ผู้เขียน หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"  (อ่าน 149424 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #220 เมื่อ: กันยายน 05, 2015, 10:55:48 am »

เจ้าหนี้-ลูกหนี้ ควรรู้ไว้ ทวงหนี้อย่างไรไม่ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ทวงหนี้ 2558
-http://money.kapook.com/view128453.html-

 เจ้าหนี้-ลูกหนี้ ควรรู้ไว้ ทวงหนี้อย่างไรไม่ผิดกฎหมาย ลูกหนี้ร้องเรียนได้หากพบถูกปฏิบัติไม่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ 2558

         เปิดข้อกฎหมายน่ารู้ สรุปสาระสำคัญใน พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2558 กับรายละเอียดที่เจ้าหนี้-ลูกหนี้ควรทราบ ทวงหนี้อย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย ทวงหนี้แบบใดเข้าข่ายคุกคามหรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของลูกหนี้ และลูกหนี้ควรปฏิบัติอย่างไร หากได้รับความไม่เป็นธรรมจากการทวงหนี้

เจ้าหนี้ควรรู้

         ลูกหนี้เหนียวหนี้สุด ๆ แต่จะทวงหนี้ได้อย่างไรถึงจะไม่ผิดกฎหมาย และสามารถจ้างวางให้คนอื่นทำหน้าที่ทวงหนี้แทนได้หรือไม่ ใครเป็นเจ้าหนี้ควรเข้ามาดู รู้ไว้ก่อนทวงหนี้ ก่อนจะกลายเป็นฝ่ายเสียเงินค่าปรับแทนที่จะได้เงินคืน

         1. "ผู้ทวงถามหนี้" คือ เจ้าหนี้ ผู้ให้กู้เงิน ไม่ว่าจะโดยถูกกฎหมายหรือไม่ก็ตาม รวมถึงผู้ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ให้ทวงถามหนี้ อาทิ บริษัทรับทวงหนี้

         2. "ธุรกิจทวงถามหนี้" คือ ผู้ประกอบธุรกิจรับจ้างทวงหนี้ ซึ่งต้องได้รับการจดทะเบียนทวงถามหนี้ต่อนายทะเบียน กรณีผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้เป็นทนายความ ให้จดทะเบียนกับสภาทนายความ ผู้ฝ่าฝืนไม่ไปจดทะเบียนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

         3. กรณีผู้ที่ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้อยู่หน้านี้ ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 90 วันนับแต่วันที่ พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 มีผลบังคับใช้ (2 กันยายน) โดยระหว่างนี้ให้ยังประกอบธุรกิจได้อยู่

         4. ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น ทหาร ตำรวจ ประกอบธุรกิจรับทวงหนี้ หรือไปช่วยคนอื่นทวงหนี้ที่ไม่ใช่หนี้ของตัวเอง เว้นแต่เป็นหนี้ของสามีภรรยา พ่อแม่ หรือลูก ให้สามารถทำได้ภายใต้กรอบของกฎหมาย ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

         5. ห้ามทวงหนี้กับคนที่ไม่ใช่ลูกหนี้ เว้นแต่เป็นบุคคลที่ลูกหนี้ระบุให้ไปทวงถาม โดยมีข้อปฏิบัติคือ

         - ผู้ทวงหนี้ต้องแสดงตัว แจ้งชื่อ-สกุล พร้อมแสดงเจตนาว่าต้องการถามหาข้อมูลเพื่อติดต่อลูกหนี้

         - ผู้ทวงหนี้ห้ามเผยข้อมูลการเป็นหนี้ของลูกหนี้ ยกเว้นผู้ที่ได้ติดต่อนั้นเป็นสามี ภรรยา พ่อ-แม่ หรือลูกของลูกหนี้ โดยให้บอกเล่าเท่าที่จำเป็น

         - ห้ามใช้ข้อความ เครื่องหมาย หรือชื่อทางธุรกิจของผู้ทวงถามหนี้บนซองจดหมาย

         - ห้ามหลอกลวงหรือทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิด เพื่อให้ได้ข้อมูลของลูกหนี้

         - ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

         6. การทวงถามหนี้ ให้ปฏิบัติ ดังนี้

พ.ร.บ.ทวงหนี้ 2558

         - ติดต่อลูกหนี้ตามสถานที่ติดต่อที่ให้ไว้

         - ติดต่อในวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.00-20.00 น. และในวันหยุดราชการ เวลา 8.00-18.00 น. หากฝ่าฝืนจะถูกสั่งระงับการดำเนินการ และหากยังฝ่าฝืนซ้ำจะถูกโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท

         - ติดต่อตามจำนวนครั้งที่เหมาะสม

         - กรณีเป็นผู้รับมอบอำนาจให้ทวงหนี้ต้องแสดงหลักฐานด้วยว่าตนเองได้รับมอบหมายมา

ลูกหนี้ควรรู้

         ถูกเจ้าหนี้หน้าโหดตามมาทวงเงินถึงที่ หากถูกข่มขู่คุกคามจะทำอย่างไรดี แถมใช้ลูกไม้มาหลอกทวงหนี้กันแบบนี้ จะมีใครเข้ามาดูแลได้บ้างนะ และการถูกปฏิบัติแบบใดที่ถือว่าไม่เป็นธรรม จำข้อกฎหมายเหล่านี้เอาไว้ จะได้ไม่ถูกเจ้าหนี้เอาเปรียบ

         1. ข้อห้ามปฏิบัติของผู้ทวงหนี้

         - ข่มขู่ ใช้ความรุนแรง ทำให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายหรือทรัพย์สิน ผู้ฝ่าฝืนจําคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

         - พูดจาไม่สุภาพ ดูหมิ่น ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

         - เปิดเผยความเป็นหนี้ของลูกหนี้ให้คนอื่นได้รู้ ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

         - ทวงหนี้ผ่านไปรษณีย์ หรือโทรสาร โดยมีข้อความแสดงการทวงหนี้ชัดเจน ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

         - ห้ามระบุข้อความ เครื่องหมาย หรือชื่อทางธุรกิจของผู้ทวงถามหนี้บนซองจดหมาย ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

         2. ห้ามทวงหนี้แบบหลอกให้เข้าใจผิด

         - ส่งเอกสารทำให้ลูกหนี้เข้าใจผิดว่าเป็นการกระทำของศาล เช่น ส่งเอกสารที่มีตราครุฑมาให้ลูกหนี้ ผู้ฝ่าฝืนจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

         - ทำให้เชื่อว่ามีการส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถาม (Notice) จากทนายความ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

         - ใช้เอกสารที่ทำให้ลูกหนี้เข้าใจผิดว่าจะถูกดำเนินคดี หรือถูกยึดทรัพย์ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

         - แอบอ้างว่าเป็นการทวงหนี้จากบริษัทข้อมูลเครดิตใด ๆ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

         3. การทวงถามหนี้ไม่เป็นธรรม ห้ามปฏิบัติดังนี้

         - เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายในการทวงถามหนี้ในอัตราเกินกว่าที่กำหนด

         - เสนอให้ลูกหนี้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าลูกหนี้ไม่มีเงินชำระหนี้ตามเช็ค ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

         4. คณะกรรมการกํากับการทวงถามหนี้ มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการทวงหนี้ของผู้ทวงถามหนี้ โดยหากลูกหนี้หรือคนอื่น ๆ ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือไม่เป็นไปตามกฎหมายจากผู้ทวงถามหนี้ สามารถร้องเรียนต่อคณะกรรมการกํากับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัด

         5. ให้ที่ทำการปกครอง หรือกองบัญชาการตำรวจนครบาล มีอำนาจรับร้องเรียนการทวงหนี้ผิดกฎหมาย ติดตามพฤติกรรมของผู้ทวงถามหนี้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
ราชกิจจานุเบกษา
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #221 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2015, 11:22:40 am »
10 ความรู้ทางการเงินเปลี่ยนชีวิต
-http://money.sanook.com/320321/-

Money Coach

อิสรภาพทางความคิดยังมีไม่ได้ อย่าตะเกียกตะกายหาอิสรภาพทางการเงิน


ในทอล์คโชว์ MONEY COACH ON STAGE: ชาตินี้ไม่มีวันจน ผมได้เล่าถึง 10 ความรู้ทางการเงินที่ได้รับมาด้วยตัวเอง จากการเรียนรู้แบบ Street Smart (ข้างถนนนั่นเอง) คือ มั่วนิดๆ งงหน่อยๆ เล่นเอง เจ็บจริง แล้วค่อยๆสะสม ค่อยๆตลกผลึก จนกลายเป็นภูมิปัญญาในแบบฉบับตัวเอง

หลังจากจบทอล์คโชว์ มีผู้ฟังหลายท่านนำมาสรุปให้ฟังกัน วันนี้ผมเลยอยากเล่าให้ฟังในแบบต้นฉบับกันบ้าง ด้วยหวังว่าบทเรียนสิบกว่าปีของผม จะทำให้ผู้อ่านทุกท่านไม่ต้องเสียเวลากับการลองผิดลองถูกในบางเรื่อง และที่สำคัญจะได้ปรับ MINDSET ให้ถูกต้องสำหรับการมุ่งหน้าสู่อิสรภาพทางการเงินกันได้รวดเร็วกันขึ้น

1) วิธีปลดหนี้ดีที่สุดคือสร้างทรัพย์สิน

ความรู้นี้เป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในช่วงที่ชีวิตกำลังมุ่งหน้าแก้ไขปัญหาหนี้ หลังจากพยายามทำตามแนวคิดทั่วไปที่สอนๆกัน ก็คือ ลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ สิ่งที่พบก็คือ ลดรายจ่ายเต็มที่แค่ไหน เราก็ลดได้แค่ประมาณหนึ่ง เพิ่มรายได้มากแค่ไหน เดือนหน้าก็ต้องหาใหม่อีก


แต่เมื่อเทียบงานที่สร้างรายได้เพิ่ม กับทรัพย์สิน (สิ่งที่ทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋า โดยไม่ต้องทำงานตลอดเวลา) อย่างบ้านเช่า และธุรกิจฝึกอบรมที่ผมสร้างขึ้นมา กลับพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง งานที่ทำเดือนนี้ เดือนหน้าก็ต้องออกแรงทำอีก แต่ทรัพย์สินที่เราสร้างขึ้น จะช่วยผ่อนหนี้ให้เราในวันที่เรายังเป็นหนี้ และเมื่อหนี้หมดลงไป ทรัพย์สินก็จะยังสร้างกระแสเงินสดให้เราต่อ และทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงินได้ในที่สุด


