ผู้เขียน หัวข้อ: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ  (อ่าน 47514 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #40 เมื่อ: ธันวาคม 09, 2013, 12:50:06 am »
9 วิธีทำให้ง่วง แก้อาการนอนไม่หลับ!
ASTVผู้จัดการออนไลน์
   4 ธันวาคม 2556 08:51 น.

-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9560000149500-

   ผลวิจัยชี้ว่า ขณะหลับเซลล์สมองจะหดตัวลงร้อยละ 60 ทำให้กระบวนการน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังที่ถูกส่งมาจากเนื้อเยื่อสมอง เพื่อกำจัดของเสียออกไปทำงานได้ดีขึ้นกว่าตอนตื่นถึง 10 เท่า
       
       ดังนั้นเราลองมาดูกันซิว่า อะไรควรเลี่ยงและควรทำก่อนนอน เพื่อแก้ปัญหาอาการนอนไม่หลับกันบ้าง
       
       เลี่ยงอาหารทำให้เกิด “ลม”


       หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ เช่น น้ำอัดลม ถั่ว มันเทศ หัวหอมใหญ่ พริกหยวก บล็อกโคลี่ มันแกว ข้าวโพด กล้วยหอม
       
       รวมถึง งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนก่อนนอน เช่น ชา กาแฟ และน้ำอัดลม รวมถึงขนมหวานทุกชนิด เพราะน้ำตาลจะกระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัว
       
       ผลิตภัณฑ์นม…เพื่อนความง่วง
       
       ควรกินผลิตภัณฑ์จากนม เพราะอาหารเหล่านี้เป็นเพื่อนกับความง่วง เพราะประกอบด้วยสารหลักในตัวยาที่ออกฤทธิ์ วิตามิน และเอ็นไซม์ที่เป็นสื่อกลางช่วยให้ง่วงเหงาหาวนอน
       
       ควรเลือกผลิตภัณฑ์จากนมที่ย่อยได้ง่ายที่สุด อย่าง โยเกิร์ต นมเปรี้ยว นมข้น และเนยแข็งสีขาว ส่วนมื้อค่ำควรเลือกอาหารจำพวกปลานึ่ง ผักนึ่ง และผลไม้ที่ย่อยง่าย เลี่ยงอาหารที่มีไขมัน ผลิตภัณฑ์จากหมูเนื้อ เครื่องเทศ และเครื่องปรุงรส
       
       พยายามหาว


       แน่นอนปฏิกิริยาของร่างกายเมื่อง่วงจะทำให้เกิดอาการหาวบ่อยๆ ทว่าการบังคับตนเองให้หาวจะช่วยผ่อนคลายได้ และทำให้อยากนอน
       ยิ่งหากได้ยืดแข้งยืดขา ผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยการนวดหรือสปาจะยิ่งทำให้คุณหลับดีขึ้น
       
       ไม่กินก่อนนอน 2 ชั่วโมง
       
       ควรหลีกเลี่ยงการเข้านอนในขณะอาหารกำลังย่อยอยู่ ควรปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างน้อยสอง ชัวโมงหลังอาหารค่ำ หรือหากอยากให้ย่อยไว แนะนำให้เดินในบ้านจะทำให้กระเพาะทำงานได้ดีขึ้น
       
       อย่าดื่มน้ำมาก
       
       ก่อนเข้านอนไม่ควรดื่มน้ำมากเกินไป อาจจะทำให้คุณต้องลุกขึ้นปัสสาวะระหว่างที่คุณกำลังหลับใหลอย่างมีความสุข หรือไม่คุณก็อาจหลับลึกจนต้องอั้นปัสสาวะไว้ทำให้ตื่นมากะเพาะปัสสาวะอักเสบอีก
       
       ทว่าควรดื่มน้ำมากๆ ในระหว่างวัน ที่สำคัญ ก่อนนอนควรลดการบริโภคของเหลว
       
       อาบน้ำอุ่น

 อาบน้ำอุ่น จากนั้นค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นจาก 35 ถึง 39 องศาเซลเซียส น้ำอุ่นสามารถกล่อมประสาทให้ง่วงนอนได้
       หรือแช่เท้าในน้ำอุ่นจะช่วยผ่อนคลายเส้นประสาท เส้นโลหิต หลอดน้ำเหลือง ทำให้หลับได้ดีขึ้น
       
       ปิดตาก่อนดับไฟ
       
       หลับตาสักพักก่อนดับไฟจะช่วยร่างกายให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ยขึ้น โดยช่วงเวลาเปลี่ยนแปลงคือ 2-3 นาที จะทำให้คุณหลับลึกและสบายตา ผ่อนคลายม่านตาได้ดียิ่งขึ้น
       
       บอกลากิจกรรมเครียดก่อนนอน

9 วิธีทำให้ง่วง แก้อาการนอนไม่หลับ!
       2-3 ชั่วโมงก่อนนอน บอกเลิกกิจกรรมทุกอย่างที่ต้องใช้สติปัญญา หยุดการใช้สมอง และการจินตนาการ และการใช้ความคิด ซึ่งจะทำให้เกิดอาการเครียดและทำให้นอนไม่หลับได้
       
       ชงน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่น
       
       ชงน้ำผึ้งเล็กน้อยผสมในน้ำอุ่น หรือชาสมุนไพร จะช่วยทำให้หลับง่ายขึ้นนั่นเอง เพราะในสมัยโบราณเขาใช้น้ำผึ้งเป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ นั่นเอง
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #41 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2013, 07:34:46 am »
วัย 50 อัประวัง! มีอัตราตายเพราะความหนาวสูงสุด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 ธันวาคม 2556 13:04 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000153411-

กรมควบคุมโรคเผยมีคนตายเพราะฤดูหนาวปีที่แล้ว 18 คน พบวัย 50 กว่าปี มีอัตราตายสูงสุด เตือนอย่าอาบน้ำอุ่นด้วยการใช้ก๊าซหุงต้ม อาจหมดสติในห้องน้ำ เสี่ยงเสียชีวิต แนะสวมเสื้อผ้าไม่ต้องหนามาก แต่หลายๆ ชั้น สร้างความอบอุ่นมากกว่า

 นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่ของไทยมีอุณหภูมิต่ำกว่า 14 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งนี้ จากการที่สํานักระบาดวิทยา คร.ได้ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์การเสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะอากาศหนาวปี 2555 โดยการรวบรวม ตรวจสอบข้อมูลการเสียชีวิตที่อาจเกี่ยวเนื่องกับภาวะอากาศหนาวเย็น จากข่าวสารและรายงานจากสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) พบว่า มีทั้งหมด 24 ราย สอบสวนสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด มีผู้เสียชีวิตเข้าเกณฑ์ 18 ราย และไม่เข้าเกณฑ์ 7 ราย ซึ่งผู้เสียชีวิตทั้ง 18 ราย พบว่า เป็นเพศชาย 17 ราย และ หญิง 1 ราย พบการเสียชีวิตสูงสุดในเดือนมกราคม 2556 (ร้อยละ 55.56) รองลงมาคือ เดือนธันวาคม 2555 (ร้อยละ 38.89) กลุ่มอายุที่มีอัตราตายสูงสุด คือ อายุระหว่าง 50-54 ปี รองลงมาคือ อายุระหว่าง 35-39 ปี และ 65 ปีขึ้นไป
       
       นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า นอกจากโรคติดต่อในฤดูหนาว 6 โรคที่ต้องระวังแล้ว ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หัด อีสุกอีใส มือเท้าปาก และ อุจจาระร่วง สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือ การดื่มสุราแก้หนาว การผิงไฟในที่อับ ไม่มีอาการถ่ายเท และใช้เครื่องทำน้ำอุ่นที่ใช้พลังงานจากแก๊สหุงต้ม ซึ่งทั้งสามเรื่องอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ อย่างการอาบน้ำอุ่นด้วยการใช้แก๊สหุงต้ม ถ้าไม่มีเครื่องระบายอากาศ ควรเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้ 15 นาที เพื่อให้อากาศถ่ายเท มิเช่นนั้นอาจหมดสติในห้องน้ำและเสียชีวิตได้
       
       “สิ่งที่ต้องเตรียมตัวคือ เสื้อผ้าและผ้าห่มกันหนาวให้เพียงพอกับสมาชิกในครอบครัว ไม่จำเป็นต้องหนามาก แต่ให้มีจำนวนเพียงพอกับสมาชิก และสามารถพลัดเปลี่ยนหรือหมุนเวียนซักล้างได้ ที่สำคัญควรเป็นเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว โดยสวมเสื้อผ้าหลายๆ ชั้น จะทำให้ร่างกายอบอุ่นมากกว่าการสวมเสื้อผ้าหนาๆ ชั้นเดียว นอกจากนี้ ต้องมีขนาดพอดีตัว เพราะการสวมเสื้อผ้าที่ขนาดเล็กและรัดรูปจนเกินไป อาจทำให้การไหลเวียนเลือดน้อยลง และไม่สามารถสร้างความอบอุ่นได้ดีนัก ถ้าสามารถทำได้ควรสวมถุงมือ ถุงเท้า และผ้าพันคอ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ และในเวลานอนหลับตอนกลางคืน” อธิบดี คร. กล่าว
       

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #42 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2013, 08:37:44 pm »
3 ปัญหาโรคตาจากการใช้คอมพิวเตอร์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 ธันวาคม 2556 16:17 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000153562-

 คอมพิวเตอร์กลายเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่างมาก ทั้งใช้ทำงาน ทำการบ้าน หรือเล่นเกมผ่อนคลายต่างๆ อย่างไรก็ตาม การใช้คอมพิวเตอร์อาจมีผลเสียต่อสุขภาพตา เรียกว่า “โรคตาจากจอคอมพิวเตอร์ (Computer vision syndrome)” คือภาวะอาการปวด เคืองตา ภายหลังจากการใช้จอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
       
       ปัจจบันมีผู้มีปัญหาโรคตาจากจอคอมพิวเตอร์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยมักมีปัญหา ดังนี้
       
       1.ปัญหาปวดตาหรือเมื่อยตา เกิดจากการเพ่งใช้สายตาติดต่อกันอย่างยาวนาน ทำให้มีอาการเมื่อยล้าจากการใช้สายตา ข้อแนะนำคือ ควรมีการหยุดพักสายตาเป็นระยะ โดยทุกๆ 20-30 นาที ให้พักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ โดยมองไปบริเวณพื้นที่กว้างหรือนอกหน้าต่าง เพื่อลดการเพ่งของสายตาประมาณครึ่งนาทีถึงหนึ่งนาที ก่อนกลับมาทำงานกับจอคอมพิวเตอร์ต่อไป
       
       2.ปัญหาเคืองตา ปกติตาคนเราจะมีน้ำตาเคลือบผิวอยู่ตลอดเวลาเป็นการหล่อเลี้ยงตา ช่วยในเรื่องการหักเหของแสงที่เข้าตา ทำให้มองเห็นชัดและยังช่วยเจือจางสารที่เป็นพิษต่อตา รวมทั้งล้างออกไปด้วย แต่ถ้าเมื่อใดน้ำตาเคลือบผิวตาได้น้อยกว่าปกติก็จะเกิดอาการตาแห้ง มีอาการแสบตา เคืองตา ตาแดง มีตาพร่ามัวเป็นพักๆ ได้ ทำให้มีการกะพริบตาน้อยกว่าภาวะปกติ ซึ่งควรมีการกระพริบตาประมาณ 10-15 ครั้งต่อนาที เพื่อป้องกันภาวะตาแห้ง หรือเมื่อรู้สึกเคืองตา แสบตา ให้หลับตาพัก 3-5 วินาที เพื่อให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาจากเปลือกตาบนด้านในมาฉาบให้ความชุ่มชื้นต่อลูกตา แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องใช้ยาหยอดตาชนิดน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาเทียม เพื่อบรรเทาปัญหา
       
       และ 3.ปัญหาตามัว เป็นปัญหาที่พบในเด็กที่ใช้คอมพิวเตอร์เล่นเกมมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการปวดศีรษะ เมื่อยตา และทำให้มีการเพ่งตาค้าง เกิดภาวะคล้ายสายตาสั้น คือมองไกลไม่ชัด แต่มักเป็นอยู่เพียงชั่วคราวก็จะกลับสู่ภาวะปกติ ดังนั้น แม้ว่าการเล่นเกมจะไม่ทำให้สายตาสั้นถาวร เพราะภาวะสายตาสั้น สายตาเอียง หรือสายตายาวถูกกำหนดมาโดยธรรมชาติ พฤติกรรมการใช้สายตามีผลน้อยมากหรือไม่มีเลยก็ตาม แต่ก็ควรให้เด็กเล่นแต่พอเหมาะ เพื่อสุขภาพของตัวเด็กเอง
       
       ทั้งนี้ การใช้คอมพิวเตอร์ให้ปลอดภัยกับสุขภาพ มีวิธีการดังนี้
       
       1.จัดตำแหน่งการทำงานให้เหมาะสม แสงสว่างเพียงพอ ไม่มีแสงจากหน้าต่างส่องเข้าตาโดยตรง โต๊ะ เก้าอี้ สูงพอเหมาะ จัดระดับของจอภาพให้อยู่ต่ำกว่าสายตาประมาณ 10-15 องศา
       
       2.ควรมีการหยุดพักสายตาเป็นระยะ โดยทุกๆ 20-30 นาที ให้พักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ โดยมองไปบริเวณพื้นที่กว้างหรือนอกหน้าต่าง เพื่อลดการเพ่งของสายตาประมาณครึ่งถึงหนึ่งนาที
       
       3.กระพริบตาประมาณ 10-15 ครั้งต่อนาที เพื่อป้องกันภาวะตาแห้งหรือให้หลับตาพัก 3-5 วินาทีบ่อยๆ เพื่อให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตามาฉาบให้ความชุ่มชื้นต่อลูกตา และอาจพิจารณาใช้ยาหยอดตาชนิดน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาเทียม เพื่อบรรเทาอาการแสบตา
       
       และ 4.การใส่แว่น จะช่วยผู้ที่อาจมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของสายตา ให้ปวดเมื่อยล้าตาง่าย เช่น คนสายตาเอียง หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ซึ่งจะมีปัญหาเวลามองใกล้

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000153562
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #43 เมื่อ: ธันวาคม 15, 2013, 08:36:12 pm »


“กัวซา” ศาสตร์ทางเลือกรักษา “ออฟฟิศซินโดรม”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 ธันวาคม 2556 19:37 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000153749-

