ผู้เขียน หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"  (อ่าน 149373 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #40 เมื่อ: เมษายน 04, 2013, 10:40:40 pm »
ปัจจัยที่น่าจะกระทบต่อราคาทองคำในปี 2556
-http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=2&id=199-

 ณ วันที่ 13/12/2555

 
     สวัสดีท่านสมาชิกทุกท่าน ย่างเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2555 กันแล้วนะครับ ปีนี้ราคาทองคำร้อนแรงน้อยกว่าปีที่แล้วที่สามารถสร้าง All time High ได้ในเดือนสิงหาคม ขณะที่หลายสำนักต่างคาดการณ์กันว่าในปีหน้าฟ้าใหม่ 2556 ราคาทองคำจะสามารถกลับมาดึงดูดใจนักลงทุนได้อีกครั้ง ทำให้จุลสารฉบับส่งท้ายของปีนี้ขอข้ามไปจับประเด็นร้อนของปีหน้าโดยการติดตามคาดการณ์ทำให้สามารถจับประเด็นได้ว่าเรื่องร้อนในปีหน้าคงหนีไม่พ้น US Fiscal crisis, Eurozone debt crisis และ Expansion Monetary policy นอกเหนือจากนี้ยังมีการซื้อขายเก็งกำไรและการสะสมของบรรดากลุ่มนักลงทุนระยะยาว โดยมีปัจจัยที่น่าจะกระทบต่อราคาดังนี้

    ทิศทางราคาทองคำในปี 2556 ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยเดิมในปี 2555 โดยเฉพาะนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางจีน (PBOC) จากการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน ซึ่งเชื่อว่าจะยังดำเนินการอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2556 จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการคลังสหรัฐฯ (Fiscal Cliff) และปัญหาหนี้สินยุโรป ส่วนจีนนั้นต้องมีการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มมากขึ้นจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจแม้จะไม่ได้เป็น Hard Landing อย่างที่หลายฝ่ายกังวล แต่เศรษฐกิจที่กลับมาเติบโตแบบเลขตัวเดียวในปี 2555 ก็ถือว่ากระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศ นโยบายทางการเงินสหรัฐฯ เชื่อว่าจะมีการผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขึ้นอยู่กับผลกระทบของ Fiscal Cliff โดยถ้าไม่สามารถต่ออายุมาตรการภาษีได้ทัน มาตรการทางการเงินอย่าง QE3และการคง FED Fund Rateในระดับใกล้ศูนย์จะยังคงดำเนินต่อไป นอกจากนี้ Operation Twist ที่จะหมดอายุในช่วงปลายปี 2555 อาจจะมีการต่ออายุ ซึ่งจะทำให้ทิศทางของสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง ส่วนวิกฤติหนี้ยุโรปเชื่อว่าจะกระทบต่อตลาดการลงทุนตลอดทั้งปี 2556 ทำให้ความผันผวนในตลาดการลงทุนปีนี้ยังมีต่อเนื่อง ปัจจัยเงินเฟ้อในปี 2556 ไม่ได้เป็นปัจจัยที่น่ากังวลเนื่องจากความต้องการใช้พลังงานอาจจะลดลงจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนอุปสงค์ทองคำเชื่อว่ามีต่อเนื่องโดยเฉพาะในส่วนของธนาคารกลางแต่อาจจะถูกชดเชยจากอุปสงค์ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับที่ลดลง ค่าเงินบาทคาดเฉลี่ยทั้งปีแข็งค่าขึ้นจากนโยบายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ เงินทุนไหลเข้า แต่เชื่อดอกเบี้ยนโยบายอาจจะลดลง 0.25-0.50% จากความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่ลดลง 

     ปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจเชื่อว่ายังเป็นปัญหาหลักในปี 2556 สหรัฐฯ เผชิญกับปัญหาหนักด้านการตัดลดการใช้จ่ายด้านการคลัง หรือที่เรียกว่าหน้าผาการคลัง (Fiscal Cliff) ซึ่งอาจจะต้องตัดลดรายจ่ายกว่า 6 แสนล้าน (ถ้าไม่สามารถต่ออายุมาตรการภาษีได้ทัน) หรือตัดลดรายจ่ายประมาณ 8.6 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ตามกฎหมายตัดลดรายจ่าย 1.2 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในช่วงระยะเวลา 10 ปี นอกจากนี้สหรัฐฯ เรามองว่าการใช้จ่ายที่ลดลงของภาครัฐจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจจะเติบโตในระดับที่น้อยกว่า 2% ในปี 2556    การจ้างงานในส่วนของพนักงานรัฐ      โดยเฉพาะกระทรวงสำคัญที่ถูกตัดลดรายจ่าย บวกกับบัณฑิตที่จบใหม่ จะทำให้อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับสูงกว่า 7%         ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของ FEDทำให้เชื่อว่าการดำเนินนโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ  จะมีอย่างต่อเนื่องในปี 2556 โดยเฉพาะมาตรการ QE3     ที่จะเพิ่มปริมาณเงินเดือนละสี่หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐในการเข้าซื้อสินทรัพย์อย่างต่อเนื่องทำให้  Monetary Baseอาจจะสูงกว่า   2,800 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ   ซึ่งจะทำให้ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากระดับที่เป็นอยู่ปัจจุบันรวมถึงการเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์ในตลาด

     ตลาดการจ้างงานซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ธนาคารกลางสหรัฐฯใช้ในการกำหนดนโยบาย ยังคงฟื้นตัวอย่างช้า ๆ โดยในปี 2556 เชื่อว่าตลาดสหรัฐฯ  จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจภายนอกมากขึ้นโดยเฉพาะยุโรปที่เริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างช้า ๆ ขณะที่รัฐยังต้องตัดลดรายจ่ายอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาวินัยทางการคลังและไม่สร้างปัญหาขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งถ้าเทียบเคียงวิกฤติดอทคอมในช่วงปี 2544 ใช้เวลาถึง 5 ปีในการฟื้นตลาดการจ้างงานขณะที่วิกฤติ subprime มีขนาดความเสียหายมากกว่า และกระทบต่อภาคธนาคารซึ่งเป็นกลไกหลักในการเดินเศรษฐกิจ ประกอบกับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกจึงประเมินว่าตลาดจ้างงานสหรัฐฯจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีก 1-2 ปี

     ตลาดเกิดใหม่อาจจะมีการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มมากขึ้นจาก 2 สาเหตุหลัก ประการแรกผลกระทบจาก QE3 สหรัฐฯ ทำให้สกุลเงินของประเทศเกิดใหม่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องและกระทบต่อการค้าขายระหว่างประเทศ จึงเชื่อว่าในปี 2556 การดำเนินนโยบายทางการเงินของประเทศเกิดใหม่จะผ่อนคลายมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศที่อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวอย่างเสรี ดังจะเห็นว่าในช่วงหลังการออกมาตรการ QE3 ธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มมีการเข้าดูแลค่าเงินอย่างธนาคารกลางญี่ปุ่น ธนาคารบราซิล ธนาคารกลางเกาหลีใต้ รวมถึงธนาคารกลางจีน

  ปัจจัยด้านเงินเฟ้อปี 2556 เชื่อว่าจะผ่อนคลายกว่าปี 2555 จากอุปสงค์ในการบริโภคและด้านพลังงานที่ลดลงตามภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะประเทศพัฒนาอย่างกลุ่มยูโรโซน ทำให้การขึ้นราคาสินค้าไม่สูงมากนัก อย่างไรก็ดีความเสี่ยงในตะวันออกกลางเป็นปัจจัยที่คาดการณ์ได้ยาก การปะทะทางทหารระหว่างประเทศผู้ผลิตน้ำมันอาจจะทำให้ความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อกลับมาได้ นอกจากนี้ปัจจัยด้านภัยธรรมชาติถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินเฟ้อ

    ความต้องการทองคำในฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังวิกฤติ Subprime โดยเฉพาะการถือครองของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เนื่องจากสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ที่ธนาคารกลางเคยใช้เป็นทุนสำรองมีการอ่อนค่าลงอย่างรุนแรงและส่งผลต่อทุนสำรองระหว่างประเทศ จึงทำให้มีการเปลี่ยนมาถือครองทองคำ ซึ่งในอดีตธนาคารกลางเป็นกลุ่มที่ขายทองคำอย่างต่อเนื่อง

      ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่มีการขายทองคำลดลง ตามข้อตกลง Central Bank Gold Agreement ซึ่งกำหนดให้ธนาคารกลางขนาดใหญ่รวม IMF ขายทองคำออกได้ไม่เกินข้อตกลง โดยล่าสุดอยู่ในฉบับที่ 3 (CBGA3) ซึ่งมี limit ต่อปีไม่เกิน 400 ตัน แต่จะเห็นว่าธนาคารกลางแทบไม่มีการขายออกตั้งแต่ช่วงปี 2552 การขายทองคำจำนวนมากเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการขายของ IMF ช่วงต้นปี 2553 จำนวน 129.1 ตัน สะท้อนให้เห็นการสะสมทองคำของธนาคารสำคัญที่เพิ่มขึ้น

     การถือครองของกองทุน ETF สูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2555 กองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุนที่ถือครองทองคำมากที่สุดในโลก มีระดับการถือครองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสะท้อนให้เห็นมุมมองของผู้ลงทุนโดยเฉพาะรายย่อยต่อการลงทุนทองคำ ซึ่งปัจจุบันถือครองสูงกว่า 1,300 ตัน หลังจากมีแรงขายในช่วงต้นถึงกลางปี 2555

   จะเห็นได้ว่าความต้องการทองคำในส่วนของทุนสำรองและการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ความต้องการในส่วนของกลุ่มเครื่องประดับกลับลดลงซึ่งเป็นผลมาจากราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อินเดียซึ่งเป็นประเทศที่มีการบริโภคทองคำมากที่สุดประเทศหนึ่งมีการปรับเพิ่มภาษีสำหรับนำเข้าทองคำเป็น 4% แต่เชื่อว่าจะกระทบต่ออุปสงค์เล็กน้อย

  ด้านอุปทานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยยอดรวมของอุปทานทองคำในปี 2552-2554 เท่ากับ 4,109, 4,350 และ 4,497 ตัน ตามลำดับ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในส่วนของการผลิตทองคำใหม่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยโดยรวมแล้วถือว่าโอกาสทองคำยังคงมีในปี 2556 อย่างไรก็ดีความผันผวนของราคาน่าจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นท่านสมาชิกควรให้ความระมัดระวังและติดตามปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับราคาอย่างใกล้ชิดครับ ฉบับนี้ลากันไปก่อนสวัสดีครับ

 
ผู้เขียน คุณกมลธัญ พรไพศาลวิจิต
ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด
ที่มา : จุลสาร ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2555
พิมพ์แจก สมาชิกสมาคมค้าทองคำ ทั่วประเทศ

http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=2&id=199

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #41 เมื่อ: เมษายน 17, 2013, 06:23:54 am »
เวิลด์แบงก์ เตือนหนี้สินทะลัก! จี้รัฐบาลหยุดกู้หากหนี้สูงเกิน
-http://hilight.kapook.com/view/84768-


'เวิลด์แบงก์' เตือนหนี้สินทะลัก! (ไทยโพสต์)

          ธนาคารโลกคาดการณ์เศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้ดีขึ้นจากปีที่แล้ว แต่ยังปรับลดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกโดยรวมปีนี้ลงจาก 7.9% เหลือ 7.8% พร้อมเตือนระดับหนี้สินของไทย-มาเลเซีย-จีนที่พุ่งเกินกว่า 150% ของจีดีพีแล้ว "กรณ์" ตามบี้เงินกู้ 2 ล้านล้าน จี้รัฐบาลระบุให้ชัด ถ้าหนี้สาธารณะพุ่งเกิน 50% ของจีดีพีให้หยุดกู้ทันที

          ธนาคารโลกหรือเวิลด์แบงก์ ได้ปรับข้อมูลการคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกล่าสุด เมื่อวันที่ 15 เมษายน โดยได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตโดยรวมของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกประจำปี 2556 ลงมาอยู่ที่ 7.8% จากระดับ 7.9% ที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว แต่ยังเป็นระดับที่เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่อัตราขยายตัวอยู่ที่ 7.5% นอกจากนี้ เวิลด์แบงก์ยังทำนายด้วยว่าเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกในปี 2557 จะลดลงมาอีกที่ 7.6%

          รายงานกล่าวถึงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารแห่งญี่ปุ่นที่ออกมาเมื่อวันที่ 4 เมษายน โดยจะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 2 ปี เพื่อทำลายวงจรเงินฝืดและยุติภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ยาวนานกว่า 20 ปีของญี่ปุ่น ว่ามาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของญี่ปุ่นน่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจกำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้ เช่น ของไทยและฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นฐานผลิตชิ้นส่วนให้อุตสาหกรรมส่งออกของญี่ปุ่น

          การปรับตัวเลขล่าสุดนี้ เวิลด์แบงก์ได้ลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนลง 0.1% จากคาดการณ์เมื่อเดือนธันวาคม เนื่องจากรัฐบาลจีนกำลังดำเนินความพยายามปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่ร้อนแรงของตน โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนปี 2556 จะขยายตัว 8.3% และปีหน้า 8.0% เช่นเดียวกับคาดการณ์เศรษฐกิจอินโดนีเซียปีนี้ ที่ถูกปรับลดลงจาก 6.3% มาอยู่ที่ 6.2%

          ส่วนของไทยและมาเลเซีย เวิลด์แบงก์ปรับเพิ่มคาดการณ์ขึ้นจากของเดิม โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัว 5.3% เพิ่มขึ้นจากตัวเลขเดิม 0.3% ส่วนปีหน้าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยน่าจะลดลงมาอยู่ที่ 5.0% เพิ่มจากตัวเลขคาดการณ์เดิม 0.5% ของมาเลเซียปีนี้น่าจะขยายตัว 5.1% และปีหน้า 5.4%

          รายงานยังได้แสดงความเป็นห่วงระดับหนี้สินที่สูงของไทย, มาเลเซียและจีนด้วย กรณีของจีนนั้นหนี้สินภาครัฐในปี 2555 อยู่ที่ระดับ 22.2% เพิ่มขึ้นจาก 19.6% เมื่อ 5 ปีก่อน ส่วนหนี้สินนอกภาคสถาบันการเงินพุ่งขึ้นแตะ 126.4% ของจีดีพี จากระดับ 113.6% ของจีดีพีเมื่อปี 2550 ขณะที่หนี้ภาคครัวเรือนในจีนอยู่ที่ 29.2% ของจีดีพี เพิ่มขึ้นจากปี 2550 มากกว่า 10%

          "สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการขยายตัวของหนี้ภาครัฐก็คือ การขยายตัวของหนี้ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน ยอดรวมของหนี้ภาครัฐ หนี้ภาคธุรกิจนอกสถาบันการเงิน และหนี้ครัวเรือนในมาเลเซีย, ไทย และจีน ขณะนี้เกินกว่า 150% ของจีดีพีแล้ว" รายงานธนาคารโลกกล่าวเตือน

          นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึง ร่างกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จากการพิจารณาชั้นแรกของกรรมาธิการฯ พบว่าไม่มีความพร้อม โดยคาดว่ามูลค่าของโครงการที่ดำเนินการได้เลยมีแค่ 5 แสนล้านบาทเท่านั้นจากเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท นอกนั้นยังไม่มีความชัดเจน

บี้รัฐบาลระบุให้ชัด

          เขาบอกว่า หากพิจารณาตามแผนบริหารหนี้สาธารณะของกระทรวงการคลัง พบว่ามีการกำหนดระยะเวลาการใช้เงินไว้เป็นช่วงๆ ตั้งแต่ปี 2556-2560 จึงอยู่ในวิสัยที่กำหนดวงเงินไว้ในงบประมาณปกติได้ แต่ถ้ารัฐบาลใช้วิธีการกู้เงินแบบเปิดตัวเลขไว้ก่อนแล้วค่อยเบิกจ่ายเป็นงวดๆ นั้น ก็เชื่อว่าน่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการออกเป็น พ.ร.ก.ต้องมีความจำเป็นเร่งด่วน แต่เมื่อมีการแบ่งการใช้เงิน 5 ปีตามแผน ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ได้เร่งด่วนจริง ส่วนจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่ คงต้องรอดูให้ชัดเจนก่อนว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร

          นายกรณ์ยังกล่าวถึงช่วงเวลาการใช้เงินกู้ทั้งจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้าน และ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านที่เป็นช่วงเวลาเดียวกัน ว่าจะกระทบต่อปริมาณหนี้สาธารณะอย่างแน่นอน แม้กระทรวงการคลังจะยืนยันสามารถดูแลไม่ให้หนี้สาธารณะเกิน 50% ของจีดีพีได้ก็ตาม ทั้งนี้ หากรัฐบาลมีความมั่นใจจริง พรรคประชาธิปัตย์ก็เสนอให้รัฐบาลเขียนในกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านว่า  ถ้าวันใดวันหนึ่งสัดส่วนหนี้สาธารณะสูงกว่า 50% รัฐบาลควรยุติการกู้เงิน จนสถานการณ์หนี้สาธารณะจะปรับระดับลดลงมาต่ำกว่า 50% เพื่อยืนยันความมั่นคงทางการคลังของประเทศ และจะทำให้ประชาชนมีความสบายใจมากขึ้นว่าการกู้เงินมหาศาลนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศในเรื่องภาระหนี้สิน

          ทั้งนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ปัญหารถไฟความเร็วสูง ซึ่งสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ที่มีสมมติฐานว่าขาดทุนแน่ โดยมีการคำนวณในกรรมาธิการฯ กฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้าน ว่าเส้นทาง กทม.-เชียงใหม่นั้น กระทรวงคมนาคมศึกษาพบว่าจะขาดทุนปีละ 2-2.5 หมื่นล้านบาท จึงต้องถามว่าความหมายคืออะไร ต้องให้คนไทยที่เสียภาษีทั้งหมดนำเงินมาชดเชยปีละ 2.5 หมื่นล้านใช่หรือไม่

          เขากล่าวว่า รัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนด้วยว่าเส้นทาง กทม.-เชียงใหม่ จะทำถึงแค่พิษณุโลก หรือยาวไปถึงเชียงใหม่ โดยยังอยู่ในระหว่างการรอคำตอบว่า การกู้เงินสองล้านล้านไปถึงพิษณุโลกหรือเชียงใหม่กันแน่ อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือไม่ว่าจะถึงที่ไหนก็แล้วแต่ เช่นถึงหัวหิน แล้วจะดำเนินการต่อไปปาดังเบซาร์ เป็นการพูดถึงอนาคตที่ไม่ชัดเจนว่าจะใช้เงินจากไหนมาสร้างต่อ เพราะต้องใช้เงิน 5-6 แสนล้านเป็นอย่างน้อย แต่ตามแผนที่เสนอมาใช้เงินกู้เต็มจำนวนแล้ว และรัฐบาลก็ตั้งสมมติฐานว่าจะจัดงบสมดุลในปี 2560 จึงต้องถามว่า หากรัฐบาลไม่รู้จะจบยังไงควรจะเริ่มทำหรือไม่ รัฐบาลต้องให้ความกระจ่างมากกว่านี้

          นายกรณ์กล่าวว่า หากเทียบกับโครงการแอร์พอร์ตลิงค์ ซึ่งมีแนวคิดให้ผู้โดยสารเช็กอินที่มักกะสันได้ มีการลงทุนถึง 500 ล้านบาท ว่าจ้างบริษัทดูแลเดือนละ 4 ล้านบาท แต่มีผู้ใช้บริการเพียงวันละ 4 คน เดือนละ 120 คน คิดราคาต่อหัวประมาณ 33,000 บาท จึงต้องถามว่าคุ้มค่าไหม เพราะไม่มีคนใช้ แต่กลับเป็นภาระต่อประชาชนที่ไม่ได้ใช้บริการเหล่านี้ จึงย้ำว่าแต่ละโครงการต้องศึกษาให้รอบคอบถึงความคุ้มค่า ไม่ใช่เห็นเขามีแล้วอยากมีบ้าง นอกจากนี้ผลการศึกษาของสภาพัฒน์มีการคำนวณเงินลงทุนในช่วง 4-5 ปีข้างหน้าว่าต้องใช้ 8 ล้านล้านบาท แต่รัฐบาลกู้ 2 ล้านล้านเพื่อพัฒนาระบบคมนาคม โดยไม่มีการพูดถึงการศึกษา, สาธารณสุข และแหล่งน้ำ ก็ต้องถามว่าเป็นการพิจารณาที่เหมาะสมหรือไม่ สิ่งเหล่านี้รัฐบาลต้องมีคำชี้แจง

          "คงต้องรอให้กฎหมายผ่านวาระ 3 ในสภาฯ ก่อนจึงจะดำเนินการได้  โดยยังสงวนสิทธิ์ที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ากฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านนี้ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะเจตนารัฐธรรรมนูญชัดเจนว่า ให้การใช้จ่ายเงินแผ่นดินบรรจุใน พ.ร.บ.งบประมาณ และมีกฎหมายเพิ่มเติมว่า ในแต่ละปีรัฐบาลสามารถกู้ยืมในการใช้จ่ายได้ไม่เกินเท่าไหร่ จึงมีความชัดเจนว่าไม่ต้องการให้รัฐบาลมีอำนาจในการสร้างภาระหนี้สินเกินกว่ากรอบวินัยทางการคลัง ดังนั้น การที่รัฐบาลไปหลีกเลี่ยงระบบงบประมาณปกติด้วยการออกเป็น พ.ร.บ.น่าจะขัดต่อหมวด 8 ของรัฐธรรมนูญ 2550" รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก-http://www.thaipost.net/news/160413/72270-

http://hilight.kapook.com/view/84768

.


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #42 เมื่อ: เมษายน 17, 2013, 06:27:42 am »
ราคาทองร่วงหนัก! ดิ่งต่ำกว่า 2 หมื่นบาทแล้ว
-http://hilight.kapook.com/view/84767-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก เรื่องเล่าเช้านี้

           นักลงทุนวิตก หลังราคาทองคำร่วงอย่างหนัก ลงมาอยู่ที่ 1,361.10 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำในไทยปรับลดลงต่ำกว่า 20,000 บาทแล้ว

           เมื่อวันที่ 15 เมษายน ที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลก มีการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยปิดตลาดที่ 1,361.10 เหรียญสหรัฐต่ออนซ์  ลดลงไป 140.30 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศไทย ดิ่งลงต่ำกว่า 20,000 บาทแล้ว

           ทั้งนี้คาดว่าสาเหตุการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องของราคาทองในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากสหรัฐฯ อาจหยุดมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน หรือการยกเลิกการพิมพ์แบงก์ดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้มีการขายทองคำออกมาเพื่อระดมเงินทุน จึงทำให้ราคาทองปรับลดลงอย่างมากจนนักลงทุนหลายรายต้องอยู่ในภาวะขาดทุน และกำลังเป็นที่วิตกอย่างมาก ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนต้องถือทองคำราคาสูงเพื่อรอลุ้นราคาทองให้ปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #43 เมื่อ: เมษายน 17, 2013, 06:36:57 am »
เส้นทางทองคำ โดย ปิรันย่า !
โพสโดย คุณปิรันย่า
โพสต์ 1 กันยายน 2555 - 08:06
-http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/476-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2/page__st__2130-


สวัสดีครับ คุณผู้อ่าน

เห็นหลายท่านที่กรุณาเข้ามาอวยพรหรือทักทายในช่วงที่ผู้เขียนกบดานยาวไปพร้อมกับการปรับฐานยาวนานของทองคำก็รู้สึกว่าตนเองเสียมรรยาทอยู่บ้างต้องขออภัยจริงๆครับ ครั้นจะออกมาโพสต์ในช่วงที่ตนเองก็ไม่มีเวลาและอารมณ์ก็เกรงจะเกิด”ภาระผูกพัน”ที่ทำให้หน้าที่การงานเสียไป ช่วงนี้ภารกิจการงานบรรเทาลงเล็กน้อยเลยพอจะกลับมาเสนอหน้าชั่วคราวเผื่อจะเป็นประโยชน์กับสาธารณชนบ้างครับ

หลังจากดราม่ากันตามธรรมเนียมแล้วก็มาว่ากันเรื่องเส้นทางทองคำได้เลยครับ
เนื่องจากช่วงนี้ผู้เขียนคาดว่าทองคำอาจจะกำลังเริ่มวัฎจักรใหม่ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร วันนี้จึงอยากเรียบเรียงคลื่นใหญ่ของวัฎจักรทองคำในมุมมองของผู้เขียนเผื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนในทองคำระยะยาวถึงยาวมากให้มีเป้าหมายในการลงทุนคร่าวๆ

วัฎจักรยักษ์ชุดนี้ของทองคำนั้นเมื่อเรียบเรียงบนพื้นฐานของทฤษฎีคลื่นแล้วออกมาเป็นดังนี้ครับ

- คลื่นขาขึ้นที่ 1 เริ่มเดินทางจากบริเวณ 254.2$ ในเดือน 4 ปี 2001 ขึ้นไปถึง 1032.6$ ในเดือน 3 ปี 2008 คิดเป็นขนาดความสูง 778.4$ ใช้เวลาเดินทางราว 7 ปี

