเมนูซุปครีมลดความจัดจ้านให้นุ่มลิ้น วาซาบิ สรรพคุณป้องกันฟันผุและเลือดจับตัวเป็นก้อน ลดเสี่ยงมะเร็ง

ผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารญี่ปุ่น ต้องรู้จัก "วาซาบิ" เครื่องปรุงรสเผ็ดฉุนกันเป็นอย่างดี ยิ่งถ้ากินมาก ก็ยิ่งจี๊ดจ๊าดขึ้นสมอง ใครเป็นหวัดคัดจมูกช่วยเปลี่ยนให้รู้สึกโล่ง หากแตะลองแค่ผิวๆ ก็ช่วยชูรสอร่อยอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสไตล์อาหารญี่ปุ่น
อันที่จริงแล้วในวาซาบิ มิได้มีเพียงรสจัดจ้าน เพราะมีสารไอโซทิโอไซนาเนตส์ ที่ คอยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ตัวการทำฟันผุ นอกจากนี้ วาซาบิ ยังมีประโยชน์ในการป้องกันภาวะเลือดจับตัวเป็นก้อน เส้นเลือดอุดตัน ป้องกันโรคหอบหืด และลดเสี่ยงโรคมะเร็ง
การลิ้มรสวาซาบิอย่างนุ่มนวล อาจต้องนำไปเป็นส่วนผสมหนึ่งในเมนูซุปครีม สำหรับ "ซุปครีมวาซาบิ" มีส่วนผสมดังต่อไปนี้...

    กระเทียม 7 กลีบ
    หอมหัวใหญ่ 1/2 หัว
    มันฝรั่ง พอประมาณ
    หัวไชเท้า พอประมาณ
    แครอท พอประมาณ
    แรชดิช พอประมาณ
    น้ำมันมะกอก พอประมาณ
    นมสด 100 ซีซี
    วิปครีม 50 ซีซี
    น้ำซุปหรือน้ำเปล่า 1 ถ้วย
    วาซาบิ พอประมาณ
    ต้นหอมซอย พอประมาณ

ขั้นตอนในการทำ สับกระเทียมและหอมหัวใหญ่ ส่วนมันฝรั่ง หัวไชเท้า แครอท แรชดิช ให้หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอก กระเทียม แล้วเจียวให้หอมจึงใส่หอมหัวใหญ่ มันฝรั่ง และหัวไชเท้า
ต่อมาใส่นมสด ตามด้วยวิปครีม น้ำเปล่า พอน้ำเดือดให้ใส่แครอท แรชดิช ปรุงรสด้วยวาซาบิ เกลือ พริกไทย เมื่อส่วนผสมเริ่มสุกยกลง รอให้อุ่นจึงนำไปปั่นให้เนียนละเอียดแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง จะได้ซุปครีมวาซาบิละมุนลิ้น สามารถเสิร์ฟในแก้วชอตในงานปาร์ตี้ หรือใส่ชามซุปอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทานเป็นอาหารว่างก็ย่อมได้.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #91 เมื่อ: ธันวาคม 11, 2011, 07:49:59 pm »
.

แพทย์แนะ 7 วิธีดูแลสุขภาพหน้าหนาว
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000157551-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 ธันวาคม 2554 15:09 น.    




หมอแนะช่วงฤดูหนาวควรดื่มน้ำเพื่อ ขับของเสีย ล้างกระเพาะปัสสาวะ ช่วยให้นอนหลับ อายุยืน เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ เน้นโปรตีนจากสัตว์และถั่วเหลือง รวมถึงวิตามินจากผัก


นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดี กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แนะการดูแลสุขภาพในช่วงฤดูหนาวว่า นอกจากหลักทฤษฎีการแพทย์แผนไทยในเรื่องการรับประทานสมุนไพรรสร้อนเพื่อช่วย กระตุ้นให้ร่างกายอบอุ่นแล้ว ในส่วนของทฤษฎีการแพทย์แผนจีนก็มีหลักการดูแลสุขภาพช่วงหน้าหนาวที่น่าสนใจ

