ผู้เขียน หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"  (อ่าน 149398 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 12 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #50 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2013, 07:34:47 am »
อยากวางแผนการเงิน... เริ่มอย่างไรดี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 พฤษภาคม 2556 14:26 น.    
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000061904-


   คอลัมน์บัวหลวง Money Tips
       โดยพนิต ปัญญาบดีกุล
       บลจ.บัวหลวง
       
       ก่อนอื่นขอเขียนถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการวางแผนการเงิน ซึ่งปัจจุบันจะถูกนำไปตีความหมายว่าคือการวางแผนการลงทุน ในขณะที่ในวงการประกัน บางคนก็อ้างว่าคือการวางแผนในการทำประกัน ซึ่งเป็นความเข้าใจเพียงบางส่วน ดังนั้น ถ้าพูดถึงการวางแผนการเงินแบบรอบด้านจริงๆ แล้ว ความหมายของการวางแผนการเงินจะต้องครอบคลุมในส่วนต่างๆ อย่างครบถ้วน ทั้งส่วนของการปกป้องฐานะไม่ให้ลดน้อยหรือเสื่อมค่าไป การสร้างฐานะให้มีมากขึ้นๆ กว่าเดิม และอย่าลืมที่จะกระจายทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่หลังจากใช้ส่วนตัวในตอนเกษียณอย่างสบายๆ แล้วไปให้แก่ลูกหลานหรือบุคคลที่รักด้วยค่ะ
       
       ทีนี้อยากวางแผนการเงินแล้วจะเริ่มอย่างไรดี ก่อนที่ทุกท่านจะวิเคราะห์ความต้องการทางการเงินในด้านต่างๆ ของตนเอง เช่น ความต้องการทางด้านการทำประกัน ความต้องการทางด้านการศึกษาบุตร ความต้องการทางด้านการเกษียณอายุ การวิเคราะห์ระดับการรับความเสี่ยงและพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม เป็นต้น ซึ่งความต้องการทางการเงินด้านต่างๆ ก็คือเป้าหมายทางการเงินของตนเองนั่นเอง บางท่านจึงเริ่มจากการกำหนดเป้าหมาย ซึ่งก็แบ่งเป็น เป้าหมายระยะสั้น (ไม่เกิน 1 ปี) เป้าหมายระยะปานกลาง (1-3 ปี) และเป้าหมายระยะยาว (3 ปีขึ้นไป) การกำหนดเป้าหมายทางการเงินเป็นสิ่งที่ไม่ยาก ดิฉันเชื่อว่าผู้ที่กำหนดได้ดีที่สุดคือตัวเราเอง เนื่องจากเราจะเป็นผู้ที่รู้ตัวเราดีที่สุดว่าเราต้องการที่จะมีชีวิตในอนาคตอย่างไร หลังจากกำหนดเป้าหมายแล้ว ท่านจะสามารถให้ลำดับความสำคัญของเป้าหมายทางการเงินหรือกำหนดว่าเป้าหมายใดสำคัญระดับใด (สูงมากถึงต่ำมาก) มีข้อควรระวังคือบางท่านที่ไม่มีประสบการณ์ทางด้านการวางแผนการเงินอาจจะไม่สามารถกำหนดเป้าหมายของตนเองได้ดีเพียงพอ หรือบางครั้งกำหนดไว้แต่อาจจะไม่ครอบคลุมถึงความต้องการรอบด้าน
       
       คำถามตามมาอีกแล้วค่ะ เป้าหมายน่ะรู้อยู่แล้วว่าอยากมี อยากเป็น อยากได้อะไร (ทางการเงิน) แล้วเริ่มอย่างไรล่ะ บอกซะที อยากวางแผนการเงินแล้ว!!!
       
       ถ้าจะยกประโยคที่ว่า “เราควรมองดูตัวเองก่อนทุกครั้ง” มาใช้ในการเริ่มวางแผนการเงินก็คงจะไม่ผิด วันนี้ถ้าท่านอยากจะวางแผนการเงิน ขอให้ทุกท่านเริ่มจากการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเงินของตนเองก่อน ดังนั้น ดิฉันขอยกตัวอย่าง Case ลูกค้าสมมติชื่อคุณฮาร์ท มาเพื่อให้เข้าใจง่ายๆ นะคะ
       
       1. วิเคราะห์ฐานะทางการเงิน หรือที่เข้าใจง่ายๆ คือวัดความมั่งคั่งของตนเอง ง่ายกว่านั้นอีกคือวัดความรวยหรือจนของตนเองนั่นเอง หลายท่านคงเคยได้ยินว่า การที่มีทรัพย์สินรวมมากๆ อาจจะไม่ได้มั่งคั่งหรือร่ำรวยจริงก็ได้ ดังนั้นท่านคงจะต้องตรวจสอบความมั่งคั่งของตนเองกันก่อน

       ตัวอย่าง




 จากรูปจะเห็นได้ว่าคุณฮาร์ทมีทรัพย์สินจำนวนทั้งหมด 13 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของทรัพย์สินสภาพคล่อง (เงินสด เงินฝาก ทรัพย์สินที่เปลี่ยนแปลงเป็นเงินได้ง่ายๆ เป็นต้น) จำนวน 8.5 ล้านบาท คิดเป็น 65.38% ของสินทรัพย์รวมทั้งหมด มีทรัพย์สินใช้ส่วนตัวหรือรถยนต์และเครื่องประดับจำนวน 4 ล้านบาท (30.77%) และมีทรัพย์สินลงทุนเพียง 5 แสนบาท (3.85%) ทางด้านหนี้สิน มีหนี้รวม 7 แสน 8 หมื่นบาท ซึ่งส่วนใหญ่คือเงินกู้ยืมจากพี่ชายจำนวน 7 แสนบาท (5.38%) ดังนั้นจึงมีความมั่งคั่ง 12.2 ล้านบาท
       
       แล้วท่านล่ะ ทราบหรือไม่ว่าท่านมีความมั่งคั่งเท่าไรคะ???
       
