10 ความรู้เรื่องเอดส์
-http://campus.sanook.com/1370317/10-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B9%8C/-
สภากาชาดไทยให้ความรู้เรื่องเอดส์และการตรวจเอดส์ ไว้หลายประการ ดังนี้
1.เอดส์ ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน และการใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกับผู้อื่น
2.เอดส์ สามารถป้องกันได้โดยการใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์ หรือโดยการเลิกเสพยา หรือโดยการใช้เข็มฉีดยาที่สะอาดทุกครั้งที่เสพยา แต่ก็มีคนไทยติดเชื้อใหม่ปีละเกือบ 200,000 รายคนที่ติดเชื้อใหม่ติดมาจากคนที่ติดเชื้ออยู่ก่อน แต่ไม่รู้ตัว เพราะไม่เคยไปตรวจ หรือไม่มีอาการอะไร
3.คนที่ติดเชื้ออาจไม่มีอาการอะไรเลยเป็นปีๆ หรืออาจมีอาการป่วยขึ้นมากะทันหัน จนเสียชีวิตได้
4.การตรวจ Anti - HIV เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจหาเชื้อเอชไอวี (เอดส์) โดยไม่ต้องรอให้มีอาการ สามารถตรวจพบได้หลังจากรับเชื้อมาแล้ว 2-6 สัปดาห์
5.ถ้าอยากตรวจพบให้เร็วขึ้น เช่นภายหลังรับเชื้อมาเพียง 3-7 วัน ต้องตรวจด้วยวิธี Nucleic Acid Technology (NAT) ปัจจุบันคลินิกนิรนามให้บริการตรวจด้วยวิธี NAT ทุกราย ถ้าการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี (เอดส์) ด้วยวิธีแรกแล้วไม่พบ6.การติดเชื้อคนไทยทุกคน ทุกสิทธิ สามารถตรวจหา Anti - HIV ได้ที่โรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศไทย โดยตรวจฟรีได้ปีละ 2 ครั้ง ตามชุดสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง)
7.ใครบ้างที่ควรตรวจเอดส์? ทุกคนที่ติดยาเสพติดโดยการฉีด และทุกคนที่เคย หรือกำลังมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัยแม้เพียงครั้งเดียว ทั้งกับคนที่รู้จัก (เช่น สามี หรือภรรยาของตัวเอง) หรือไม่รู้จัก ถือว่ามีพฤติกรรมที่มีโอกาสติดเอดส์ เพราะเราไม่รู้ว่าคนที่เรามีเพศสัมพันธ์ด้วยนั้นเคยมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเอดส์มาก่อนหรือเปล่า ดังนั้น ว่าไปแล้วคนเกือบทุกคนสมควรจะตรวจเอดส์อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต
8.ก่อนการตรวจเอดส์ทุกครั้ง ผู้ตรวจควรมีข้อมูลและความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคเอดส์และการตรวจเอดส์ ซึ่งอาจหาได้จากการขอรับคำปรึกษาเป็นรายบุคคล หรือหาอ่านได้จากแหล่งข้อมูล เช่นสายด่วน 1663 หรือที่
www.trcarc.org หรือ
www.adamslove.org9.ปัจจุบัน คนที่ติดเชื้อไม่ต้องป่วย หรือเสียชีวิตจากเอดส์อีกแล้ว ถ้ารู้ตัวแต่เนิ่นๆ และรักษาแต่เนิ่นๆ ถ้ารู้ตัวเร็วและรักษาเร็ว อาจไม่ต้องกินยาไปตลอดชีวิต
10.คนที่ติดเชื้อเอชไอวีสามารถอยู่ในสังคมร่วมกับคนอื่นได้ โดยไม่เป็นภัยหรือเป็นภาระกับใครจึงเป็นประโยชน์และไม่น่ากลัวที่เราจะไปตรวจเอดส์กัน
อย่างน้อยก็สักครั้งในชีวิต ตรวจเพื่อให้รู้ว่าเราไม่ติดเชื้อ ชีวิตจะได้ก้าวไปอย่างมั่นใจ