กล่าวคือ ช่วงฤดูหนาวคนจะเจ็บป่วยด้วยสาเหตุจากปริมาณของหยิน-หยาง ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงชัดในด้านหยินมากกว่า เป็นระยะที่ความเป็นหยางลดลง ความเย็นจึงเป็นสาเหตุก่อโรค ซึ่งการแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญต่อการรักษาสมดุลของร่างกายให้มีการเปลี่ยน แปลงคล้อยตามธรรมชาติ จะช่วยให้มีอายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรง เช่น การดูแลสุขภาพตามวิถีธรรมชาติ ปรับสมดุลของจิตใจ โภชนาการเหมาะสม ปรับสมดุลของชีวิตประจำวันให้มีการทำงานและพักผ่อนพอเหมาะ ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม อีกทั้งอวัยวะภายใน เช่น ไตมีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับโรคที่เกิดจากการก่อตัวจากภายในร่างกาย เพราะหยางไตเป็นรากฐาน ของลมปราณหยางในร่างกาย ซึ่งฤดูนี้คนที่มีสุขภาพอ่อนแอควรจะมีการบำรุงไต เพราะไตมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพร่างกายทั้งด้านเจริญเติบโต ความแข็งแรง อายุขัยตลอดจนสมรรถภาพทางเพศ การจะบำรุงไตนั้นต้องเลือกให้เหมาะสม ซึ่งจะต้องปรึกษาแพทย์จีนก่อน


นพ.สุพรรณกล่าวอีกว่า การดูแลสุขภาพหน้าหนาวเบื้องต้นนั้นมีวิธีการง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ดังนี้

1. ควรดื่มน้ำ 3 แก้ว แก้วแรกช่วงเช้าเวลา 05.00-07.00 น.จะช่วยการขับถ่าย แก้วที่สองดื่มเวลา 15.00-17.00 น. จะช่วยล้างกระเพาะปัสสาวะ แก้วที่สามดื่มก่อนนอนหนึ่งชั่วโมงช่วยการนอนหลับ

2.ให้ปรับอารมณ์จิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่านเนื่องจากฤดูหนาวควรรักษาพลังอินของไต

3.เดินรับแสงอาทิตย์ และหายใจให้ลึกๆ เวลาที่เหมาะสม คือ เวลาช่วง 14.00-15.00 น.

4.ควรเดินออกกำลังกาย

5.ควรรับประทานเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อไก่ กุ้ง

6.ควรรับประทานผัก ประเภท ถั่วเหลือง กระเทียม หอมใหญ่ กูฉ่าย คะน้า เมล็ดสน ไชเท้า

7.ควรรับประทานผลไม้ เช่น เกาลัด ส้มเขียวหวาน ส้มโอ น้ำนม หรืออาหารที่ควรรับประทาน เช่น โจ๊กงาดำ โจ๊กกระดูกสันหลังหมู ตั้งถ่างเช่า (ตุ๋นเป็ด) น้ำพุทรา เป็นต้น

“อย่างไรก็ตาม เทคนิคทั้ง 7 ประการนั้น สามารถปฏิบัติง่าย ค่าใช้จ่ายน้อย เช่น การออกกำลังกาย การดื่มน้ำสะอาดบริสุทธิ์ เป็นต้น” นพ.สุพรรณกล่าว


-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000157551-

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #92 เมื่อ: ธันวาคม 22, 2011, 08:57:30 pm »
.

“ขนมคริสต์มาส” ขนมหวานวันรื่นเริง
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000162837
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
22 ธันวาคม 2554 14:56 น.




       วันคริสต์มาส ตามธรรมเนียมของคริสต์ศาสนิกชนนั้น เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู และยังเป็นวันที่มีความหมายอย่างมากของชาวคริสต์ทั่วไป โดยจะมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญแก่กันและกัน มีการประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนอย่างสวยงาม
       
       สำหรับในช่วงเทศกาลรื่นเริงแบบนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานเลี้ยงสังสรรค์ก็คือ ขนมหวานแสนอร่อย ที่จะทำให้ช่วงเทศกาลนั้นมีสีสันมากยิ่งขึ้น “108 เคล็ดกิน” เลยรวบรวมเอาขนมในวันคริสต์มาสของชาติต่างๆ มาให้ได้ทำความรู้จักกัน เพื่อใครจะไปลองทำ หรือซื้อหามากินในวันคริสต์มาสของปีนี้
       
