ผู้เขียน หัวข้อ: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ  (อ่าน 47513 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #100 เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2014, 07:25:57 am »
"เพลียเรื้อรัง" โรคนี้มีอยู่จริง และอาจพ่วงถึงไต...


-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1400063044&grpid=&catid=09&subcatid=0902-



หลายคนอาจจะสงสัยว่า มีด้วยหรือ ไอโรคเพลียเรื้อรัง ไม่ยักจะเคยได้ยิน E-mag ขอบอกเลยว่ามี และก็ค่อนข้างจะร้ายแรงหากอาการหนักมากๆเสียด้วย


คุณเคยรู้สึกเพลียมากๆ จนไม่อยากจะแก้ไข ไม่อยากทำอะไรกับชีวิตไหม?

 


อาการเพลีย ในที่นี้ คืออาการที่เกิดกับร่างกาย เหนื่อยกาย ไม่ใช่เหนื่อยใจ แบบว่ารู้สึกเหนื่อย เพลีย หมดแรง ไร้เรี่ยวแรง ปวดเมื่อยเนื้อตัว ไม่ได้ทำงานหนักหนาสาหัสสักเท่าไหร่ก็รู้สึกเพลีย บอกได้เลยว่า เป็นไปได้ที่คุณกำลังเสี่ยงที่จะเป็นโรคเพลียเรื้อรัง

 

โรคเพลียมีจริงหรือ


เจ้าโรคเพลียเรื้อรังนี้ขอบอกว่ามีจริงๆ ค่ะ โดยชื่อทางการแพทย์ก็คือ Chronic Fatigue Syndrome หรือ CFS ไม่ใช่อาการเจ็บไข้ได้ป่วยทั่วไปอย่างไข้หวัดหรือกล้ามเนื้ออักเสบ เพราะหากเป็นการเจ็บป่วยตามธรรมดาเหล่านี้ เราจะอธิบายได้และค้นหาสาเหตุได้


แต่อาการป่วยจาก CFS เป็นอาการป่วยที่ยากต่อการรักษา เพราะหาสาเหตุไม่พบและอธิบายไม่ได้ รวมถึงค่อนข้างวินิจฉัยยากเพราะคล้ายกับหลายโรค โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ และบางทีก็เกิดจากสร่างไข้ใหม่ ๆ เลยทำให้ตัวคุณเองอาจไม่แน่ใจว่าเพราะยังไม่ฟื้นไข้ดีหรือเปล่า


โรค CFS ทำให้ภูมิต้านทานโรคตกลง และมีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง บางคนมีความจำเสื่อม สมาธิสั้นลง ปวดตามข้อหรือกล้ามเนื้อ เจ็บต่อมน้ำเหลือง (เช่น ตรงรักแร้ ขาหนีบ ฯลฯ) และเจ็บคอ


ภาวะเหนื่อยเรื้อรังนี้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2-4 เท่า แต่ตัวเลขนี้เอาแน่ยังไม่ได้ อาจเป็นไปได้ว่าเพราะผู้หญิงใส่ใจสุขภาพมากกว่า พอรู้สึกไม่สบายก็มักไปหาหมอมากกว่าผู้ชายเลยมีสถิติมากกว่าก็เป็นได้


อ.จูดี มิโควิทส์ และคณะ แห่งสถาบันวิทท์มอร์ พีเทอร์ซัน สถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐฯ และคลินิกคลีฟแลนด์ สหรัฐฯ พบไวรัสมีชื่อว่า ‘XMRV’ ในเลือดของคนไข้ CFS 68 ใน 101 คน = 67.3% เทียบกับคนที่มีสุขภาพดีพบไวรัสนี้ 8 ใน 128 = 6.25%


ยังไม่มีใครทราบว่าภาวะเพลียเรื้อรังเกิดจากอะไรกันแน่ ชื่อนี้ได้มาจากอาการที่แสดงให้เห็น เพราะไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกอ่อนเพลียมากๆ แม้จะพักผ่อนมากเท่าไรแล้วก็ตาม ทั้งเหนื่อยล้าเกินกว่าอยากจะหยิบจับทำอะไรๆ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการทำงานและการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก

 

ระวัง! ภาวะเพลียเรื้อรัง รักษาได้ แต่ไม่หายขาด


การสังเกตตัวเองอยู่เสมอ จะทำให้คุณรู้ตัวได้เร็วกว่าว่าคุณกำลังเสี่ยงกับโรคนี้อยู่หรือเปล่า บ่อยครั้งที่ภาวะเหนื่อยเรื้อรังเกิดหลังจากป่วยเล็กๆ น้อยๆ เช่นว่าเป็นไข้หวัดหรือท้องเสีย บางครั้งก็เกิดในช่วงที่เครียดจัด แต่ก็มีเหมือนกันที่อยู่ดีๆ ก็เป็นขึ้นมาโดยไม่มีอาการเตือนหรือไม่สบายมาก่อน ปกติแล้วอาการจะเกิดแบบต่อเนื่อง หรือเป็นๆ หายๆ ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน


เพราะอาการของโรคนี้จะคลุมเครือชี้ชัดได้ยากกว่าเป็นอะไรกันแน่ และแพทย์น้อยคนนักที่จะนึกถึง ซึ่งถ้าแพทย์ให้การรักษาตามอาการแล้วยังไม่ดีขึ้น หรือมีหลายอาการประกอบกัน ก็เข้าข่ายว่าน่าจะเป็นภาวะเหนื่อยเรื้อรัง

 

 


เพราะไม่มียาเฉพาะที่จะรักษาโรคนี้ให้หายขาด การรักษาตามอาการและการดูแลสุขภาพกายและใจจึงเป็นหนทางเดียวในขณะนี้ที่จะช่วยบรรเทาได้ พร้อมๆ ไปกับการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ทานอาหารให้สมดุล พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเบาๆ เป็นประจำ หลีกเลี่ยงความเครียด


ที่สำคัญพอรู้ตัวว่าเป็นหรือเพียงแค่สงสัยก็ควรรีบกำจัดสิ่งที่จะไปกระตุ้นให้เป็นหนักขึ้นนั้นซะ ที่สำคัญหากคิดว่าตนเองมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้แล้ว ให้รีบไปพบแพทย์ทันที


เข้าใจว่าชื่อโรคอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อว่าจะมีเท่าไหร่ แถมฟังดูไม่น่าอันตรายอะไร แต่หากทิ้งไว้เพราะคิดว่าเป็นโรคเล็กๆ น้อยๆ ไม่น่ากลัวคงไม่ดีแน่ เพราะโรคนี้ก็เหมือนกับโรคอื่นๆ ทั่วไป ที่ยิ่งปล่อยทิ้งไว้ รังแต่จะเป็นอันตรายร้ายแรงในอนาคต

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก -www.emaginfo.com/-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #101 เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2014, 06:07:06 am »
คัน มีกลิ่นเหม็นที่จุดซ่อนเร้นทำไงดี? มีวิธีดูแลจุดซ่อนเร้นดีๆมาบอก


-http://guru.sanook.com/27154/%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%86%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81/-



ปัญหาอาการคันและมีกลิ่นของจุดซ่อนเร้น ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่น่าอายที่ไม่อยากให้ใครรู้ แต่บางครั้งถ้าจุดซ่อนเร้นของเรามีอาการคัน และมีกลิ่นเหม็นที่รุนแรง มันก็คงถึงเวลาที่เราจะต้องไปหมอให้หมอช่วยรักษาให้ โดยเฉพาะอาการคันซึ่งเป็นสิ่งผิดปกติที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับจุดซ่อนเร้น เพราะมันมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส ซึ่งถ้าไม่รับรักษาปัญหาที่จุดซ่อนเร้นของเราก็อาจลุกลามใหญ่โตได้