       (อ่านต่อตอนหน้า)


http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000061904
.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #51 เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2013, 09:09:07 am »
การใช้เช็คเงินสด อย่างปลอดภัย

-http://money.sanook.com/83490/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%94-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2/-



เช็คเป็นตราสารที่ใช้ชำระหนี้แทนเงินได้ สามารถใช้โอนชำระหนี้กันเป็นทอดๆ ได้ง่ายจึงสะดวก เป็นที่นิยมและปลอดภัย เพราะการพกเงินจำนวนมากไปชำระหนี้อาจเกิดอันตรายจากมิจฉาชีพได้

ตามกฎหมายลักษณะตั๋วเงิน ผู้ที่ลงลายมือชื่อในเช็คย่อมผูกพันตามกฎหมายที่จะต้องรับผิดชอบต่อผู้มีสิทธิเรียกให้ใช้เงินตามเช็ค ซึ่งกฎหมายเรียกว่า "ผู้ทรงเช็ค" เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระผู้ทรงอาจเรียกเก็บเงินจากธนาคารด้วยตนเอง หรือเรียกให้ลูกหนี้คนอื่นๆ ที่ลงชื่อในเช็คนั้นชำระเงินตามเช็คให้ก็ได้ หรือจะเรียกให้ลูกหนี้ตามเช็คชำระหนี้ตามมูลหนี้เดิม ซึ่งเป็นมูลหนี้ที่เป็นมูลเหตุของการสั่งจ่าย หรือโอนเช็คนั้นก็ได้ เป็นการ เพิ่มโอกาสที่เจ้าหนี้ให้ได้รับชำระหนี้อีกด้วย

เพราะเช็คเป็นตราสารที่สามารถเปลี่ยนมือได้โดยง่ายนี้เอง จึงอาจก่อให้เกิดปัญหา ในกรณีที่บุคคลไม่พึงประสงค์นำเช็คไปขึ้นเงิน

ผู้ใช้เช็ค เพื่อการชำระหนี้แทนตราสาร จึงควรต้องทำความเข้าใจถึงการระบุข้อความต่างๆ ลงในเช็คซึ่งจะส่งผลต่อระดับความปลอดภัยในการใช้เช็ค ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า เช็คที่ใช้กันอยู่นั้น มี 2 ประเภท คือ

1. เช็คผู้ถือ : คือเช็คแบบที่ผู้สั่งจ่ายจะสั่งจ่ายโดยไม่กรอกชื่อผู้รับเงินตามเช็คลงในช่องว่าง เช่น "จ่าย...หรือผู้ถือ" เพียงแต่กรอกจำนวนเงินทั้งตัวเลขและตัวหนังสือแล้วลงลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายก็ถือว่าการ สั่งจ่ายเช็คนั้นสมบูรณ์แล้ว หรือกรอกคำว่า "เงินสด" ลงในช่องว่าง "จ่าย...หรือผู้ถือ" ก็ยังมีผลเป็นเช็คผู้ถือเช่นเดียวกันหรือถ้ากรอกชื่อ...นามสกุล...ผู้รับเงินลงไปในช่องว่าง "จ่าย...หรือผู้ถือ" โดยไม่ได้ขีดฆ่าคำว่า "หรือผู้ถือ" ออกก็ยังเป็นเช็คผู้ถืออยู่ครับ (กรณีนี้จ่ายให้กับผู้ที่ถูกระบุชื่อไว้ในเช็ค หรือผู้ถือก็ได้)

เช็คจ่ายผู้ถือนั้นสามารถโอนเปลี่ยนมือกันได้เพียงส่งมอบเช็คให้แก่กัน ก็เป็นอันใช้ได้แล้วครับ ดังนั้นใครก็ตามเป็นผู้ถือเช็คแบบที่ 1 นี้ เมื่อนำเช็คไปขึ้นเงินกับธนาคาร ธนาคารก็จะจ่ายเงินสดให้ทันทีการใช้เช็คแบบนี้จึงมีความเสี่ยงสูง ถ้าท่านทำเช็คสูญหาย หรือเช็คถูกลัก/ขโมยไปก็จะป้องกันได้ยากมาก จึงควรใช้เช็คแบบนี้ได้เฉพาะในกรณีไปเขียนเบิกเงินสดที่ธนาคารเอง หรือเมื่อสั่งจ่ายเงินจำนวนไม่มากก็ให้ระบุชื่อนามสกุลผู้รับเงินลงไปในช่องว่าง เช่น "จ่าย นายก. นามสกุลซื่อสัตย์ หรือผู้ถือ" แล้วให้ขีดฆ่าคำว่า "หรือผู้ถือ" ออกก็จะปลอดภัยครับ แต่การขีดฆ่าคำว่า "หรือผู้ถือ" ออกเช็คฉบับนั้น ก็จะกลายเป็น "เช็คจ่ายตามคำสั่ง" ทันที การนำเช็คไปขึ้นเงินกับธนาคาร หรือเมื่อต้องการโอนเปลี่ยนมือก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของ "เช็คจ่ายตามคำสั่ง" ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

2.เช็คจ่ายตามคำสั่ง คือ เช็คที่ธนาคารได้ออกแบบโดยมีสาระสำคัญอยู่ที่ช่องว่างที่ให้ระบุชื่อผู้รับเงินดังนี้ "จ่าย.....หรือตามคำสั่ง [or order]" การเขียนเช็คสั่งจ่าย ต้องเขียนชื่อนามสกุล ของผู้รับเงินลงในช่องว่างมิฉะนั้นจะไม่สมบูรณ์ ธนาคารก็จะปฏิเสธการจ่าย

การโอนเปลี่ยนมือเช็คจ่ายตามคำสั่ง สามารถทำได้ด้วยการที่ผู้ทรงเช็คสลักหลังแล้วส่งมอบ ซึ่งเพิ่มระดับความปลอดภัยมากกว่าเช็คผู้ถือ ดังนั้นเพื่อการเพิ่มระดับความปลอดภัยมากขึ้นก็ทำได้โดยการขีดคร่อมเช็ค โดยขีดเส้นขนานตัดแนวเฉียงบริเวณมุมบนซ้ายของเช็ค หรือเติมคำว่า "ห้ามเปลี่ยนมือ Not Negotiable, A/C Payee Only" หรือทำทั้งสองอย่างก็ได้โดยการขีดคร่อม จะทำให้เช็คไม่สามารถนำมาขอเบิกเงินสดได้ ต้องนำฝากเข้าบัญชีธนาคารเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเช็ค "จ่ายผู้ถือ" หรือเช็ค "จ่ายตามคำสั่ง"