ดังนั้น เหนื่อยหาเงินแก้หนี้ทั้งที วางแผนให้ดี สร้างทั้งงานที่ทำเงินและทรัพย์สินไปพร้อมๆกัน หาวิธีทำให้งานที่เราทำหนึ่งครั้ง หารายได้ให้เราได้มากกว่าหนึ่งครั้งหรือหาไปได้ตลอด แล้วการปลดหนี้ของเราจะเบาแรงลงเรื่อยๆ


2) กระแสเงินสดสำคัญที่สุด

ทุกกิจกรรมในโลกทางการเงิน ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับการมีกระแสเงินสดคงเหลือเป็นบวก พนักงานประจำทำงานกินเงินเดือนก็สามารถมีชีวิตทางการเงินที่ดีได้ หากเขาใช้จ่ายไม่เกินรายได้ที่หามาได้ มีกิน มีใช้ มีเหลือเก็บทุกเดือน

บริษัทห้างร้านต่างๆ รวมไปถึงการลงทุนในทรัพย์สินให้เช่า สุดท้ายถ้าเราบริหารจัดการให้กระแสเงินสดเป็นบวก หรือมีกำไรได้ ธุรกิจก็อยู่ได้ การลงทุนก็ไปได้ เมื่ออยู่ได้ ไปได้ วันหนึ่งก็มีโอกาสต่อยอดเพิ่มความมั่งคั่งได้


หลายคนเวลาใช้ชีวิตหรือลงทุน มองแต่ผลตอบแทนที่จะได้ ทั้งๆที่กลยุทธ์สำคัญที่สุดกลยุทธ์แรกที่ต้องทำให้ได้ หากอยากมั่งคั่งก็คือ “ใช้ให้น้อยกว่าที่หาได้” และ “ไม่ขาดทุน”


3) HIGH UNDERSTANDING, HIGH RETURN

หลายครั้งที่แนวคิด High Risk High Return หยุดยั้งผู้คนที่แสวงหาความมั่งคั่งให้ไม่กล้าลงมือทำอะไร เพราะเชื่อว่าถ้าอยากได้ผลลัพธ์ที่ดี ก็ต้องเสี่ยงกันหน่อย

ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย ในมุมของคนที่กล้าเผชิญหน้ากับความเสี่ยง โลกของพวกเขาไม่มีเสี่ยงมากได้ผลตอบแทนมาก สิ่งที่พวกเราได้เรียนรู้ก็คือ ยิ่งคุณรู้จักและเข้าใจสิ่งที่คุณทำมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีโอกาสมั่งคั่งมากขึ้นเท่านั้น หรือ HIGH UNDERSTANDING, HIGH RETURN


คนทำงานมากประสบการณ์ทำเงินจากองค์ความรู้เดียวกันได้ดีกว่ามือใหม่ คนทำขนมซึ่งสาระวนเวลาอยู่กับการฝึกฝน พัฒนา ปรับสูตรใหม่ๆ ให้ผู้คนชอบและอยากลองทาน ย่อมทำเงินได้มากกว่าพ่อค้าแม่ค้าที่ทำขนมแค่ให้มีของขายยังชีพได้ หรือนักลงทุนที่พัฒนาความรู้และเชี่ยวชาญอยู่เสมอ และอยู่ในตลาดมานานกว่า ก็คงไม่แปลกอะไรที่พวกเขาจะได้ผลตอบแทนสูงกว่ามือใหม่ หรือพวกมือเก่าที่ไม่ยอมพัฒนาตัวเองและรักบรรยากาศการเป็นนักลงทุนผู้ไร้เดียงสาอยู่เสมอ

คีย์สำคัญของ High Understanding, High Return ก็คือ การลงทุน “เวลา” กับสิ่งที่สนใจ และเริ่มต้นลงมือทำจากสิ่งเล็กๆ (Start Small) แล้วค่อยๆ พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นนักลงทุนผู้ช่ำชอง

4) การลงทุน คือ แผนการ

คนที่ลงทุนแล้วขาดทุนอยู่เสมอ เป็นเพราะพวกเขาคิดว่า การลงทุนเป็นเหตุการณ์ (Event) เช่น วันนี้ไปจองคอนโดมา หรือวันนี้จัดหุ้นตัวนั้นมา ฯลฯ แต่ถ้าพูดคุยหรือสอบถามเหตุผลในการซื้อและแผนการลงทุน ก็มักจะพบกับความว่างเปล่าอยู่เสมอ ถ้าการลงทุนมันง่าย แค่ฟังใครสักคนหรือฟังข่าว แล้วก็ลงทุนตามๆกัน แล้วก็รวย อย่างนี้คนส่วนใหญ่ก็ต้องรวยจากการลงทุนกันหมดแล้วสิ

ที่จริงแล้ว การลงทุนนั้นเป็นกระบวนการ (Process) ที่มีผลลัพธ์ คือ แผนการลงทุน (Plan) ที่ชัดเจน (อธิบายได้สมกับเป็นเด็กวิดวะมากๆ 555)

อย่างผมเองตอนจะเริ่มต้นลงทุนบ้านเช่าเล็กๆ ราคาแค่ 1.35 ล้าน ผมยังต้องเดินดูบ้านเช่าตั้งเป็นสิบๆหลัง เพื่อให้เข้าใจว่าลูกค้าในตลาดเป็นใคร ชอบเช่าห้องแบบไหน ราคาเท่าไหร่ Demand-Supply เป็นอย่างไร จากนั้นจึงมาประเมินราคาซื้อ เจรจาต่อรอง จัดไฟแนนซ์เพื่อลงทุนซื้อ และตบตูดตบท้ายกันเบาๆด้วย แผนการรับมือความเสี่ยง โดยถามตัวเองง่ายๆว่า ก) บ้านเช่าที่ผมจะลงทุน มีโอกาสฉิบหายได้จากอะไรบ้าง และผมพอจะป้องกันอะไรได้บ้างมั้ย ข) ถ้าป้องกันไม่ได้ เจ็บสุดจะแค่ไหน และต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า มีแผนรับมือกับเรื่องนั้นๆ อย่างไร … ถ้าตอบไม่ได้ ก็จะยังไม่ลงทุน

จำไว้ว่า ถ้าคุณลงทุนด้วยปากกับหู (ถามเขา ฟังเขา แล้วก็เชื่อเขา) สุดท้ายคุณจะไม่มีทางมั่งคั่งร่ำรวยได้ เป็นได้เต็มที่ก็แค่ผู้ร่วมสนุก เพราะผลลัพธ์การลงทุนที่ดี ขึ้นอยู่กับว่า คุณเป็นนักลงทุนที่ีดีแค่ไหน และมีแผนการลงทุนอย่างไร

5) เงินวิ่งตามคุณค่า

Create Your Value and Money will Follow เป็นความเชื่อหลักที่ผมยึดถือมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ยิ่งเราสร้างคุณค่าได้มากเท่าไหร่ เงินก็ยิ่งหลั่งไหลมาหาเรามากขึ้นเท่านั้น

“คุณค่า” ในที่นี้หมายถึง ความสามารถในการแก้ไขปัญหาให้ผู้อื่น ทำในสิ่งที่ผู้อื่นต้องการ ทำในสิ่งที่ผู้อื่นได้รับประโยชน์ ซึ่งในมุมมองของผม คุณค่าที่ว่านี้มีทั้งมิติความลึกและความกว้าง

ในมิติความลึก หมายถึง ความเป็นตัวจริงของคุณ ความเจ๋งของสินค้าและบริการของคุณ ถ้าดีจริง เจ๋งจริง ยังไงก็ขายได้ ส่วนในมิติความกว้างก็คือ ตลาดที่คุณเลือกเล่น ถ้าอยากประสบความสำเร็จทางการเงิน ต้องเลือกและลงมือสร้างสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ตลาดขนาดใหญ่ที่มีลูกค้าจำนวนมากเท่านั้น

ร้านก๋วยเตี๋ยวไม่อร่อย ไม่มีคนทาน แต่ร้านอร่อยที่ตั้งอยู่หน้าหมู่บ้าน มีลูกค้าแค่ไม่กี่ราย ก็รวยไม่เท่ากับร้านก๋วยเตี๋ยวที่เปิดหลายสาขาและมีแฟรนไชส์ครับ … ถ้าอยากทำเงินล้าน คุณก็ต้องทำในสิ่งที่ Impact หรือส่งผลกระทบกับคนนับล้าน นั่นคือสิ่งที่คุณต้องจดจำ

6) ทรัพยากรทั้งโลกเป็นของเรา

แนวคิดข้อนี้บางคนฟังแล้วเอาไปตีความกันใหญ่โต หาว่าสอนให้เป็นคนเอาเปรียบสังคมบ้างหละ คิดแต่ประโยชน์ส่วนตนบ้างหละ ที่จริงแล้วผมสร้างประโยคที่ว่า “ทรัพยากรทั้งโลกเป็นของเรา” ก็เพื่อสอนเรื่อง เงินมาที่หลังไอเดีย ต่างหาก … ยังไง?