- คลื่นปรับฐานที่ 2 ปรับฐานจาก 1032.6$ ลงไปที่ 681.4$ สิ้นสุดในเดือน 10 ปี 2008 คิดเป็นระยะความสูงปรับฐาน 351.2$ คิดเป็นสัดส่วนการปรับฐานราว 45.1% ใช้เวลาปรับฐานราว 7 เดือนครึ่ง

- คลื่นขาขึ้นที่ 3 ซึ่งช่วงคลื่นนี้ตลาดทองคำเริ่มร้อนแรงและมีตลาดทองคำเกิดใหม่ในหลายประเทศทั่วโลก เกิดการสะสมทุนสำรองระหว่างประเทศในรูปทองคำในหลายประเทศ ปริมาณการซื้อขายในตลาดโลกในช่วงคลื่นนี้มีมากกว่าในช่วงคลื่นที่ 1 หลายสิบเท่า ด้วยเหตุนี้จึงคาดว่าเป็นสาเหตุให้เวลาเดินทางของคลื่นขาขึ้นที่ 3 นี้สั้นกว่าคลื่นขาขึ้นที่ 1 หลายปี คลื่นนี้ราคาทองคำขึ้นจาก 681.4$ ไปจนถึง 1920.8$ ในเดือน 9 ปี 2011 คิดเป็นขนาดความสูง 1239.4$ หรือราว 1.59 เท่าของคลื่นขาขึ้นที่ 1 ใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ปี 11 เดือน

- คลื่นปรับฐานที่ 4 ซึ่งปรับฐานจบแล้วหรือไม่ยังไม่มีใครทราบ แต่ตามความเห็นของผู้เขียนแล้วเมื่อประเมินจากลักษณะคลื่นของกราฟค่าเงินยูโรและ Silver ประกอบกับการขึ้นผ่าน trend line ขาลงของทองคำประกอบกับการโหมซื้ออัดเข้าพอร์ตของกองทุนด้วยแล้ว ผู้เขียนคาดว่าการปรับฐานน่าจะสิ้นสุดแล้วเมื่อเกือบปลายเดือน 7 ปี 2012 ที่ผ่านมา โดยใช้ลักษณะคลื่นปรับฐานของค่าเงินยูโรเป็นหลักในการสันนิษฐานถึงแม้ว่าราคาทองคำจะไม่ได้ทำ New low ก็ตาม

ตามทฤษฎีคลื่นนั้นเมื่อการปรับฐานในคลื่นที่ 2 เกิดเป็นรูปแบบธรรมดาแล้ว การปรับฐานในคลื่นที่ 4 จะมีโอกาสสูงในการปรับฐานเป็นรูปแบบซับซ้อนและจุดสุดท้ายของการปรับฐานอาจจะไม่เกิด New low อีกทั้งการปรับฐานลงมาเป็นคลื่นที่ 4 ตามทฤษฎีคลื่นแล้วมักจะมีสัดส่วนการปรับฐานไม่มากนัก

ถ้านับจุดต่ำสุดของราคาทองคำที่สามารถลงมาได้ในคลื่นนี้ก็คือ 1522.6$ คิดเป็นความสูงของการปรับฐาน 398.2$ คิดเป็นสัดส่วนการปรับฐานราว 32.1% ของคลื่นขาขึ้นที่ 3 และใช้เวลาปรับฐานราว 10 เดือนกว่า

ดังนั้นหากสันนิษฐานตามทฤษฎีคลื่นได้ถูกต้องแล้ว ทองคำน่าจะยังเหลือคลื่นขาขึ้นที่ 5 ที่มีขนาดความสูงมากกว่าคลื่นขาขึ้นที่ 1 แต่อาจจะน้อยกว่าคลื่นขาขึ้นที่ 3 นั่นหมายถึงอาจมีขนาดความสูงได้มากกว่า 800$ ขึ้นไปและอาจใช้เวลาเดินทางราวๆ 2 ปีกว่านับจากนี้ แล้วเมื่อสิ้นสุดวัฎจักรนี้คาดว่าจะเกิด Mega tsunami หรือสึนามิทองคำลูกยักษ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน สรุปแล้วประมาณหยาบๆคือทองคำอาจมีราคาสูงขึ้นราว 50% ในอีกราว 2-3 ปีข้างหน้าแล้วค่อยถล่มครับ

กระทู้นี้ถือเป็นการรันอินก็จบเพียงเท่านี้ก่อนก็แล้วกันครับ อย่างไรก็ดีข้อสันนิษฐานข้างต้นยังเป็นเพียงมุมมองความเห็นส่วนบุคคลเท่านั้น มิอาจรับรองความแม่นยำถูกต้องใดๆได้ทั้งสิ้น เวลาเท่านั้นที่จะสามารถเป็นผู้เฉลยคำตอบครับ

ว่าแต่หากผู้เขียนสันนิษฐานถูกต้องล่ะก็การลงทุนกับทองคำรอบนี้น่าจะฟันก่อนทิ้งได้พอสมควรเลยทีเดียว แล้วคุณล่ะพร้อมจะเข้าร่วมขบวนฟันแล้วทิ้งหรือยังครับ !


http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/476-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2/page__st__2130
.


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #44 เมื่อ: เมษายน 17, 2013, 10:29:55 pm »
Puiii

-http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?p=121756#121756-




http://www.marketwatch.com/story/gold-plunge-offers-up-short-term-trades-2013-04-16?link=MW_TD_latest

เนื้อหาดูจากเว็ปต้นฉบับนะคะ









 *** โปรดใช้วิจารณญาณอย่างสูงในการรับข้อมูล

ขอขอบพระคุณผู้ให้ข้างต้น ที่มอบความรู้ บทวิเคราะห์ ข้อมูลต่างๆ มา ณ ที่นี่ด้วยนะคะ ***

-http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?p=121756#121756-

http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?p=121756#121756

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #45 เมื่อ: เมษายน 17, 2013, 10:31:48 pm »
ccczaa

-http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?p=121753#121753-

กราฟระยะสั้น ราย 4 ชั่วโมงครับ

ตามกราฟ ราคาลงต่อ

แนวรับ 1372.46 1352.90 1323.33 1304.75 1292.17 1282.59

แนวต้าน 1387.70 1403.27 1422.72

ตามกราฟ

ราคาตามแท่งเทียนปิดต่ำกว่า 1372.46 เมื่อไหร่ ราคาจะลงไปที่ 1352 1323 1304 1292 1282 ตามลำดับ

ความเห็นส่วนตัว

ส่วนตัวเชื่อว่าราคาลงไปต่ำกว่า 1372.46 โดยลงไปที่ 1304.75 ก่อนที่จะดีดกลับขึ้นมาอีกรอบครับ



http://upic.me/show/44334715

ทั้งหมดเป็นประสบการณ์ส่วนตัวได้จากการลองผิดลองถูก ควรพิจารณาและตัดสินใจด้วยตัวท่านเอง เพราะไม่มีอะไรดีที่สุดและถูกต้องเสมอไปครับ

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #46 เมื่อ: เมษายน 17, 2013, 11:03:20 pm »
เตือนราคาทองอาจหลุด 17,500 บาท สมาคมฯ ยันวิกฤตรอบนี้ ร้านทองไม่ถึงขั้นปิดกิจการ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    17 เมษายน 2556 18:28 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000046294-

คาดราคาทองคำยังปรับลงได้อีก แนะชะลอลงทุน ชี้ หากไม่สามารถยืนเหนือจุดต่ำสุดเดิมที่ 1,308 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือบาทละ 18,000 บาทได้ ก็มีโอกาสจะลงไปต่ำสุดถึง 1,250 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 17,500 บาทได้ ด้านสมาคมค้าทอง มั่นใจ วิกฤตในรอบนี้ คงไม่ถึงกับทำให้ร้านค้าทองต้องปิดกิจการลง เพราะส่วนใหญ่มีการป้องกันความเสี่ยงไว้ดีอยู่แล้ว
       
       น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ราคาทองคำยังมีโน้มปรับลดลงต่อเนื่อง โดยหากหลุดระดับ 1,400-1,420 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 19,000-19,300 บาท มีโอกาสที่จะปรับลดลงไปอยู่ที่ระดับ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณบาทละ 18,000 บาท ไม่สามารถยืนเหนือจุดต่ำสุดเดิมในช่วง 2 ปีก่อนที่ 1,308 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 18,000 บาทได้ ก็มีโอกาสจะลงไปต่ำสุดถึง 1,250 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 17,500 บาทได้
       