   การทำงานของคนยุคใหม่ที่วันๆ หนึ่ง ต้องนั่งอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จนบางครั้งลืมกินข้าวกินน้ำ หรือแม้แต่จะลุกขึ้นเดินเพื่อผ่อนคลายก็ยังไม่มีเวลา จึงส่งผลให้สุขภาพร่างกายปวดเมื่อย สมองอ่อนล้า ไม่แปลกที่คนทำงานปัจจุบันจะเผชิญกับปัญหาออฟฟิศซินโดรมกันเป็นจำนวนมาก
       
       อย่างไรก็ตาม หนทางหนึ่งในการรักษาโรค “ออฟฟิศซินโดรม” นั้น อาจารย์หยาง เผยเซิน ผู้อำนวยการศูนย์ธรรมชาติบำบัดอาจารย์ หยาง แนะนำว่า “กัวซา” เป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยรักษาโรคนี้ได้ ซึ่งจากตำนาน “กัวซา” เป็นศาสตร์วิชาแพทย์แผนจีนโบราณแขนงหนึ่งที่มีมานานหลายพันปี เป็นการดูแลสุขภาพด้วยวิธีธรรมชาติ เป็นวิถีชาวบ้านมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเริ่มมีการเล่าขานถึงตั้งแต่ในยุคชุนชิวจั้นกั๋วแต่ปรากฏหลักฐานในสมัยราชวงศ์หยวน ชื่อ “ตำรายอดนิยมของหมอกลางบ้าน” โดย เวย อี้หลิน ในราวปี ค.ศ.1337 ต่อมาในยุคหลังจึงเริ่มบันทึกเป็นตำราทางศาสตร์กัวซา


       อาจารย์หยาง บอกว่า “กัวซา” เป็นศาสตร์ที่เพียงใช้อุปกรณ์ที่ทำจากธรรมชาติ มากวาดบนผิวหนังตามเส้นลมปราณทั่วร่างกาย เพื่อเสริมสุขภาพและขับพิษออกจากร่างกาย ซึ่งวิธีการนี้สามารถใช้เสริมสุขภาพและบรรเทาอาการได้ โดยเฉพาะ “โรคออฟฟิศซินโดรม” ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่พบบ่อยในวัยทำงาน เกิดจากอิริยาบถที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นอาการที่ต้องนั่งทำงานตลอดเวลา ทำให้ร่างกายขาดการเคลื่อนไหว นั่งหลังค่อม เก้าอี้ไม่มีพนักพิงจึงไม่สามารถรองรับแผ่นหลัง การจัดวางของที่ทำให้หยิบจับลำบาก และการกดแป้นคีย์บอร์ดไม่มีตัวรองรับข้อมือ จะทำให้มีการกระดกข้อมือขึ้นลงซ้ำๆ ซึ่งเป็นผลเสียต่อสุขภาพ
       
       “การที่คนเราทำงานด้วยอิริยาบถและสภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่ไม่เหมาะสม ส่งผลทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ อาทิ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ โดยเฉพาะการกระดกข้อมือขึ้นลงซ้ำๆ จากแป้นคีย์บอร์ดที่ไม่มีการรองรับข้อมือ จะส่งผลให้เกิดการอักเสบบริเวณเส้นเอ็น รวมทั้งเกิดภาวะพังผืดหนา ทำให้เกิดอาการชาบริเวณนิ้วมือและข้อมือ ส่วนความเครียดสะสมจะทำให้มีอาการปวดศีรษะ หรือเป็นโรคเครียดได้ อาการที่กล่าวมานี้ล้วนสามารถใช้ศาสตร์แห่งการกัวซาฟื้นฟูได้”
       
       อาจารย์หยาง เล่าอีกว่า การกัวซามีประสิทธิภาพในการขับพิษ เมื่อทำกัวซาเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เสริมสุขภาพความงามและลดความอ้วนได้อีกด้วย อีกทั้งการกัวซาจะช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของโลหิตภายใต้ผิวหนัง ขยายรูขุมขนให้เปิดกว้างทำให้การหมุนเวียนของโลหิตปรุโปร่งร่างกายผลัดเซลล์เก่าสร้างเซลล์ใหม่และขับพิษออกทางต่อมเหงื่อ อวัยวะภายในได้รับการบำรุงเลี้ยงจากโลหิตอย่างเต็มที่ ทำให้ร่างกายมีการปรับสมดุลช่วยฟื้นฟูสมรรถนะของระบบภูมิต้านทานโรคให้แข็งแรง
       
       “อาการที่ใช้วิธีกัวซาเสริมสุขภาพแล้วให้ผลดีที่สุดและเห็นผลเร็วที่สุด ได้แก่ อาการเป็นไข้ ตัวร้อน ปวดเมื่อย หรือชาตามร่างกาย ปวดประจำเดือน ปวดศีรษะ ไข้หวัด หวัดแดด อวัยวะภายในทำงานไม่ปกติ เป็นต้น จุดเด่นของการกัวซาออฟฟิศซินโดรม อาทิ แก้อาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ช่วยบรรเทาอาการปวด ชาบริเวณ คอ ไหล่ หลัง บ่า แขน และข้อมือ อาการมือชา เท้าชา และนิ้วล็อค ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำให้เลือดลมหมุนเวียนดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ที่สำคัญประโยชน์ของกัวซายังสามารถช่วยในเรื่องความสวยความงามของผิวหน้าได้อีกด้วย”
       
       อาจารย์หยาง เล่าว่า การรักษาสุขภาพผิวหน้าด้วยวิธีกัวซา เป็นการกระตุ้นเส้นชีพจรบนใบหน้า ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ผิวหน้า ชะลอริ้วรอยแห่งวัย ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นและละเอียดอ่อน ลดการเหี่ยวย่นและรอยด่างดำ นอกจากนี้ การกัวซาใบหน้ายังมีส่วนในการปรับสมดุลระบบการทำงานของอวัยวะภายใน เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์ผิวหนังบริเวณใบหน้าโดยตรง กระตุ้นการหมุนเวียนสูบฉีดของโลหิต ทำให้ได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ จึงทำให้ใบหน้าชุ่มชื้นเป็นประกาย มีเลือดฝาดผิวพรรณเต่งตึง เนียนนุ่ม มีชีวิตชีวา
       
       ผู้สนใจต้องการศึกษา สามารถเข้ารับการอบรมสัมมนาในหัวข้อเรื่อง “กัวซา เสริมสุขภาพฯ” ในวันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม 2557 เวลา 09.00-17.00 น. ณ ศูนย์ธรรมชาติบำบัดอาจารย์ หยาง 71 อาคาร จี.พี.เฮ้าส์ ถนนทรัพย์ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ สามารถสำรองที่นั่ง โทร.0-2637-0121-2 สำหรับผู้ที่จบหลักสูตรจะได้รับประกาศนียบัตรจากสมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย กรมการแพทย์ 6 (DMS 6) กระทรวงสาธารณสุข
       
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #44 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2013, 06:05:08 am »
ปวดหลังจงหายไป ! เคล็ดลับง่าย ๆ ที่คุณทำได้

-http://health.kapook.com/view77990.html-



ปวดหลังจงหายไป ! (Lisa)

          อูยยย...ยังไม่แก่สักหน่อย ทำไมปวดหลังอย่างนี้นะ ! เมื่ออาการปวดหลังไม่ใช่โรคที่เกิดจากความเสื่อมตามวัยอีกต่อไป ก็มาดูกันหน่อยดีกว่าว่าอะไรคือสาเหตุให้ต้องปวดตั้งแต่ยังสาวจะได้กำจัดปัญหาตั้งแต่ต้นตอ



