ไวรัสตับอักเสบซี
-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/206289/%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%9A+%E0%B8%8B%E0%B8%B5-
ในปัจจุบันพบมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังประมาณ 180 ล้านคนทั่วโลกโดยเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในเขตเอเชียแปซิฟิกถึง 30-35
วันอาทิตย์ 5 มกราคม 2557 เวลา 00:00 น.
ไวรัสตับอักเสบซี ถือเป็นภัยเงียบที่คุกคามผู้คนมานานโดยไม่รู้ตัว ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการจนกว่าจะมีการเสื่อมของตับมาก ๆ ซึ่งอาจใช้เวลานาน 10– 20 ปีหลังจากติดเชื้อจึงจะเริ่มมีอาการที่สังเกตเห็นได้ชัดคือ อ่อนเพลียซึ่งตอนนั้นก็มักเกิดตับแข็งหรืออาจเป็นมะเร็งตับแล้วก็ได้
ในปัจจุบันพบมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังประมาณ 180 ล้านคนทั่วโลกโดยเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในเขตเอเชียแปซิฟิกถึง 30-35 ล้านคนในประเทศไทยได้มีการสำรวจจากผู้บริจาคโลหิตพบมีอุบัติการณ์ของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ (คิดเป็น 6 แสนคนจากประชากร 60 ล้านคน) การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังนี้จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่สำคัญได้มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตจะมีอัตราของผู้ป่วยโรคตับแข็งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 16 เป็นร้อยละ 20 ในอีก 10 ปีข้างหน้ารวมถึงมีการเพิ่มขึ้นของภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง มะเร็งตับและอัตราตายจากโรคตับมากกว่าปัจจุบันหลายเท่าตัว
การติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบซีส่วนใหญ่ติด ต่อผ่านทางเลือดดังนั้นผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงได้แก่ ผู้ที่ได้รับเลือดหรือสาร ประกอบของเลือดก่อนปี พ.ศ. 2535 ผู้ที่ฉีดยาเสพติดเข้าทางเส้นเลือด ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังพบในผู้ที่สักตามร่างกาย เจาะหู ฝังเข็มรักษาโรคหรือแม้กระทั่งการขริบอวัยวะเพศหากเครื่องมือไม่ได้รับการฆ่าเชื้อที่ถูกต้องก็อาจเป็นสาเหตุของการติดต่อได้รวมถึงผู้ที่ได้รับเชื้อผ่านทางการรักษาเช่น การฟอกไต เป็นต้น อย่างไรก็ตามจากการศึกษาพบว่าร้อยละ 15-30 ของผู้ป่วยก็ไม่พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงใด ๆ
ไวรัสตับอักเสบซี คืออะไร
ไวรัสตับอักเสบมีหลายชนิดได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ เอ, ไวรัสตับอักเสบบี, ไวรัสตับอักเสบซี, ไวรัสตับอักเสบดี และไวรัสตับอักเสบอี ซึ่งมีลักษณะการติดเชื้อที่แตกต่างกัน
ไวรัสตับอักเสบซี เป็นเชื้อไวรัสที่เข้าสู่ร่างกายโดยเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดที่มีเชื้อปะปนอยู่แล้วเข้าไปเจริญเติบโตในเนื้อตับและทำให้ตับอักเสบเรื้อรังได้
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่มีอาการจึงมักจะตรวจพบเมื่อมาตรวจร่างกายประจำปีพบการอักเสบของตับหรือทราบจากการบริจาคโลหิตแล้วไม่สามารถให้เลือดได้บางคนอาจจะรู้ว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี เมื่อเป็นตับแข็งแล้ว
ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการดำเนินโรค
ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการดำเนินโรคของผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสซี เช่น เพศ อายุของผู้ป่วยขณะติดเชื้อ การดื่มสุรา การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือ ไวรัสเอชไอวี (เอดส์) ร่วมด้วย เช่นผู้ชายและการดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 50 กรัม/วัน จะมีการดำเนินโรคจนเกิดตับแข็งได้เร็วกว่าในผู้หญิงที่ดื่มสุราน้อยกว่า 50 กรัม/วัน การติดเชื้อไวรัสซีในผู้ป่วยอายุมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งมากกว่า 40 ปีจะมีโอกาสการดำเนินโรคตับแข็งได้เร็วกว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อในอายุน้อย