       เริ่มกันที่เค้กคริสต์มาสของชาวเยอรมัน Christstollen หรือ Stollen Cake ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับเด็กทารกห่อหุ้มด้วยผ้า ซึ่งหมายถึงพระเยซูตอนประสูตินั่นเอง โดยเค้กชนิดนี้ เป็นเค้กผลไม้ ภายในเต็มไปด้วยไส้ผลไม้เชื่อม ผลไม้แห้ง และถั่วหลากชนิด ด้านนอกโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่งสีขาวละเอียด
       
       Santa Claus Ginger Bread เป็นคุกกี้คริสต์มาส ที่ในยุคแรกๆ นั้นคือขนมปังขิงนั่นเอง โดยนิยมปั้นเป็นตุ๊กตาต่างๆ โดยเฉพาะรูปมนุษย์ขนมปังขิง มีส่วนผสมเป็นเครื่องเทศหลากหลายชนิด ทั้ง ขิงผง อบเชย พริกไทยดำ อัลมอนด์ และผลไม้แห้งต่างๆ
       
       Christmas Pudding ขนมชนิดนี้ แม้จะมีหน้าตาเหมือนฟรุ๊ตเค้กเนื้อฉ่ำ แต่วิธีการทำนั้นแตกต่างจากเค้กอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากใช้วิธีการนึ่งให้สุก แล้วเสิร์ฟร้อนๆ ให้คลายหนาว ส่วนฟรุ๊ตเค้กในช่วงคริสต์มาส หรือ Christmas Fruit Cake นั้นก็มีวิธีทำแบบเค้กทั่วไปคืออบให้สุก ซึ่งขนมทั้งสองชนิดนี้จะเหมือนกันตรงที่ประกอบไปด้วยผลไม้แห้งหลากหลายชนิด
       
       Panettone Italian fruit bread ขนมวันคริสต์มาสของชาวอิตาเลียน เป็นขนมปังหวานทรงโดมสูงก้อนใหญ่ ผสมผลไม้เชื่อม ลูกเกด น้ำผึ้ง ส่วน Pashka เป็นขนมฉลองคริสต์มาสสไตล์รัสเซีย หน้าตาดูคล้ายพุดดิ้ง เพียงแต่ทำจากชีสเป็นชีสเค้ก
       
       สุดท้าย Christmas Log หรือ Buche de Noël เป็นเค้กรูปขอนไม้ของชาวฝรั่งเศสที่จะต้องกินกันทุกปีในวันคริสต์มาส เพราะถือเป็นเครื่องหมายของความโชคดีในปีหน้า มีทั้งแบบซุงท่อนเดียว และซุงที่วางเชื่อมกันเป็นรูปตัวที
       
       สำหรับเทศกาลคริสต์มาส และช่วงปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ “108 เคล็ดกิน” ก็ขอให้ทุกคนมีความสุข สนุกสนาน และรื่นเริง ไปจนตลอดปีหน้าที่จะมาถึงด้วย

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #93 เมื่อ: มกราคม 08, 2012, 09:21:24 am »
วัฒนธรรม “ตะเกียบ” ของชาวจีน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
5 มกราคม 2555 14:29 น.   

      เวลาที่เรากินก๋วยเตี๋ยว บะหมี่เกี๊ยว หรืออาหารจำพวกติ่มซำ โดยเฉพาะไปกินที่ร้านอาหารจีน ส่วนใหญ่ก็จะมีตะเกียบวางคู่เคียงมาให้ได้ใช้กัน แล้วรู้หรือไม่ว่า “ตะเกียบ”นั้นมีความเป็นมาอย่างยาวนาน และยังมีวัฒนธรรมความเชื่อเกี่ยวกับตะเกียบอีกมากมายที่เกิดขึ้นจากชาวจีน
       
       ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าจีนเริ่มใช้ตะเกียบจริงจังตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็ยอมรับกันโดยทั่วว่า ชาวจีนเริ่มใช้ตะเกียบกินข้าวกันอย่างแพร่หลายในหลังยุคราชวงศ์ฮั่น (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 3) และวัฒนธรรมการใช้ตะเกียบนี้ยังแพร่หลายไปยังอีกหลายประเทศ ทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น และเวียดนาม ซึ่งก็มีการดัดแปลงและพัฒนาจนกลายเป็นวัฒนธรรมการกินประจำชาติของตนเองไปด้วย
       
       ในส่วนของวัฒนธรรมการใช้ตะเกียบ รวมถึงข้อห้ามต่างๆ ก็มีอยู่หลายข้อ อาทิ
       
       - การถือตะเกียบที่ถูกต้อง จะต้องถือตะเกียบไว้ตรงง่ามนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ ให้อีกสามนิ้วที่เหลือคอยประคองตัวตะเกียบไว้ และต้องถือให้เสมอกัน เมื่ออิ่มแล้วต้องวางตะเกียบขวางไว้กลางชามข้าวเสมอ
       
       - ห้ามใช้ตะเกียบข้างเดียวเสียบแทงลงในอาหาร ถือว่าเป็นการเหยียดหยามน้ำใจกัน ไม่ต่างอะไรจากการชูนิ้วกลางให้ของฝรั่ง
       
       - ห้ามปักตะเกียบไว้ในชามข้าว เพราะดูเหมือนปักธูปในกระถางไหว้คนตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าตักข้าวให้คนอื่นแล้วปักตะเกียบไว้ในชามข้าวส่งให้ จะถือว่าเป็นการสาปแช่ง
       
       - ห้ามวางตะเกียบเปะปะ จะต้องวางให้เป็นระเบียบเสมอกันทั้งคู่ การวางตะเกียบไม่เสมอกัน ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง คนจีนถือคำว่า “ชางฉางเหลียงต่วน” ความหมายตามตัวอักษรนั้น หมายถึง สามยาวสองสั้น คำนี้ คนจีนมักหมายถึง ความตาย หรือความวิบัติฉิบหาย ดังนั้นการวางตะเกียบที่ทำให้เหมือนมีแท่งไม้สั้น ๆ ยาว ๆ จึงไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ห้ามทำเช่นนี้เด็ดขาด
       
       - ห้ามใช้ตะเกียบชี้หน้าผู้อื่น หรือถือไว้ในลักษณะที่ให้นิ้วชี้ ชี้คนอื่นที่อยู่ร่วมโต๊ะ แต่การใช้นิ้วชี้ผู้อื่นคนไทยก็ถือว่า ไม่สุภาพเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เฉพาะแต่คนจีนเท่านั้น
       
       - ห้าม อม ดูด หรือ เลียตะเกียบ กิริยานี้เป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างยิ่ง ถ้ายิ่งดูดจนเกิดเสียงดังด้วยแล้ว ถือเป็นกิริยาที่ขาดการอบรมที่ดี
       
       - ห้ามใช้ตะเกียบเคาะถ้วยชาม เพราะมีแต่ขอทานเท่านั้นที่จะเคาะถ้วยชาม ปากก็ร้องขอความเมตตา เพื่อชวนให้เวทนาสงสาร เรียกร้องความสนใจให้บริจาคทาน
       
       - ห้ามใช้ตะเกียบวนไปมาบนโต๊ะอาหาร โดยไม่รู้ว่าจะคีบอาหารชนิดใด ถือว่าเป็นกิริยาที่ควรหลีกเลี่ยง ควรใช้ตะเกียบคีบอาหารที่ต้องการนั้นทันที
       
       - ห้ามใช้ตะเกียบคุ้ยหาอาหาร การกระทำเช่นนี้เปรียบเหมือน พวกโจรสลัดขุดสุสาน เพื่อหาสมบัติที่ต้องการ ถือเป็นกิริยาที่น่ารังเกียจ

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000000459-


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #94 เมื่อ: มกราคม 12, 2012, 09:56:19 pm »
“ชา” ของดีที่ไม่ควรมองข้าม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
12 มกราคม 2555 16:04 น.