       ดังนั้น กลยุทธ์สำหรับในช่วงนี้ แนะนำนักลงทุนชะลอการเข้าซื้อ และหากราคาทองใกล้บาทละ 19,000 บาทให้ทยอยขาย พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และช่วงนี้ยังไม่เหมาะซื้อเพื่อถือลงทุนระยะยาว
       
       “ทองคำปรับขึ้นมารอบนี้ยาวนานถึง 12 ปี ดังนั้น รอบนี้จึงมีโอกาสปรับลดลงได้ ซึ่งต้องดูปัจจัยต่างๆ ประกอบด้วย ส่วนการซื้อขายในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฟิวเจอร์ส) นั้น ยอมรับว่าลูกค้าของบริษัทมีการถูกบังคับขาย (ฟอร์สเซลล์) บ้าง แต่ไม่มากนัก”
       
       ด้านนายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า แนวโน้มหลังจากนี้ไปเชื่อว่าราคายังสามารถปรับลดลงได้อีก เนื่องจากนักลงทุนประเมินไว้ว่าราคาทองคำในช่วงนี้คงไม่สามารถยืนเหนือ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 20,000 บาท ดังนั้น จึงอยากให้ผู้สนใจลงทุนในทองคำรอดูสถานการณ์อีกระยะหนึ่ง
       
       สำหรับราคาทองคำที่ร่วงลงมาแรงขนาดนี้ นายพิชญา มั่นใจว่า คงไม่ถึงกับทำให้ร้านค้าทองได้รับผลกระทบหรือต้องปิดกิจการลง เพราะส่วนใหญ่ร้านค้าทองก็มีการป้องกันความเสี่ยงไว้ดีอยู่แล้ว


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #47 เมื่อ: เมษายน 18, 2013, 06:13:42 am »
หลังจบวิกฤติ...ถึงเวลาเช็คบิล
-http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=2&id=143-

 ณ วันที่ 09/10/2555

เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีข่าวหนึ่งที่น่าสนใจจึงขอหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกัน เป็นเรื่องการกำหนดให้ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ทำแผนในการฟื้นฟูรวมถึงแผนการปิดกิจการ ซึ่งถือเป็นการวางกรอบในอนาคตกรณีที่เกิดความเสียหายขึ้นในภาคธนาคาร ที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันดีว่าวิกฤติ Subprime ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเสียเงินภาษีไปเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะพยุงไม่ให้ธนาคารขนาดใหญ่ล้มระเนระนาด จากนั้นเกิดคำถามมากมายว่าเหมาะสมแล้วหรือไม่ที่ธนาคารประกอบกิจการโดยมีความเสี่ยงในการลงทุนสินทรัพย์ ปล่อยสินเชื่อด้อยคุณภาพเพื่อหวังผลกำไรเป็นกอบเป็นกำ สุดท้ายพอขาดทุนก็ให้ประชาชนผู้เสียภาษีรับภาระ แต่ช่วงที่ธนาคารทำกำไรมหาศาลจากธุรกรรมที่มีความเสี่ยงผลประโยชน์ กลับตกอยู่ในมือคนไม่กี่กลุ่ม การออกกฎระเบียบในการควบคุมธนาคารนี้ถือเป็นการป้องกันเงินภาษีของประชาชนอเมริกันในอนาคต นอกจากนี้ยังทำให้ธนาคารจำเป็นต้องระมัดระวังมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งในมุมมองของผมก็ถือว่าเหมาะสมเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกในอนาคต
เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในสหรัฐฯ ในช่วง Great Depression ในช่วงปี 1930 ระบบธนาคารก็สร้างปัญหาไม่น้อยจากการนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้น หลังจากวิกฤติได้มีการออกกฎในการควบคุมธนาคาร (The Glass Steagall Act) โดยให้แยกธุรกิจธนาคารพาณิชย์ (Commercial banking) และ ธุรกิจวาณิชธนกิจ (Investment banking) กฎดังกล่าวทำให้ธุรกิจที่เป็นลักษณะ Shadow banking เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยระบบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกลางทางการเงินด้านการลงทุนตัวอย่างเช่น กองทุนป้องกันความเสี่ยง (hedge fund) ซึ่งธุรกิจนี้สามารถนำเงินไปลงทุนในตราสารที่มีความซับซ้อนซึ่งเงินนั้นได้มาจากการก่อหนี้ ผลทางอ้อมคือทำให้เกิดนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ อย่างมากมาย การเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้ธนาคารที่รับฝากเงินเกิดความเสียเปรียบและเรียกร้องให้มีการผ่อนคลายกฏเกณฑ์ในเวลาต่อมา ท้ายที่สุดธนาคารต่าง ๆ ก็ต่างเดินเข้าสู่วังวนแห่งผลประโยชน์และสร้างความเสี่ยงมากมายในการประกอบธุรกิจ ในยามที่เศรษฐกิจดีธนาคารเหล่านี้ สามารถสร้างรายได้จำนวนมากและทำให้ยิ่งมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่เมื่อเศรษฐกิจประสบปัญหาก็ทำให้ธนาคารเหล่านี้แทบเอาตัวไม่รอดจากธุรกรรมที่ทำเอาไว้ นี่คล้ายกับหนังเรื่องเก่าที่เอามาเล่าใหม่ ซึ่งเชื่อว่าหลังจากที่วิกฤติครั้งนี้จบลงแล้วกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เคยผ่อนคลายให้กับภาคธนาคารจะต้องมีการสังคายนากันครั้งใหญ่ แม้tจะมีแรงเสียดทานบ้างจากบรรดานายธนาคารที่ยังคงต้องการรักษารายได้ที่สวยหรูในอนาคต ที่ผ่านมา FED และรัฐบาลสหรัฐฯ เองได้แย้มออกมาหลายครั้ง ประกอบกับแรงกดดันจากประชาชนผู้เสียภาษีที่เรียกร้องให้บรรดาบริษัทรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบจะทำให้เงินจำนวนมากที่ใช้ในการเก็งกำไรในตลาดลดลงหรือถูกควบคุมขณะที่การทำธุรกรรมที่สร้างผลตอบแทนสูง ๆ ที่เคยจูงใจนักเก็งกำไรก็จะลดลงตามความเข้มงวดนี้ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องกระทบต่อราคาสินทรัพย์อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่แนวทางนี้ถือว่าจะสร้างเสถียรภาพให้ระบบการเงินไปได้อีกพักใหญ่ทีเดียว

ผู้เขียน คุณกมลธัญ พรไพศาลวิจิต
ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด
ที่มา : จุลสาร ฉบับเดือนกันยายน 2555
พิมพ์แจก สมาชิกสมาคมค้าทองคำ ทั่วประเทศ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #48 เมื่อ: เมษายน 18, 2013, 06:18:46 am »
รู้จักความหวังของ ยูโรโซน (ESM)
-http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=2&id=176-

 ณ วันที่ 08/11/2555

       สวัสดีท่านสมาชิกทุกท่านครับ พบกันเป็นประจำกับจุลสารของสมาคมค้าทองคำ  สำหรับเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งเดือน ที่ราคาทองคำมีความผันผวนโดยสามารถปรับขึ้นใกล้ระดับ  US$1,790  อีกครั้งแม้จะมีการอ่อนตัวลงบ้าง  แต่ก็ถือว่าโดยรวมนั้น ตลาดทองคำ ค่อนข้างสดใสในเดือนที่ผ่านมา ประเด็นที่สนับสนุนการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำก็คงหนีไม่พ้นมาตรการ  QE3 ที่รอคอยกัน   ขณะที่ประเด็นยุโรป    ที่อยู่คู่กับตลาดทองคำในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ก็เริ่มมีเรื่องราวให้ต้องจับตาอีกครั้ง กรีซซึ่งเป็นประเทศที่เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาหนี้สินต่อเนื่องถึงสเปน ซึ่งเป็นประเทศที่หลายสำนักบอกว่าน่าหนักใจขนานแท้  โดยปัญหาหนี้ยุโรปในช่วง 2 ปีมานี้ บางช่วงบางจังหวะก็กระทบในเชิงบวก บางช่วงก็กลับมาเป็นปัจจัยเชิงลบ ขึ้นอยู่กับว่านักลงทุนส่วนใหญ่มองผลกระทบในเชิงใด ดังนั้น ฉบับนี้จึงขอลงประเด็นยุโรปให้มากขึ้น ทั้งตัวกลไก ที่ถือเป็นความหวัง และสเปนที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนของวิกฤติครั้งนี้ รวมถึงกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ที่เชื่อว่าจะมีบทบาทกับราคาทองคำมากขึ้น
 