วิธีแก้ปัญหากลิ่นที่จุดซ่อนเร้น


    วันนี้มีวิธีดูแลรักษาจุดซ่อนเร้นมาฝาก ทำยังไงไม่ให้จุดซ่อนเร้นเราคันและมีกลิ่น กันไว้ดีกว่าแก้นะ

1. ล้างทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นด้วยน้ำเปล่าก็เพียงพอ


บางคนคิดว่าการทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นที่ดีคือการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีวางขายกัน ซึ่งจริงมันก็ดีแต่ใช้บ่อยๆก็ไม่ได้ อาจทำให้จุดซ่อนเร้นของเราเกิดการระคายเคืองได้ น้ำเปล่าเป็นสิ่งที่ช่วยทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นได้ดีที่สุด วิธีทำความสะอาดคือ ให้ใช้น้ำเปล่าล้างจุดซ่อนเร้นตามปกติ และใช้กระดาษทิชชู่สะอาดๆซับบริเวณจุดซ่อนเร้นให้สะอาด ไม่ควรใช้หัวฉีดทำความสะอาดฉีดเข้าไป เพราะมันรุนแรงเกินไป ยิ่งเป็นหัวฉีดตามห้องน้ำในห้างยิ่งน่ากลัว เพราะเชื้อโรคอาจติดอยู่ที่หัวฉีดได้ นอกจากนี้การใช้น้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการทำความสะอาดที่ดีด้วยเช่นกัน

2. ไม่ควรใช้น้ำยาสวนล้างช่องคลอด หรือน้ำยาฆ่าเชื้อแรงๆ


เพราะน้ำยาเหล่านี้มันจะเข้าไปทำลายเชื้อแบคทีเรียดีๆที่ช่วยป้องกันเชื้อราที่อาจเกิดขึ้นกับจุดซ่อนเร้นของเราได้ โดยเชื้อราที่ว่ามีชื่อว่า "แลคโตแบซิลไล" ซึ่งจะทำให้ช่องคลอดของสาวๆมีความเป็นกรดอ่อนๆ สามารถช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราได้เป็นอย่างดี

3. เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆเวลามีประจำเดือน


เวลาที่มีประจำเดือนเป็นช่วงที่จุดซ่อนเร้นสกปรกได้ง่าย ซึ่งอาจทำให้เกิดกลิ่นและติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นเวลามีประจำเดือนควรเปลี่ยนผ้าอนามัย และควรเข้าห้องน้ำบ่อยๆ 2-3 ชั่วโมงเข้าครั้งหนึ่งจะดีมาก เป็นวิธีที่ช่วยป้องกันการเกิดกลิ่นที่จุดซ่อนเร้นได้เป็นอย่างดี

4. .ใส่กางเกงในที่ระบายอากาศดี


อีกหนึ่งสาเหตุของความอับชื้นบริเวณจุดซ่อนเร้นก็คือความอับชื้นที่เกิดขึ้นเนื่องจากสวมใส่กางเกงในที่ระบายอากาศไม่ดี ทำให้กลิ่นอับไม่สามารถระบายออกไป ซึ่งเป็นที่มาของการเกิดเชื้อราที่จุดซ่อนเร้นได้ กางเกงในที่ดีที่ควรสวมใส่ควรทำมาจากผ้าฝ้าย บาง เบา ระบายอากาศได้ดี นอกจากนี้ถ้าเป็นไปได้ควรหลีดเลี่ยงการใส่กางเกงฟิต เช่นกางเกงรัดรูป หรือกางเกงยีนส์ขาเดปฟิต เพราะจำทำให้เกิดการเสียดสีบริเวณจุดซ่อนเร้นมากและทำให้เกิดการหมักหมมเพิ่มขึ้นได้

วิธีสังเกตการติดเชื้อจากตกขาวที่เกิดขึ้น

    ตกขาวเป็นก้อนเเหมือนตะกอนนมสีขาว มีอาการร่วมด้วย อาจติดเชื้อรา
    ตกขาวมีสีเหลืองเขียว เหม็นเปรี้ยว อาจติดเชื้อแบคทีเรีย
    ตกขาวมีสีเทา มีอาการคัน แสบ ร้อน อาจติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์

    จุดซ่อนเร้นเป็นอวัยวะที่สำคัญของสาวๆ ควรดูแลและป้องกันการตอดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียให้ดี นอกจากนี้ควรทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันการเกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ตามมา เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหากลิ่นเหม็นที่จุดซ่อนเร้นอีกต่อไป ที่มา : healthbeautydd




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #102 เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2014, 06:08:02 am »
เด็กฮิตเคี้ยวหมากฝรั่ง-อมลูกอมดับกลิ่นปาก เสี่ยงเจอมะเร็ง!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 พฤษภาคม 2557 15:34 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000055985-



  เด็กเกินครึ่งนิยมเคี้ยวหมากฝรั่ง อมลูกอมดับกลิ่นปาก กรมอนามัยชี้เข้าใจผิดอย่างแรง ระบุช่วยให้มีกลิ่นหอมชั่วคราว แต่เสี่ยงได้รับอันตรายจากสารในหมากฝรั่งและลูกอมจนเกิดมะเร็ง เป็นอันตรายต่อสมอง ต่อมไทรอยด์ ตับ และไต ได้ หากรับสารมากเกินไป แนะแปรงฟันด้วยสูตร 222

  นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการสุ่มสำรวจการบริโภคอาหารว่างและเครื่องดื่ม การดูแลสุขภาพช่องปาก และสภาวะทันตสุขภาพของเยาวชนในโรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วประเทศปี 2556 ของกรมอนามัย พบว่า ร้อยละ 55.1 นิยมเคี้ยวหมากฝรั่ง และร้อยละ 42.3 อมลูกอม เพื่อระงับกลิ่นปาก โดยเข้าใจผิดว่าจะช่วยลดกลิ่นปาก แต่ความจริงแล้วมีกลิ่นหอมเพื่อกลบกลิ่นปากชั่วคราวเท่านั้น นอกจากนี้ ยังอาจได้รับอันตรายจากสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของหมากฝรั่งและลูกอมมากเกินไป เช่น สารกันเสีย สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเอสปาร์แตม ซึ่งหากบริโภคมากเกินกว่า 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน อาจก่อให้เกิดมะเร็งและอันตรายต่อสมองได้ รวมทั้งสารที่ให้รสชาติเหมือนน้ำตาลจริงและให้พลังงานต่ำ เช่น ซูคลาโลส หากได้รับมากเกิน 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน จะเป็นอันตรายต่อต่อมไทยรอยด์ ตับ และไต ได้เช่นกัน
       
       นพ.พรเทพ กล่าวว่า การลดกลิ่นปากที่มีประสิทธิภาพต้องดูแลและทำความสะอาดช่องปากเป็นประจำตามสูตร 222 คือ แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ เช้าและก่อนนอน แปรงฟันนานอย่างน้อย 2 นาที เพื่อให้สะอาดทั่วทั้งปากทุกซี่ ทุกด้าน และให้ฟลูออไรด์ได้ใช้เวลาทำปฏิกิริยากับฟันเพื่อป้องกันฟันผุอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงปล่อยให้ปากสะอาดไม่กินขนมหวาน น้ำอัดลมหลังแปรงฟัน 2 ชั่วโมง หากให้ไหมขัดฟันทำความสะอาดซอกฟันวันละครั้ง ก็จะดีต่อสุขภาพช่องปากของเยาวชนและคนวัยหนุ่มสาวมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ แนะนำให้แปรงลิ้นด้วยจะช่วยลดกลิ่นปากได้ดี รวมทั้งการจิบน้ำเปล่าบ่อยๆ ก็จะช่วยรักษาสุขภาพกายและคงความสดชื่นของปากได้ แต่ถ้ามีเหงือกอักเสบ หินปูน หรือฟันผุ ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อรับการรักษาทันที
       
       “วิธีทดสอบกลิ่นปากอย่างง่ายๆ ให้เอามือปิดปากและจมูก เป่าลมแรงๆ ออกจากปาก หรือใช้วิธีเลียที่ข้อมือและดมดู เมื่อทดสอบดูแล้วพบว่ามีกลิ่นปากก็สามารถป้องกันได้ตามสาเหตุ เช่น หากมีฟันผุเป็นรูควรไปรักษาด้วยการอุดฟัน และหมั่นดูแลทำความสะอาดในช่องปากด้วยการแปรงฟันที่ถูกวิธีเพื่อลดปัญหาฟันผุ ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียฟันในวัยเด็กที่อาจสะสมจนกลายเป็นการสูญเสียฟันทั้งปากในวัยสูงอายุตามมาได้” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว




.