ชาวโลกรู้จัก “ชา” กันมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว บ้างก็ว่ามีสรรพคุณต่างๆ นานา บ้างก็จิบชาเพื่อความสุขส่วนตัว บ้างก็ว่ากินคู่กับอาหารนั้นจะได้รสชาติดี แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม “108 เคล็ดกิน” ก็ยังอยากจะแนะนำ “ชา” ให้ได้รู้จักกันมากขึ้น

ชา เป็นพืชที่มาจากพืชในตระกูลคาเมลเลีย ไซเนนซิส เป็นพืชที่มีลักษณะเป็นพุ่ม ใบเขียว ชาสามารถแยกอย่างง่ายๆ ได้ 6 ประเภท ได้แก่ ชาขาว ชาเหลือง ชาเขียว ชาอูหลง ชำดำ และชาผูเอ่อร์ ซึ่งชาทุกชนิดสามารถทำได้จากต้นชาต้นเดียวกัน แต่ผ่านกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างกันออกไป

ในใบชาจะมีเอนไซม์ที่ชื่อว่า โพลีฟีนอลออกซิเดส ซึ่ง โพลีฟีนอล เป็นสารประกอบชีวภาพที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และมีสรรพคุณเป็นสารแอนติออกซิเดนซ์ นอกจากนี้ สารฟลาโวนอยด์ ที่พบในใบชายังมีสรรพคุณช่วยดัก และทำลายอนุมูลอิสระ และยังทำงานร่วมกับวิชามินซี เสริมความแข็งแรงให้กับผนังหลอดเลือด

ประโยชน์ของชายังไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ชายังช่วยลดไขมันและระดับคอเรสเตอรอลในหลอดเลือด ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย นอกจากนี้แล้วชายังมีผลทางด้านจิตใจ กลิ่นและรสชาติช่วยให้ผ่อนคลายปลอดโปร่ง ลดความเครียด



-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000004443-

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #95 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2012, 04:53:54 pm »
.

“เหล็ก” บำรุงเลือด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
3 กุมภาพันธ์ 2555 00:08 น.    



    “เลือด” นับว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย ฉะนั้นเราก็ควรต้องบำรุงร่างกายเพื่อให้มีเลือดใช้อย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คือ “เหล็ก” ที่ไม่ใช่โลหะ แต่เป็นธาตุชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด
       
       สำหรับการช่วยนำเหล็กเข้าไปสร้างเม็ดเลือดนั้น สามารถทำได้โดยการบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กอยู่สูง เช่น อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ และอาหารทะเล อาหารกลุ่มนี้จะมีธาตุเหล็กสูง และดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีที่สุด สังเกตได้จากเนื้อที่มีสีแดงยิ่งเข้มขึ้นแสดงว่ามีธาตุเหล็กสูง เมื่อรับประทานร่วมกับอาหารที่มิวิตามินซีสูง เช่น บร็อคโคลี่ พริก มะเขือเทศ ฝรั่ง ส้ม จะยิ่งช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กได้มากขึ้น
       
       และอาหารพวกไข่ พืช ผักใบเขียวต่างๆ รวมถึงถั่วเมล็ดแห้ง อาหารพวกนี้มีธาตุเหล็กสูง แต่ธาตุเหล็กในกลุ่มนี้จะดูดซึมเข้าร่างกายได้ไม่ดีนัก จึงควรรับประทานร่วมกับอาหารที่มีวิตามิน ซี สูงในมื้อเดียวกัน เพื่อช่วยในการดูดซึม
       
       วิธีป้องกันการขาดธาตุเหล็กก็คือ ควรกินเนื้อสัตว์สัปดาห์ละ 3 ครั้ง รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เพื่อช่วยการดูดซึมของเหล็ก และควรระวังอาหารที่ไปขัดขวางการดูดซึมของเหล็ก เช่น ชา กาแฟ แต่ถึงเช่นนั้น ก็ไม่ควรได้รับธาตุเหล็กมากเกินไป เพราะร่างกายจะไม่สามารถขจัดออกได้ และอาจเป็นอันตรายต่อตับ


-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000015348-

.

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000015348

.





















































































คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #96 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2012, 09:16:12 pm »
“ไข่แมงดาทะเล” กินผิด มีพิษต่อร่างกาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
16 กุมภาพันธ์ 2555 14:48 น.