ส่วนการเติมคำว่า "ห้ามเปลี่ยนมือ" ทำได้เฉพาะกับเช็คตามคำสั่ง หรือเช็คผู้ถือที่ระบุชื่อ นามสกุลผู้รับเงิน แล้วให้ขีดฆ่าคำว่า "หรือผู้ถือ" ออกเท่านั้น ซึ่งถ้าไม่ใช่บุคคลที่ถูกระบุชื่อ นามสกุลเป็นผู้รับเงินที่ด้านหน้าเช็คแล้ว ธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายทันที

ในทางปฏิบัติจะขีดเส้นขนาน 2 เส้นไว้ที่มุมบนด้านซ้ายของเช็คและเขียนข้อความว่า "ห้ามเปลี่ยนมือ" หรือ "A/C Payee Only" ไว้ระหว่างเส้นขนาน 2 เส้นซึ่งเป็นการเจาะจงให้ผู้ทรงเช็ค นำเช็คฝากเข้าบัญชีตามชื่อผู้รับเงินที่ระบุบนหน้าเช็คเท่านั้น การระบุคำสั่งไว้บนเช็คจึงเป็นการป้องกัน และเป็นการปลอดภัยไม่ให้บุคคลอื่นแอบอ้างนำเช็คไปเบิกเงินในกรณีที่เช็คสูญหาย หรือถูกโจรกรรม
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #52 เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2013, 09:10:39 am »
10 ขั้นตอน บริหารกระแสเงินสดให้ดีขึ้น

-http://money.sanook.com/75283/10-%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99/-




การจัดการกระแสเงินสดเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญ แต่โชคดีที่การวิเคราะห์กระแสเงินสดอย่างรอบคอบบวกกับการจัดการเงินสดอย่างระวังจะช่วยให้คุณสามารถรอดพ้นอุปสรรคในยามเงินตึงตัวได้

ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ตั้งโดยมีงบประมาณจำกัด หรือเป็นบริษัทที่มีทุนหนาแต่กำลังเผชิญสภาวะเงินขาดมือ 10 ขั้นตอนต่อไปนี้จะช่วยให้คุณบริหารกระแสเงินสดให้ดีขึ้น


1.อยู่กับปัจจุบัน

พื้นฐานแรกของการจัดการกระแสเงินสดก็คือการรู้ว่าขณะนี้คุณมีเงินสดในมืออยู่เท่าไหร่ นั่นหมายความว่าคุณต้องแยกบัญชีบริษัทกับบัญชีตัวเองออกจากกันและต้องหมั่นอัพเดทสมุดธนาคารด้วย

คุณต้องสามารถเตรียมตัวรับสถานการณ์ที่มีเงินออกมากกว่าเงินเข้าได้ ซึ่งสามารถคำนวณโดยนำกระแสเงินสดที่มีหารด้วยอัตราเงินออกจะเท่ากับจำนวนเดือนที่คุณจะสามารถทำธุรกิจต่อไปได้โดยไม่มีรายได้เข้ามา

การเริ่มธุรกิจที่มีอายุไม่ถึงปีและจะต้องสำรองเงินเพื่อให้รอดพ้นความยุ่งยากในช่วงปีสองปีแรกเป็นเรื่องเสี่ยงปกติของผู้เริ่มทำธุรกิจ


2.เข้าใจตัวเลขในอนาคต

การคาดการณ์ทางการเงินเป็นสิ่งที่บริษัททุกแห่งจะต้องทำ ไม่ใช่เพียงแต่เป็นตัวกำหนดรายรับในอนาคตเท่านั้น แต่ยังช่วยวิเคราะห์กระแสเงินสดที่จะเกิดขึ้นได้ด้วย ลองใช้โมเดล "จะทำอย่างไร ถ้า..."

ถามตัวเอง เช่น จะทำอย่างไรถ้าคุณไม่สามารถหาลูกค้าใหม่ได้ในหกเดือนข้างหน้า การตอบคำถามแบบนี้ล่วงหน้าจะช่วยให้คุณจัดการแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วหากมันเกิดขึ้นจริง ๆ


3.ใช้วิธีดำเนินงานแบบประหยัด

ระบุและกำจัดงานที่ซ้ำๆ หรือเปลืองเวลาในทุกขั้นตอนของการบริหารธุรกิจ หมั่นตรวจสอบแต่ละขั้นตอนของการดำเนินงาน (เช่น การผลิต การขาย การบริการลูกค้า ฯลฯ) มองหาขั้นตอนที่ทำให้การทำงานล่าช้า

การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณประหยัดเงินและบริหารกระแสเงินสดได้ดีขึ้นในระยะยาว


4.รักษาสินค้าคงเหลือแบบพอดี

หากคุณขายสินค้าหรือรับสินค้ามาขาย อย่าเก็บสินค้าไว้มากกว่าการขายสำหรับหนึ่งสัปดาห์ นอกเสียจากว่าคุณแน่ใจว่าจะมีความต้องการมากๆ อย่างแน่นอน การส่งสินค้าสมัยนี้ทำได้เร็วกว่าอดีต

ดังนั้นการสั่งสินค้ามาจำหน่ายไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้านาน หรือรอให้มีออเดอร์แล้วค่อยสั่งก็ยังได้


5.ไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย

มีหลายวิธีที่คุณจะประหยัดเงินได้ด้วยตัวเอง เช่น หากต้องการคอมพิวเตอร์หลายเครื่องลองซื้อแบบมือสองมาไว้ใช้งาน ทำงานที่บ้านแทนการเช่าพื้นที่ในเมือง

ต่อรองขอลดราคาสินค้าขายส่งจากผู้ผลิตสินค้าหรือผู้จัดจำหน่ายในท้องถิ่น การปลูกจิตสำนึกใช้เงินอย่างประหยัดจะช่วยให้คุณหาทางผ่านอุปสรรคไปได้