@Desk Work
 
          จัดโต๊ะทำงานให้เหมาะสม ปรับจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตาพอดี ไม่ต้องก้มหรือเงยเวลาทำงาน และปรับระดับเก้าอี้ให้สามารถวางเท้าบนพื้นได้พอดี หากโต๊ะสูงเกินไปจนเวลานั่งแล้ววางเท้าไม่ได้ ก็ควรหาเก้าอี้เตี้ย ๆ หรือกล่องเล็ก ๆ มาใช้สำหรับวางเท้า

          เลือกเก้าอี้หมุนได้ เวลาหันไปรับโทรศัพท์หรือหันไปคุยกับเพื่อนร่วมงาน จะได้หมุนไปทั้งตัวง่าย ๆ โดยไม่ต้องเอี้ยวตัวไปมา

          จิบน้ำบ่อย ๆ อาการขาดน้ำไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปวดหลังหรอกค่ะ แต่การเดินไปเติมน้ำในแก้วบ่อย ๆ จะเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้คุณได้เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง

          หาหมอนมาหนุนหลัง เวลานั่งเก้าอี้ไม่จำเป็นต้องเกร็งหลังให้ตรงเป๊ะ หาหมอมารองช่วงเอว แล้วนั่งพิงสบาย ๆ หลังอาจจะแอ่นนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร

          ตรวจสายตาสม่ำเสมอ สายตาที่เปลี่ยนไปอาจทำให้คุณต้องก้มตัวไปจ้องหน้าจอโดยไม่รู้ตัว จนทำให้ปวดต้นคอและแผ่นหลังโดยหาสาเหตุไม่ได้

@Shopping

          อย่าหิ้วของหนักเกิน เวลาช้อปปิ้ง พยายามกระจายน้ำหนักข้าวของที่ถือในมือทั้งสองข้างให้ใกล้เคียงกัน และอย่าช้อปเพลินจนต้องก้มตัวเวลาหิ้ว

          ยกของหลังต้องตรง เวลายกของขึ้นจากพื้นโดยเฉพาะของหนัก อย่าก้มตัวลงไป เพราะอาจจะทำให้ต้องใช้แรงที่หลังมากเกินจนกล้ามเนื้ออักเสบได้ แต่ให้ใช้วิธีย่อเช่าลงไปยกแล้วยืนขึ้นมาตรง ๆ

          เลือกรถเข็นให้ดี เวลาไปช้อปในซูเปอร์มาร์เก็ตควรเลือกรถเข็นที่มีขนาดเล็กหน่อย และทดสอบดูว่าล้อเลื่อนสามารถใช้การได้ไม่ติดขัด จะได้ไม่ต้องใช้แรงมากจนต้องก้มตัวเวลาเข็น

          ถอดส้นสูงซะบ้าง เมื่อใส่รองเท้าส้นสูง หลังของเราอยู่ในลักษณะแอ่นมาข้างหน้า เพื่อพยุงความสมดุลในการยืนไม่ให้เราล้ม หากเราต้องยืนหรือเดินบนส้นสูงนาน ๆ จะปวดหลังก็ไม่แปลก เพราะยิ่งส้นสูงมากก็ยิ่งปวดมาก ควรลดส้นให้เตี้ยลงเหลือ 1 นิ้วครึ่งหรือ 2 นิ้วก็พอแล้ว



@Sleeping

          ฟูกนิ่มเกินไปไหม? ที่นอนนุ่ม ๆ ไม่ได้ช่วยให้คุณฝันหวาน กระดูกสันหลังที่อยู่ในท่าไม่เหมาะสมตลอดคืนจะทำให้อาการปวดหลังมาเยือนเมื่อคุณตื่นขึ้น แต่ก็ไม่นุ่มจนยุบตัวเวลานอน แบบที่นอนยัดนุ่นแน่น ๆ นั่นแหละ...เป๊ะ!

          อย่านอนคว่ำ เวลานอนคว่ำกระดูกสันหลังส่วนเอวจะโค้งไปด้านหน้ามากขึ้น แถมหน้าที่หันไปข้างใดข้างหนึ่งยังทำให้กระดูกต้นคอบิดด้วย ควรนอนหงาย โดยมีหมอนหนุนใต้เช่าให้สะโพกงอเล็กน้อย หรือนอนตะแคงกอดหมอนข้างไว้ก็ได้

@Exercise

          ฟิตพุงต้องฟิตหลัง น้ำหนักตัวที่มากเกินเกณฑ์ ทำให้ส่วนที่ต้องรับน้ำหนักกระดูกสันหลังมีโอกาสเสื่อมได้เร็วขึ้น แต่เวลาลดก็ต้องใส่ใจกล้ามเนื้อทั้งตัว และต้องบริหารให้สมดุลกัน เช่น บริหารหน้าท้องก็ต้องบริหารแผ่นหลัง ถ้าฟิตแต่หน้าท้องอย่างเดียว อาการปวดหลัง ก็ถามหาได้เหมือนกัน

          ปวดหลังมาก ๆ เล่นโยคะช่วยได้ การออกกำลังยืดเหยียดแบบโยคะเป็นประจำ ช่วยได้ทั้งป้องกันและรักษาอาการปวดหลัง แต่ก็แน่นอนว่าไม่ใช่เล่นครั้งเดียวแล้วอาการปวดจะหายเป็นปลิดทิ้ง

          หยุด ! ซิตอัพ แบบเก่า ๆ วิธีซิตอัพที่ให้นอนหงายงอเข่า แล้วเกร็งคอและหน้าท้องยกลำตัวขึ้นมาจนแตะหัวเข่าซึ่งเราคุ้นชินมาแต่เด็ก เป็นท่าทางที่ทำให้เกิดแรงกดบริเวณหลังส่วนล่าง และทำให้กระดูกสันหลังม้วนในแบบที่ไม่ดีนัก ทำซ้ำ ๆ ไปมาก็จะทำให้คุณปวดหลังได้ ให้เปลี่ยนเป็นทำ Reverse Curl-Ups ที่ใช้การยกขาแทนลำตัวส่วนบนจะดีกว่า

          กายบริหารยืดหลังส่วนล่าง หากไม่คุ้นชินกับการออกกำลังกายก็สละเวลาสักนิดทำกายบริหารยืดหลัง ส่วนล่างแบบง่าย ๆ แค่นั่งบนเก้าอี้แล้วค่อย ๆ โน้มตัวมาข้างหน้าจนรู้สึกดึง แล้วจึงค่อย ๆ ก้มลงไปให้มากที่สุด



Check Yourself !

           อาการปวดหลังมีได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่เบา ๆ อย่างกล้ามเนื้ออักเสบไปจนถึงมีปัญหาที่กระดูกสันหลัง แต่จะรู้ได้ยังไง? นพ.กลยุทธ ตัณนิติศุภวงษ์ ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลัง จากร.พ.บางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล มีวิธีการสังเกตมาบอกว่าแต่ว่าคุณปวดแบบไหน?