คนจำนวนไม่น้อยเวลาฝันว่าอยากทำอะไรสักอย่าง พวกเขามักมีข้ออ้างว่า ไม่มีเงิน ไม่มีคนช่วย ไม่มีเครื่องมือ ไม่มี ไม่มี ไม่มี ฯลฯ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งผมเองและผู้ประสบความสำเร็จอีกจำนวนมาก หลายคนก็เริ่มจากความไม่มีเหมือนกัน คนที่ไม่มีเงิน ไม่มีทุน ก็ต้องให้เวลากับไอเดียของตัวเองให้มาก เปลี่ยนไอเดียให้จับต้องได้เป็นรูปธรรมในเบื้องต้น ด้วยการเก็บข้อมูลและทำแผนการขึ้นมา

ไม่มีเงินใช้เงินคนอื่นได้ ไม่มีเครื่องจักร ก็จ้างเขาผลิตเอาได้ ไม่มีทีมงาน ก็ Outsource ได้ ไม่มีเวลา ก็จ้างลูกจ้างได้ ทุกอย่างเป็นไปได้หมด เริ่มต้นแค่ลองทำอะไรจริงๆจังๆ กับ “ไอเดีย” ของเรา อย่ามัวแต่เล็ง แต่ฝัน เพราะนั่นไม่มีทางทำให้ความฝันเราเป็นจริงได้ครับ

7) กติกาพิเศษมีไว้สำหรับคนพิเศษ

โลกนี้เป็นโลกของการ “เจรจา” กติกาทั่วไปมีไว้สำหรับคนธรรมดา ถ้าไม่เคยคิดจะสอบถาม ตามหา หรือร้องขอ เราก็ต้องได้ในสิ่งที่คนทั่วไปได้กัน ทางเลือกก็น้อยลง ข้อจำกัดในการลงทุนหรือสร้างความมั่งคั่งก็เพิ่มขึ้น

เอาแค่เรื่องง่ายๆอย่างเช่น คนฝากเงินจำนวนเท่าๆกัน ฝากธนาคารเดียวกัน สาขาเดียวกัน ยังได้ดอกเบี้ยไม่เท่ากันเลย เพราะคนหนึ่งคุย คนหนึ่งร้องขอ (แต่ต้องฝากมากหน่อยนะ 555)

หรือคนสองคนเป็นหนี้เท่าๆกัน ค้างจ่ายมานานเท่าๆกัน คนหนึ่งเจรจาขอส่วนลด อีกคนหนึ่งยอมรับยอมจำนนต่อเงื่อนไขโดยดุษฎี แบบนี้ก็ประหยัดค่าใช้จ่ายหนี้ได้ไม่เท่ากัน มันก็เป็นเรื่องจริงที่ว่าขอแล้วใช่ว่าจะได้ แต่ถึงยังไง ขอก็ยังมีโอกาสได้ แต่ถ้าไม่ขอ ไม่ถาม ไม่ลองคุย แบบนี้ยังไงก็ไม่ได้แน่นอน

ชีวิตเราเลือกได้ครับ ดังนั้นลองเลือกเอาเองดูว่า เราอยากได้กติกาแบบไหน

8) ยิ่ง Share ยิ่งมั่งคั่ง

ในอดีตผมเคยเป็นคนงกจนเกินพอดี คิดทำอะไรก็อยากได้ทั้งหมด ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นทำให้การก้าวสู่อิสรภาพทางการเงินของผมยากและช้า เพราะถ้าเราอยากได้ทั้งหมด เราก็ต้องทำเองทั้งหมด

การทำอะไรด้วยตัวคนเดียวมันก็สนุกดีครับ แต่ถ้าเทียบกันแล้วยังไงมันก็สู้ทีมของมืออาชีพมารวมตัวกันไม่ได้ ถ้ายังจำเรื่องเงินวิ่งตามคุณค่ากันได้ ทีมที่แข็งแกร่งสร้างคุณค่าได้มากกว่า และยังตอบสนองความต้องการคนได้มากกว่าอีกด้วย

แม้ว่าจะต้องแบ่งเรื่องของผลกำไรให้กับทีมงานที่มาช่วย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นส่วน ผู้ส่งมอบ Outsource ลูกจ้างชั้นดี เอเยนต์การขายการตลาด แต่ก็นั่นแหละ 100 เปอร์เซ็นต์ของกำไร 1 ล้านที่รับอยู่คนเดียว อาจเทียบไม่ได้กับ 10 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจหรือการลงทุนที่มีขนาด 100 ล้านก็เป็นได้

ลองมองใหม่ คิดใหม่ สร้างทีม สร้างพันธมิตร แล้วแบ่งปันผลประโยชน์กันอย่างพอเหมาะพอสม ทำให้เรารวยได้มากกว่าและรวยได้เร็วกว่าครับ

9) นิยามอิสรภาพทางการเงินที่แท้จริง

คนทั่วไปนิยามคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน” คือ การมีจำนวนมาก (100 ล้าน 1,000 ล้าน) ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องกังวล และกลายเป็นที่มาของกระแสขยะแขยงการทำงานประจำ ด้วยเชื่อว่าไม่สามารถนำพาชีวิตไปถึงฝันได้

โรเบิร์ต คิโยซากิ ผู้แต่งหนังสือพ่อรวยสอนลูก ให้นิยามคำๆเดียวกันไว้ในเป็นสมการว่า “เมื่อไหร่ที่เรามีรายได้จากทรัพย์สิน หรือ Passive Income มากกว่ารายจ่ายรวม เมื่อนั้นเราก็จะมีอิสรภาพทางการเงิน”

สำหรับตัวผม ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่วิ่งหาคำๆนี้ ผมพบนิยามใหม่ที่คิดว่าน่าจะถูกต้องกว่า เบากว่า สบายกว่า และมีความสุขมากกว่า นิยามอิสรภาพทางการเงินในแบบของผมก็คือ “สิทธิในการเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ” ไม่เกี่ยวว่าจะมีเงินมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่าชีวิตในแบบที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ เราคิดได้เองหรือเปล่า เลือกเองหรือเปล่า และได้ใช้ชีวิตในแบบที่ชอบหรือไม่ ทำงานประจำก็มีอิสรภาพทางการเงินได้ หากนั่นเป็นสิ่งที่คุณเลือกมันด้วยตัวเอง

10) ความรู้ทางการเงินขั้นสูงสุด คือ การรู้จักและเข้าใจตัวเอง

คนเราแค่รู้จักและเข้าใจว่า “ความสุข” ในชีวิตของตัวเอง คือ อะไร และใช้ชีวิตในทุกวันให้มีความสุข นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการเกิดมาชาติหนึ่ง

บ้านจะใหญ่หรือเล็กไม่เกี่ยว รถจะหรูหรือเปล่าไม่ใช่ประเด็น คนเราเกิดมาต่างกัน ดังนั้นไม่มีทางที่ความสุขในชีวิตของแต่ละคนจะเหมือนกัน และไม่มีทางที่อิสรภาพทางการเงินของแต่ละคนจะเท่ากันหรือเลียนแบบกันได้ ฟังแล้วอาจดู Abstract แต่ความสุขในชีวิตคนเราก็เป็นแบบนั้นจริงๆนะ

คนเราสามารถเริ่มต้นทำความรู้จักและเข้าใจตัวเองได้ง่ายๆ ด้วยการเลิกฟังคำพูดและความเห็นของคนอื่นที่มีต่อรูปแบบชีวิตของเรา แล้วหันมา ฟังเสียงหัวใจตัวเองอย่างจริงจัง อะไรทำแล้วมีความสุข วัดกันง่ายๆด้วยใจ

ผมมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว แต่ก็ยังอยู่บ้านหลังเล็กๆ ราคา 2 ล้านกว่าบาท ขับรถโตโยต้าวีออส แต่ใช้ชีวิตมีความสุขทุกวัน เพราะออกแบบเวลาในแต่ละวันได้เอง ได้ทำงานที่รัก ไม่ต้องทำงานเพื่อเงิน ไม่รับงานที่ขัดกับความรู้สึกตัวเองแม้จะได้เงินมากมาย ทำงานเหมือนไม่ได้ทำงาน เพราะไม่รู้สึกเหนื่อยและมีความสุขทุกวัน

ผมเชื่อและคิดอยู่เสมอ คนที่กำลังมุ่งมั่นมองหาอิสรภาพทางการเงินอยู่ในวันนี้ จะไม่มีทางหามันเจอได้เลยตราบชั่วชีวิต เพราะตราบใดที่ “อิสรภาพทางความคิดยังมีไม่ได้ ก็จงอย่าตะเกียกตะกายหาอิสรภาพทางการเงินเลย” (เดี๋ยวจะเหนื่อยไปชั่วชีวิต)

คนเราเกิดมาชาติเดียวครับ จงใช้ชาติหนึ่งชาติเดียวของพวกเราทุกคน ให้เป็นชาตินี้ที่ไม่มีวันจนนะครับ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #222 เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2015, 08:47:55 am »
ไขคำตอบลงทุน LTF-RMF ถือยาว...ใครว่าผลตอบแทนไม่ติดลบ
-http://money.sanook.com/328555/-



เข้าสู่โค้งสุดท้ายของการลงทุนปี 2558 ฤดูกาลของการซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษี ได้วนกลับมาอีกครั้ง แต่รอบปีนี้พิเศษกว่าหลายปีก่อน เนื่องจากตลาดหุ้นไทยผันผวนอย่างมาก การลงทุนก็ยากขึ้น และต้องวางแผนลงทุนให้รัดกุมขึ้นด้วย

LTF-RMF หรือ "กองทุนแฝด" ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ที่ระบุว่าขนาดสินทรัพย์ล่าสุด ณ วันที่ 15 กันยายน 2558 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 4.19 แสนล้านบาท แบ่งเป็น LTF ขยายตัวขึ้นมาอยู่ที่ราว 2.53 แสนล้านบาท และ RMF อยู่ที่ 1.66 แสนล้านบาท จากสิ้นปี 2555 (3 ปีก่อนหน้า) ที่มีสินทรัพย์รวมมูลค่า 3.22 แสนล้านบาท แบ่งเป็น LTF อยู่ระดับ 1.99 แสนบาท RMF 1.23 แสนบาท

ผลตอบแทนลงทุน LTF ถดถอย

ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีทิศทางผันผวนอย่างมาก จากทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลก และปัจจัยเศรษฐกิจ การเมืองในประเทศไทย ส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนแฝดที่ลงทุนในหุ้นปรับตัวลดลง หรือบางกองทุนอยู่ในระดับที่ติดลบ ดังนั้นนักลงทุนหลายคนจึงมีคำถามที่ค้างคาใจว่า "ควรลงทุนในกองทุนแฝดอย่างไร ในช่วงที่เหลือของปีนี้"

โดยข้อมูลจากบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด พบว่าผลตอบแทนการลงทุนในกองทุน LTF ที่ลงทุนในหุ้น 100% แบบรายปีในปี 2554 ผลตอบแทนอยู่ที่ 11.35% แต่ปี 2555 ผลตอบแทนตกลงมาอยู่ที่ 2.38% ปี 2556 อยู่ที่ 5.88% และในปี 2557 พบว่าผลตอบแทนติดลบ -7.22%