6.เลื่อนกำหนดจ่ายหนี้

หากคุณอยู่ในฐานะลูกหนี้เพราะจะต้องทำธุรกิจกับผู้ค้ามากมาย ลองวางแผนและเจรจาต่อรองเพื่อขอแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ แทนการจ่ายเงินสดเป็นก้อน

ผู้ค้าส่วนมากมักจะเข้าใจและยอมให้แบ่งจ่ายหากคุณสามารถจ่ายค่างวดได้ตรงเวลา เงินสดที่คุณไม่ได้ลงไปกับต้นทุนสามารถเอามาใช้หว่านในธุรกิจได้


7.เร่งรัดลูกหนี้

หากคุณเป็นเจ้าหนี้ให้พยายามเก็บเงินให้ได้เร็วที่สุด คุณอาจแจ้งเตือน หรืออาจปฏิเสธการซื้อขายหากลูกค้าคนนั้นอัตคัตเงินก้อน อย่าเป็นเจ้าหนี้ใจดีด้วยการขายสินค้าหรือให้บริการที่ไม่ได้รับเงินทันที

คุณอาจต้องตรวจสอบเครดิตของลูกค้าก่อนตกลงซื้อขายเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ได้เป็นฝ่ายรับความเสี่ยงเรื่องกระแสเงินสดเสียเอง


8.ใช้บัตรเครดิตอย่างรอบคอบ

หากคุณไม่สามารถตกลงการผ่อนชำระจากผู้ค้าได้ ให้หันมาใช้ประโยชน์จากบัตรเครดิตแทน ให้คุณวางแผนโดยการชำระค่าใช้จ่ายของบริษัทผ่านบัตรเครดิตของตัวเองในช่วงต้นๆของรอบบิล

การทำแบบนี้จะช่วยให้คุณยืดระยะเวลาชำระเงินออกไปได้ 45 ถึง 60 วันเลยทีเดียว


9.เลื่อนกำหนดจ่ายเงินเดือนตัวเอง

หากคุณกำลังมองหาผู้ร่วมลงทุนกับบริษัท พวกเขาเหล่านั้นคงจะสนใจเจ้าของกิจการที่เต็มใจจะไม่รับเงินเดือนเพื่อให้ธุรกิจได้กำไรและเจริญเติบโตได้เมื่อมีโอกาส

การงดจ่ายเงินเดือนตัวเองเป็นเวลาหนึ่งเป็นเป็นกฏพื้นฐานที่ดีของการเป็นเจ้าของกิจการ ลองคิดดูสิว่าหากคุณยังรับเงินเดือนต่อไปเรื่อยๆ ธุรกิจของคุณจะบินขึ้นได้อย่างไร

ในทางกลับกันหากคุณไม่รับเงินเดือนเป็นเวลาหนึ่งปีนั่นหมายความว่าจะมีเงินสดเทเข้าไปอยู่ในเงินทุนของบริษัท เป็นการบริหารกระแสเงินสดที่ดีกว่าสำหรับปีต่อไป


10.คิดหาวิธีชดเชยค่าแรงแบบใหม่ๆ

คุณไม่มีทางดำเนินธุรกิจไปได้ไกลหากไม่จ้างพนักงาน แต่คุณไม่จำเป็นต้องหาพนักงานดีๆ ด้วยการให้เงินเดือนแพงๆ แบบที่บริษัทใหญ่ๆนิยมทำกัน ลองคิดวิธีชดเชยค่าแรงด้วยการให้ข้อเสนออื่น ๆ

เช่น ให้ค่าโทรศัพท์ ให้แต่งตัวตามสบาย มีห้องพักเบรคสวยๆ หากคุณสามารถหาคนที่เชื่อมั่นในบริษัทและอยากโตไปพร้อมๆ กับคุณ แทนที่จะรับเงินเดือนสูงๆ

คุณก็สามารถเปลี่ยนทรัพยากรบุคคลเหล่านั้นให้เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าได้โดยไม่ต้องทำให้กระแสเงินสดแห้งเหือด

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #53 เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2013, 09:17:12 am »
บัญชีครัวเรือน...จดแล้วไม่จน

-http://money.sanook.com/83478/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99...%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%99/-




เงินพลาสติก หรือ บัตรเครดิต ดูเหมือนจะกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของคนในสังคมปัจจุบันไปแล้ว และไม่ได้พกกันแค่ใบเดียวเสียด้วย เพราะบัตรแต่ละใบตัดยอดคนละวันกัน ก็สลับกันใช้ โดยคิดว่านี่คือการบริหารเงินที่ถูกต้อง แต่เอาเข้าจริงแล้ว กลายเป็นว่าเป็นหนี้บัตรทุกใบ เพราะใช้จ่ายเกินตัว

ด้วยสภาพสังคมปัจจุบัน ความพอเพียง มักทำได้ยากเพราะแนวทางการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนไป มีสิ่งกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายหลากหลายรูปแบบ เช่น ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่นหรือดารานักแสดงที่ชื่นชอบ รายรับอาจไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้

จึงนำไปสู่การกู้หนี้ยืมสิน และเป็นหนี้บัตรเครดิต ซึ่งเป็นวัฏจักรที่ยากจะหลุดออกมาได้!!

สิ่งที่อันตรายเวลาเราใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต คือการไม่จดบันทึกว่าใช้จ่ายค่าอะไรไป เป็นจำนวนเท่าไร เราจึงไม่รู้ว่าใช้เงินไปมากน้อยเท่าใดแล้ว การไม่เห็นเงินสดออกจากกระเป๋าจึงคิดว่าเรายังมีเงินพอใช้อยู่

บางคนเห็นยอดชำระค่าบัตรเครดิตถึงกับตกใจ ว่าเราใช้มากมายขนาดนี้เลยหรือ บางคนไม่สามารถชำระยอดเต็มได้จึงชำระแค่ขั้นต่ำโดยลืมนึกไปว่า ดอกเบี้ยบัตรเครดิตนั้นสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปีเลยทีเดียว ทำให้ยอดค้างชำระบัตรเครดิตและหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี

สาเหตุส่วนหนึ่งอาจมาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ประมาณว่ากินเท่าเดิมจ่ายเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีโปรโมชั่นบัตรเครดิตที่กระตุ้นการใช้จ่ายจากธนาคารต่างๆ อีกมากมาย