          A. ขยับแล้วปวด นั่งเฉย ๆ ไม่เป็นไร

          B. ปวดหน่วง ๆ นั่งนาน ๆ แล้วปวด

          C. ยิ่งเดินยิ่งปวด

          D. ปวดจนนอนไม่หลับ

          E. ปวดร้าวลงไปที่ชา

           อาการแบบข้อ A เป็นการปวดที่สัมพันธ์กับท่าทาง ซึ่งเป็นลักษณะของอาการปวดกล้ามเนื้อธรรมดา หากไม่ได้ปวดมากจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ก็ไม่น่ากังวลเท่าไหร่

           อาการแบบข้อ B-D เป็นอาการที่คุณควรพบแพทย์ เนื่องจากอาจมีการผิดปกติที่กระดูกสันหลัง ซึ่งอาจยังไม่ถึงขั้นต้องผ่าตัดก็ได้ ไม่ต้องกลัวไป !

           อาการแบบข้อ E ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด อาการปวดหลังแล้วร้าวลงขาที่คุณเป็นอาจเกิดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนไปทับเส้นประสาทก็ได้ และหากกดหนัก ๆ คุณอาจเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้เลยทีเดียว

ปวดนะ...แต่ยังไม่อยากพบแพทย์ ทำไงดี ?!

           ถ้าอาการปวดหลังของคุณไม่ได้เข้าข่ายอันตราย คุณหมอกลยุทธ ชี้ว่าจะลองบรรเทาอาการปวดด้วยตัวเองดูก่อน หากไม่ดีขึ้น หรือทนไม่ไหว ค่อยไปพบแพทย์ก็ได้



ประคบร้อน ไม่ใช่ประคบเย็น

           เมื่อต้องการบรรเทาอาการปวดหลัง ควรเลือกการประคบด้วยความร้อน เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว เส้นเอ็น ยืดหยุ่น เลือดไหลเวียนดีขึ้น อาการปวดก็จะลดลง ส่วนการประคบเย็นนั้นมักใช้ใน 24-48 ชั่วโมงแรกที่เกิดอุบัติเหตุอย่างการล้มแล้วบวมขึ้น

รัดเอวพยุงหลัง…อย่านานเกิน

           ที่รัดเอวจะช่วยผ่อนแรงของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานน้อยลง อาการปวดก็เลยดีขึ้น แต่ก็ควรใช้แค่ในช่วงสั้น ๆ 1-2 สัปดาห์ที่มีอาการปวดเท่านั้น หากรัดนาน ๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อลีบได้

นวดผ่อนคลาย & กายภาพ

           การนวดก็ถือเป็นการกายภาพบำบัดรูปแบบหนึ่งที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดอาการปวดลงได้ แต่ก็ไม่ควรนวดท่าที่ต้องใช้การบิดตัวแรง ๆ เพราะอาการอาจจะแย่ลงได้หากอาการปวดของคุณมีต้นเหตุมาจากกระดูกสันหลัง หรือไม่แทนที่จะไปนวดตามร้านทั่วไป คุณอาจจะไปทำกายภาพบำบัดโดยใช้การอัลตร้าซาวนด์ ดึงหลัง และเครื่องไม้เครื่องมืออื่น ๆ อาการก็จะดีขึ้นได้เหมือนกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.lisaguru.com/-



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #45 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2013, 06:11:18 am »
เทคโนโลยีซินโดรม คุกคามคุณอย่างเงียบๆ!



Weekly C3

เทคโนโลยีซินโดรม

เทคโนโลยีซินโดรม โรคที่กำลังคุกคามชาวไซเบอร์ยุคใหม่ ผู้ชื่นชอบการเสพติดเทคโนโลยี ว่าแต่…คุณเองก็กำลังป่วยด้วยหรือเปล่านะ?

สมัยนี้กลายเป็นยุคที่คนใช้ “ดวงตา” จ้องหน้าจอ ใช้ “มือ” ถือแท็บเล็ต และใช้ “นิ้ว” จิ้มและลากสมาร์ทโฟน มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนก้มทำพฤติกรรมแบบนี้ไปหมด ไม่ว่าจะกำลังนั่งรอรถเมล์ กำลังนั่งทานอาหาร ขับรถ เดินอยู่ข้างถนน เลยไม่แปลกใจที่เราจะได้ยินคนใกล้ตัว หรือแม้แต่ตัวเองบ่นว่า รู้สึกเคืองตา ปวดตา เจ็บมือ เจ็บนิ้วอยู่บ่อย ๆ อาการเหล่านี้เป็นภัยสุขภาพแบบใหม่ที่เรียกว่า “เทคโนโลยีซินโดรม” และกำลังคุกคามชาวไซเบอร์อยู่อย่างเงียบ ๆ

น่าตกใจไม่น้อยที่ในช่วงระยะหลังมานี้มีผู้ป่วยตั้งแต่เด็กเล็กยันผู้สูงอายุ เข้ารับการรักษาด้วยโรคเทคโนโลยีซินโดรมจำนวนมาก และยังมีผู้ป่วยอีกมากที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองป่วยด้วยอาการดังกล่าว วิธีการสังเกตอาการของโรคเทคโนโลยีซินโดรม เพื่อให้ตรวจสอบกันว่า ตัวคุณ หรือคนข้าง ๆ เข้าข่ายด้วยหรือไม่ ซึ่งจะมี 3 อาการหลัก ๆ คือ

1. ดวงตามีปัญหา

ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บตา ดวงตาล้า  ตาช้ำ ตาแดง แสบตา ก็สามารถเกิดขึ้นได้ หากใช้คอมพิวเตอร์ หรือจ้องจอนานเกิน 25 นาทีขึ้นไป รวมทั้งการวางหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้ระดับที่เหมาะสมกับสายตา หรือปรับความสว่างหน้าจอไม่เหมาะสม หากดวงตาตรึงอยู่กับหน้าจอแบบนี้เป็นเวลานาน จะเกิดอาการเกร็ง มีผลกระทบต่อระบบของการกรอกตา และยังทำให้ระบบกล้ามเนื้อและประสาทผิดปกติด้วย

2. มีอาการทางกล้ามเนื้อกระดูก

ถ้าใครเป็นคนที่ต้องนั่งทำงานนาน ๆ แล้วยังนั่งไม่ถูกท่า ต้องก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ทุกวัน สุดท้ายแล้วอาการปวดคอ ปวดบ่า ปวดหลัง ปวดเอว ปวดนิ้วมือ ตามมาอย่างแน่นอน

3. เสพติดเทคโนโลยี

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ลองไม่ได้หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเช็กเฟซบุ๊กสัก 10 นาที ก็รู้สึกกระวนกระวายแล้ว หรือโพสต์ภาพไปเมื่อกี้ก็ว้าวุ่นใจอยากรู้ว่าจะมีใครมากดไลค์หรือยังนะ หรือแม้เพียงเข้าอินเทอร์เน็ตไม่ได้เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็รู้สึกหงุดหงิดสุด ๆ จนกลายเป็นความเครียด แบบนี้เข้าข่ายเป็นคนติดเทคโนโลยีแล้ว เพราะไม่สามารถควบคุมตัวเองให้อยู่ห่างจากโลกไซเบอร์ได้เลย

ส่วนใครที่มีอาการติดเทคโนโลยีแบบว่าอยู่ห่างแทบไม่ได้เลย คุณหมอ ก็แนะนำให้หากิจกรรมอื่นทำบ้าง เช่น อ่านหนังสือ ออกไปเที่ยว ไปออกกำลังกาย อย่าเอาแต่จ้องหน้าจออย่างเดียว และถ้าไม่อยากปวดตาก็พยายามพักสายตาประมาณ 1-5 นาที หลังจากเล่นคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนทุก ๆ 25-30 นาที เพื่อให้สายตาไม่อ่อนล้าจนเกินไป