สำหรับ ผู้ที่พิสมัยการกินอาหารทะเล หนึ่งในเมนูเด็ดที่ต้องลิ้มลองก็คือ “ไข่แมงดาทะเล” ซึ่ง ก็มีมีตามฤดูกาล โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนกันยายน จะเป็นช่วงที่แมงดาทะเลจะวางไข่ ซึ่งความมันของไข่ ก็เป็นที่ติดอกติดใจของนักชิมหลายๆ คน แต่ที่ “108 เคล็ดกิน” อยากจะตักเตือนกันเสียหน่อย ก็เพราะว่าหากกินไข่แมงดาทะเลผิดชนิด ก็อาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้
       
       โดยแมงดาทะเลนั้นจะมีอยู่ 2 ชนิด คือ แมงดาถ้วย และแมงดาจาน สำหรับที่เราๆ ท่านๆ กินกันนั้นก็คือไข่ของแมงดาจาน แต่ไข่ของแมงดาถ้วยนั้นจะมีพิษ ซึ่งอาจเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ ตัวแมงดาถ้วยเกิดไปกินแพลงตอนที่มีพิษเข้าไป ทำให้สารพิษสะสมอยู่ในเนื้อและไข่ของแมงดาถ้วย และอีกสาเหตุคือ ตัวแมงดาถ้วยมีพิษซึ่งเกิดจากแบคทีเรียในลำไส้สร้างพิษขึ้นมาเอง
       
       สารที่ก่อให้เกิดพิษในแมงดาทะเลมีอยู่ 2 ชนิด คือเตโตรโดทอกซินและแอนไฮโดรเตโตรโดทอกซิน เป็นสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาทและเป็นสารพิษชนิดเดียวกับที่พบในปลาปักเป้า สารพิษนี้ทนทานความร้อนสูงมากถึง 170 องศาเซลเซียสการหุงต้มก็ไม่สามารถทำลายพิษได้
       
       อาการที่เกิดขึ้นจากการกินไข่แมงดาที่มีพิษนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณที่ กินเข้าไปมากหรือน้อย โดยจะมีอาการชาที่ริมฝีปาก มือและเท้า เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เดินเซ แขนขาไม่มีแรง พูดไม่ออก กลืนลำบาก หายใจไม่ออก กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจเป็นอัมพาต เนื่องจากพิษของ แมงดาทะเลเป็นพิษต่อระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ซึ่งหากว่าเกิดอาการที่คาดว่าได้รับพิษจากไข่แมงดา ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000021573

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #97 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2012, 09:31:35 pm »


สตรอเบอร์รี...ผลไม้มหัศจรรย์



สตรอเบอร์รี...ผลไม้มหัศจรรย์ (Hair)

          ช่วง นี้มีสตรอเบอร์รี่ออกมาวางขายมากมาย เจ้าผลไม้หน้ากระจุ๋มกระจิ๋มสีสันสดใสนี้นอกจากจะกินอร่อยแล้ว ยังอุดมไปด้วยประโยชน์ทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ สารอาหารต่าง ๆ ตั้งแต่โฟเลต วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม โปรแตสเซียม ไฟโตนิวเทรียนท์ ไฟเบอร์ ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก กรดเอลลาจิก ฯลฯ สตรอเบอร์รี จึงเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพด้วยสรรพคุณที่เกินพิกัด...

          1.ช่วยล้างพิษที่สะสมในร่างกาย เช่น กรดยูริก สาเหตุสำคัญของโรคข้ออักเสบและโรคเกาท์

          2.ช่วยให้ห่างไกลโรคต่าง ๆ ทั้งโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็งลำไส้นิ่วในไต สีแดงสดของสตรอเบอร์รีล้วนอุดมไปด้วยซูเปอร์ไฟเบอร์เพคติน และยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและช่วยเคลือบทางเดินอาหารอีกด้วย

          3.ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองโดยสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยฟื้นคืนความอ่อนเยาว์ให้กับระบบประสาท