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #103 เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2014, 02:45:57 am »
ตรวจสุขภาพ ใครควรตรวจ? โดยวิธีใด? เมื่อไร?
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 พฤษภาคม 2557 23:16 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000058530-


การคัดกรองทางสุขภาพ หรือการตรวจสุขภาพในปัจจุบัน มีความหลากหลายมาก เป็นช่องทางทำรายได้ให้ธุรกิจทางการแพทย์มากมาย ในขณะเดียวกันก็เป็นรูรั่วขนาดใหญ่ของทรัพยากรสุขภาพของชาติได้เช่นกัน
       เป็นที่ทราบกันว่า ไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองทางสุขภาพใดที่สามารถให้ผลการตรวจคัดกรองสุขภาพที่ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ กล่าวคือคนที่เป็นโรคบางคนอาจได้รับผลการคัดกรองที่สรุปว่าไม่เป็นโรค ทั้งที่ตนเองเป็นโรค (ผลลบลวง) ขณะที่คนปกติที่ไม่เป็นโรคอาจได้ผลการคัดกรองที่เป็นบวก (ผลบวกลวง)
       รวมทั้งบางวิธีขาดหลักฐานสนับสนุนด้านประสิทธิภาพว่ามีประโยชน์ และบางวิธีมีหลักฐานชัดเจนว่ามีโทษ (เพราะนำไปสู่การตรวจอื่นๆ หรือการรักษาที่อันตรายต่อสุขภาพ)
       การตรวจคัดกรองสุขภาพ เป็นการซักถามหรือตรวจเบื้องต้น เพื่อค้นหาความเสี่ยงหรือโรคในประชากรสุขภาพดี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกัน ลดความเสี่ยงหรือภาวะแทรกซ้อนจากโรค วิธีการที่นำมาใช้คัดกรองโรคหรือปัญหาสุขภาพหนึ่งๆ อาจมีได้หลายวิธี
       ข้อมูลจากผลการศึกษา เรื่อง การพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ด้านการคัดกรองทางสุขภาพระดับประชากรในประเทศไทย (http://www.hitap.net/research/10643) จัดทำโดยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอ มาตรการที่เหมาะสมสำหรับการตรวจคัดกรอง 12 โรค/ปัญหาสุขภาพที่สำคัญของคนไทยที่มีสุขภาพแข็งแรงทั่วไป ในที่นี้ขอเสนอเฉพาะการตรวจคัดกรองปัญหาสุขภาพบางประเภท ดังนี้
       ทั้งหญิงและชาย ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรคัดกรองโรคเบาหวาน โดยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหาร (fasting plasma glucose) โดยทำการคัดกรองซ้ำทุก 5 ปี
       ทั้งหญิงและชาย ที่มีอายุ 31-40 ปี ควรคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบบี จำนวน 1 ครั้งในชีวิต ร่วมกับการให้วัคซีนหากพบว่าไม่มีภูมิคุ้มกัน
       ทั้งหญิงและชาย ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ควรคัดกรองหัวใจเต้นผิดจังหวะ ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง โดยการคลำชีพจรทุกครั้งที่ไปรับบริการที่สถานพยาบาล หากผลผิดปกติให้ตรวจยืนยันด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
       หญิง ที่มีอายุระหว่าง 30-60 ปี หรือ หรือเมื่อเริ่มมีเพศสัมพันธ์ (ในกรณีที่อายุน้อยกว่า 30 ปี) ควรทำการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีตรวจภายใน (Pap smear หรือ VIA) ทุก 5 ปี
       สำหรับ รายการตรวจคัดกรองที่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามีประโยชน์ หรือไม่จำเป็นต้องตรวจในคนปกติทั่วไป เช่น การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องแมมโมแกรม การถ่ายภาพรังสีทรวงอก การตรวจการทำงานของไต และตับ
       ข้อเสนอข้างต้น ไม่รวมการตรวจคัดกรองในผู้ที่มีประวัติเสี่ยง การตรวจวินิจฉัยโรค การตรวจติดตามเพื่อการรักษาโรค การตรวจคัดกรองภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ในผู้ป่วย และการตรวจคัดกรองในหญิงตั้งครรภ์ กลุ่มเหล่านี้ควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ในการพิจารณาวิธีการตรวจคัดกรองที่เหมาะสม
       แต่มีการตรวจคัดกรองที่ทำได้ง่ายๆ ไม่เปลืองตังค์ และทุกคนทำได้ด้วยตนเอง
       นั่นคือ ลองตั้งคำถามต่อไปนี้ เพื่อคัดกรองความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยในอนาคตหรือไม่
       1.ฉันสูบบุหรี่หรือไม่
       2.ฉันดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่
       3.ฉันขับรถเร็วหรือไม่
       4.ฉันบริโภคอาหารหวานมากหรือไม่
       5.ฉันบริโภคอาหารปนเปื้อนสารเคมีหรือไม่
       6.ฉันออกกำลังกายสม่ำเสมอหรือไม่
       7.ฉันนอนดึกพักผ่อนน้อยหรือไม่
       8.ฉันเครียดเป็นประจำหรือไม่
       9.ฉันโกรธง่ายและชอบทะเลาะกับผู้คนหรือไม่
       ถ้าท่านคัดกรองตนเองโดยใช้คำถามข้างต้น แล้วพบว่า “ใช่” เป็นส่วนใหญ่ นั่นแหละท่านมีความเสี่ยงสูงที่จะเจ็บป่วย ต้องรีบหาทางแก้ไขเสียโดยเร็ว

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #104 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2014, 08:45:47 am »
เตือนภัย!! เสพติดข่าวมากไปอาจนำโรคภัยมาถึงตัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 มิถุนายน 2557 06:38 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000060861-




โดย พญ.ญดา พงษ์กาญจนะ
       จิตแพทย์ที่ปรึกษา โรงพยาบาลปิยะเวท
       
       สถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้ ทำให้ประชาชนให้ความสนใจและติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ที่เสพติดข่าวการเมืองจากสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์อินเทอร์เน็ต หรือจากโลกสังคมออนไลน์ โดยบางคนถึงกับดูออนไลน์ผ่านมือถือตั้งแต่เช้าจรดเย็น หรือแม้กระทั่งเดินทางกลับบ้านนอนก็ยังเปิดมือถือทิ้งไว้ตลอดเวลาเลยทีเดียว โดยที่หารู้ไม่ว่าอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยมาเยือนโดยไม่รู้ตัว
       