 


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #46 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2013, 06:15:36 am »
ท้องเสียคร้ังต่อไปคิดถึง “ฝรั่ง”

-http://club.sanook.com/17580/%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%96-




ใครที่มีอาการท้องเสียบ่อย ๆ  วันนี้มีวิธีรักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่งมาบอก

นำใบฝรั่งมาล้างน้ำให้สะอาด ประมาณ 10-15 ใบ แล้วโขลกพอแหลก ใส่น้ำ 1 แก้วใหญ่ นำไปต้มใส่เกลือ พอเดือดยกลงนำมาดื่มแทนชา ได้ผลดี

นำผลฝรั่งอ่อน ๆ มาฝานเอาแต่เปลือกกับเนื้อ ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วกินรวมกัน หรือจะใช้ต้มดื่มเป็นน้ำฝรั่งก็ได้

นำใบฝรั่งสดที่ไม่อ่อน และไม่แก่เกินไป มาตัดหัวตัดท้าย แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ ตักน้ำที่ได้จากการแช่ใบฝรั่ง มาจิบทีละนิด ก็ช่วยรักษาได้เช่นกัน แต่อย่าจิบมากจนเกินไป อาจทำให้ท้องผูกได้ ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันได้

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #47 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2013, 10:41:03 pm »
7 วิธีปฏิบัติตัวป้องกันมะเร็ง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 ธันวาคม 2556 17:44 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000156641-

    ขึ้นชื่อว่า "มะเร็ง" ใครๆก็ไม่อยากเป็น ทว่าพฤติกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่างกลับเอื้อต่อการเป็นโรคมะเร็งต่างๆ อย่างมาก ซึ่งขอเพียงเราปรับพฤติกรรมสุขภาพและการบริโภคให้เหมาะสมก็จะสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ 30-40% ของโรคมะเร็งทั้งหมดได้ รวมไปถึงป้องกันโรคหัวใจ ฏรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และโรคกระดูกพรุนได้ด้วย

ทั้งนี้ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้แนะนำวิธีการปฏิบัติตนให้มีพฤติกรรมสุขภาพป้องกันมะเร็งไว้ 7 วิธี คือ
       
       1.ไม่สูบบุหรี่ เพราะมีผลวิจัยที่ชัดเจนว่า ผู้ที่สูบบุหรี่มากกว่า 20 มวน/วัน นาน 10 ปี จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดเป็นโรคมะเร็งปอด 8-10 เท่าของผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ และที่สำคัญ 80% ของมะเร็งปอดล้วนเกิดจากการสูบบุหรี่ทั้งสิ้น ขณะที่ผู้สูบบุหรี่หากหยุดสูบก็จะสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งปอดได้ 60-70%
       
       2.ไม่ดื่มสุรา หรือดื่มแค่พอควรถ้ามีความจำเป็น นั่นก็คือดื่มไม่เกินปริมาณของ Ethanol 20 กรัม/วัน หรือประมาณวันละ 1 แก้ว เพราะการดื่มสุรามากกว่า 60 กรัมของ Ethanol ต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง 9 เท่าของผู้ไม่ดื่ม ที่น่ากลัวคือถ้าดื่มสุรามากกว่า 60 กรัมของ Ethanol ต่อวัน และสูบบุหรี่มากกว่า 20 มวนต่อวันด้วย จะเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็ง 50 เท่า
       
       3.ปรับพฤติกรรมการกิน โดย กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมกับวัย โดยกินอาหารที่หลากหลาย อย่ากินอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเป็นประจำ เพื่อให้ได้สารอาหารต่างๆ ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการและหลีกเลี่ยงการสะสมสารพิษจากอาหาร รวมไปถึงควรเลือกกินอาหารที่ประกอบด้วยธัญพืช เช่น เมล็ดถั่วต่างๆ งา ข้าวโพด ข้าวกล้อง มันฝรั่ง และกินผักผลไม้สดให้มากเป็นประจำตามฤดูกาล ประมาณวันละ 500 กรัม หรือมากกว่าครึ่งของปริมาณอาหารที่กินจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้ 20%
       
       นอกจากนี้ ควรเลือกกินอาหารที่มีไขมันต่ำ โดยในผู้ชายผู้ใหญ่ควรได้พลังงานวันละ 2,000 แคลอรี ผู้หญิง 1,600 แคลอรี และได้รับไขมันไม่เกิน 25-30% ของปริมาณพลังงานทั้งหมดต่อวัน กินอาหารที่เค็มน้อยและหวานน้อย โดยกินเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชา หรือ 6 กรัมในอาหารทั้งหมดของแต่ละวัน กินน้ำตาลไม่เกิน 3 ช้อนโต๊ะต่อวัน ที่สำคัญอาหารที่มีสารก่อมะเร็งควรกินให้น้อยลง เช่น เนื้อสัตว์ปิ้ง ย่าง รมควัน หากก่อด้วยกระดาษอลูมิเนียมจะช่วยลดสารก่อมะเร็งได้ อาหารหมักดองเค็มและเนื้อสัตว์เค็มตากแห้ง อาหารที่มีเชื้อราขึเน การกินปลาสุกๆดิบๆ และการกินเนื้อสัตว์สีแดง เช่น วัว หมู ในปริมาณมากเป็นเวลานาน จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ไม่ควรกินเกิน 80 กรัมต่อวัน ที่ขาดไม่ได้คือควรดื่มน้ำประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน
       
       4.หลีกเลี่ยงการสูดควัน ทั้งจากการเผาไหม้ของน้ำมัน ถ่านหิน ถ่านไม้ หรือจากการทำอาหาร
       
       5.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ให้เหมาะสมตามร่างกายและวัย เช่น เดินเร็วๆ วันละ 1 ชั่วโมง ทำงานบ้าน ทำสวน และให้ออกกำลังกายให้เหงื่อออกสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เช่น เล่นกีฬา เต้นแอโรบิค
       
       6.ควบคุมน้ำหนักให้พอดีตัว ไม่อ้วน โดยดัชนีมวลกาย คือ น้ำหนักกิโลกรัม หารด้วย ความสูงเมตรยกกำลังสอง ค่าจะต้องออกมาอยู่ในช่วง 18.5-25 น้ำหนักจึงพอดี หากได้ 25-30 น้ำหนักมาเกินไป และมากกว่า 30 คือโรคอ้วน
       
       และ 7.ทำจิตใจให้ผ่องใส ลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ
       
       เท่านี้คุณก็จะสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ ได้ในระดับหนึ่ง

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #48 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2013, 10:33:44 am »
4 เคล็ดลับ บ๊าย บาย อาการนอนไม่หลับ

-http://campus.sanook.com/1370169/4-%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%9A%E0%B9%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A/-