ตอบคำถามคาใจลงทุน LTF

"สานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล" นักวิเคราะห์กองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า คำถามยอดนิยมได้แก่ "การลงทุน LTF ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ควรลงทุนอย่างไร รอซื้อช่วงปลายปีดีหรือไม่ ?" ทาง "บล.ฟิลลิป" มีความเห็นว่า นักลงทุนควรเริ่มลงทุนทันที และไม่ควรรอลงทุนช่วงปลายปี (เดือนธันวาคม) เพียงอย่างเดียว เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีเงินลงทุนไหลเข้ามาซื้อสุทธิ LTF ประมาณ 3.7 พันล้านบาทเท่านั้น จากปกติที่จะมีเงินลงทุนเข้าซื้อสุทธิปีละประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท หมายความว่ายังมีเงินเกือบ 1.8-1.9 หมื่นล้านบาท รอเข้าลงทุนในช่วงโค้งสุดท้าย ซึ่งจะส่งผลให้ราคาหุ้นต่างปรับตัวขึ้น นักลงทุนอาจมีต้นทุนที่สูงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น

"หากพิจารณาความน่าจะเป็น ก็มีโอกาสถึง 100% ที่เงินจะไหลเข้าลงทุนกระจุกตัวในเดือนธันวาคมเมื่อทุกคนแย่งกันซื้อหุ้นก็จะแพงขึ้น เราจึงแนะนำให้ซื้อทันที ไม่ต้องไปรอซื้อช่วงปลายปี"

สำหรับคำถามที่ว่า "หาก LTF ครบกำหนดอายุไถ่ถอน ปี 2559 ควรถอนเงินลงทุนออกหรือไม่" ประเด็นนี้แนะนำว่า นักลงทุนควรวิเคราะห์ผลตอบแทนอย่างละเอียด โดยเฉพาะนักลงทุนที่เริ่มลงทุนในช่วงปลายปี 2555 และครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2559 ซึ่งแม้ภาพรวมจะสร้างกำไรได้ประมาณ 2.32% แต่ก็ถือว่าเป็นผลตอบแทนในระดับที่ไม่น่าพึงพอใจ เพราะอัตราดังกล่าวรวมผลตอบแทนจากเงินปันผลที่เฉลี่ยประมาณ 3-4% ต่อปีเข้าไปแล้ว จึงแนะนำให้นักลงทุนถือต่อไปอีก 1-2 ปี เพื่อรอให้ได้ผลตอบแทนที่คาดหวัง

ผลตอบแทนไม่ดีควรทำอย่างไร

อย่างไรก็ตาม อาจมีคำถามอีกว่า "เมื่อกองทุนเดิมไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจ ควรเปลี่ยนไปยังกอง LTF กองอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหรือไม่ ?" มุมมองของ "สานุพงศ์" อธิบายว่า สามารถทำได้แต่นักลงทุนควรวิเคราะห์ก่อนว่า กองทุน LTF ของตนเอง หากเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารอนุพันธ์ หรือกองทุนที่ลงทุนในหุ้น 70% ตราสารหนี้ 30% (70/30) แนะนำให้สามารถเปลี่ยนเป็นกองทุน LTF หุ้น 100% ได้ เพราะที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากแล้ว ดังนั้นจึงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากราคาหุ้นที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต

แต่หากนักลงทุนเลือกซื้อกองทุนLTF ที่ลงทุนในหุ้น 100% ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปยังประเภทอื่น เพราะการลงทุน LTF ที่มีสัดส่วนตราสารหนี้ ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าในช่วงตลาดหุ้นขาขึ้นได้ ขณะเดียวกันแนะนำว่านักลงทุนไม่ควรปรับเปลี่ยนกองทุนบ่อย เพราะการจะหมุนเงินเข้าไปใน LTF ที่สร้างผลงานที่ดีในรอบ 1 ปี ถือเป็นดัชนีชี้วัดระยะสั้นเกินไป ซึ่งอาจมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในระยะยาวได้ อีกทั้งนักลงทุนจะมีต้นทุนเพิ่มจากค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนกองทุนด้วย

กสิกรไทยแนะหยุดวิตกลงทุนยาว

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย กล่าวว่า การลงทุนระยะยาวของ LTF นักลงทุนอาจกังวลต่อปัจจัยต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ การเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนทำให้เลือกจังหวะการลงทุนได้ไม่ดีนัก จึงแนะนำวิธีซื้อหน่วยลงทุนสะสมเฉลี่ยรายเดือน ซึ่งการกำหนดวันซื้อกองทุนอย่างแน่นอน จะช่วยให้นักลงทุนมีต้นทุนที่ไม่ถูกหรือแพงไป เมื่อเทียบกับการลงทุนครั้งเดียวในช่วงปลายปี กลยุทธ์นี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าจะมีต้นทุนที่เหมาะสม

นอกจากนี้ประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2559 จะอยู่ที่ 1,600 จุด สูงขึ้นจากปีนี้ที่อยู่ระดับ 1,450 จุด เนื่องจากปีหน้าจะเริ่มมีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรมขึ้น จึงจะทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ได้รับผลดี

สำหรับความกังวลของนักลงทุนที่ว่า LTF กำลังจะหมดมาตรการสิทธิประโยชน์ภาษีในปี 2559 ส่วนตัวประเมินว่าทางออกของประเด็นนี้น่าจะมีทิศทางที่ดี และไม่ว่าผลสุดท้ายทางการจะตัดสินใจอย่างไร นักลงทุนก็ควรมีทั้งเงินออมระยะสั้น สำหรับการใช้จ่ายฉุกเฉิน และการลงทุนระยะยาว สำหรับการใช้จ่ายยามเกษียณ

ลุ้นคลังต่อเวลาลดหย่อนภาษีต้นปี′59

ด้านแหล่งข่าวตลาดทุนกล่าวว่า จากการหารือล่าสุดกับกระทรวงการคลัง พบว่ามีแนวโน้มที่ LTF จะได้รับการต่ออายุสิทธิประโยชน์ภาษี แต่อาจจะมีเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น ขยายอายุการออมจากเดิมที่กำหนดให้ลงทุน 5 ปีปฏิทิน เป็น 7 ปีปฏิทิน เพื่อให้นักลงทุนได้ออมระยะยาวตามหลักการลงทุน ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งจำเป็นต้องรอให้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ

"ทางการเห็นด้วยกับแนวคิดการออมระยะยาว เพื่อให้ประชาชนมีเงินใช้หลังเกษียณ และที่ผ่านมา LTF-RMF มีส่วนสำคัญในการพยุงตลาดทุนไว้ โดยเฉพาะในช่วงที่นักลงทุนต่างชาติเทขายออกจากหุ้นไทย ดังนั้นทั้ง 2 กองแฝดจึงเป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มเสถียรภาพตลาดการลงทุนได้ดี" แหล่งข่าวกล่าว

"ประสงค์ พูนธเนศ" อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ความชัดเจนเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อยู่ระหว่างพิจารณาถึงความเหมาะสม รวมถึงค่าลดหย่อนต่าง ๆ ตลอดจนมาตรการภาษี LTF ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปและเสนอกระทรวงการคลังได้ในช่วงต้นปี 2559

ถอดสูตรลงทุน RMF

สำหรับการลงทุนใน RMF ซึ่งต้องลงทุนและถือหน่วยลงทุนระยะยาว จนกระทั่งอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ รวมทั้งต้องลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี "วีระ วุฒิคงศิริกูล" รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย อธิบายว่า นักลงทุนจะต้องตอบคำถามให้ได้ว่า "สามารถรับความเสี่ยงได้ระดับไหน ?" หากรับความเสี่ยงได้มาก ก็สามารถลงทุนในกองทุนที่มีสัดส่วนของหุ้นในอัตราที่สูงขึ้นได้ แม้กระทั่งการลงทุนใน RMF ที่เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

จากนั้นนักลงทุนจึงมาวิเคราะห์เรื่อง "นโยบายการลงทุน" ของกองทุนที่สนใจ รวมถึงต้องสังเกตด้วยว่ากองทุนที่จะเลือกซื้อนั้น เป็น RMF ประเภทที่เน้นสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าดัชนี (Active Fund) หรือเป็น RMF ประเภทที่สร้างผลตอบแทนในระดับเดียวกันกับดัชนี (Passive Fund) โดยข้อดีของ Active Fund นักลงทุนสามารถมั่นใจได้ว่า ผู้จัดการกองทุนจะพยายามปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ดีกว่าตลาด แต่หากการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาด ก็อาจได้รับความเสี่ยงจากผลตอบแทนที่ลดลง

ส่วน Passive Fund ซึ่งจุดสังเกตตรงที่มักจะมีคำอ้างอิงว่า "SET50" หรือค่าดัชนีต่าง ๆ ไว้ในชื่อกองทุน จุดเด่นตรงที่ นักลงทุนจะมั่นใจได้ว่าในภาวะตลาดขาขึ้น กองทุนจะสร้างผลตอบแทนที่ไม่น้อยกว่าตลาดอย่างแน่นอน เพียงแต่หากเป็นช่วงตลาดขาลงก็ต้องรับความเสี่ยงเช่นกัน

การลงทุนระยะยาวอาจลดความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง...แต่หากลงทุนแบบไร้กลยุทธ์ไม่รู้เทคนิคการลงทุน ก็อาจสร้างความเสี่ยงทวีคูณ...โค้งสุดท้ายนี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการแก้มืออีกครั้ง กับ "กองทุนแฝด"



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #223 เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2015, 08:58:28 am »
คำว่า แบล็กลิสต์  ทางบจ.ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ  ไม่ให้ใช้คำนี้ 
แต่ใช้คำว่า เคยมีประวัติการค้างชำระหนี้กับสถาบันการเงิน

---------------------------------------------------------------------------



ติดแบล็กลิสต์ กู้ซื้อบ้านได้ไหม
-http://money.sanook.com/328049/-


คอลัมน์สามัญสำนึก โดย เมตตา ทับทิม

นับแต่วินาทีนี้จนถึงราว ๆ ปลายเดือนเมษายน 2559 ลมหายใจเข้าออกคนอยากมีบ้านหนีไม่พ้น "มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ" ของรัฐบาล คสช.