       พญ.ญดา พงษ์กาญจนะ จิตแพทย์ที่ปรึกษา โรงพยาบาลปิยะเวท ได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่เสพข่าวการเมืองมากเช่นนี้ว่าอาจเป็นการทำให้สมองทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา นำพาไปสู่ภาวะความเครียด และส่งผลต่อสุขภาพร่างกายได้ในที่สุด บางคนการเสพข่าวอาจก่อให้เกิดความรู้สึกกดดัน ไม่สบายใจ วุ่นวายใจ บางคนอาจถึงขั้นซึมเศร้าหรือมีอาการทางจิตได้ ในขณะที่บางคนภาวะความเครียดอาจแสดงออกมาในรูปแบบอาการทางร่างกาย เช่น ใจสั่น ความดันโลหิตสูง เวียนศีรษะ ปั่นป่วนท้อง คลื่นไส้ อาเจียน นอนไม่หลับ หรือฝันร้าย ในคนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ภาวะความเครียดสามารถส่งผลให้อาการของโรคประจำตัวแย่ลงหรือควบคุมโรคประจำตัวลำบาก
       เรามาดูกันดีกว่าว่าแนวทางการรับมือกับโรคเครียด 7 วิธีง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ มีวิธีอะไรบ้าง
       
       1. ใช้วิจารณญาณเลือกรับฟังข่าวสารจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้และเสพข่าวอย่างมีสติ รู้จักปล่อยวาง
       2. จำกัดช่วงเวลาที่ใช้ในการรับฟังข่าวสาร ปิดทีวี ปิดมือถือและเครื่องมือสื่อสารเมื่ออยู่กับคนในครอบครัว
       3. ทำจิตใจให้ผ่อนคลายอาจใช้วิธีนั่งสมาธิ สวดมนต์
       4. หากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายความเครียดเช่น ออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง
       5. รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ครบทั้ง 5 หมู่ งดเว้นการใช้สุราหรือสารเสพติด
       6. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ กำหนดเวลานอน และเวลาตื่นอย่างเป็นเป็นเวลา
       7. หากมีปัญหาที่ค้างคาใจควรหาคนปรึกษาไม่ควรเก็บไว้คนเดียว
       
       อย่างไรก็ตาม เราในฐานะผู้บริโภคสื่อก็ควรเลือกที่จะเปิดรับข่าวสารอย่างพอเหมาะพอดี ไม่มากหรือไม่น้อยจนเกินไป หากไม่รับรู้ข่าวสารเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ารับรู้มากจนเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ และหากเกิดปัญหาจากการเสพข่าวที่มากเกินไปแล้ว อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เท่านี้ก็จะสามารถช่วยให้คุณรับมือกับความเครียดได้แล้วค่ะ

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #105 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2014, 10:59:07 am »
มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่ จัดเป็นมะเร็งที่พบบ่อยในสตรี โรคมะเร็งทุกโรคจัดว่ามีความผิดปกติในระดับยีนในเซลล์ แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ยีนผิดปกติเหล่านั้นสามารถถ่ายทอดทางสายเลือดจากแม่ไปสู่ลูก


-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/241560/%E2%80%98%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E2%80%99-





วันอาทิตย์ 1 มิถุนายน 2557 เวลา 00:00 น.

เมื่อไม่นานมานี้ หลายท่านคงได้ยินข่าวครึกโครมว่า ดาราสาวชื่อดังในฮอลลีวูด“แองเจลินา โจลี” ได้ทำการผ่าตัดเต้านมทิ้งทั้ง 2 ข้าง ในช่วงอายุไม่ถึง 40 ปี ด้วยเหตุผลที่ว่า เธอได้ไปตรวจยีนมะเร็งเต้านม ชื่อBRCA1 และผลเป็นบวก ทำให้โอกาสเป็นมะเร็งเต้านมในช่วงชีวิตนี้สูงถึง 87% และเธอตั้งปณิธานว่า อีกไม่นานนี้ เธอจะผ่าตัดรังไข่ทิ้ง เนื่องจากยีนที่ผิดปกติดังกล่าว มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดมะเร็งรังไข่ ชนิดที่มีความรุนแรงสูง ได้อีก 50% ในตลอดชีวิตนี้

หลายท่านได้ยินเรื่องราวนี้ ต่างตระหนกกันมากว่า คนที่เป็นมะเร็งเต้านมหรือรังไข่ สามารถถ่ายทอดพันธุกรรมไปสู่ลูกหลานได้เป็นศูนย์จริงหรือ และจำเป็นต้องตรวจยีน และผ่าตัดเต้านมและรังไข่ทิ้งจริงหรือ เราจะมาไขข้อข้องใจกันครับ

มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่ จัดเป็นมะเร็งที่พบบ่อยในสตรี โรคมะเร็งทุกโรคจัดว่ามีความผิดปกติในระดับยีนในเซลล์ แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ยีนผิดปกติเหล่านั้นสามารถถ่ายทอดทางสายเลือดจากแม่ไปสู่ลูก ในกรณีของมะเร็งเต้านมและรังไข่ ก็มีเพียง 5-8%

เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เป็นมะเร็งดังกล่าว เราไม่สามารถทราบได้ว่า ใครจัดเป็นกลุ่มที่มีโอกาสถ่ายทอดยีนทางสายเลือดได้ เนื่องจากมะเร็งสตรีดังกล่าว มีสาเหตุจากสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยหลัก เช่น การได้รับฮอร์โมนเพศหญิงจากรูปของยาคุมกำเนิด ความอ้วน การดื่มแอลกอฮอล์และยังมีปัจจัยที่อาจไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่นการรับสารพิษ สารเคมี เป็นต้น นอกจากนั้นความเสื่อมตามวัยก็เป็นปัจจัยที่ไม่มีผู้ใดหลุดพ้นไปได้ ปัจจัยทางพันธุกรรม เป็นเพียงปัจจัย

หนึ่ง ที่ส่งเสริมให้เกิดมะเร็งได้เร็วขึ้น ดังนั้น จึงมีคำแนะนำทางการแพทย์ว่า ครอบครัวใดก็ตามที่มีผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านม หรือรังไข่ ญาติสายตรง ได้แก่ บุตรสาว น้องสาว พี่สาว จำเป็นต้องรับทราบโอกาสที่ตนเองอาจจะได้รับการ

ถ่ายทอดทางพันธุกรรมของมะเร็งนั้น เพราะไม่มีใครทำนายได้ว่า เราจะตกอยู่ในกลุ่ม 5-8%นั้นหรือไม่ การคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยการทำแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์เต้านม จึงมีประโยชน์มาก ที่จะค้นหาโรคก่อนที่จะเกิด

อาการ และรับการรักษาได้ทันท่วงที โดยไม่ต้องสูญเสียเวลา และคุณภาพชีวิต ในการไปผ่าตัดใหญ่ ฉายแสง หรือรับเคมีบำบัด ส่วนมะเร็งรังไข่ก็รับการคัดกรองด้วยการตรวจภายในประจำปีโดยสตินรีแพทย์ เช่นกัน

เพราะฉะนั้น วิธีดูคร่าว ๆ หญิงคนใดมีโอกาสที่จะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นมะเร็งเต้านมหรือรังไข่ที่ถ่ายทอดทางยีนมาในสายเลือด เพียงแค่ดูจากประวัติคนที่เป็นโรคในครอบครัวคร่าว ๆ โดยการวาดแผนภูมิครอบครัวก็พอจะบอกได้

จากรูปที่ให้มา คือลักษณะของแผนภูมิครอบครัว หรือเรียกเป็นศัพท์เทคนิคเฉพาะว่าพงศาวลี (pedigree) สี่เหลี่ยมคือผู้ชาย วงกลมคือผู้หญิง สีดำคือเป็นโรค ขีดคาดคือเสียชีวิตแล้ว ลูกศรคือคนที่มารับคำปรึกษา ดังนั้น ใน