เชื่อว่าหลายคนทราบดีอยู่แล้วว่า ′การนอนไม่หลับ′ มักเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งอาหาร รูปแบบการใช้ชีวิต การเจ็บป่วย การใช้ยา ความเครียด ดื่มกาแฟก่อนนอน รวมไปถึงรูปแบบเตียงนอนที่ไม่เหมาะสม ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่นอนไม่หลับ มักมีอาการเพียงแค่ 2-3 วันเท่านั้น และหลังจากนั้นอาการดังกล่าวจะหายไปเอง แต่บางรายนอนไม่หลับเป็นเวลานานติดต่อกันเป็นสัปดาห์ขึ้นไป และหากปล่อยเอาไว้นานๆ จะกลายเป็นอาการเรื้อรัง (Insomnia) จนส่งผลเสียร้ายแรงต่ออารมณ์ ความจำ การตื่นตัว ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา และไม่มีเรี่ยวแรง ท้ายสุดแล้วจะส่งผลกระทบต่อการทำงาน และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ฉบับนี้เราเลยอาสานำสารพัดวิธีเด็ดมาพิชิตอาการนอนไม่หลับกัน

1) กุญแจสู่การหลับอย่างเป็นสุข

เริ่มจากการนอนและตื่นเป็นเวลา โดยพยายามตื่นเวลาเดิมทุกเช้า ไม่ว่าจะนอนดึกแค่ไหนก็ตาม และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเนื่องจากมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันพบว่า ผู้ที่วิ่งหรือเดินก่อนนอนเป็นประจำวันละ 40 นาที จะหลับลึกนานกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ การทำกิจกรรมเพื่อความผ่อนคลายก่อนเข้านอนทุกคืนยังจะช่วยให้คุณนอนหลับสนิทได้อีกด้วย เช่น ฟังเพลงเบาๆ สบายๆ เขียนบันทึกประจำวัน เป็นต้น และยิ่งถ้าคุณผสมสมุนไพรต่างๆ ที่มีฤทธิ์ช่วยให้ผ่อนคลายและทำให้ง่วง อย่างเช่น ลาเวนเดอร์ ดอกมะนาว คาโมไมล์ เลมอน และบาล์ม ใส่ไว้ในปลอกหมอน หรือทำถุงผ้าเล็กๆ แล้ววางไว้ข้างศีรษะเพื่อสูดดมกลิ่นหอมขณะนอน กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ระเหยออกมาจากหมอน จะช่วยให้คุณคลายเครียดได้ หรือจะเป็นการแช่น้ำอุ่น ก่อนเข้านอนประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายแล้วปล่อยให้เย็นลง จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกว่าถึงเวลานอนแล้ว และจะทำให้คุณผ่อนคลายจนรู้สึกอยากนอนขึ้นมาเลยทีเดียว ที่สำคัญเตียงคุณนุ่มเกินไปหรือแข็งจนเกินไปที่ส่งผลต่อคุณภาพการนอนหรือเปล่า

2) การกินอาหารก็ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น

ในขณะที่คุณกำลังทานอาหารในมื้ออยู่นั้น พึงระลึกเสมอว่าไม่ควรกินอิ่มจนเกินไป เพราะจะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนัก และถ้าคุณเกิดหิวในเวลาก่อนนอน ควรเลือกกินอาหารเบาๆ เช่น นมจืดพร่องมันเนย นมถั่วเลือง โยเกิร์ต ก่อนนอน ส่วนข้อแนะนำอื่นๆเพื่อช่วยให้หลับง่ายนั้นอาจจะต้องงดหรือลดเครื่องดื่มกาเฟอีน เนื่องจาก กาเฟอีนจะตกค้างในร่างกายหลายชั่วโมงกว่าจะถูกขับออก คนที่ติดกาแฟเมื่อเลิกทันทีจะทำให้อ่อนเพลีย สะลึมสะลือ ดังนั้น ควรค่อยๆ ลดปริมาณลง งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน เพราะการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้หลับสบายในชั่วโมงแรก แต่หลังจากนั้นจะทำให้เพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกายและอุณหภูมิร่างกาย ทำให้ตื่นกลางดึก และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ก่อนนอน เพราะสารนิโคตินจะกระตุ้นให้ตื่นตัว ทำให้หลับยาก เลี่ยงการดื่มน้ำและเครื่องดื่มชนิดอื่น เช่น น้ำผลไม้ 90 นาทีก่อนนอน เพราะร่างกายใช้เวลาประมาณ 90 นาทีในกระบวนการขับน้ำออกทางปัสสาวะ

3) วิตามินเสริมการนอนหลับ

หากใครยังไม่หาย ลองหันมาเสริมวิตามินต่างๆ เหล่านี้ดูบ้าง เผื่อบางทีอาจช่วยให้คุณมีการนอนหลับที่ดีขึ้นได้ เริ่มจากวิตามินบี 6 จะมีความสำคัญในการสร้างสารเซโรโทนินในสมอง สารตัวนี้จะช่วยควบคุมอารมณ์และการนอนหลับ คนที่ได้รับวิตามินตัวนี้ไม่เพียงพออาจมีอาการซึมเศร้าหรือหงุดหงิดได้ ส่วนวิตามินบี 12 จะช่วยให้อาการนอนไม่หลับดีขึ้น แต่เมื่อหยุดเสริมอาการจะกลับมาอีก แต่การเสริมวิตามินบี 12 เพื่อแก้ไขอาการนอนไม่หลับต้องใช้ปริมาณสูง ดังนั้น จึงควรอยู่ในการดูแลของแพทย์และสำหรับแคลเซียมและแมกนีเซียม แร่ธาตุทั้ง 2 ตัวจะช่วยในการทำงานของระบบประสาท ควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อ การขาดแร่ธาตุนี้จะทำให้เกิดตะคริวและรบกวนการทำงานของเส้นประสาท มีผลทำให้นอนไม่หลับ นอกจากนี้การขาดธาตุเหล็กและทองแดงจะทำให้หลับช้า นอนนาน และอาจตื่นกลางดึก ทำให้นอนไม่อิ่มสำหรับการทานวิตามินนั้น

4) คลายเครียด

อาการนอนไม่หลับอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ส่วนหนึ่งมาจากสภาพจิตใจ หรือความเครียดที่สะสมจนทำให้เกิดความกังวลและทำให้นอนไม่หลับ หากเกิดอาการแบบนี้ ลองฝึกกำหนดลมหายใจ ฝึกสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะ นอกจากนี้ ในช่วงวัยทองหลายคนยังเกิดอาการหงุดหงิด ร้อนวูบวาบ ตื่นมากลางดึกแล้วพาลนอนไม่หลับเสียเฉยๆ ก็มี อาการเหล่านี้ อาจนำไปสู่โรคซึมเศร้า อาการทางจิตประสาท หากนอนไม่หลับจนรู้สึกว่ากระทบต่อคุณภาพชีวิต เช่น ไม่มีสมาธิ รู้สึกง่วงตลอดวัน โมโห ฉุนเฉียวง่าย เก็บตัว ฯลฯ ต้องรีบปรึกษาจิตแพทย์ด่วน

6 สูตรสมุนไพรช่วยได้

1.ดอกไม้จีนแห้ง 15 กรัมต้มในน้ำ 1 ถ้วย เติมน้ำตาลกรวด ดื่มเป็นชาก่อนนอน

2.ใบขี้เหล็กประมาณ 30-50 กรัม ต้มเอาน้ำ ดื่มก่อนนอน เพราะมีสารแอนไฮโดรบาราคอลช่วยให้นอนหลับ

3.มะตูมอ่อน เหง้าขมิ้นอ้อย เถาบอระเพ็ด และพริกไทยในปริมาณเท่าๆกัน ต้มเอาน้ำ เพื่อดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น ครั้งละ 1 ถ้วยชา