ขานมาตรการให้ฟังอีกรอบนะคะ รัฐบาลแจก 3 กลุ่ม เริ่มจาก "ด้านภาษี" ลดค่าโอน 2% จดจำนอง 1% เหลือ 0.01% คำนวณง่าย ๆ บ้าน คอนโดมิเนียมราคา 1 ล้านบาท เดิมจ่าย 3% หรือล้านละ 3 หมื่น เหลือล้านละ 300 บาท มีเวลาให้ 6 เดือน (คาดว่าหมดภายใน 30 เมษายน 2559)

กลุ่มที่สอง "ด้านการเงิน" ความจริงมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ หลายรัฐบาลก็เคยทำมาก่อน แต่รอบนี้เน้นช่วยคนที่กู้ไม่ผ่าน โดยสั่งให้ ธอส. (ธนาคารอาคารสงเคราะห์) ตั้งวงเงิน 10,000 ล้านบาท ปล่อยกู้ซื้ออสังหาฯ ไม่เกิน 3 ล้าน

ในแง่ดอกเบี้ยไม่ได้พิเศษวิลิศมาหราอะไรเลย เพราะปีแรก 3.50% ปีที่สอง 4.25% จากนั้นดอกเบี้ยลอยตัวตามเรต MRR (ดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อย แพงกว่า MLR ซึ่งเป็นดอกเบี้ยเงินกู้รายใหญ่ ในที่สุดคนรวยก็ได้เปรียบอยู่ดี เฮ้อ)

ล่าสุดทางแบงก์ออมสินลุกขึ้นมาประกาศเติมเงินสินเชื่อให้อีก 10,000 ล้านบาท เงื่อนไขเดียวกันเป๊ะ แต่เร้าใจกว่านิดหน่อยตรงที่หลังจากดอกเบี้ย 2 ปีแรกแล้ว ปีที่เหลือตลอดอายุสัญญาเงินกู้ให้ดอกเบี้ย MRR-1%

ทั้งนี้ เงื่อนไขที่เหมือนพระมาโปรดก็คือผ่อนคลายเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อค่ะ จากเดิมเขาคำนวณจาก DSR (Debt Service Ratio) หรือสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ เดิมกู้เงินซื้อบ้านถ้าเรามีรายได้ 100 บาท สถาบันการเงินอนุญาตให้เราเป็นหนี้ได้ 30-40 บาท เขาถึงจะยอมปล่อยเงินกู้ให้ แต่รอบนี้เกณฑ์ดีเอสอาร์ขยับให้เล็กน้อย จาก 30% เป็น 50%

หมายความว่าถ้าเรามีรายได้ 100 บาท ตอนนี้มีหนี้ได้ถึง 50 บาท เขาก็จะยอมหลับตาข้างหนึ่งปล่อยกู้ให้ มีเวลาให้ 1 ปี (19 ตุลาคม 2558-18 ตุลาคม 2559)

กลุ่มที่สาม "ด้านสิทธิประโยชน์" ด้วยการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่จะต้องซื้ออสังหาฯไม่เกิน 3 ล้าน ลดหย่อนได้ 20% 5 ปี เช่น ซื้อบ้าน 1 ล้าน ลดหย่อน 20% คือ 2 แสนบาท หาร 5 ปีเท่ากับปีละ 4 หมื่นบาท ก็คือขอลดหย่อนได้ปีละ 4 หมื่น เป็นต้น

อธิบายมาตั้งยืดยาว คิดว่าน่าจะจบครบถ้วนกระบวนความ แต่ที่ไหนได้ มีคำถามเซ็งแซ่อยู่ในโซเชียลมีเดียว่า กระผม/ดิฉันติดแบล็กลิสต์ (บัญชีดำ) กู้ซื้อบ้านได้หรือป่าว

คำถามนี้ไปทำการบ้านมาให้แล้วค่ะ จาก "น้องตุลย์"ผู้ช่วยหัวหน้าข่าวการเงินของ น.ส.พ.ประชาชาติธุรกิจ นางตอบทันทีว่า ไม่ด๊ายค่ะ ไม่ได้เด็ดขาด

พร้อมกับได้รับคำยืนยันจาก ต้นทางมาจากเครดิตบูโร (บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด) อธิบายนิยามคำว่าแบล็กลิสต์ หมายถึงคุณเคยมีหนี้สินกับสถาบันการเงินและเบี้ยวจ่ายติดต่อกัน 3 เดือนขึ้นไป คุณภาพสินเชื่อของคุณกลายเป็นหนี้เสีย หรือ NPL ทันที

ปัญหาคือเมื่อมีชื่ออยู่ในแบล็กลิสต์แล้ว จะปลดล็อกยังไง ทำได้รวดเร็วแค่ไหน

คำตอบเบื้องต้น ก็จะต้องติดต่อโดยตรงกับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ของเรา เจรจาประนีประนอมได้แค่ไหน เช่น พักเงินต้น จ่ายแต่ดอกเบี้ย ฯลฯ เมื่อคุยกันลงตัวแล้ว ทางสถาบันการเงินเจ้าหนี้จะส่งเรื่องไปเครดิตบูโร เพื่อเปลี่ยนสถานะจาก "ผู้เคยค้าง" หรือติดแบล็กลิสต์ กลายเป็น "ปิดบัญชี" (เงื่อนไขเวลากว่าจะจบนาน 36 เดือน)

ระหว่างนี้ ลูกหนี้ที่น่ารักทั้งหลายจะต้องช่วยตัวเอง ด้วยการสร้างวินัยการออม ไปเปิดบัญชีเงินฝาก ทางแบงก์เขาจะดูใจว่าเรามีวินัยแค่ไหน เร็วสุดต้องออมเงินติดต่อกัน 12 เดือนขึ้นไป การขอกู้ใหม่อีกรอบจึงมีโอกาสหวังผล

บางคำถามขอละไว้ในฐานที่เข้าใจนะคะ เช่น มีชื่อติดแบล็กลิสต์ แต่ก็อยากซื้อบ้านภายใต้มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ รอบนี้ ทันไหม ? ข้อแนะนำคือจะต้องไปจับเข่าคุยกับเจ้าหนี้ที่ปล่อยกู้เพียงอย่างเดียว ไม่แน่นะคะ ปาฏิหาริย์อาจจะมีจริงก็ได้

ก่อนจบ ฝากข้อคิดจากเครดิตบูโร ทั่นบอกว่า ...เครดิตดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง






คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #224 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2015, 08:13:57 pm »
ใช้บัตรเครดิตอย่างไรไม่ให้เป็นหนี้
-http://www.moneyguru.co.th/-
-http://money.sanook.com/329519/-


ปัจจุบัน การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเป็นอะไรที่สะดวกรวดเร็ว และมีความคล่องตัวมากที่สุดในโลกของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายค่าสินค้าที่มีราคาสูง หรือจ่ายค่าน้ำมัน ค่าน้ำค่าไฟ และสถาบันการเงินบางแห่งยังให้สิทธิประโยชน์จากการถือบัตรเครดิตอีกด้วย แต่ว่าการใช้บัตรเครดิต เป็นการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินที่ออกบัตรเครดิตให้ หากใช้อย่างไม่ระมัดระวังจนเกินความสามารถในการหาเงินมาชำระหนี้ได้ทันเมื่อถึงกำหนด อาจทำให้ผู้ใช้บัตรเครดิตต้องเป็นหนี้จำนวนมากได้ วันนี้ MoneyGuru.co.th ก็มีเคล็ดลับการใช้บัตรเครดิต แบบไม่ให้เป็นหนี้มานำเสนอกันครับ

1. อย่าจ่ายเกินความสามารถในการหาเงินสด


เวลามีบัตรเครดิต การใช้จ่ายจะสะดวกมากๆ แค่รูดบัตรก็สามารถซื้อสินค้าได้แล้ว จนอาจทำให้เกิดการใช้จ่ายเกินความสามารถในการหารายได้มาใช้เงินที่รูดบัตรไป และต้องตกเป็นหนี้กับสถาบันการเงิน ซึ่งก็เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป ว่าหนี้บัตรเครดิตนั้น มีดอกเบี้ยจะสูงกว่าการกู้ยืมเงินปกติ ดังนั้น ควรใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไม่ให้เกินความสามารถในการหาเงินสดมาชำระหนี้ของตัวเอง จะทำให้ไม่ต้องตกเป็นหนี้ครับ อาจจะทำรายการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพื่อเตือนความจำว่าใช้จ่ายไปเท่าไหร่บ้างแล้ว เพื่อไม่ให้เกินรายได้ที่จะหามาได้ตอนสิ้นเดือน

2. ชำระหนี้ให้ตรงเวลา


เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เราจะเป็นหนี้กับสถาบันการเงินตามยอดเงินที่ได้ใช้จ่ายไป และต้องนำเงินสดไปชำระกับสถาบันการเงินในเวลาที่กำหนด แต่หากคุณไม่สามารถชำระหนี้ให้ตรงเวลา คุณก็จะกลายเป็นลูกหนี้ผิดนัด สถาบันการเงินก็สามารถเรียกดอกเบี้ยผิดนัดคุณได้ ซึ่งดอกเบี้ยบัตรเครดิตนั้น ค่อนข้างสูง ดังนั้น ควรจ่ายหนี้ให้ตรงเวลา เพื่อจะได้ไม่ต้องมีหนี้ในส่วนดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นครับ

3. ใช้เท่าที่จำเป็น


บัตรเครดิตอาจจะมีความสะดวกก็จริง เพราะสามารถใช้จ่ายได้แม้ไม่มีเงินสดอยู่กับตัว แต่จะดีกว่าหรือไม่ ถ้าจะไม่ใช้บัตรเครดิตพร่ำเพรื่อสำหรับการใช้จ่ายทุกรายการ คุณจะได้ไม่ติดนิสัยการจ่ายผ่านบัตรเครดิต และย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ยังไงก็ต้องหาเงินสดมาใช้หนี้ ดังนั้น บัตรเครดิตอาจใช้สำหรับชำระค่าสินค้าที่มีราคาสูง เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ การจ่ายผ่านบัตรเครดิตจะทำให้คุณไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมาก หรือ เวลาที่เงินไม่พอสำหรับการใช้จ่ายบางอย่าง เช่น การเจ็บป่วยฉุกเฉิน ก็อาจใช้บัตรเครดิตจ่ายแทน เป็นต้น

4. กันเงินสดไว้สำหรับจ่ายหนี้บัตรเครดิต


เวลาที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ควรกันเงินสดหรือวางแผนการกันเงินสด ไว้สำหรับจ่ายหนี้บัตรเครดิตเมื่อถึงกำหนดชำระ วิธีนี้ จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการชำระหนี้บัตรเครดิตได้ตรงเวลามากขึ้น และไม่มีปัญหาเรื่องการมีเงินไม่พอสำหรับจ่ายหนี้บัตรเครดิตครับ