 
รู้จักความหวังของยูโรโซน (ESM)
หลังจากความชัดเจนในมาตรการ QE3 ซึ่งถือเป็นความหวังของนักลงทุนในตลาดผ่านพ้นไป  ประเด็นที่มีการจับตาต่อมา คือ ยุโรป ที่ถือเป็นประเด็นติดตาม  สเปนถือเป็นตัวแปรสำคัญ  โดยมีกลไกที่ถือเป็นความหวังคือการทำงานของ  ECB  และอีกหนึ่งความหวังคือกลไก ในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินยุโรปหรือที่รู้จักกันในนามของ ESM ซึ่งล่าสุดเพิ่งมีข่าวดีกันไป  ในประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนี ได้ตัดสินให้การจัดตั้งกองทุนที่รัฐบาลเยอรมนีเอาเงินภาษีของประเทศไปอุดหนุนไม่ผิดต่อกฏหมาย และทำให้การจัดตั้งกองทุนสามารถเดินหน้า ต่อไปได้ ทำให้แนวทางการแก้ไขดูจะมีความหวังมากขึ้น แต่กลไกดังกล่าวจะสามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่อันนี้คงต้องดูยาว ๆ ครับ เนื่องจาก ถ้าเราคาดว่าสเปนและอิตาลีจะเป็น 2 ประเทศต่อไป ที่อาจจะต้องได้รับความช่วยเหลือหรือแม้แต่สเปนประเทศเดียว ขนาดกองทุนที่มีอยู่ในปัจจุบัน  ถือว่ายังไม่เพียงพอต่อความต้องการ (เมื่อเทียบกับปริมาณหนี้) โดยในวันนี้ ผมขอที่จะขยายความเพิ่มเติมก่อนที่จะรอผลที่เกิดขึ้นจริงอีกครั้ง
 
       การจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพทางการเงินยุโรป (EFSF) และกลไกในการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน (ESM) ก่อตั้งขึ้น เพื่อเป็น กลไกในการช่วยเหลือประเทศที่ประสบปัญหาหนี้  ด้วยเหตุที่ว่ายุโรปขาดเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากพอในการแก้ไขปัญหาหนี้  โดยปกติแล้ว เวลาที่ประเทศประสบปัญหาหนี้ภาครัฐ เครื่องมือที่ใช้กันคือการปรับลดค่าเงิน แต่เนื่องจากยูโรโซนใช้สกุลเงินเดียวกัน คือ สกุลเงินยูโรจึงไม่สามารถ ที่จะปรับลดค่าเงินตัวเองลงได้ สิ่งที่ทำคือการ “Refinance” หรือกู้ใหม่นั่นเอง โดยการกู้ส่วนหนึ่งก็เพื่อที่จะชำระหนี้เดิมคืน และส่วนหนึ่งก็มาชดเชยส่วนที่ขาดดุลงบประมาณ (ประเทศในยุโรปใช้งบประมาณขาดดุลมาอย่างยาวนาน) แต่เนื่องจากปัญหาหนี้ที่ประสบอยู่ ทำให้ต้นทุนในการกู้ยืม เงินใหม่สูงขึ้นเรื่อยๆ และทำให้ไม่สามารถรับต่อภาระดอกเบี้ยในตลาดได้ในที่สุด การเกิดปัญหาขาดแคลนเงินในการบริหารประเทศรวมถึงความเสี่ยง ในการชำระหนี้คืนจึงเกิดขึ้น และก็วนเช่นนี้เสมือนงูกินหาง EFSF – ESM เข้ามามีบทบาทนี้นี่เอง คือ การให้เงินช่วยเหลือกับประเทศ ที่ประสบปัญหา ในการระดมเงินเพื่อทำให้ประเทศเหล่านั้นยังสามารถชำระหนี้และเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งถ้ามองโลกในแง่บวกมาก ๆ คือ เมื่อมีเงินทุน ระยะสั้นเข้ามา เริ่มมีการตัดลดรายจ่ายจนการขาดดุลการคลังอยู่ในกรอบที่สามารถควบคุมได้ จนที่สุดเมื่อความเชื่อมั่นกลับมาประเทศเหล่านี้สามารถ กู้ยืมเงินได้เองผ่านตลาด เมื่อถึงจุดนั้นปัญหาก็จะสามารถคลี่คลายไปได้เอง แต่ถ้ามองในด้านตรงข้าม ถ้าการให้เงินอุดหนุนไม่สามารถแก้ปัญหาได้    โดยเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวจากการรัดเข็มขัดระดับหนี้ต่อ  GDP ยังคงสูงต่อเนื่อง  การระดมทุนยังมีต้นทุนสูง ท้ายสุดกลายเป็นว่ากองทุน ESM กลับต้องขาดทุนจากการ hair cut และกระทบต่อผู้ร่วมทุนในที่สุด ในกรณีนี้อาจจะทำให้ประเทศที่ยังไม่ประสบปัญหาอย่างเยอรมันและฝรั่งเศส อาจจะประสบปัญหาได้ อย่างไรก็ดีการตั้งกองทุนก็ยังถือว่าเป็นทางเลือกที่จำเป็น เพราะจะถือเป็นกลไกหลักที่จะทำงานร่วมกับ IMF และ ECB ในการแก้ไขได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและความเชื่อมั่นนี่เอง ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อตลาดยุโรป
 
สเปนอ่อนไหวมากกว่าเรื่องเศรษฐกิจ
       สเปนถือเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 4 ของกลุ่มยูโรโซนแต่ด้วยปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นผลต่อเนื่องจากปี 2008 ทำให้สเปน ประสบภาวะชะลอตัวอย่างหนัก ประกอบกับการขาดดุลการคลังอย่างยาวนานของสเปน ทำให้เริ่มมีกลิ่นของหนี้เน่ามาเป็นระยะ ๆ การถูกลดเครดิต การปรับเพิ่มขึ้นของต้นทุน  การกู้ยืมถือเป็นตัวการันตีที่สำคัญว่าสเปน “เอาไม่อยู่” แน่ๆ โดยต้นทุนการกู้ยืมพันธบัตรอายุ 10 ปีของสเปนอยู่ใกล้ระดับ 5.757%  ซึ่งลดลงมาแล้วจากความหวัง ECB จะเข้าแทรกแซง
       ด้านเศรษฐกิจสเปนนั้นถือว่าชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาที่ถือว่าหนักหนาสาหัส คือ ปัญหาด้านการจ้างงานที่ปัจจุบันสเปนมีอัตรา การว่างงานใกล้ระดับ 25% หมายความว่าคนที่อยู่ในช่วงอัตรากำลังหางานและพยายามหางานทำ 4 คน มีคนตกงาน 1 คน ถ้าลองย้อนกลับไปดูสหรัฐ ฯ ที่ว่าหนักเทียบไม่ได้กับสเปนเลยทีเดียว การตกงานของประชาชนจำนวนมากทำให้การจัดเก็บภาษีทำได้ลดลง นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่ม รายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการการว่างงาน ภาระเหล่านี้ทำให้รัฐบาลกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัวหันกลับมาเป็นข้อจำกัดสำคัญ ในการผ่านนโยบายรัดเข็มขัด เศรษฐกิจสเปนหดตัวลง 0.4% ในไตรมาส 3 ซึ่งลดลงในสัดส่วนนี้ตั้งแต่ช่วงเมษายน การเดินหน้าเก็บภาษี การลด สวัสดิการ ลดเงินเดือนข้าราชการในช่วงภาวะแบบนี้  ยิ่งเป็นการซ้ำเติมประชาชนที่อยู่ในภาวะที่ยากลำบาก ให้ลำบากมากขึ้นกว่าเดิม และเกิดการ ต่อต้านเป็นวงกว้าง แต่ถ้าคิดว่าเศรษฐกิจเป็นเพียงปัญหาเดียวของสเปนในขณะนี้นั้น ก็ถือว่าผิด เพราะปัจจุบันสเปนประสบกับปัญหาด้านการเมือง ที่หนักไม่แพ้กัน ความไม่พอใจที่เกิดกับรัฐบาลกลายมาเป็นปัญหาทางการเมืองไปเป็นที่เรียบร้อย ทั้งกระแสการแยกดินแดนของแคว้นคาตาโลเนีย ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าหนักใจ การดำเนินงานของรัฐบาลสเปนจึงถือว่ายากลำบากอย่างยิ่ง เพราะทางเดินข้างหน้าก็เห็นแล้วว่า ถ้าไม่รับเงินช่วยเหลือ ก็อาจจะขาดสภาพคล่องได้ ที่จะต้องใช้ในการผลักดันประเทศให้พ้นวิกฤติ และแก้ปัญหาด้านการออกขายพันธบัตรใหม่ แต่ถ้ารับเงินมาก็อาจจะต้อง เข้มงวดเรื่องการใช้จ่าย รวมถึงการจัดเก็บรายได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งก็จะตามมาด้วยการต่อต้านจากประชาชน และอาจจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ได้ ในภายหลัง รวมถึงการขอรับเงินเร็วเกินไปยิ่งเป็นการฟ้องว่าสเปนไปไม่รอด และจะทำให้ระบบธนาคารที่อ่อนแอมากอยู่แล้วแย่ลงไปอีก ต้องบอกว่า เหนื่อยใจแทนผู้บริหารประเทศครับ แต่ก็เอาใจช่วย โดยประเด็นสเปนนี้จะเป็นอีกหนึ่งเรื่องราว ที่จะกลับมากระทบต่อราคาทองคำอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิดครับ
 