กรณีรูปนี้ หญิงที่มารับคำปรึกษา สมมุติว่าอายุ30 ปี ตนเองไม่เคยมีอาการใด ๆ แต่มีมารดายาย ป้า น้าสาว ลูกสาวของป้า ล้วนแต่เป็นมะเร็งเต้านมกันหมด เพียงเท่านี้ก็ประเมินเบื้องต้นได้ว่า ครอบครัวนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะมีการถ่ายทอดของยีนมะเร็งจากรุ่นสู่รุ่น ก็คืออาจจะตกอยู่ในกลุ่ม 5-8% กลุ่มนั้นนั่นเอง ซึ่งกลุ่มนี้ควรมาพบแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เพื่อประเมินความเสี่ยงโดยละเอียด ซึ่งกลุ่มต้องสงสัยประกอบไปด้วยมีคนเป็นมะเร็งเต้านม รังไข่ หรือมะเร็งที่อาจเกี่ยวข้องในกลุ่มยีนเดียวกัน เช่น มะเร็งตับอ่อน หรือมะเร็งต่อมลูกหมากในญาติฝ่ายชาย โดยเมื่อซักย้อนขึ้นไป 3 รุ่น มีคนเป็นทุกรุ่น และถ้ามีคนที่เป็นมะเร็งดังกล่าวอายุน้อยกว่าปกติ เช่น ช่วงอายุ 18-40 ปี มีผู้ชายเป็นมะเร็ง หรือมีคนเป็นมะเร็งกลุ่มดังกล่าวหลายมะเร็งในคนเดียวกัน ยิ่งต้องสงสัยความเสี่ยงสูงที่จะถ่ายทอดมะเร็งทางสายเลือดมากขึ้นไปอีก ญาติผู้หญิงสายตรงของคนกลุ่มนี้ยิ่งต้องรีบมาพบแพทย์เพื่อที่จะคัดกรอง

มะเร็งตั้งแต่ยังไม่มีอาการ และจะไม่รอไปจนถึงอายุ 40 ปี เหมือนผู้หญิงทั่วไป ในบางครอบครัวที่มีความรุนแรงสูงมาก อาจต้องคัดกรองกันตั้งแต่อายุ 18 ปีด้วยซ้ำ

ดังนั้นถ้าต้องสงสัยว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะรับการถ่ายทอดยีน ก็จะมีคำถามว่า จะต้องมาตัดเต้านมทิ้งเหมือนดาราสาวโจลีหรือไม่ คำตอบก็คือ “ไม่” ความเสี่ยงสูงแค่ไหน ก็ยังไม่เกิดโรค จนกว่าจะมีการพิสูจน์ระดับยีน ซึ่งยีนที่ทราบว่า ก่อให้เกิดมะเร็งเต้านมและรังไข่ในปัจจุบัน ได้แก่ ยีน BRCA1 และ BRCA2การตรวจสามารถกระทำได้ด้วยการเจาะเลือด และดึงสายดีเอ็นเอออกจากเม็ดเลือดขาว เพื่อไปทำการถอดรหัสพันธุกรรม แต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง ถึงระดับครึ่งแสนบาท คนที่จะรับการตรวจ ก็ต้องมีความเสี่ยงสูงจริง ๆไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่เป็นมะเร็งจะต้องไปตรวจหมด การพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และรับคำปรึกษาแนะนำทางพันธุกรรมที่ถูกต้อง จึงจำเป็นที่สุดครับ

ทีนี้ ถ้าตรวจมาแล้ว มีหลักฐานสนับสนุนชัดเจนในระดับยีนแบบโจลี จะทำอย่างไร การมียีนผิดปกติไม่ได้บอกว่าคุณผู้หญิงผู้นั้นจะต้องเป็นมะเร็ง 100% เพียงแต่ว่าความเสี่ยงในช่วงชีวิตนี้ก็จะสูงขึ้นมาก และไม่สามารถบอกได้ว่า

จะเกิดเมื่อไหร่ วิธีการดูแลก็มี 2 อย่าง

1. ตรวจคัดกรองเต้านม รังไข่ ทุก 6เดือน และกำจัดปัจจัยเสี่ยงทุกอย่าง ได้แก่ไม่รับฮอร์โมน ลดความอ้วน ไม่ดื่มเหล้า

2. จะตัดเต้านมและรังไข่ทิ้ง เพื่อป้องกันการเกิดเป็นโรคในอนาคต อย่างที่โจลีทำก็ได้ เพียงแต่คนที่จะทำอย่างนี้ได้ ต้องมีหลักฐานระดับยีนสนับสนุนเท่านั้น

สรุปคือ ไม่ใช่ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมหรือรังไข่ทุกคนจะถ่ายทอดทางพันธุกรรม ไม่ใช่ทุกคนที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมจะต้องตรวจยีน และไม่ใช่ทุกคนที่ตรวจยีนจะต้องตัดเต้านมทิ้ง เพียงแต่ว่าไม่มีใครทราบเองหรอกครับว่าเราเป็นกลุ่มไหน การปรึกษาแแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ

ดร.นพ.โอบจุฬ ตราชู อายุรแพทย์

และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาโมเลกุล

การแพทย์ / http://www.phyathai.com

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #106 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2014, 09:38:43 am »
โซเชียลทำพิษ... 5 โรคฮิตของคนติดจอ

-http://health.kapook.com/view90153.html-

โพสต์เมื่อ :

โรคฮิตโซเชียล


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          5 โรคฮิตของคนติดจอ ติดแชท หมกมุ่นอยู่กับโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กมาก ๆ ป่วยไม่รู้ตัว มาดูซิมีโรคอะไรบ้าง แล้วเราเองก็เข้าข่ายด้วยหรือเปล่า

          ยุคสังคมออนไลน์ที่แทบทุกคนต้องมีสมาร์ทโฟน คุยกับเพื่อนผ่านเฟซบุ๊กหรือไลน์แทนการโทรศัพท์ สไลด์หน้าจอรับข่าวสารรอบตัวแบบไม่ให้ตกยุค พฤติกรรมแบบนี้แหละที่หอบเอาปัญหาสุขภาพจากความอินเทรนด์มาถึงตัวแบบยกเซต ว่าแต่ชาวโซเชียลมีเดียมักมีปัญหาสุขภาพอะไรมากที่สุดนะ

          สถาบันสื่อเด็กและเยาวชน ได้นำข้อมูลจาก คอลัมน์ ทันโรค ของ หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ที่เขาจัดอันดับ 5 โรคฮิตของคนติดโซเชียลมีเดียไว้มาบอกกัน โดย 5 โรคฮิตของคนติดจอ ก็คือ โรคซึมเศร้าจากเฟซบุ๊ก, โรคละเมอแชท, โรควุ้นในตาเสื่อม, โรคโนโมโฟเบีย และโรคสมาร์ทโฟนเฟซ เอ...ฟังชื่อดูก็ประหลาด ๆ ทั้งนั้น งั้นเรามาดูซิว่าแต่ละโรคเป็นอย่างไร แล้วอาการไหนที่เราเข้าข่ายซะแล้ว




1. โรคซึมเศร้าจากเฟซบุ๊ก (Facebook Depression Syndrome)