4.ราก ลำต้น และใบ ของ ตะไคร้ ต้นข่าตาแดง และเหง้าขิงสด อย่างละ 5 ต้น มาล้างให้สะอาด สับเป็นท่อน ต้มให้เดือด 15 นาที ดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชา วันละ 3 เวลา

5.ดื่มน้ำสมุนไพร คาโมไมล์ ดอกเสาวรส หรือชาวาลิเรียน ก่อนนอน จะช่วยให้หลับสบายได้ดียิ่งขึ้น

6.ดื่มชาที่ทำจาก เมล็ดเซเลอรี 1 ถ้วยก่อนนอน โดยใช้เมล็ดที่บดแล้ว 2 ช้อนชาแช่ในน้ำเดือด 1 ถ้วยก็สามารถช่วยได้เช่นกัน

Tip : สำหรับอาการนอนไม่หลับที่ควรไปพบแพทย์ : จะต้องมีอาการมานานกว่า 1-2 สัปดาห์ โดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน หรือรู้สึกง่วง อ่อนเพลีย จนไม่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในตอนกลางวัน รวมไปถึงสงสัยว่าเป็นโรคบางอย่างแฝงอยู่ เช่น ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

ที่มา : หน้าพิเศษ Hospital Healthcare นสพ.มติชน

คอลัมน์ สุขภาพทางเลือกเชิงป้องกัน : โดย ชาญณรงค์ บุปผาแดง


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #49 เมื่อ: มกราคม 04, 2014, 09:31:20 pm »
8 ท่ายืดเส้นแก้ปวดหัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 มกราคม 2557 20:25 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000001228-


รู้หรือไม่ว่าการยืดเส้นยืดสายสามารถป้องกันและบรรเทาอาการปวกศีรษะได้ โดยอาการปวดศีรษะ เป็นอาการที่พบบ่อยมากอาจมีอาการมึนงง ง่วงนอน คลื่นไส้ อาเจียน หรือชาลงไปตามแขน หรืออาจจะมีอาการเหล่านี้โดยไม่มีอาการปวดศีรษะ ส่วนมากมักจะเป็นที่บริเวณหน้าผาก กระบอกตา ขมับ ท้ายทอย อาจจะเป็นทั้งสองข้างหรือข้างเดียว
       
       อาการเหล่านี้เกิดจากสาเหตุที่พบบ่อย คือมีจุดเจ็บหรือตึงในกล้ามเนื้อและพังผืด ที่อยู่บริเวณลำคอ บ่า และบริเวณหลังส่วนบน เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวมีการหดหรือเกร็งตัวเป็นระยะเวลานานจากการใช้แขน และมือทำงานต่างๆ หรือมีท่าทางไม่เหมาะสมการรับประทานยาแก้ปวดหรือคลายกล้ามเนื้อ กดจุดหรือฝังเข็มอาจจะดีขึ้นเพียงชั่วคราวแล้วกลับมาเป็นซ้ำอีก ดังนั้น การบริหารกล้ามเนื้อบริเวณลำคอ บ่า และหลังส่วนบนด้วยการยืดเหยียด จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีในการป้องกันและแก้ปัญหาการปวดศีรษะ
       
       สำหรับท่ายืดเหยียดกล้ามเนื้อที่สามารถปฎิบัติได้ตามง่ายๆมีทั้งหมด 8 ท่า ดังนี้


       1.ท่าเตรียม : ยืนหรือสั่งศีรษะตรง มือประสานกันหันฝ่ามือขึ้นวางบนศีรษะ
       
       ปฎิบัติ: เหยียดแขนขึ้นข้างบนและเอนไปข้างหลังค้างไว้ประมาณ 10 วินาที กลับสู่ท่าเตรียมผ่อนคลายและทำซ้ำ


       2.ท่าเตรียม : ยืนหรือนั่ง ศีรษะตรง มือประสานกันข้างหน้าในระดับไหล่ หันฝ่ามือออกข้างหน้า
       
       ปฎิบัติ: เหยียดแขนไปข้างหน้าในระดับไหล่จนสุด ก้มศรีษะค้างไว้ประมาณ 10 วินาที กลับสู่ท่าเตรียมผ่อนคลายและทำซ้ำ


       3. ท่าเตรียม : ยืนหรือนั่งศีรษะตรง มือประสานกันข้างหลังหันฝ่ามือเข้าหาลำตัว เหยียดแขนให้ตรง
       
       ปฎิบัติ : ยกแขนขึ้นเท่าที่สามารถจะทำได้ ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที ผ่อนคลายและทำซ้ำ


       4.ท่าเตรียม : ยืนหรือนั่งศีรษะตรง
       
       ปฎิบัติ : เอียงศีรษะไปข้างขาวขณะเดียวกันใช้มือขวาดึงมือซ้ายลงมาข้างล่างไว้ประมาณ 10 วินาที กลับสู่ท่าเตรียม เปลี่ยนสลับข้าง ทำเช่นเดียวกันและทำซ้ำ


       5.ท่าเตรียม : ยืนหรือนั่ง ศีรษะตรง
       
       ปฎิบัติ : ยกฝ่ามือขวาดันศรีษะและใบหู เกร็งกล้ามเนื้อต้นคอไว้ประมาณ 6 วินาที กลับสู้ท่าเตรียม เปลี่ยนสลับข้าง ทำเช่นเดียวกันและทำซ้ำ จากนั้นเปลี่ยนเป็นการดันศีรษะบริเวณหน้าผากสลับกับท้ายทอย และทำซ้ำตามรูป


       6.ท่าเตรียม : ยืนหรือนั่ง ศีรษะตรง
       
       ปฎิบัติ : ยกฝ่ามือขวาวางที่แก้มขวาใช้ปลายนิ้วชี้ไปทางหู ข้อศอกชี้ไปข้างหน้าออกแรงดันขณะที่พยายามหมุนศีรษะไปทางขวา เกร็งค้างไว้ 6 วินาที ผ่อนคลายและหมุนศีรษะไปทางซ้ายให้มากที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ค้างไว้ 10 วินาที และทำซ้ำจากนั้นเปลี่ยนสลับข้างทำเช่นเดียวกัน


       7.ท่าเตรียม : ยืนหรือนั่ง ศีรษะตรง แขนห้อยแนบลำตัว
       
       ปฎิบัติ : หมุนไหล่ทั้งสองไปข้างหน้าและวนไปข้างหลัง ทำซ้ำๆ


       8.ท่าเตรียม : ยืนหรือนั่ง ศีรษะตรง
       
       ปฎิบัติ : หันหน้าไปข้างขวา จากนั้นก้มศีรษะและหมุนทวนเข็มนาฬิกาไปทางซ้าย ทำกลับไปกลับมาอย่างช้าๆ ซ้ำๆ ตามต้องการไม่ควรหมุนศีรษะเป็นวงกลม เพราะอาจจะเกิดการบาดเจ็บที่คอได้
       
       ทั้งนี้ให้เหยียดกล้ามเนื้อค้างไว้ 10-30 วินาที หรือเกร็งกล้ามเนื้อค้างไว้ 6 วินาที หายใจเข้าออกตามปกติไม่ต้องกลั้นหายใจ แต่ละท่าทำซ้ำ 4-6 ครั้ง ทำอย่างน้อย 2-3วันต่อสัปดาห์หรือเป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยให้อาการปวดศีรษะดีขึ้นได้


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000001228
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)