 
ผู้เขียน คุณกมลธัญ พรไพศาลวิจิต
ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด
ที่มา : จุลสาร ฉบับเดือนตุลาคม 2555

-----------------------

ยุทธวิธีแก้หนี้ยูโรโซน กับนโยบายขยายเสียง
-http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=2&id=144-

 ณ วันที่ 09/10/2555

มาตามติดประเด็นที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นในช่วงเดือนก่อน จากวาทะนายกรัฐมนตรีเยอรมนีนางแองเจลา เมอร์เคล ที่สนับสนุนแนวทางของนายมาริโอ ดาร์กี้ประธาน ECB ในประเด็นการช่วยเหลือยูโรโซน ผลของคำพูดดังกล่าวทำให้ yield ของพันธบัตรรัฐบาลสเปนปรับลดลงทันทีเทียบจาก yield พันธบัตรอายุ 10 ปีของสเปนที่อยู่ใกล้ระดับ 7% ลดลงเหลือประมาณ 6.45% จึงอาจจะกล่าวได้ว่าวาทะของนายกรัฐมนตรีเยอรมนีที่กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีมีมูลค่าหลายพันล้านยูโรทีเดียว ECB และรัฐบาลยูโรโซนยังไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่ยูโรเดียวเพื่อซื้อพันธบัตรสเปนก็ทำให้ปัญหาต้นทุนทางการเงินสเปนผ่อนคลายลงได้ และถ้าเรานับรวมผลที่เกิดขึ้นหลังจากที่ นายมาริโอ ดาร์กี้ พูดไว้ในช่วงปลายเดือนที่แล้ว yield พันธบัตรสเปนอายุ 10 ปีลดลงกว่า 76 basis points หรือกว่า 11% ทำให้ปัจจุบันสเปนมีส่วนต่างของผลตอบแทนพันธบัตร อายุ 10 ปีเทียบเยอรมนี(benchmark) 5.04% ลดลงเกือบ 0.8%
เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในสหรัฐฯ ในช่วง Great Depression ในช่วงปี 1930 ระบบธนาคารก็สร้างปัญหาไม่น้อยจากการนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้น หลังจากวิกฤติได้มีการออกกฎในการควบคุมธนาคาร (The Glass Steagall Act) โดยให้แยกธุรกิจธนาคารพาณิชย์ (Commercial banking) และ ธุรกิจวาณิชธนกิจ (Investment banking) กฎดังกล่าวทำให้ธุรกิจที่เป็นลักษณะ Shadow banking เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยระบบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกลางทางการเงินด้านการลงทุนตัวอย่างเช่น กองทุนป้องกันความเสี่ยง (hedge fund) ซึ่งธุรกิจนี้สามารถนำเงินไปลงทุนในตราสารที่มีความซับซ้อนซึ่งเงินนั้นได้มาจากการก่อหนี้ ผลทางอ้อมคือทำให้เกิดนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ อย่างมากมาย การเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้ธนาคารที่รับฝากเงินเกิดความเสียเปรียบและเรียกร้องให้มีการผ่อนคลายกฏเกณฑ์ในเวลาต่อมา ท้ายที่สุดธนาคารต่าง ๆ ก็ต่างเดินเข้าสู่วังวนแห่งผลประโยชน์และสร้างความเสี่ยงมากมายในการประกอบธุรกิจ ในยามที่เศรษฐกิจดีธนาคารเหล่านี้ สามารถสร้างรายได้จำนวนมากและทำให้ยิ่งมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่เมื่อเศรษฐกิจประสบปัญหาก็ทำให้ธนาคารเหล่านี้แทบเอาตัวไม่รอดจากธุรกรรมที่ทำเอาไว้ นี่คล้ายกับหนังเรื่องเก่าที่เอามาเล่าใหม่ ซึ่งเชื่อว่าหลังจากที่วิกฤติครั้งนี้จบลงแล้วกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เคยผ่อนคลายให้กับภาคธนาคารจะต้องมีการสังคายนากันครั้งใหญ่ แม้tจะมีแรงเสียดทานบ้างจากบรรดานายธนาคารที่ยังคงต้องการรักษารายได้ที่สวยหรูในอนาคต ที่ผ่านมา FED และรัฐบาลสหรัฐฯ เองได้แย้มออกมาหลายครั้ง ประกอบกับแรงกดดันจากประชาชนผู้เสียภาษีที่เรียกร้องให้บรรดาบริษัทรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ผู้เขียน คุณกมลธัญ พรไพศาลวิจิต
ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด
ที่มา : จุลสาร ฉบับเดือนกันยายน 2555
พิมพ์แจก สมาชิกสมาคมค้าทองคำ ทั่วประเทศ


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #49 เมื่อ: เมษายน 21, 2013, 11:03:09 am »
'เวลา'จะช่วยอะไร
-http://www.komchadluek.net/detail/20130421/156541/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.html#.UXNkr8qG7PE-


'เวลา'จะช่วยอะไร : คอลัมน์วันอาทิตย์คิดเรื่องเงิน : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล k_wuttikul@hotmail.com

               ถ้าเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน เห็นขึ้นต้นว่า “เวลาจะช่วยอะไร” ร้อยทั้งร้อยต้องนึกถึงเพลง “เวลาไม่ช่วยอะไร” ของนักร้องสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเซ็กซี่ทั้งลีลาและน้ำเสียงอย่าง “คริสติน่า อากีล่าร์” แต่ถ้าเป็นรุ่นเยาว์ลงมาหน่อย ก็คงนึกถึงเพลงชื่อเดียวกันว่า “เวลาจะช่วยอะไร” ของนักร้องเสียงบอสซั่มอย่าง “ลุลา”

                เหตุที่นึกถึงประโยคว่า “เวลาจะช่วยอะไร” นั้น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เนื่องเพราะราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมาแท้ๆ

                เป็นช่วงเวลาที่คนไทยหยุดยาวๆ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ใช้เวลาพักผ่อนกับครอบครัว บ้างก็เดินทางไปต่างประเทศ บ้างก็เดินทางกลับบ้านในต่างจังหวัด ในขณะที่หลายคนเลือกที่จะไม่ไปไหน และพักผ่อนอยู่กับบ้านอย่างเต็มที่
 เป็นช่วงเวลาของความสุข ท่ามกลางความปั่นป่วนและผันผวนของราคาทองคำที่ใช้เวลาเพียงแค่ 2-3 วัน ในการปรับตัวลดลงถึงกว่า 2 พันบาทต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท จากระดับใกล้ๆ 1,600 เหรียญต่อออนซ์ ลดลงเหลือใกล้ๆ 1,300 เหรียญต่อออนซ์ และจากราคาบาทละ 21,350 บาทเมื่อวันที่ 12 เมษายน ลดลงเหลือ 18,950 บาท หรือลดลงบาทละ 2,400 บาท ในวันที่ 17 เมษายน

                การปรับตัวลดลงต่ำที่สุดในรอบ 33 ปีของทองคำ กับการเปิดตลาดวันแรกหลังสงกรานต์ และภาพผู้คนแออัดยัดเยียดในร้านทองเยาวราชจนร้านแทบแตก เพื่อแย่งกันซื้อทอง สะท้อนความมีส่วนร่วมของคนหมู่มากในทองคำ ที่ไม่ใช่เรื่องเฉพาะกลุ่ม เพราะใครๆ ก็มี “ทองคำ”