          หลายคนอาจสงสัยว่า เล่นเฟซบุ๊กก็มีเพื่อนตั้งมากแล้วจะเป็นโรคซึมเศร้าได้อย่างไร แต่อาการนี้เกิดขึ้นได้จริง ๆ เพราะคนเราเมื่อติดอยู่แต่หน้าจอ จิ้ม ๆ กด ๆ คุยกับคนในโลกออนไลน์ ก็กลายเป็นไปเพิกเฉยต่อคนในโลกจริง แถมหลายคนใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องระบายความรู้สึกมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาเราว้าเหว่ เหงา เดียวดาย ก็ยิ่งโพสต์เยอะ

          โดย ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.) ได้เขียนบทความให้ความรู้เรื่องโรคซึมเศร้าจากเฟซบุ๊ก ไว้อย่างน่าสนใจว่า วารสารการแพทย์กุมารเวชศาสตร์ สหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ และพบว่า คนที่ถูกเพื่อน ๆ ปฏิเสธหรือเป็นที่รังเกียจในโลกเฟซบุ๊กจะเป็นอันตรายมากกว่าถูกปฏิเสธในโลกแห่งความจริง และหลายรายอาจมีปัญหาซึมเศร้าตามมา

          นั่นเพราะเฟซบุ๊กได้สร้างความเป็นจริงเทียม (artificial reality) ขึ้นมา จากการโพสต์แต่เรื่องดี ๆ แต่เก็บงำเรื่องร้าย ๆ แย่ ๆ ที่อยากปกปิดเอาไว้ เราถึงเห็นแต่คนที่มีชีวิตสมบูรณ์แบบในโลกเสมือนจริงเต็มไปหมด เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับตัวเอง ความรู้สึก "ไร้ค่า" จึงเกิดขึ้น

          ถ้าคุณรู้สึกเสียความมั่นใจสุด ๆ เวลาส่งคำร้องไปขอเป็นเพื่อนแล้วไม่ได้รับการตอบรับ เก็บมาคิดว่าทำไมจึงไม่เป็นที่ต้องการ นี่ก็เป็นสัญญาณของโรคซึมเศร้าจากเฟซบุ๊กแล้ว วิธีหลีกหนีอาการนี้ก็คือ ลดการเล่นเฟซบุ๊กลง ทั้งอ่านเรื่องคนอื่น และโพสต์เรื่องตัวเอง จะได้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น




2. ละเมอแชท (Sleep-Texting)

          อาการนี้ก็คือ ถึงแม้เราจะนอนแต่ก็ยังลุกขึ้นมาพิมพ์เหมือนกับคนละเมอนั่นเอง สาเหตุก็มาจากพฤติกรรมติดสมาร์ทโฟนเกินเหตุ ทำให้สมองยึดติดกับโทรศัพท์อยู่ทุกขณะจิต แม้กระทั่งเวลานอน หากมีข้อความเข้ามา สมองก็จะปลุกร่างกายที่หลับใหลให้อยู่ในสภาวะละเมอ แล้วกดส่งข้อความไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งเราอาจไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าเขียนอะไรไป หรือส่งไปหาคน เพราะอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น แบบนี้ก็เสี่ยงต่อความเข้าใจผิดได้เลยนะเนี่ย

          นอกจากเสี่ยงต่อความเข้าใจผิดแล้ว อาการละเมอแชทยังกระทบสุขภาพด้วย เพราะเมื่อสมองปลุกให้เราตื่นในช่วงนี้ร่างกายก็จะนอนหลับไม่สนิทเต็มที่ เป็นเหตุให้พักผ่อนไม่พอ กระทบมาถึงระบบการทำงานของร่างกาย ทำให้สะสมความเครียด เสี่ยงเป็นโรคอ้วน ฝันร้าย กระทบต่อการเรียนและการทำงานได้เลยล่ะ



3. โรควุ้นในตาเสื่อม

          ปกติเราก็ใช้งานดวงตาหนักอยู่แล้ว และถ้ายิ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเพ่งข้อความในจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ก็ยิ่งทำให้ดวงตาของเราก็ทำงานหนักขึ้นแบบคูณสอง ถ้าปล่อยไปนาน ๆ จนมองเห็นหยากไย่ ตาข่าย หรือเส้นอะไรวนไปวนมาเหมือนยุง ปัดเท่าไรก็ไม่โดนสักที แบบนี้ต้องรีบหาหมอแล้ว เพราะนี่คือ "โรควุ้นในตาเสื่อม"

          จะบอกว่าจริง ๆ แล้วโรคนี้มักพบในผู้สูงอายุ เพราะใช้งานดวงตามานานจนเสื่อมไปตามวัย แต่น่าตกใจทีเดียวที่ปัจจุบันพบคนอายุน้อย ๆ เป็นโรคนี้มากขึ้น สาเหตุหลัก ๆ ก็มาจากการแชททั้งวัน จ้องจอทั้งคืน เล่นเกม ใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันนาน ๆ ไม่ว่างเว้นนี่เอง พอรู้สึกปวดตาก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก มารู้ตัวอีกทีก็เห็นภาพเป็นคราบดำ ๆ เป็นเส้น ๆ ไปซะแล้ว

          วิธีป้องกันก่อนเป็นโรควุ้นในตาเสื่อมก็ไม่ยากเลย แค่รู้จักพักสายตาเสียบ้าง มองไปในที่ไกล สูดอากาศธรรมชาติให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย หลับตาลงสักครู่ รู้จักใช้งานเทคโนโลยีในมืออย่างพอเหมาะ ก็จะช่วยให้หลีกเลี่ยงโรคนี้ได้แล้ว




4. โนโมโฟเบีย (Nomophobia)

          ชื่อประหลาด ๆ นี้ มาจากคำว่า "no-mobile-phone phobia" แปลตรงตัวก็คือ โรคกลัวไม่มีมือถือใช้ เป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มวิตกกังวล

          คิดดูว่าถ้าเราอยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต หรือจู่ ๆ แบตเตอรี่โทรศัพท์ดันหมดซะงั้น แล้วเรารู้สึกหงุดหงิด กระวนกระวาย แสดงว่าเข้าเค้าอาการโนโมโฟเบียแล้วล่ะ ในบางคนเป็นมาก ๆ อาจมีอาการเครียด ตัวสั่น เหงื่อออก คลื่นไส้ได้เลย ซึ่งอาการจะหนักเบาขนาดไหนขึ้นอยู่กับแต่ละคน

          สำรวจตัวเองดูหน่อยซิว่า เราหมกมุ่นอยู่กับการเช็กข้อความในมือถือ ชอบหยิบขึ้นมาดูบ่อย ๆ หรือเปล่า หรือทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเตือนจากมือถือจะต้องวางภารกิจทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าแล้วรีบคว้าโทรศัพท์มาเช็กแบบด่วนจี๋ทันใจ ใครเป็นแบบนี้ก็เข้าข่ายโนโมโฟเบียแล้วล่ะจ้า ยิ่งถ้าตื่นนอนปุ๊บเช็กมือถือปั๊บ ห่างจากมือถือไม่ได้เลย หรือใช้เวลาพูดคุยกับเพื่อนในโลกออนไลน์มากกว่าเพื่อนตรงหน้า ก็ยิ่งชัด

          ใครที่มีอาการอย่างที่กล่าวว่า ต้องระวังปัญหาสุขภาพให้มาก ๆ โดยเฉพาะนิ้วล็อก ปวดตา ปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ หมอนรองกระดูกเสื่อมก่อนวัยอันควร เพราะนั่งผิดท่าเป็นเวลานาน ๆ รวมทั้งอาการนอนไม่หลับ และโรคอ้วนที่เกิดจากมัวแต่นั่งเล่นมือถือนาน ๆ ไม่ลุกไปไหนด้วยนะ




5. โรคสมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone face)