ใครที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
ผู้ที่เคยได้รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดโดยเฉพาะในช่วงก่อน ปี พ.ศ. 2535
ผู้ที่ใช้ยาเสพติดฉีดเข้าเส้น
ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่ใช้เครื่องฟอกไตเด็กที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีคู่นอนของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี หรือ ผู้ที่มีประวัติเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆผู้ที่สูดโคเคนทางจมูกบุคลากรทางการแพทย์ที่เกิดอุบัติเหตุจากการดูแลรักษาผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี เช่น เข็มตำ
การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบซี เรื้อรัง ในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงและมีการทำงานของตับผิดปกติแพทย์ก็จะทำการตรวจร่างกายเพื่อหาอาการแสดงของโรคตับเรื้อรังและเจาะเลือดเพื่อดูการอักเสบของตับโดยดูจากค่า AST และ AST พร้อมกับตรวจหา anti-HCV เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี หรือไม่ ถ้าผลการตรวจ anti-HCV เป็นบวกก็จะตรวจยืนยันผลโดยการเจาะเลือดส่งตรวจปริมาณเชื้อไวรัสว่ามีปริมาณมากน้อย นอกจากนี้แพทย์จะตรวจหาชนิดของไวรัสตับอักเสบซี (Genotype) เพื่อประโยชน์ในการบ่งบอกถึงโอกาสที่จะตอบสนองต่อการรักษา
การรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี เรื้อรัง
การรักษาที่ดีที่สุดในปัจจุบันนี้คือการรักษาด้วย PegylatedInterferon ฉีดเข้าใต้ผิวหนังสัปดาห์ละ 1 ครั้งร่วมกับยารับประทาน Ribavirin 4-5 เม็ด/วัน เป็นเวลานาน 24-48 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ชนิดไหน ถ้าเป็น Genotype 1 ซึ่งเป็นชนิดที่รักษายากก็ต้องใช้ระยะเวลารักษานานถึง 48 สัปดาห์โดยผลการรักษามีโอกาสหาย 50-60% แต่ถ้าเป็น Genotype 2, 3 ก็สามารถรักษาให้หายในระยะเวลา 24 สัปดาห์ โดยได้ผลประมาณ 80%
ผลข้างเคียงของยา : การรักษาด้วยยา Interferon อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้หลายอย่างเช่น อาจมีไข้ต่ำ ๆ หลังฉีดยาปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด นอนไม่หลับ ผมร่วง ซึมเศร้าอารมณ์แปรปรวน ส่วน Ribavirin ที่ต้องรับประทานร่วมกันก็ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกจนมีอาการซีดลงได้มาก อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว ซึ่งผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในช่วงแรกหลังเริ่มรักษา หลังจากนั้นอาการจะดีขึ้น ดังนั้น การรักษาไวรัสตับอักเสบซี จึงต้องได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดเพื่อแพทย์จะได้ปรับขนาดยาตามความเหมาะสมและให้การรักษาผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น
ปัญหาที่สำคัญของการรักษาคือค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี เรื้อรังยังมีราคาแพงรวมแล้วประมาณ 360,000 ถึง 720,000 บาทขึ้นกับระยะเวลาในการรักษาและอาจต้องมีค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจเลือดและยาที่ใช้รักษาผลข้างเคียงจากยาด้วยแต่ในปัจจุบันราคายาถูกลงมากและมีโครงการในการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้มากขึ้นทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น
การป้องกัน
เนื่องจากยังไม่มียาหรือวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ได้วิธีที่ดีที่สุด คือ การป้องกันตนเองโดย
หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น มีดโกนหนวด แปรงสีฟันร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน
หลีกเลี่ยงการใช้ยาเสพติด.
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พญ.อภิญญา ลีรพันธ์
หน่วยระบบทางเดินอาหาร ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่