          4.ช่วยดูแลสายตา สารต้านอนุมูลอิสระในสตรอเบอร์มีส่วนช่วยชะลอขบวนการเสื่อสภาพของดวงตาได้


สตรอว์เบอร์รี่

          5.ช่วยลดความอ้วน สตรอเบอร์รีคือผลไม้เพื่อการลดน้ำหนักที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็กต์ เพราะปริมาณ 1 ถ้วยให้พลังงานเพียง 49 แคลอรี เท่านั้น และยังอุดมด้วยไฟเบอร์ช่วยให้อิ่มท้องและช่วยระบบการขับถ่าย

          6.ช่วยดูแลสุขภาพเหงือกและฟัน ช่วยรักษาแผลในปาก ช่วยดับกลิ่นปาก ทำให้ลมหายใจสดชื่น

          7.ใบสดของสตรอเบอร์รี ยังสามารถนำมาโขลกแล้วนำไปประคบ ช่วยลดอาการอักเสบและบวมช้ำได้อีกด้วย

          ถ้า จะให้ได้ประโยชน์จากสตรอเบอร์รีอย่างสูงสุด ควรรับประทานแบบสดแทนที่จะเป็นแบบแยม เพราะนอกจากจะไม่ได้ประโยชน์อะไร เป็นชิ้นเป็นอันแล้ว ยังจะได้น้ำตาลตัวร้ายต่อสุขภาพเป็นของแถม


http://health.kapook.com/view37378.html


.





















คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #98 เมื่อ: มีนาคม 29, 2012, 08:35:59 pm »

นอนดึก-ตื่นเช้า กินอะไรให้สดชื่น
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
29 มีนาคม 2555 17:09 น.



       ใครที่ชอบนอนดึกตื่นเช้า จะด้วยภาระหน้าที่การงาน ติดหนังติดละคร นอนดูบอลยามดึก กว่าจะได้ล้มตัวลงนอนก็ปาเข้าไปค่อนคืน แถมยังต้องตื่นแต่เช้ามาผจญกับวันใหม่ ยังไงๆ ก็ต้องง่วงหงาวหาวนอนกันเป็นธรรมดา แถมยังทำให้ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่าเหมือนกับวันที่พักผ่อนเต็มที่อีกด้วย
       
       และอาหารที่กินเข้าไปก็เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้ความสดชื่นกลับมาเยือนอีกครั้ง “108 เคล็ดกิน” ก็มีคำแนะนำสำหรับผู้ที่อยากสดชื่นในยามเช้า เริ่มต้นจากสิ่งที่ไม่ควรกินกันก่อน นั่นคือ อาหารทอด หรืออาหารมัน อาหารเค็มจัด และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะอาหารเหล่านี้จะยิ่งทำให้อาการนอนน้อยแย่ลงไปอีก
       
       ส่วนอาหารที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายก็คือ อาหารพวกผัก ผลไม้ อาหารจำพวกนี้จะมีโครเมียม ที่ช่วยให้รักษาระดับน้ำตาลในเลือด และเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย โดยเฉพาะในแอปเปิ้ล กล้วย และมันฝรั่ง
       
       อาหารที่มีวิตามินบี และซี วิตามินบีจะช่วยลดอาการนอนไม่หลับ ช่วยให้สมองผ่อนคลาย และทำให้ประสาทตื่นตัว พบมากในข้าวกล้อง ธัญพืชต่างๆ ไข่ เนื้อสัตว์ เป็นต้น ส่วนวิตามินซี จะช่วยต้านความเหนื่อยล้าของร่างกาย สร้างภูมิต้านทาน พบมากในผักและผลไม้สด และผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าจากความเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดด้วย
       
       ควรกินอาหารเบาๆ ย่อยง่ายๆ กระเพาะจะได้ไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป อย่างเช่น กินเนื้อปลา จะได้โปรตีนที่ย่อยง่าย ได้รับไขมันชนิดดี เช่นโอเมก้า 3 ที่จะช่วยบำรุงสมอง สร้างสมาธิและความจำให้ดีขึ้นเวลาอดนอน กินถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวซ้อมมือ จมูกข้าวสาลี และธัญพืชต่างๆ นอกจากจะย่อยง่ายแล้ว ก็ยังมีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยบำรุงประสาท และช่วยให้จิตใจแจ่มใสสดชื่น
       