          โรคฮิตของคนติดแชทที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 5 ก็คือ โรคสมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone face) หรือโรคใบหน้าสมาร์ทโฟน เกิดจากการที่เราก้มลงมองหน้าจอ หรือจ้องสมาร์ทโฟน-แท็บเล็ตเป็นเวลานานเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อคอเกิดอาการเกร็งและไปเพิ่มแรงกดบริเวณแก้ม

          เมื่อแก้มถูกแรงกดนาน ๆ เข้า ก็จะทำให้เส้นใยอิลาสติกบนใบหน้ายืด จนแก้มบริเวณกรามย้อยลงมา แถมกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากก็จะตกไปทางคางด้วย จนใบหน้าอาจดูผิดแปลกไปจากเดิม และจะเห็นชัดเจนขึ้นเมื่อถ่ายภาพด้วยอุปกรณ์ของตัวเอง ฟังแล้วน่ากลัวนะเนี่ย หากใครเป็นมาก ๆ เข้าก็ถึงกับต้องศัลยกรรมกันเลยนะ

          สรุปแล้วว่าทั้ง 5 โรคนี้ดูไม่ได้ไกลจากตัวเราเท่าไรเลยนะคะ เพราะทุกคนล้วนใช้โลกออนไลน์ในการติดต่อสื่อสารกันหมด แต่วิธีป้องกันตัวเองให้ห่างจากโรคเหล่านี้ก็ไม่ยากเลย แค่รู้จักแบ่งเวลาให้เหมาะสม ก้มมองหน้าจอให้น้อยลง เล่นโทรศัพท์ ใช้คอมพิวเตอร์ เล่นเกมให้น้อยลง จะได้ไม่ด่วนป่วยไปซะก่อนไงคะ
 
http://health.kapook.com/view90153.html
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #107 เมื่อ: มิถุนายน 13, 2014, 10:45:17 pm »
อาการเจ็บปวดตามจุดต่างๆ ร่างกาย บ่งบอกถึงอะไร

-http://guru.sanook.com/27156/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/-


อาการเจ็บปวดเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ มักสร้างความกังวลเพราะนอกจากจะไม่รู้ที่มาแล้ว เรายังไม่อาจเห็นสภาพภายในได้ เรื่องนี้นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มีข้อมูลมาไขข้อข้องใจโดยเฉพาะอาการปวด 10 จุด ต่อไปนี้



‘เจ็บต้นคอร้าวแขน‘ เจ็บนี้ต้องระวังเส้นประสาทต้นคออาจถูกกดหรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ยกของหนักที่ผ่านมาได้ ‘เจ็บแขนร้าวปลายมือ‘ ดูเรื่องเส้นประสาทให้ดีมีสิทธิ์เกิดจากพังผืดไปรัดเส้นประสาทหรือเกิดมาจากศูนย์รวมประสาทที่ต้นคอก็ยังได้

‘ปวดศีรษะร้าวต้นคอ‘ อาจเป็นเพียงกล้ามเนื้อที่เกร็งตึงเวลามีความเครียดธรรมดา แต่ถ้ามีตาพร่าบวกคลื่นไส้อาเจียนด้วยก็ต้องจับตาอาการด้านสมอง ‘ปวดหลังร้าวลงขา‘ น่าจะเกิดจากหมอนรองกระดูกกดเส้นประสาทเป็นหลัก โดยเฉพาะหลังส่วนบั้นเอวเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ การดูว่าปวดหลังถึงขั้นไหนให้ดูอาการร้าวลงขา

‘เจ็บอกวิ่งไปแขนซ้าย‘ ร้ายเสียยิ่งกว่าอกหักเพราะมักเกี่ยวถึงโรคหัวใจขาดเลือด ให้สังเกตอาการปวดว่าเหมือนถูกบีบหรือถูกงูเหลือมตัวใหญ่รัดด้วยหรือไม่ ‘ไอแล้วปวดร้าวลงก้นกบ‘ บางคนเวลาไอหรือเบ่งท้องแรงๆ แล้วมีอาการเจ็บร้าวไปหลังหรือก้นกบเบื้องล่างทุกครั้ง ต้องเฝ้าระวังโรคหมอนรองกระดูกทับเส้น

‘เจ็บท้องน้อยร้าวลงหน้าขา‘ ในสตรีต้องระวังเรื่องอุ้งเชิงกรานอักเสบ ส่วนในหนุ่มๆ ให้ระวังนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ถ้ามีไข้ร่วมด้วยให้ช่วยระวังการติดเชื้อเป็นหลัก ‘เจ็บท้องส่วนอื่นๆ แล้วร้าวทะลุหลัง‘ อาการเจ็บหน้าไปหลังเช่นนี้ถ้าเป็นที่ตับ คือ ด้านบนขวาให้นึกถึงถุงน้ำดีที่อาจไม่ดีสมชื่อ เพราะนี่เป็นสัญญาณนิ่วในถุงน้ำดีหรือถุงน้ำดีอักเสบ ส่วนถ้าเจ็บตรงกลางร่วมกับไข้สูงให้นึกถึงตับอ่อนอักเสบ (Acute pancreatitis) แบบเฉียบพลัน

ปวดหลัง

‘เจ็บบั้นเอวแถวสีข้างร้าวลงขา‘ ยิ่งถ้าเจ็บบั้นเอวด้านใดด้านหนึ่งแล้วร้าวด้วย ให้นึกถึงก้อนนิ่วในกรวยไตหรือท่อไต ในบางรายอาจมีท่อปัสสาวะอักเสบร่วมกับมีไข้ รู้สึกหนาวและปัสสาวะปนเลือดอีก หากเป็นเช่นนี้แนะให้ช่วยรีบไปตรวจปัสสาวะ เอ็กซเรย์หรืออัลตร้าซาวน์

และสุดท้าย ‘เจ็บตามผื่นแล้วร้าวลงเส้นประสาท‘ การที่มีผื่นเป็นตุ่มน้ำใสแล้วมีอาการแสบร้อนหรือเคยมีประวัติโรคเริม งูสวัด ให้ระวังอาการปวดร้าวไปตามปลายประสาท แม้ไม่มีผื่นแล้วก็อาจทิ้งอาการแสบร้อนไว้ได้ บางรายเจ็บแสบอยู่ตามแนวเส้นประสาทเป็นครั้งคราว

คุณหมอกฤษดา ย้ำว่า สัญญาณเจ็บร้าวทั้งสิบที่ว่ามาเป็นวิธีดูคร่าวๆ เท่านั้น แต่ก็ช่วยทำให้ได้ร่องรอยของโรคที่ซ่อนอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม อาการเจ็บปวดตามร่างกายทางที่ดีที่สุดคือ พบแพทย์แล้วตรวจหาความผิดปกติให้ทราบชัดเจนชัวร์กว่า

ที่มา – สาระน่ารู้ดีดี.com



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #108 เมื่อ: มิถุนายน 17, 2014, 05:02:13 am »
หวิดดับ! รองผอ.กินหูหมู ช็อกหมดสติ 12 ชม



-http://news.sanook.com/1613393/%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%AD.%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9-%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4-12-%E0%B8%8A%E0%B8%A1/-





นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

(15 มิ.ย.) นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน ฝ่ายเวชกรรมสังคม เข้าตรวจอาการนายสุรสิทธิ์ สมยศ รองผู้อำนวยการเขตการศึกษาประถมศึกษาน่าน เขต 1 อายุ 58 ปี หลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลน่าน ด้วยอาการหนาวสั่น เหงื่อท่วมตัว ท้องร่วง อาเจียน หน้ามืด หมดแรง และความดันเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแพทย์ระบุว่าเป็นโรคสเตรฟโตคอกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) หรือโรคหูดับ ขณะนี้ได้ให้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อ และรอดูอาการอย่างใกล้ชิดประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อรักษาตามขั้นตอน