แต่จะโทษปัจจัยภายนอกอย่างเดียวก็คงจะไม่ได้ เพราะสาเหตุหลักคงไม่พ้นพฤติกรรมและวินัยในการใช้จ่ายของเราเองมากกว่า ที่ไม่สามารถทนต่อกลยุทธ์ทางการตลาดต่างๆ ได้ ยิ่งมีครอบครัวด้วยแล้ว ภาระก็ย่อมเพิ่มมากขึ้นทวีคูณ แล้วเราควรทำอย่างไรเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างรายได้กับค่าใช้จ่ายให้ดีขึ้น

การทำบัญชีรับจ่ายเป็นอีกหนึ่งทางที่สามารถช่วยให้การวางแผนทางการเงินมีประสิทธิภาพ หลายคนมองว่าการทำบัญชีเป็นอะไรที่ยุ่งยากและไกลตัว และส่วนใหญ่ใช้ในการทำธุรกิจเท่านั้น

แต่จริงๆ แล้วขั้นตอนการทำบัญชีรับจ่ายอย่างง่ายภายในครอบครัว หรือที่เรียกกัน "บัญชีครัวเรือน" ไม่ได้ยุ่งยากและซับซ้อนอย่างที่คิด

หลักบัญชีครัวเรือนนั้น ประยุกต์มาจากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน เพราะทรงมองเห็นถึงความสำคัญของการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง รู้จักความพอประมาณ โดยคำนึงถึงหลักเหตุผล และการประมาณตน

หลายคนอาจคุ้นเคย หรืออาจจะเคยได้ยินการรณรงค์เกี่ยวกับการทำบัญชีครัวเรือนกันมาบ้างจากสโลแกนที่ว่า "จดแล้วไม่จน" กันมาบ้างแล้ว หลักๆ เลยคือการจดบันทึกรายรับรายจ่ายประจำวัน หรือประจำเดือนว่า มีรายรับเท่าไหร่และมีรายจ่ายอะไรบ้าง และคงเหลือเท่าไหร่ หรือไม่พอใช้เท่าไร

หากไม่พอใช้ รายจ่ายอะไรบ้างที่ไม่จำเป็นและสามารถลดได้ นี่คือข้อดีของการบันทึกรายรับรายจ่าย เราสามารถสร้างความสมดุลระหว่างระหว่างรายได้กับค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับฐานะทางการเงิน และอาจช่วยปลูกฝังการเก็บออมอีกด้วย

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #54 เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2013, 09:25:07 pm »
ดอกเบี้ยนโยบาย คืออะไร ... รู้เอาไว้ก็ได้ประโยชน์
-
-http://hilight.kapook.com/view/86668-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            ดอกเบี้ยนโยบาย คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศกำหนดขึ้นเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง และ ดอกเบี้ยนโยบาย เป็นเครื่องมือหลักในการส่งสัญญาณนโยบายการเงิน

            งัดข้อกันมานานพอสมควร ในที่สุด ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็ยอมถอย 1 ก้าว ด้วยการมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.75% เหลือเป็น 2.50% ซึ่งถือเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน หลังจากก่อนหน้านี้ กนง. ถูก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระทุ้งดัง ๆ ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายอยู่หลายต่อหลายครั้ง เพื่อชะลอการไหลเข้าของกระแสเงินลงทุนต่างชาติ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง

            หลายคนที่ได้ยินข่าวนี้ และไม่ได้สนใจเรื่องข่าวเศรษฐกิจมากนักอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่า "ดอกเบี้ยนโยบาย" คืออะไร แล้วการลดดอกเบี้ยนโยบายลงนั้นมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร กระปุกดอทคอม ขออธิบายคร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ

            ดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศกำหนดขึ้นเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง และเป็นเครื่องมือหลักในการส่งสัญญาณนโยบายการเงิน โดยมีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลดอกเบี้ยนโยบายให้เป็นไปภายใต้กรอบของเงินเฟ้อไม่ให้เกิน 3% และเพื่อที่จะควบคุมปริมาณเงินในระบบให้สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าวได้ ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต้องใช้ "ดอกเบี้ยนโยบาย" ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในตลาดว่าควรอยู่ที่เท่าไร ในตามแต่ละสถานการณ์

            สำหรับประเทศไทย ใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายนี้เพื่อควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศผ่านตลาดซื้อคืนพันธบัตร RP (repurchase) ซึ่งในปัจจุบันนี้ ใช้อัตราดอกเบี้ยการซื้อคืนพันธบัตรอายุ 1 วัน (R/P 1 วัน) เป็นตัวแทนดอกเบี้ยนโยบาย

            อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ในกรณีที่สถาบันการเงินมีสภาพคล่องเหลือก็จะนำเงินไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกู้ยืมเป็นระยะเวลา 1 วัน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะโอนพันธบัตรภาครัฐให้กับสถาบันการ เงินเพื่อเป็นหลักประกัน โดยธนาคารประเทศไทยสัญญาว่าจะ "รับซื้อคืนพันธบัตร" ที่ใช้เป็นหลักประกัน กลับมาจากสถาบันการเงินพร้อมทั้งจ่ายดอกเบี้ยสำหรับระยะเวลา 1 วันให้ โดยดอกเบี้ยนั้นก็คืออัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยนั่นเอง

            ทีนี้ หลายคนคงอยากรู้แล้วว่า การขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย หรือลดดอกเบี้ยนโยบายนั้น สัมพันธ์ต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร?

            ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า "อัตราดอกเบี้ยนโยบาย" กับ "อัตราผลตอบแทน" อันหมายถึงดอกเบี้ยต่าง ๆ ที่ธนาคารพาณิชย์คิดกับลูกค้านั้น เป็นคนละตัวกัน แต่โดยปกติแล้ว เมื่อดอกเบี้ยนโยบายมีการปรับ ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งก็จะปรับดอกเบี้ยทั้งเงินฝาก เงินกู้ หรือแม้แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรเป็นไปในทิศทางเดียวกับดอกเบี้ยนโยบายด้วย

            หากมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แสดงว่า ช่วงนั้นเศรษฐกิจเติบโต ราคาสินค้าสูงขึ้น จนทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น แต่กำลังซื้อของประชาชนเริ่มลดลง (คนมีเงินเท่าเดิม แต่ซื้อของได้น้อยชิ้นลง เพราะสินค้าแพงขึ้น) ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงต้องพยายามลดอัตราเงินเฟ้อในประเทศให้ต่ำลง ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายผ่านตลาดซื้อคืนพันธบัตร เป็นการผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ไปปรับขึ้นดอกเบี้ยให้ลูกค้าด้วย

            เมื่อธนาคารปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็จะจูงใจให้ประชาชนนำเงินมาฝากมากขึ้น ออมเงินมากขึ้น ธนาคารก็จะมีสภาพคล่องมากขึ้น และเมื่อธนาคารขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว ก็ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ด้วย เพื่อรักษาส่วนต่างดอกเบี้ยซึ่งเป็นกำไรของธนาคารเอาไว้ ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้นี้ก็จะทำให้คนกู้ยืมน้อยลงด้วย หันมาออมมากขึ้น เป็นเหตุให้การใช้จ่ายในครัวเรือนลดลง การลงทุนลดลง ช่วยชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้เงินเฟ้อลดลงได้

            ในทางกลับกัน หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย แสดงว่าช่วงนั้นเศรษฐกิจเริ่มหดตัว เงินเฟ้อต่ำลง ประชาชนไม่ค่อยใช้จ่าย ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยเงินฝาก และเงินกู้ลง เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนและภาคเอกชนถอนเงินไปใช้จ่าย และลงทุนมากขึ้น (เพราะฝากเงินไว้กับธนาคารก็ได้ดอกเบี้ยนิดเดียว) เป็นการช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวอีกครั้ง

            อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการปรับขึ้น-ลงดอกเบี้ยนโยบาย เช่น เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ดุลการค้า ดุลการคลัง กระแสเงินทุนไหลเข้าออก การเมือง ฯลฯ

            ดังเช่น การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพยายามให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยนโยบายนั้น เป็นเพราะเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยของไทยที่สูงไปสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจนำเงินออมมาลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนของไทยมากขึ้น ซึ่งเป็นการลงทุนในระยะสั้น และไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม

            นอกจากนี้ กระแสเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าไทยยังทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น เป็นเหตุให้ผู้ส่งออกส่งสินค้าออกได้ยากขึ้น เพราะต่างประเทศจะมองว่าสินค้าของไทยมีราคาแพงขึ้นนั่นเอง ส่งผลต่อการแข่งขันทางการค้ากับประเทศอื่น ๆ ที่ผลิตสินค้าแบบเดียวกัน นั่นจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2556 เพื่อสกัดเงินทุนไหลเข้า แม้หลายฝ่ายจะมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้เป็นเพราะได้รับแรงกดดันจากรัฐบาลอยู่กลาย ๆ

 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก -http://news.voicetv.co.th/thailand/62739.html-
, -thaimutualfundnews.com-, -thaibma.or.th-, -fundmanagertalk.com-

 
http://hilight.kapook.com/view/86668
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #55 เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2013, 11:23:47 pm »
เพิ่งจะรู้ว่า ชำระหนี้ (ทุกประเภท) ด้วยเหรียญบาท 501 เหรียญ ไม่ได้
-http://webboard.sanook.com/forum/?topic=3727254-

ใครที่ชอบหยอดกระปุกออมสิน และมีเหรียญบาทเยอะๆ ถึงเวลาฉุกเฉินต้องใช้ตังในการซื้อของต่างๆ  ระวังเวลาซื้อของเค้าจะไม่รับเอานะ เพราะว่า........

เหรียญเป็นเศษเงินหน่วยย่อยๆ มูลค่าไม่มากเท่าธนบัตรแต่กลับหนักกว่า พกพายากกว่า เวลาจะซื้อของที่มีราคาพอสมควร เราก็จึงมักใช้ธนบัตรมากกว่าเหรียญ สมมุติว่า ถ้าคุณถอยรถป้ายแดงราคา 1,000,000 บาท คุณจะขนเหรียญบาทหนึ่งล้านเหรียญใส่รถสิบล้อไปจ่ายได้หรือไม่?

แล้วถ้าคนขายอยากบอกว่า “ไม่เอาๆ ถ้าจ่ายเงินแบบนี้ไม่รับ” คนขายจะบอกอย่างนี้ได้หรือไม่? อย่างงี้ผิดที่คนซื้อหรือคนขาย?

จริงๆ แล้วเงินก็คือเงิน อย่างไรเสียก็มีค่าเท่ากันใช่ไหม? มันก็จริง แต่เรื่องนี้ มีกฎหมายเข้ามากำหนดด้วยกฎกระทรวง พ.ศ. 2506 ออกตามพระราชบัญญัติเงินตรา บอกว่า

“เหรียญกษาปณ์ราคาหนึ่งบาทหรือยี่สิบบาท เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย คราวละไม่เกินจำนวนห้าร้อยบาท”

นั่นหมายความว่า ถ้าซื้อของครั้งละ 500 บาทจ่ายด้วยเหรียญบาท 500 เหรียญ ยังสามารถจ่ายได้แต่ถ้าเกิน 500 บาท คือ

ตั้งแต่ 501 บาทขึ้นไป ใช้เหรียญบาทจ่ายทั้งหมดไม่ได้นะ กฎหมายห้ามไว้ ถ้าใช้เหรียญบาท 501 เหรียญขึ้นไปซื้อของถือว่าไม่ได้ชำระหนี้ด้วยเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย

คนขายสามารถบอกได้ว่า ไม่เอา แบบนี้ไม่รับ คนขายไม่ผิด คนซื้อผิดเต็มประตู ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้ลำบากคนขายจนเกินไป

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #56 เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2013, 11:27:33 pm »
ชำแหละ “ต้นทุน“ ค่าก่อสร้างบ้าน-คอนโดฯ ใครต่ำสุดคือผู้ชนะ ?