5. ไม่ควรมีบัตรมากกว่า 2 ใบ


การมีบัตรเครดิตมากกว่า 2 ใบ นอกจากจะทำให้เกิดความสับสนในการใช้จ่ายเงินและไม่สามารถวางแผนการใช้จ่ายเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังสร้างนิสัยการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ฟุ่มเฟือยอีกด้วย เพราะบัตรเครดิตหลายใบ เมื่อรวมกันจะทำให้สามารถใช้ได้ในวงเงินที่สูง ดูเหมือนว่าจะใช้จ่ายได้มาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความสามารถในการหาเงินมาชำระหนี้นั้นมีไม่มากพอ จะทำให้ตกเป็นหนี้ได้ง่าย และอาจเกิดการนำบัตรเครดิตอีกใบ ไปชำระหนี้บัตรเครดิตอีกใบแบบไม่จบสิ้น ดังนั้น ควรมีบัตรเครดิตไม่เกิน 2 ใบ เพื่อสร้างวินัยในการใช้จ่ายของตนเองนะครับ

5 วิธีข้างต้นในการใช้บัตรเครดิตไม่ให้เป็นหนี้นั้น ทำได้ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ แค่สร้างวินัยให้กับตัวเองในการใช้บัตรเครดิตและการชำระหนี้ ก็ทำให้คุณสามารถวางแผนการใช้บัตรเครดิตได้อย่างง่ายๆ เลยครับ และหากคุณผู้อ่านสนใจข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับบัตรเครดิต สามารถติดตามต่อได้ที่ MoneyGuru.co.th ครับ

อ้างอิง: pattanakit.net, oknation.net, sanook.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #225 เมื่อ: ธันวาคม 13, 2015, 06:04:37 pm »
รู้ไหม? ...โครงสร้างใหม่ภาษีรถ เริ่มใช้ 1 ม.ค.59 ทำรถยนต์แพงขึ้นเท่าไร !!
-http://money.sanook.com/340979/-

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมานายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยระหว่างแถลงข่าวร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมถึงความพร้อมในการจัดเก็บภาษีสรรพาสามิตรถยนต์ที่อิงจากการปล่อยมลพิษหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์(CO2)ว่ากระทรวงการคลังกระทรวงอุตสาหกรรมมีความพร้อมที่จะจัดเก็บภาษีสรรสามิตรถยนต์แบบใหม่ตั้งแต่วันที่1มกราคม2559เป็นต้นไป

โดยที่ผ่านมาได้ให้ผู้ประกอบการปรับตัวมาแล้วถึง3 ปี ซึ่งการจัดเก็บภาษีแบบใหม่จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมหันมาผลิตรถยนต์ที่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศไทยมากขึ้น


นายสมชายพูลสวัสด์อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวว่าขณะนี้กรมสรรพสามิตพร้อมจะออกประกาศเพื่อจัดเก็บภาษีสรรสามิตรถยนต์จากการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯแล้วเพื่อให้สามารถเริ่มจัดเก็บได้ตั้งแต่วันที่1มกราคมซึ่งรถยนต์กระทบกับรถยนต์ขนาดเล็ก หรืออีโอคาร์จะไม่ได้รับผลกระทบ รถยนต์ที่ขนาด 1,800-2,000 ซีซีขึ้นไป จะต้องมีการจ่ายภาษีเพิ่มในอัตรา 3-5% จากที่เคยจัดเก็บในอัตรา 30-35% ก็จะจัดเก็บเพิ่มเป็น 35-40% คาดว่าภาษีใหม่นี้ทำให้กรมจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์เพิ่มได้ 7-8 พันล้านบาท

นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ยืนยันว่ากระทบวนการตรวจสอบค่าคาร์บอนฯนั้นทำได้เร็ว ขณะนี้มีรถยนต์ที่ส่งมาตรวจสอบและได้ป้ายข้อมูลรถยนต์ หรือ อีโค สติกเกอร์ตั้งแต่ 1 ตุลาคม2558 จำนวน 677 ครอบคลุมรถยนต์กว่า 95%

-http://www.matichon.co.th/index.php#-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #226 เมื่อ: มกราคม 10, 2016, 10:30:08 am »
ไม่ยากครับ

เพียงแต่รู้จักการวางแผน การใช้จ่าย และ การออมเงิน
รู้ว่า สิ่งไหนจำเป็น สิ่งไหนไม่จำเป็น
ซื้อในแต่ละครั้งให้พอกับการใช้ในแต่ละเดือน

ต่อให้ทางห้างฯจัดวางสินค้ารูปแบบไหน
ก็ไม่มีอะไร ไม่มีปัญหาใดๆ ที่จะดึงเงินจากกระเป๋าเราออกไปได้

-----------------------------------------------


เราจะจับจ่ายมากขึ้นเมื่อเดินวนขวา รู้ให้ทันทริคการค้าของห้างทั่วไป
-http://money.kapook.com/view138594.html-

 วิธีช้อปปิ้งอย่างคุ้มค่าควรศึกษาทริคทางการค้าของห้างสรรพสินค้าไว้บ้าง แล้วรู้ยังว่าหากเดินช้อปปิ้งวนขวา เราอาจควักจ่ายเงินช้อปปิ้งมากขึ้นนะ

          เวลาที่เดินช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า น้อยคนนักที่จะรีบหยิบของใส่รถเข็นแล้วก็นำไปจ่ายเงิน นอกจากจะมีเวลาน้อยและรีบมากจริง ๆ เพราะเมื่อมีโอกาสได้ไปช้อปปิ้งแล้ว เราก็มักจะเดินเตร็ดเตร่ดูสินค้าไปเรื่อย ๆ ซึ่งจุดนี้แหละค่ะที่ทำให้เราเผลอใช้จ่ายอย่างเพลิดเพลินจนเกินงบที่เคยกะไว้คร่าว ๆ และรู้อะไรไหมคะว่าทำไมเรามักจะอ้อยอิ่งอยู่ในห้างสรรพสินค้า แถมยังได้สินค้าที่ไม่เคยคิดไว้ว่าจะซื้อติดไม้ติดมือกลับมาด้วย นั่นก็เพราะห้างสรรพสินค้าใช้หลักจิตวิทยาเดินวนขวากับเหล่าผู้บริโภคอย่างเราไง

          โดยผลการศึกษาจากหลายสถาบันยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะเดินช้อปปิ้งแบบเวียนทางขวาตามความเคยชิน แถมยังเป็นที่น่าสังเกตว่าห้างสรรพสินค้าที่จัดทางเข้าสโตร์ให้ง่ายต่อการเดินไปทางด้านขวา ยังมีแนวโน้มจะขายดิบขายดีกว่าห้างสรรพสินค้าที่จัดประตูให้ง่ายต่อการเดินไปทั้ง 2 ด้าน และแย่ไปกว่านั้นคือห้างที่จัดทางเดินให้ง่ายต่อการเดินวนซ้าย ยังมีแนวโน้มจะซบเซามากกว่าใครอีกด้วย


          ดังนั้นสินค้าที่จะอยู่ทางด้านขวาในตำแหน่งแรก ๆ ก็ต้องเป็นของที่ยั่วยวนใจได้มากพอดู อย่างโซนเบเกอรี่และอาหารปรุงสดกลิ่นหอมกรุ่นเตะจมูกก็มักจะอยู่ทางด้านขวามือ รวมทั้งโซนสินค้าราคาถูกมากมายก็มักจะอยู่ด้านหน้าของตัวห้างอีกด้วย นั่นก็เพราะทางห้างสรรพสินค้าต้องการโน้มน้าวให้เราสนใจในตัวสินค้า และให้เราอยู่ในห้างให้ได้นานที่สุด

          นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์ทางการจัดวางสินค้าอีกมากมายที่ใช้หลักทางจิตวิทยาเข้าช่วย อย่างสินค้าตัวท็อปที่เป็นที่ต้องการสูงก็มักจะไม่อยู่ในโซนด้านหน้าที่ฉวยหยิบง่าย แต่มักจะถูกจัดไว้ในโซนด้านหลัง โดยเราต้องเดินผ่านโซนสินค้าฟุ่มเฟือยแต่ดันลดราคาหนักมาก หรือจัดโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 ไปหลายรายการ ก่อนที่จะเจอเข้ากับสินค้าที่ต้องการจะซื้อ ซึ่งก็นับเป็นกลยุทธ์ทางการจัดสินค้าอย่างหนึ่งที่จะชักนำให้เราสนใจสินค้าตัวอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากลิสต์สินค้าในใจนั่นเองค่ะ

          ทั้งนี้ยังมีทริคในเรื่องของสีสันสดใส เช่น สีแดงสดและสีส้มของตัวสินค้าเข้ามากระตุ้นต่อมอยากช้อปปิ้งของเหล่าผู้บริโภคด้วยนะคะ ซึ่งในกรณีที่เราเป็นผู้บริโภคก็ควรจะรู้ทันเทคนิคเหล่านี้ไว้บ้าง จะได้คอยยับยั้งตัวเองไม่ให้ใช้จ่ายจนเพลินเกินคำว่าคุ้มค่าไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
CRACKED, lifehacker
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #227 เมื่อ: มกราคม 10, 2016, 09:04:14 pm »
วิธีบริหารเงิน ที่ไม่มีสอนในโรงเรียน
-http://money.sanook.com/347863/-


สนับสนุนเนื้อหา
-https://moneyhub.in.th/-

เงินมีบทบาทกับการดำเนินชีวิตของคนเราในทุกๆด้าน เพราะสามารถใช้แลกเปลี่ยนสิ่งอำนวยความสะดวกใช้ซื้อสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ทำให้คนเราคุ้นเคยกับการใช้จ่ายเงินมากกว่าการ บริหารเงิน ที่หามาได้ เมื่อใช้จ่ายเงินไม่เป็นระบบเพราะขาดการบริหารก็กลายเป็นปัญหาและก่อให้เกิดหนี้สินตามมา