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
----------------------------------------------------------------------------------------
มีตกขาว อย่าพึ่งตกใจ
-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7_%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%88/-
พ.อ.ผศ.น.พ .ธนบูรณ์ จุลยามิตรพร ได้ให้ข้อแนะนำไว้ว่า
ตกขาว เป็นของเหลวใด ๆ ที่ไหลออกมานอกช่องคลอด แต่ไม่ใช่เลือด ของเหลวดังกล่าวส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นจากช่องคลอด ปากมดลูก และอวัยวะข้างเคียงบริเวณปากช่องคลอด ลักษณะของตกขาว จะมีความแตกต่างกันไปขึ้นการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ทั้งในขณะที่อยู่ในภาวะปกติ หรือกำลังเป็นโรคอยู่
ภาวะตกขาวที่ปกติเป็นอย่างไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร
ตามปกติแล้วในสตรีที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ (อีกนัยหนึ่ง คือ สตรีที่อยู่ในช่วงอายุที่ยังมีประจำเดือน หรือมีฮอร์โมนเพศหญิงเจริญเต็มที่) จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนแตกต่างกันไปตามระยะของประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงนี้ จะมีผลต่อการลักษณะของเหลวที่สร้างขึ้นมาจากอวัยวะต่าง ๆ ในระบบสืบพันธุ์สตรี ดังเช่น ในช่วงกึ่งกลางรอบประจำเดือน หรือระยะใกล้เคียงกับการตกไข่ ซึ่งเป็นเวลาที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ทำให้ในช่วงเวลานี้ จะมีตกขาวลักษณะค่อนข้างเหลวใสๆ ปริมาณมากกว่าระยะเวลาอื่น ส่วนตกขาวในระยะเวลาอื่นจะมีสีขาวขุ่นคล้ายแป้งเปียก นอกจากนั้นแล้ว ตกขาวที่ปกติควรจะไม่คัน และไม่มีกลิ่น ถ้าตกขาวของท่านมีลักษณะดังที่กล่าวมานี้ถือว่าปกติ ไม่มีความจำเป็นต้องรักษา อย่างไรก็ตาม สตรีแต่ละท่านจะมีปริมาณตกขาวแตกต่างกันไป บางท่านอาจมีปริมาณตกขาวมากจนเปื้อนชุดชั้นในอยู่หลายวันในแต่ละเดือน แต่สำหรับบางท่านอาจมีปริมาณน้อยจนไม่รู้ว่ามีตกขาวเลย
ภาวะตกขาวที่ผิดปกติเป็นอย่างไร มีสาเหตุจากอะไร
ตกขาวผิดปกติจะมีลักษณะที่ต่างออกไปจากที่กล่าวมาข้างต้น จะมีสาเหตุใหญ่อยู่ 2 ประเภท คือ สาเหตุจากการติดเชื้อ และ สาเหตุจากการไม่ติดเชื้อ
ตกขาวที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อ
ตกขาวจากสาเหตุนี้ เกิดได้จากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย รา และพยาธิในช่องคลอด ตกขาวประเภทนี้ หรือตกขาวบางชนิดจะมีลักษณะที่ค่อนข้างเฉพาะตัว เป็นต้น
ตกขาวที่มีสาเหตุจากการไม่ติดเชื้อ
ตกขาวผิดปกติประเภทนี้ มีสาเหตุได้จาก การระคายเคืองหรือแพ้สารเคมี จากมะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์สตรี (เช่น มะเร็งของปากมดลูก ช่องคลอด ท่อนำไข่) รวมทั้งเกิดจากการมีสิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด
ท่านจะทำอย่างไร? ในกรณีที่เกิดปัญหาตกขาว