นายสุรสิทธิ์ ให้ข้อมูลกับแพทย์ว่า ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองเปิดโรงเรียนที่ ต.สันทะ อ.นาน้อย ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กและปิดไปหลายปี โดยปีการศึกษานี้ได้มีคำสั่งให้เปิดการเรียนการสอนอีกครั้ง จึงจัดงานฉลองเปิดโรงเรียนและไปซื้อหมูมาจากคนในหมู่บ้านมาชำแหละ 1 ตัว เพื่อทำอาหารมาเลี้ยงผู้ร่วมงานกว่า 100 คน ซึ่งได้รับประทานลาบหมูดิบและหมูต้ม โดยเฉพาะช่วงหูและลำคอ ชาวบ้านบอกว่าเป็นส่วนอร่อยที่สุด หลังรับประทานไปแล้วประมาณ 4 ชั่วโมง เริ่มมีอาการหนาวสั่น เหงื่อออก อาเจียน และแขนขวาเริ่มชา จึงรีบเข้าพบแพทย์ทันที จากนั้นก็หมดสติไปนานถึง 12 ชั่วโมง

นพ.พงศ์เทพ อธิบายว่า โรคหูดับเป็นโรคอันตรายมาก หากอาการรุนแรงและถึงโรงพยาบาลช้าอาจถึงขึ้นเสียชีวิตได้ ซึ่งโรคนี้เป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีในหมูเท่านั้น หากหมูป่วยจะพบเชื้อนี้มากบริเวณต่อมทอมซิลของหมู คือ ช่วงระหว่างหูและลำคอของหมู โดยผู้รับประทานหมูที่มีเชื้อแบคทีเรียนี้เข้าไปจะมีไข้สูง หน้ามืด เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย อุจจาระร่วง อาเจียน ในรายอาการรุนแรงนอกจากไข้สูงยังติดเชื้อในกระแสเลือด ความดันเลือดลดต่ำอย่างรวดเร็ว เสียการทรงตัว ไม่มีแรง ประสาทหูอักเสบจนกระทั่งสูญเสียการได้ยิน ช็อคและเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นเร็วมากภายใน 1-2 วัน ส่วนผู้ที่ได้รับประทานลาบหมูดิบในงานดังกล่าวอีกกว่า 100 คน ต้องเฝ้าระวังอาการ แต่คาดว่าจะปลอดภัยแล้วทั้งหมด เนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานและได้รับเชื้อแบคทีเรียน้อย
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #109 เมื่อ: มิถุนายน 21, 2014, 12:51:35 pm »
เตือน! หน้าฝนนี้ระวัง “โรคฉี่หนู” ระบาด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 มิถุนายน 2557 12:18 น.


-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000069839-


แพทย์เตือนหน้าฝนระวังโรคฉี่หนูระบาด แนะเลี่ยงแช่ ดื่มน้ำไม่มีภาชนะปิดเสี่ยงเชื้อปนเปื้อน พบอาการไข้สูง ปวดหัว เลือดออกเยื่อบุตารีบปรึกษาแพทย์


        พญ.กรุณา อธิกิจ อายุรแพทย์ โรงพยาบาลปิยะเวท กล่าวว่าโรคที่มากับหน้าฝนและน้ำที่สำคัญ คือ โรคฉี่หนู หรือ เล็ปโตสไปโรสิส (Leptospirosis) เป็นโรคที่ติดต่อจากสัตว์มาสู่คน โดยสัตว์ที่เป็นพาหะที่พบบ่อย คือ หนู ไม่ว่าจะเป็นหนูบ้าน หนูท่อ หนูนา หนูพุก หนูตะเภา โดยเชื้อโรคมาจากในปัสสาวะของหนู จึงเรียกโรคนี้ว่า “ฉี่หนู” แต่สามารถพบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ได้แก่ หมู วัว ควาย แพะ แกะ ม้า นก กระรอก รวมทั้ง สุนัข แเมว ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงใกล้ตัวเรานั้นเอง ซึ่งจะติดต่อเมื่อหนูฉี่ลงในน้ำที่ท่วมขัง แล้วเราไปย่ำลงน้ำ เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังที่มีบาดแผล หรือเข้าผ่านมาทางผิวหนังที่เปียกชุ่มจากการแช่น้ำนานๆ ตามซอกนิ้วมือนิ้วเท้า หรือเกิดจากการกินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน อาจหายใจเอาละอองเชื้อจากของเหลวที่ปนเปื้อนเชื้อ แต่ยังไม่พบการติดต่อจากคนถึงคนโดยตรง ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ หลังได้รับเชื้อ โดยอาการของโรคผู้ที่ได้รับเชื้อจะมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ แบบแรกมีอาการไม่รุนแรง จะพบได้มากสามารถรักษาได้ง่าย อาการของโรคจะคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้หนาวสั่น อาจมีไข้ติดต่อกันหลายวันสลับกับระยะไข้ลด ปวดศีรษะค่อนข้างมาก ตาแดงเลือดออกที่เยื่อบุตา คลื่นไส้ อาเจียน และปวดกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะ ปวดน่องขาทั้ง 2 ข้าง อาจมีอาการปวดหลังและท้อง
       
        แบบที่สอง มีอาการรุนแรงนั้นถึงขั้นเสียชีวิตได้ มีอัตราการเสียชีวิตราว 5-15% โดยที่ผู้ป่วยจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ตับโต ม้ามโต ตับวาย ไตวายเฉียบพลัน ตับอ่อนอักเสบรุนแรง สับสน เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย จนถึงระบบหายใจล้มเหลว อาจเกิดภาวะเลือดออกง่าย เช่น ผื่น จุดเลือดออกที่ผิวหนัง ไอมีเสมหะปนเลือด เลือดออกในทางเดินอาหาร เลือดออกในช่องเยื่อหุ้มสมอง ทำให้เสียชีวิตในที่สุด หากพบว่าตัวเองมีความผิดปกติดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์ทันที เพื่อทำการตรวจเลือกและปัสสาวะและให้ยาปฏิชีวนะที่รวดเร็วและเหมาะสม อย่างน้อย 7 วัน ในผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มอาการไม่รุนแรง จะให้ในรูปแบบยากิน และรักษาแบบผู้ป่วยนอก ส่วนในผู้ป่วยกลุ่มอาการรุนแรง ต้องนอนโรงพยาบาล และให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ ดังนั้นเราควรป้องการก่อนที่จะเกิดโรคขึ้นโดยการไม่เดินย่ำน้ำ หรือแช่ในน้ำที่ท่วมขัง ถ้าจำเป็นต้องลุยน้ำควรสวมรองเท้าบูทยาง หรือถุงมือยางป้องกัน หากสัมผัสกับน้ำท่วมขังให้รีบอาบน้ำหรือล้างผิวด้วยน้ำสบู่ทันที หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่เป็นพาหะโรคฉี่หนู ทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ด้วยความร้อน หลีกเลี่ยงอาหารหรือน้ำที่ไม่มีภาชนะปกปิด เพราะอาจมีหนูมากินได้
       
        พญ.กรุณา กล่าวอีกว่า หากมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ตาแดง ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บกล้ามเนื้อน่องมาก ร่วมกับมีประวัติ เดินลุยน้ำ หรือมีประวัติ เดินป่า ตั้งแคมป์ ท่องเที่ยวตามแม่น้ำ ลำคลอง ทะเลสาบและน้ำตก อย่าซื้อยาปฏิชีวนะทานเอง เพราะอาจเกิดอันตรายจากการแพ้ยาหรือใช้ยาไม่ตรงกับโรค ดังนั้น ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องต่อไป

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)