       สุดท้าย ต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อเรียกความสดชื่นให้กลับคืนมา การที่พักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ และอาจเกิดอาการร้อนใน การดื่มน้ำเข้าไปชดเชยให้เพียงพอนั้นจะช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลเข้าสู่ภาวะปกติได้ และกลับมาสดชื่นเหมือนเดิม
       
       แต่ข้อสำคัญ ก็ไม่ควรนอนน้อยเกินไป หรืออดนอนบ่อยๆ เพราะจะทำให้ร่างกายทรุดโทรม หน้าตาไม่ผ่องใส ไม่สดชื่น

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000040100-

.

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000040100

.
















คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #99 เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2012, 07:05:27 am »
“เห็ดตับเต่า” เมนูสุขภาพช่วงหน้าฝน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
19 กรกฎาคม 2555 16:19 น.



“หอมเอย.. หอมดอกกระถิน รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาย่านาง…” เห็นขึ้นต้นด้วยเสียงเพลงแบบนี้ “108 เคล็ดกิน” ไม่ได้จะพาไปร้องเพลงคาราโอเกะแต่อย่างใด แต่อยากจะให้สังเกตดูว่าในเนื้อเพลงท่อนนี้มีของกินอยู่ชนิดหนึ่งที่คนสมัยนี้อาจจะไม่รู้จักกันแล้ว นั่นก็คือ “เห็ดตับเต่า”
       
       ด้วยความอยากรู้อยากเห็น “108 เคล็ดกิน” ก็เลยไปถามท่านผู้รู้ว่าเจ้าเห็ดตับเต่านี่คืออะไร มีอยู่จริงหรือไม่ ใช้ทำเมนูอะไร แล้วก็ได้รับคำตอบมาว่า “เห็ดตับเต่า” ก็คือเห็ดชนิดหนึ่งที่จะมีให้กินในเฉพาะช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะในป่าทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้
       
       เห็ดตับเต่าจะขึ้นเองตามธรรมชาติ จึงนับได้ว่าเป็นเห็ดที่ปลอดสารพิษ (แต่ในปัจจุบันเริ่มมีการเพาะเห็ดตับเต่าขายแล้ว) หน้าตาของเห็ดชนิดนี้จะมีสีออกน้ำตาล น้ำตาลเข้ม ไปจนถึงสีดำ
       
       ว่ากันว่าเห็ดนั้นเป็นอาหารสุขภาพชนิดหนึ่ง กินแล้วได้ประโยชน์ต่อร่างกาย (ยกเว้นจะไปกินเห็ดพิษเข้า) ให้พลังงาน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และแร่ธาตุต่างๆ ส่วนสรรพคุณทางยาของเห็ดตับเต่านั้นเป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง บำรุงตับ บำรุงปอด กระจายโลหิต และดับพิษร้อนภายในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยบำบัดอาการปวดหลัง ปวดข้อ ปวดเส้นเอ็นและกระดูก ป้องกันการชักกระตุก คนจีนใช้เป็นสมุนไพร แก้เคล็ดคัดยอก และปวดกระดูก
       
       ข้อสำคัญการจะเก็บเห็ดมากินนั้น ไม่ว่าจะเป็นเห็ดชนิดใดก็ตาม จะต้องให้แน่ใจได้ก่อนว่าไม่ใช่เห็ดพิษ เพราะในช่วงฤดูฝนไปจนถึงฤดูหนาวนั้น เป็นช่วงที่มีเห็ดหลากหลายสายพันธุ์ขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในป่า ในไร่ หรือในสวน ซึ่งก็มีทั้งที่กินได้และไม่ได้ โดยเฉพาะเห็ดพิษบางชนิดก็มีสีสันสวยงามล่อตาล่อใจ บางชนิดก็มีหน้าตาคล้ายคลึงกับเห็ดที่ขายตามตลาดทั่วไป ซึ่งการจะพิสูจน์ได้ว่าเห็ดชนิดใดเป็นพิษหรือไม่ ต้องอาศัยการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเท่านั้น

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)