วิธีบริหารเงิน ที่ไม่มีสอนในโรงเรียน คือข้อคิดดีๆที่เรานำมาฝากในวันนี้ ซึ่งวิธีเหล่านี้พ่อแม่ควรที่จะสอนลูกด้วยตัวเอง และควรฝึกเขาตั้งแต่เด็ก เพื่อปลูกฝังการรู้จัก บริหารเงิน ให้เป็นและการเก็บออมให้กับลูกน้อยของคุณนั่นเอง ว่าแต่มีอะไรบ้างนะ เราไปดูกันค่ะ


1.สอนลูกให้รู้จักค่าของเงิน
สอนลูกให้รู้จักค่าของเงิน เป็นการสอนลูกให้รู้จักการใช้จ่ายเงินที่ถูกต้องตั้งแต่ยังเล็กๆ การเลี้ยงลูกของพ่อแม่ในปัจจุบันไม่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้เด็กๆหลายๆคน เมื่อพ่อแม่พาเข้าร้านสะดวกซื้อก็จะหยิบจับสิ่งของที่ตนเองสนใจหรือต้องการทันที โดยไม่เห็นความสำคัญในการใช้จ่ายเงิน ซึ่งเด็กๆต้องรู้ว่าการเลือกซื้อสิ่งของควรเกิดจากความจำเป็นในการใช้มากกว่า ดังนั้นเมื่อลูกต้องการจะซื้ออะไรสักอย่างที่ไม่จำเป็น ซึ่งในเวลานั้นคุณก็ไม่ค่อยคล่องเรื่องเงินสักเท่าไหร่ ไม่ควรตามใจลูกแต่ควรสอนลูกให้เขาเข้าใจว่าสิ่งสิ่งนั้นมันไม่จำเป็นเลย โดยต้องสอนให้เขารู้คุณค่าของเงินด้วย เมื่อสอนแบบนี้บ่อยๆ เขาก็จะเข้าใจไปเอง แถมวิธีนี้ยังช่วยลดความเอาแต่ใจของลูกได้ด้วยนะ


2.ปลูกฝังวินัยการออม
การปลูกฝังวินัยการออมต้องทำให้เป็นนิสัย เชื่อว่าเด็กๆทุกคนถูกสอนให้เก็บออมโดยการหยอดกระปุกออมสิน แต่ไม่เคยสอนเด็กให้มีเป้าหมายในการออมเงิน เช่น หยอดกระปุกออมสินไว้เพื่อนำเงินที่ได้ไปเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร หรือสอนให้เด็กรู้จักเก็บออมเงินไว้เพื่อซื้อสิ่งของที่ตนเองต้องการ เช่นซื้อของเล่นราคาแพงๆ ซึ่งนอกจากเป็นการสอนให้เด็กรู้จักเก็บออมเงินแล้ว ยังสอนให้เด็กรู้คุณค่าของเงินว่าเป็นสิ่งที่หายากอีกด้วย ดังนั้นพ่อแม่อย่าลืมที่จะสอนให้เขาเข้าใจด้วยนะคะว่าเราเก็บออมเงินไปเพื่ออะไร และการเก็บออมเงินมีประโยชน์ย่างไร หรืออาจจะสอนให้เขาเก็บออมเงินไว้ซื้อของที่ต้องการด้วยตัวเขาเองก็ได้


3.เรียนรู้ก่อนลงมือทำ
พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่มักลอกเลียนแบบคนที่ประสบความสำเร็จ แล้วลงมือทำตามโดยปราศจากการเรียนรู้ทำให้คนเหล่านี้ล้มเหลวในการทำสิ่งต่างๆ มากกว่าประสบความสำเร็จ เพราะไม่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ก่อนลงมือทำ การเรียนรู้ทุกเรื่องราวก่อนลงมือทำเสมอสอนให้ทุกคนรู้จักคิด รู้จักการวางแผนและทำงานอย่างเป็นระบบ ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่ทำให้เกิดปัญหาหรือมีภาระหนี้สินตามมาน้อยมาก และแน่นอนว่าการสอนให้เขาเรียนรู้ก่อนลงมือทำนั้นไม่ได้ทำให้ลดปัญหาทางการเงินลงเท่านั้น แต่ยังทำให้เราเป็นคนรอบคอบ คิดก่อนทำ ซึ่งจะนำไปสู่การประสบความสำเร็จอย่างง่ายดายอีกด้วย


4. หาเงินก่อนใช้เงินเสมอ
เมื่อเราต้องการเงินสำหรับการใช้จ่ายสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ก็ควรหาหนทางเพื่อให้ได้เงินมาอย่างถูกต้อง เมื่อต้องการสิ่งใดก็ต้องลงมือทำเพื่อให้ได้เงินมาไม่ควรให้ความต้องการของตนเองไปทำร้ายหรือรบกวนคนอื่น หลีกเลี่ยงการนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อน เช่น การกู้ยืมเงินประกันชีวิตหรือการกู้ยืมเงินที่ต้องนำเงินเก็บออมของเราค้ำประกันซึ่งวัยของลูกน้อยนั้นอาจไม่สามารถหาเงินได้ด้วยตัวเอง แต่คุณสามารถสอนให้เขาเก็บออมเงินเมื่ออยากได้สิ่งของที่ต้องการได้ ซึ่งจะทำให้เขาเรียนรู้ที่จะไม่รบกวนพ่อแม่เมื่อยากได้อะไรสักอย่าง แต่ขาจะเก็บเงินเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมาด้วยความพยายามของเขาเอง


5.เงินมีความสำคัญแต่ไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิต
การใช้เงินแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิต ทำให้คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเงินจนลืมคิดไปว่าเงินไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิต เมื่อคิดว่าเงินคือสิ่งที่สำคัญทำให้เกิดการแข่งขันในทุกๆด้าน แข่งกันประกอบอาชีพแข่งกันซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเพื่อบ่งบอกความมั่งมี แต่อย่าลืมว่าเงินไม่ได้ทำให้เรามีความสุขเสมอไป การมีเงินอาจไม่มีความสุข และการไปกู้ยืมเงินคนอื่นมาเพื่อให้ตนมีเงินใช้ก็ไม่ทำให้คนเรามีความสุขเหมือนกัน


วิธีบริหารเงิน ที่ไม่มีสอนในโรงเรียน จึงนอกจากจะเป็นเรื่องของวิธีปฏิบัติเพื่อปลูกฝังให้เกิดความเคยชินในการ บริหารเงิน แล้ว ยังเป็นเรื่องของแนวคิดและมุมมองที่ทุกคนควรคิดวิเคราะห์และเรียนหลักการ บริหารเงิน เพื่อการดำรงชีวิต เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มีสอนอยู่ในโรงเรียนทุกคนจึงต้องเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างถูกต้องและเข้าใจเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายเงินอย่างมีประสิทธิภาพนั้นเอง


และที่สำคัญอย่าลืมสอนลูกน้อยของคุณให้รู้จักบริหารการใช้จ่ายเงินตั้งแต่ยังเล็กนะคะ เพราะจะปลูกฝังนิสัยการใช้จ่ายเงินให้กับเขาไปจนโตนั่นเอง เมื่อถึงตอนนั้นหากเขามีวินัยในการจ่ายเงินที่ดีตั้งแต่เด็ก เขาก็จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #228 เมื่อ: มกราคม 10, 2016, 09:05:55 pm »
คน 3 ประเภทที่ยังไงก็ ออมเงิน ไม่ได้ !
-http://money.sanook.com/347811/-


สนับสนุนเนื้อหา
-https://moneyhub.in.th/-

ความร่ำรวยเป็นสิ่งที่เราทุกคนขวนขวายพอๆกับอนาคตที่เป็นไปตามที่เราอยากจะเป็น แต่เราก็ต้องยอมรับว่าระหว่างที่เราจะไปทำตามความฝันของเรานั้น ก็มีเรื่องของเงินเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่เสมอๆ จนกลายเป็นว่าเงินเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้น จนเกิดเป็นปัญหาหนี้สินต่างๆตามมามากมาย เนื่องจากการใช้เงินที่เกินความพอดีนั่นเอง


ดังนั้นหากคุณอยากมีเงินเก็บออมและเป็นคนรวยกับเขาสักทีล่ะก็ จะต้องเลิกนิสัยแย่ๆ ในด้านการใช้จ่ายเงินของคุณซะ แล้วการเงินก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน


อย่างที่หลายๆคนรู้ว่าความร่ำรวยนั้นมีรากฐานมาจากการ ออมเงิน เพราะนอกจากการ ออมเงิน จะเป็นการสร้างเงินของเราให้เพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างนิสัยการใช้เงินที่ดีให้แก่เราในระยะยาวอีกด้วย ดังนั้น เราจึงมักจะเห็นผู้ใหญ่หลายๆคนพยายามปลูกฝังนิสัยการออมให้ลูกหลานของตนตั้งแต่ยังเล็กๆอยู่ นั่นก็เพื่อหวังผลของการเงินที่ดีในระยะยาวนั่นเอง อีกอย่างการฝึกหัดตั้งแต่เด็กนั้นจะทำให้เด็กโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวินัยในการ ออมเงิน มากขึ้น และมีวินัยในการใช้จ่ายเงิน ซึ่งจะทำให้เขาสุขสบายในวันข้างหน้าไดนั่นเอง


แต่ก็ใช่ว่าการปลูกฝังให้เด็กๆมีนิสัยที่รักในการอดออมและวินัยทางการเงินที่ดีจะช่วยให้เด็กสามารถมีเงินเหลือใช้ได้ในอนาคตเสมอไป เนื่องจากในสมัยนี้มีปัจจัยหลายๆปัจจัยที่เข้ามามีผลต่อการใช้เงินของเรา ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินที่แพงมาก ค่าครองชีพที่ดูจะสูงล้ำหน้าเงินรายได้ของคนเกือบค่อนประเทศไป เป็นต้น ซึ่งบางครั้งแค่นิสัยการเงินที่ดีก็ยังจะเอาไม่อยู่เกือบมีปัญหาทางการเงินก็หลายครั้ง


แน่นอนว่าคนที่มีพื้นฐานรักในการอดออมและมีวินัยทางการเงินที่ดีย่อมได้รับผลกระทบน้อยกว่าคนที่มีนิสัยบางอย่างที่ทำให้การอดออมดูจะล้มเหลวไปอยู่แล้ว ซึ่งนิสัยเสียๆที่จะมีผลกับการ ออมเงิน ของเรา ประกอบไปด้วย