ท่านที่ประสบปัญหาตกขาวที่มีลักษณะปกติดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ท่านก็ไม่จำเป็นต้องทำการรักษาแต่อย่างไร เพียงแต่ควรมาพบสูตินรีแพทย์ของท่าน เพื่อตรวจภายในพร้อมทั้งตรวจมะเร็งปากมดลูกประจำปีแต่ถ้าหากว่าท่านมีอาการตกขาวที่มีลักษณะผิดปกติ กล่าวคือ มีสี กลิ่นผิดไปจากปกติหรืออาจมีอาการคันร่วมด้วย ก็ควรจะได้รับการตรวจและรักษาให้ถูกต้องตามสาเหตุ
ที่มาข้อมูล : vibhavadi.com
ที่มารูปภาพ :
www.tlcthai.com----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“บารากุ ” ภัยร้าย! ภายใต้ความหอมหวาน
-http://club.sanook.com/14594/%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B8-%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89-
ช่วงหลังมักเห็นภาพ วัยรุ่น คนหนุ่มสาว ที่นิยมนั่งตามสถานที่ท่องเที่ยว และมักจะสั่ง บารากุ มานั่งสูบกัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นแฟชั่น หรือเข้าใจว่า บารากุ นั้นมีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ หรือด้วยเหตุผลใดก็ตามที่คิดจะสูบมัน อยากให้ทุกคนลองคิดใหม่ค่ะ เพราะว่าการสูบ บารากุ ที่มีกลิ่นหอมหวานนั้น มันมีภัยร้ายแอบแฝงอยู่ ซึ่งบางทีอาจมากกว่าบุหรี่หลายเท่าตัว
ซึ่งอันตรายจาก บารากุ นั้น เราจะแบ่งออกได้เป็นข้อๆ ดังนี้ค่ะ
- เมื่อสูบ บารากุ ประมาณหนึ่งเดือน ผู้สูบจะเริ่มติด จะรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย คิดอะไรไม่ออก
- บารากุ มีโทษกว่าบุหรี่ถึง 6 เท่า
- สูบ บารากุ 1 ห่อ เท่ากับ การสูบบุหรี่ถึง 20 มวน
- เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งไม่น้อยไปกว่าการสูบบุหรี่
- ใน บารากุ ประกอบด้วยเป็นสารอันตรายต่อร่างกาย เช่น สารนิโคติน คาร์บอนมอนนอกไซด์ และสารก่อมะเร็งอื่น ๆ ในระดับสูง
- การสูบ บารากุ นาน 45 นาที จะผลิตสารน้ำมันดิน (ทาร์) มากกว่าการสูบบุหรี่ 5 นาที ถึง 36 เท่า
- อาจก่อให้เกิดโรคติดต่อ หากใช้อุปกรณ์ร่วมกัน เช่น วัณโรค
จากโทษที่อันตรายของบารากุนั้น จึงส่งผลให้เกิดการผลักดันออกกฎหมายควบคุมยาสูบชนิดนี้ในไทย หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องรับโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท แต่จากการสำรวจกลับพบว่ามอระกู่ก็ยังมีขายตามสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนอย่างเปิดเผย
นอกจากนั้น เรายังได้อ่านเจอข้อมูลจาก นพ.โสภณ เมฆธน ยังกล่าวว่า “ควันที่ผ่านน้ำลงไป ยังคงมีสารพิษในระดับสูงทั้งคาร์บอนมอนอกไซด์ โลหะหนัก และสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง การสูบบารากู่แต่ละครั้งมักจะใช้เวลาสูบนาน ผู้สูบอาจสูดควันมากกว่าผู้สูบบุหรี่ทั่วไปถึง 100 มวน” เลยทีเดียว
ซึ่งถ้าใครที่ชื่นชอบการสูบ บารากุ ล่ะก็ ก็อยากขอให้ลด ละ เลิก กันเถอะนะคะ เพราะร่างกายจะได้ไม่เป็นอันตรายและเสียสุขภาพด้วยค่ะ
Credit ภาพ : sri.cmu.ac.th , Wikipedia