                พอทองปรับตัวลดลง ทุกบ้านที่มีทองแม้แต่เฟื้อง-สลึงก็แตกตื่นราวกับโลกถล่มกันหมด เป็นอาการ “มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว” ในอีกมิติ ที่ไม่ได้หมายถึงแค่การกลัวขโมยขโจรจะคว้าทองไปจนหวาดผวา แต่ยังกลัว “มูลค่า” ของสิ่งที่มีอยู่จะหายวับไปด้วย

                ทั้งหมดนี่แหละที่ทำให้นึกถึงคำว่า “เวลาจะช่วยอะไร” และให้เป็นเรื่องบังเอิญที่ได้นั่งฟังเทปสัมมนา "ออมไว้ในหุ้น” ตอน  “จัดพอร์ตหุ้นคุณค่ากับสุดยอดผู้จัดการกองทุน” ซึ่งไม่เกี่ยวกับ “ทอง” แต่เกี่ยวกับหลักของการลงทุน ที่ฟังแล้วอดนึกถึง “ทอง” ไม่ได้

                ลองดูว่า เกี่ยวกันแบบไหนและอย่างไร

                เมื่อเริ่มต้นด้วย “ออมไว้ในหุ้น” งานนี้ ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในวิทยากรของงานสัมมนาครั้งนี้ จึงฉายภาพรวมระหว่างคำว่า การ “ออม” กับ “การลงทุน” เป็นปฐม

                “ถ้าเราพูดถึงการออม เราก็มักจะนึกถึงการนำเงินไปฝากธนาคาร ให้ค่อยๆ เติบโตด้วยอัตราดอกเบี้ยไม่มาก แต่ก็ไม่เสี่ยง ในขณะที่การลงทุน เริ่มมีความเสี่ยงมาเกี่ยวข้อง ดังนั้น คำว่า ‘ออมไว้ในหุ้น’ จึงเป็นอะไรที่ท้าทายมาก”
 ดร.สมจินต์ บอกว่า ถ้าพูดถึงองค์ประกอบของ “ความมั่งคั่ง” ก็อาจหมายรวมถึงการหาเงิน การออมเงินที่หาได้บางส่วน และการนำเงินออมไปลงทุน

                “ออมไว้ในหุ้น ก็คือ เอาส่วนที่ 2 และ 3 มารวมกัน ซึ่งเมื่อพูดถึงหุ้น คนก็จะมองว่า เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยง แต่ถ้าถามว่า ความเสี่ยงมีปัจจัยประกอบหรือไม่ เพราะบางคนบอกว่าเสี่ยง แต่บางคนบอกว่าไม่เสี่ยง สิ่งสำคัญก็คือ เรานิยามความเสี่ยงอย่างไร และความเสี่ยงกระทบเราอย่างไร ถ้าเป็นคนธรรมดาที่นำเงินไปลงทุน ความเสี่ยงของเขา ก็คือ การขาดทุนของเงินต้น แต่ในทางการเงิน เรามองว่า ความเสี่ยงคือ ความไม่แน่นอนของผลตอบแทน หมายความว่า ถ้าผลตอบแทนมันมากบ้าง น้อยบ้าง ก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงของนัยทางการเงิน”

                ดร.สมจินต์ ยังยกตัวอย่างงานวิจัยของอเมริกาที่ศึกษาผลตอบแทนของสินทรัพย์ 3 ประเภทในรอบ 100 ปี ได้แก่ การลงทุนระยะสั้นในตั๋วเงินคลัง การลงทุนในพันธบัตร และการลงทุนในหุ้น เพื่อคำนวณผลตอบแทนปีที่มากที่สุดและน้อยที่สุดของแต่ละสินทรัพย์ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งพบว่า ผลตอบแทนของหุ้นมีความผันผวนมากที่สุดหากพิจารณาเป็นรายปี โดยปีที่ผลตอบแทนสูงสุดอยู่ที่ 70-80% ขณะที่ปีที่ผลตอบแทนต่ำสุดนั้น ติดลบถึง 40-50% ขณะที่ผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังไม่มีปีใดที่ติดลบเลย

                ทั้งหมดสะท้อน (และตอกย้ำ) ความเชื่อว่า สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงสุด คือ หุ้น

                แต่งานวิจัยไม่ได้จบแค่นั้น เพราะผู้ทำการวิจัยนำการลงทุนในช่วง 100 ปีมาแยกย่อยเพื่อหาผลตอบแทนถัวเฉลี่ยในช่วง 5 ปี 10 ปี 15 ปี และ 20 ปี ก่อนที่จะนำผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนมาลบด้วยเงินเฟ้อ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่แท้จริง

                “ถ้าดูปีเดียว ไม่สนใจเรื่องเงินเฟ้อ เราจะเห็นว่า หุ้นเสี่ยงมาก ดังนั้น สำหรับคนที่กลัวความเสี่ยง การลงทุนในหุ้นจึงไม่สมเหตุสมผลและไม่น่าสนใจ แต่พอดูค่าเฉลี่ย 20 ปี แล้วลบด้วยเงินเฟ้อ จะพบว่า ไม่มี 20 ปีใดที่หุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีติดลบ ขณะที่อีก 2 สินทรัพย์กลับติดลบ เพราะผลตอบแทนไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้”

                ผู้บริหาร บลจ.ทหารไทย ขมวดปมให้เห็นชัดขึ้นว่า จากสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เห็นว่า  ส่วนใหญ่เราจะมองอะไรสั้นๆ มองเฉพาะหน้า เฉพาะวัน ว่าหุ้นซื้อวันนี้ แล้วพรุ่งนี้หุ้นตก แต่ในความเป็นจริงของชีวิต ไม่ว่าจะลงทุนหรือไม่ลงทุน ความเสี่ยงที่เราต้องเจอแน่ๆ ก็คือ ความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ เพราะฉะนั้น ความเสี่ยงของการลงทุนจึงขึ้นอยู่กับตัวผู้ลงทุน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้ลงทุน ก็คือ ผู้ลงทุนต้องการจะลงทุนนานแค่ไหน

                “ถ้าหากต้องการลงทุนในหุ้นแค่วันเดียว มันไม่เป็นเหตุเป็นผลเลยที่จะทำแบบนั้น และไม่อาจเรียกได้ว่า เป็นการลงทุน แต่น่าจะเรียกว่า เป็นการพนันมากกว่า แต่ถ้าตั้งใจลงทุน 10-20 ปีขึ้นไป แล้วเอาเงินไปฝากธนาคารที่ให้ผลตอบแทน 1-2% ทั้งๆ ที่เราเห็นว่า เงินเฟ้อ 3% ก็อาจจะเป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นกัน”

                ประเด็นสำคัญ คือ ระยะเวลาที่เราลงทุนนั่นแหละ ที่จะเป็นสิ่งที่ระบุได้ว่า ทรัพย์ที่ลงทุนกับความเสี่ยงที่จะได้รับเป็นอย่างไร

                “ถ้าลงทุนได้แค่ช่วงสั้นๆ ก็ลงทุนในสินทรัพย์ที่ผันผวนน้อยหน่อย ถ้าลงทุนได้ยาวขึ้น ก็อาจจะเลือกสินทรัพย์ที่ผันผวนได้มากขึ้น เพราะระยะเวลาจะช่วยลดความผันผวนจากความเสี่ยงของสินทรัพย์”

                เขียนไปจนใกล้จบ หลายคนยังอาจจะงงว่า แล้วเกี่ยวกับ “ทอง” ตรงไหน ก็ตรงที่ในขณะที่เราตกอกตกใจกับราคาทองคำที่ลดลง เราได้ถามตัวเองหรือยังว่า ตอนที่เราซื้อทองนั้น เราตั้งใจจะลงทุนนานแค่ไหน เชื่อว่าหลายคนไม่คิดจะขาย บางคนซื้อเก็บไว้ให้ลูกให้หลาน แต่อด “แตกตื่น” ไปกับเขาไม่ได้

                ไม่ว่าจะเป็นทองหรือหุ้นล้วนมีวัฏจักร มีรอบ มีขึ้นมีลง อาจจะใช้เวลายาวหรือสั้นแต่ละรอบแตกต่างกัน เมื่อเลือก “ระยะเวลาลงทุน” แล้ว เลือก “สินทรัพย์ที่เหมาะสม” กับระยะเวลาแล้ว และแน่ใจว่า เป็นการจัดสรรการลงทุนในพอร์ตที่เหมาะสมแล้ว

                ก็ลองปล่อยให้เวลาได้ช่วยอะไรบ้าง
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)