คนที่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย
หรือคนที่มีการใช้เงินเกินความจำเป็น คนในกลุ่มนี้มักจะมีความอยากได้อยากมีมาบดบังอยู่ เมื่อเห็นสิ่งต่างๆที่กระตุ้นให้เกิดความอยากได้อยากมีก็มักจะลืมคิดไปว่าสิ่งนั้นจะสามารถนำมาใช้ได้จริงหรือไม่ หรือสิ่งนั้นมีความจำเป็นมากแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็จ่ายเงินไปแล้ว บางคนที่ดีหน่อยก็อาจจะมานึกเสียดายทีหลังว่าไม่น่าใช้เงินไปแบบนั้น แต่บางคนนั้นไม่รู้สึกตัวเลยก็มีด้วยซ้ำ อันตรายมากจริงๆ ยิ่งถ้าเป็นคนที่อยากมีอยากได้เหมือนเพื่อนด้วยแล้ว ยิ่งน่ากลัวไปใหญ่

อย่าลืมนะว่า เรากับเขาสถานะทางการเงินไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นใช้จ่ายเงินเท่าที่ความสามารถของตัวเองดีกว่า และควรยึดหลักการเก็บ ออมเงิน เป็นสำคัญด้วยนะ


คนที่ไม่มีวินัยในการออม
แน่นอนว่าการออมจะเป็นรากฐานของการมีเงินเก็บที่ดีในอนาคต ดังนั้นคนที่ขาดวินัยในการออมนั้นอาจจะมีเงินกินเงินใช้ในวันนี้ ณ ปัจจุบันนี้ แต่ถ้าวันไหนเกิดขาดรายได้ขึ้นมา คนพวกนี้ก็จะไม่มีเงินเลย ไม่ว่าจะเป็นรายได้หรือเงินเก็บก็ตาม ถึงอยากจะเอาเงินไปต่อยอดทำอะไรก็ทำไม่ได้เพราะตนเองไม่มีเงินที่สามรถนำไปใช้ได้โดยไม่มีผลต่อชีวิตประจำวันเลยนั่นเอง

เพราะฉะนั้นการเก็บออมเงินจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นรากฐานไปสู่ความร่ำรวยได้ หากคุณอยากรวยกับเขาสักทีล่ะก็ สลัดนิสัยไม่มีวินัยในการออมเงินออกไปซะ แล้วมาเริ่มการออมเงินเพื่ออนาคตวันข้างหน้ากันดีกว่า


คนโลภ
เป็นอีกสิ่งที่พาให้คนมีการเงินที่ล้มเหลวมาแล้วนักต่อนัก คนพวกนี้มักจะอยากได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เสมอ และมักจะเลือกที่จะเสี่ยงเพื่อให้ได้มามากกว่าเดิมโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีนั่นเอง เช่น การนำเงินไปลงทุน ซึ่งเป็นการนำเงินที่เรามีไปลงทุนในอะไรบางอย่างเพื่อสร้างกำไร แต่หากเกิดความโลภอยากได้เงินเยอะๆจนไปลงทุนในสิ่งที่ความเสี่ยงมากๆก็อาจจะทำให้ได้เงินจำนวนๆมาก แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะเสียเงินไปจนหมดก็ได้เช่นกัน และสุดท้ายเงินก้อนนั้นก็หายไป

ดังนั้นอย่าคิดว่ามีเงินเยอะแล้วจะสามารถใช้เงินทำเงินให้กับเราได้อย่างง่ายดาย เพราะการลงทุนไม่ใช่เรื่องง่าย ควรเริ่มจากจุดเล็กๆ ก่อนเพื่อป้องกันการขาดทุน และควรลงทุนแบบค่อยเป็นค่อยไป จะดีกว่านะ


ดังนั้นสรุปโดยรวมแล้วการมีนิสัยใช้เงินโดยไม่คิดน่าคิดหลังให้ดีและใช้เงินไปด้วยความโลภนั่นเองที่ทำให้เราไม่สามารถออมเงินได้ การรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมีและรู้จักประมาณตนจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของการออมเงินนั่นเอง ใครที่ยังไม่สามารถออมเงินได้สักที


ลองสำรวจดูนะว่าตัวเองมีนิสัยแย่ๆ อย่างไรถึงทำให้ออมเงินไม่สำเร็จ จากนั้นก็ให้เลิกนิสัยแย่ๆ นั้นซะ แล้วหันมาออมเงินด้วยความตั้งใจจริง แค่นี้คุณก็จะมีเงินออมจากน้อยไปมาก และกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ในที่สุด ทีนี้ก็สุขสบายไปอีกนานเลยล่ะ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #229 เมื่อ: มกราคม 14, 2016, 09:58:23 pm »
ภาษีและการบริหารการเงิน[ซีรีส์]
ตอน RMF ลงทุนอย่างไร จึงคุ้มค่า....ใครเหมาะจะลงทุน?
-http://money.sanook.com/343883/-

วันนี้มาดูการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคตและการบริหารเงิน ที่ได้ประโยชน์ทางภาษี  โดยการลงทุนระยะยาวในกองทุนคู่แฝดอีกกองทุน หลังจาก ครั้งก่อนเราเรียนรู้ในเรื่องกองทุน LTF ไปแล้ว

ก่อนอื่นเราต้องรู้จักกองทุน RMF ว่า เป็นการทุนแบบใด มีเงื่อนไขอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ และสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างไร..สิ่งเหล่านี้จะตอบคำถามได้ว่า ใครเหมาะจะลงทุนในกองทุน RMF อย่างไร..

 

RMF หรือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ( retirement mutual fund) โดยหลักการคือ ต้องการสนับสนุนให้ผู้ลงทุนลงทุนระยะยาวเพื่ออนาคตหลังเกษียณ ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่ไม่มีรายได้ประจำ ดังนั้น  รูปแบบของกองทุนนี้จึงเน้น การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย และ มีการออกแบบการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงชีวิต ว่าแต่ละช่วงสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด

 

และการสนับสนุนโดยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้นมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ชัดเจนว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้สิทธิประโยชน์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

 

• ต้องสะสมเงินอย่างต่อเนื่องโดยซื้อหน่วยลงทุนของ RMF ไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้ง

• ต้องลงทุนขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ในแต่ละปี หรือ 5,000 บาท (แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะต่ำกว่า)

• ต้องไม่ระงับการซื้อหน่วยลงทุนเกินกว่า 1 ปีติดต่อกัน (ยกเว้นปีใดที่ไม่มีเงินได้ ก็ไม่ต้องลงทุน เนื่องจาก 3% ของเงินได้ 0 บาท เท่ากับ 0 บาท)

• การขายคืนหน่วยลงทุนทำได้เมื่อผู้ลงทุนอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี

 

สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเมื่อทำตามเงื่อนไขการลงทุน ผู้ลงทุนใน RMF จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีถึง 2 ทางด้วยกัน คือ

  1 เงินซื้อหน่วยลงทุนใน RMF จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15 % ของเงินได้พึงประเมินในแต่ละปี โดยเมื่อนับรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

  2 กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (capital gain) ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้

 

จะเห็นได้ว่า การลงทุนใน RMF มีเงื่อนไขที่ต้องทำตามหาก มีการกระทำที่ผิดเงื่อนไขการลงทุนแล้ว ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอีกต่อไปและต้องดำเนินการ ดังนี้

1. กรณีที่ลงทุนไม่ถึง 5 ปี และมีการผิดเงื่อนไข

    •ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นไปในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (นับตามปีปฏิทิน)

    •เมื่อขายคืนหน่วยลงทุน ต้องจ่ายภาษีของกำไรส่วนเกินทุน (capital gain) โดยนำกำไรที่ได้รับจากการขายคืนไปรวมเป็นเงินได้ของปีที่ขายคืนเพื่อเสียภาษีเงินได้  ซึ่งในทางปฏิบัติเมื่อผู้ลงทุนขายคืน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมจะหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ของกำไรส่วนเกินทุนไว้ก่อน และเมื่อผู้ลงทุนไปยื่นแบบเสียภาษีเงินได้ ก็จะคำนวณอีกครั้ง ว่าจะต้องจ่ายเงินภาษีเพิ่มอีก หรือไม่ อย่างไร

 

2. กรณีที่ลงทุนตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป และมีการผิดเงื่อนไข

     • ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นไปในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (นับตามปีปฏิทิน)

การชำระภาษีตาม 1. และ 2. ต้องชำระภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีที่ผิดเงื่อนไข และ/หรือ ขายคืนหน่วยลงทุน  หากลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี 

 

จากเงื่อนไขทั้งหมด เป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่า การสนับสนุนการลงทุนใน RMF ก็เพื่อต้องการให้เป็นการลงทุนระยะยาวจริงๆ ดังนั้น หากจะลงทุนใน RMF เราต้องมาตรวจสอบเงื่อนไขก่อนว่าเราสามารถทำในสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่คือ

- ตอบตัวเองว่าต้องการออมเพื่อวัยเกษียณ

-มีวินัยในการออมอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง และระยะยาว

-รู้จักตัวเอง-รู้ว่ามีเป้าหมายการลงทุนเป็นแบบใด สามารถออมเงินได้มากน้อยเพียงไร และยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนได้ขนาดไหน

-รู้จักผลิตภัณฑ์-รู้ว่านโยบายการลงทุนของ RMF ที่สนใจจะลงทุนเป็นอย่างไร เช่น มีความเสี่ยงต่ำ ปานกลาง หรือสูง

-พิจารณาผลงานของบริษัท คุณภาพในการให้บริการ รวมทั้งการคิดค่าธรรมเนียมจัดการและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ

-เลือกลงทุนใน RMF ที่เหมาะสมกับตัวคุณ

 

โดยสรุป ไม่ใช่เรื่องง่ายหากมนุษย์เงินเดือนจะลงทุนใน RMF หาก ไม่สามารถรับภาระและมีวินัยในการใช้จ่ายการลงทุนอย่างแท้จริง และหาก มนุษย์เงินเดือนมีการลงทุนในรูปแบบอื่นที่เป็นการลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว ก็ต้องชั่งใจให้ดีว่า พร้อมหรือไม่ที่จะลงทุนระยะยาวแบบ RMF………..

 

ขอบคุณแหล่งข้อมูล

-http://www.start-to-invest.com/webedu/content.html?menu_id=82-

-http://www.aimc.or.th/#2-

-http://www.bfiia.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=359633&Ntype=2-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)