-http://money.sanook.com/83754/%E0%B8%8A%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%AF-%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B0/-


โจทย์ใหญ่ของผู้ประกอบการอสังหา ริมทรัพย์ปีนี้ นอกจากปัญหา "แรงงาน" ก่อสร้างขาดแคลน ยังมีอีกปัญหาที่หนีไม่พ้นคือ "ต้นทุนก่อสร้าง" ที่กดดันให้แต่ละบริษัทต้องทยอยปรับราคาขายบ้านและคอนโดมิเนียม ซึ่งบริษัทพัฒนาที่ดิน ล้วนระบุตรงกันว่า...ช่วงครึ่งปีหลังราคาที่อยู่อาศัยจะต้องปรับขึ้นอีก 5-10% เนื่องจากมีต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นจากราคาวัสดุ และผู้รับเหมาก่อสร้างที่ขอปรับราคาก่อนหน้านี้

 

ค่าก่อสร้างแพงขึ้น 10%

จะเห็นได้ว่าต้นทุนค่าก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้นทุกปีนั้นยังคงเป็น "ปัจจัยหลัก" ที่ทำให้ราคาบ้านต้องทยอยปรับตัวตาม ดังนั้น "ประชาชาติธุรกิจ" จึงลงลึกสำรวจ "ต้นทุนค่าก่อสร้าง" ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียมของบริษัทพัฒนาที่ดินจำนวน 8 บริษัท โดยเทียบต่อตารางเมตร เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ได้แก่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท, บมจ.แสนสิริ, บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN), บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, บมจ.เอพี (ไทยแลนด์), บจ.เดอะ คอนฟิเด้นซ์ ในเครือ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์, บจ.กานดา พร็อพเพอร์ตี้ และ บมจ.เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง

พบว่าเมื่อเปรียบเทียบปี 2555-2556 ส่วนใหญ่มีค่าก่อสร้างเริ่มต้นแบบถัวเฉลี่ยต่อตารางเมตรเพิ่มขึ้น 10% บวกลบ ส่งผลให้แต่ละบริษัทมีนโยบายปรับราคาบ้านในครึ่งปีหลังของปีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้หลายบริษัทจะตั้งราคาขายไว้ครอบคลุมแล้วก็ตาม เช่น ต้นทุนค่าก่อสร้างคอนโดฯ เฉลี่ยตารางเมตรละ 12,000-13,000 บาทแต่ตั้งราคาขายเฉลี่ย 50,000 บาทต่อตารางเมตร เป็นต้น

เมื่อพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ พบอีกว่า นอกจากค่าก่อสร้างแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่กดดันต้นทุน อาทิ ราคาที่ดิน ราคาวัสดุ ค่าบริหารจัดการที่ปรับขึ้น ฯลฯ รวมทั้งเหตุผลการปรับราคา เพื่อรักษา "สัดส่วนกำไร" ให้อยู่ในระดับเดียวกับ "ค่าเฉลี่ย" ในอุตสาหกรรมด้วยโดยผลประกอบการไตรมาส 1/2556 ของบริษัทพัฒนาที่ดินชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ฯกว่า 30 บริษัทนั้น ล้วนสามารถทำกำไรขั้นต้น (กรอสมาร์จิ้น) รวมทั้งสิ้น 10,104 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ (เน็ตมาร์จิ้น) รวมกัน 5,176.9 ล้านบาท ซึ่งกำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ที่ 30-35% และกำไรสุทธิเฉลี่ย 14-16%


LPN-พฤกษาฯ ต้นทุนเจ๋งสุด

เริ่มจากค่ายพฤกษาฯ ซึ่งมีแบรนด์ "บ้านพฤกษา" เป็นทาวน์เฮาส์ราคาถูก พื้นที่ใช้สอยขนาด 90 ตารางเมตร เคาะราคาขายเริ่มต้น 1 ล้านบาท ถึงล้านต้น ๆ จะมีค่าก่อสร้างเฉลี่ยต่อตารางเมตรที่ 4,000 บาท ขณะที่บ้านเดี่ยวราคาขายประมาณ 3 ล้านบาท สามารถทำต้นทุนค่าก่อสร้างเริ่มต้นเฉลี่ยตารางเมตรละ 7,000 บาท

ส่วนคอนโดฯ ราคาถูก แบรนด์ "พลัมคอนโด" ที่สูงไม่เกิน 8 ชั้น ราคาขายเฉลี่ยตารางเมตรละ 30,000-40,000 บาท (บวกลบ) สามารถทำต้นทุนค่าก่อสร้างได้ประมาณ 8,000 บาท โดยพฤกษาฯ

ควบคุมต้นทุนได้ดี จากคำอธิบายของผู้บริหารได้ระบุว่า "เป็นเพราะบริษัทมีทีมงานก่อสร้างของตัวเอง จึงไม่ต้องโดนบวกกำไรอีกต่อจากการว่าจ้างผู้รับเหมา"


ในส่วนของ "LPN-แอล.พี.เอ็น.ฯ"

เจ้าตลาดคอนโดฯระดับกลาง-ล่าง ก็มีบริษัทรับเหมาก่อสร้าง "ปิยมิตร" สามารถบริหารต้นทุนค่าก่อสร้างคอนโดฯโลว์ไรส์ไม่เกิน 8 ชั้น แบรนด์ใหม่ "ลุมพินีทาวน์ชิพ" ได้ดีอีกเช่นกัน ซึ่งจะเปิดตัวใน

เร็ว ๆ นี้ บนทำเลรังสิต คลอง 1 เป็นห้องชุดขนาด 21 ตารางเมตร ราคายูนิตละประมาณ 6 แสนบาท เรียกว่าเป็นราคาเซอร์ไพรส์วงการ เพราะกดต้นทุนเหลือเพียง 8,000 บาทต่อตารางเมตร ขณะที่แบรนด์ "ลุมพินี คอนโดทาวน์" ที่ตั้งขายยูนิตละ 7-8 แสนบาทนั้น เป็นห้องชุดไซซ์ 21-22 ตารางเมตร เคยทำต้นทุนได้ 9,000 บาทต่อตารางเมตร ในช่วงที่ผ่านมา


แลนด์ฯ-แสนสิริ ตีคู่กันมา

ส่วนค่าย "แสนสิริ" ที่เพิ่งเปิดตัวทาวน์เฮาส์แบรนด์ใหม่ "เมททาวน์" ราคาเริ่มต้น 1.5 ล้านบาท ได้นำระบบผนังคอนกรีตสำเร็จรูป "พรีแฟบ" มาใช้ในงานก่อสร้างมากขึ้น จึงสามารถทำต้นทุนค่าก่อสร้างเริ่มต้นได้ต่ำลงอยู่ที่ 6,500 บาทต่อตารางเมตร

จากข้อมูลแสนสิริระบุอีกว่า สำหรับคอนโดฯสูงไม่เกิน 8 ชั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ "ดีคอนโด" นั้นจะปักธงกระจายทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยมีราคาขายเริ่มต้นยูนิตละ 1.39 ล้านบาท เพราะมีต้นทุนค่าก่อสร้างเฉลี่ยตารางเมตรละ 13,000 บาท

ซึ่งเป็นการบริหาร "ต้นทุนค่าก่อสร้าง" ใกล้เคียงกับพี่ใหญ่ในวงการ "แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์" จากข้อมูลชี้ว่า โครงการแบรนด์ "เดอะคีย์" ที่เป็นคอนโดฯ ราคาถูกสุดหรือไฟลติ้งแบรนด์ของค่ายแลนด์ฯนั้น ได้ตั้งราคาขายเริ่มต้นที่ 1 ล้านกว่าบาทต่อยูนิต หรือกำหนดราคาขายต่อตารางเมตรประมาณ 50,000 บาทบวกลบ แต่ต้นทุนค่าก่อสร้างเริ่มต้นที่ตารางเมตรละ 12,000-13,000 บาทเท่านั้น

ขณะที่ "เดอะ คอนฟิเด้นซ์" ในเครือ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ ทำต้นทุนค่าก่อสร้างทาวน์เฮาส์ ราคายูนิตละ 1.8-2.2 ล้านบาท ได้ที่ตารางเมตรละ 10,000 บาท ส่วนคอนโดฯแบรนด์เดอะทรัสต์ฯ สูงไม่เกิน 8 ชั้น ราคาขายยูนิตละกว่า 1 ล้านบาท (28 ตร.ม.) ทำต้นทุนค่าก่อสร้างเริ่มต้นได้ตารางเมตรละประมาณ 15,000 บาท


กานดาฯ ตามติดบิ๊กแบรนด์

ส่วน "เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง" เจ้าถิ่นโซนรังสิต-ลำลูกกา แม้จะไม่มีผู้รับเหมาก่อสร้างของตัวเอง แต่สำหรับ "ทาวน์เฮาส์" ค่ายนี้ถือว่าบริหารต้นทุนค่าก่อสร้างได้ดีอีกเช่นกัน โดยเริ่มต้นที่ตารางเมตรละ 7,200-7,500 บาท ส่วนบ้านเดี่ยวอยู่ที่ตารางเมตรละ 8,000-8,500 บาท

รายงานข่าวระบุว่า หลังเอ็น.ซี.ฯ เว้นวรรคการพัฒนาโครงการแนวสูงมาระยะหนึ่ง ล่าสุด บริษัทอยู่ระหว่างว่าจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง "คอนโดฯเนทูเรซ่าพัทยา" เป็นคอนโดฯโครงการใหม่ ตั้งราคายูนิตละกว่า 1 ล้านบาท โดยมีต้นทุนเฉลี่ยต่อตารางเมตรที่ 15,000 บาท

สำหรับ "เอพี (ไทยแลนด์)" ที่มีแบรนด์ทาวน์เฮาส์ราคาถูกสุดคือ "เดอะพลีโน่" ได้ตั้งราคาขายเริ่มต้นที่ยูนิตละ 2 ล้านบาทต้น ๆ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 100-120 ตารางเมตร

ก่อสร้างด้วยระบบผนังสำเร็จรูป สามารถทำต้นทุนค่าก่อสร้างอยู่ที่ 8,000-9,000 บาท ส่วนคอนโดฯแบรนด์ "แอสปาย" ราคายูนิตละกว่า 1-2 ล้านบาทนั้น บริหารต้นทุนค่าก่อสร้างต่อตารางเมตรเริ่มต้นที่ 12,000-13,000 บาท

รายสุดท้าย "กานดา พร็อพเพอร์ตี้" บริษัทอสังหาฯนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ใช้ระบบก่อสร้างด้วยผนังคอนกรีตสำเร็จรูป 100% ก่อสร้างทาวน์เฮาส์แบรนด์ "ไอลีฟ ทาวน์" และเคาะราคาขายยูนิตละ 1.5 ล้านบาทเศษ มีพื้นที่ใช้สอย 100 ตารางเมตร ได้บริหารต้นทุนค่าก่อสร้างเหลือเพียง 6,500 บาทต่อตารางเมตร บ้านเดี่ยวแบรนด์ "ไอลีฟ พาร์ค" ราคาขาย 2.9-4 ล้านบาท จะมีต้นทุนค่าก่อสร้างเฉลี่ย 7,500-8,000 บาทต่อตารางเมตร

สรุปแล้ว ท่ามกลางปัจจัย "ต้นทุน" ที่รุมเร้าให้ทุกอย่างแพงขึ้น และสินค้าบ้านก็มีกระแสข่าวทยอยปรับราคามาอย่างต่อเนื่องครั้งละ 5% 10%

สุดท้ายผู้บริโภคคือผู้รับภาระ ขณะที่บริษัทพัฒนาที่ดินชื่อคุ้นหูยังคงรักษา "สัดส่วนผลกำไร" ได้ดีเพราะอีกขาหนึ่ง ผู้ประกอบการต้องเดินหน้าและตื่นตัวที่จะแข่ง "บริหารจัดการ" ต้นทุนค่าก่อสร้างให้ได้ต่ำสุด ๆ ถูกสุด ๆ ใครทำได้คือผู้ชนะ


-http://www.prachachat.net/index.php-


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #57 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2013, 11:10:32 am »
นิสัยไม่ดี ... ที่ทำให้เราไม่รวยสักที
-http://webboard.money.sanook.com/forum/?topic=3723600-


คนส่วนใหญ่มักคิดกันว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเรารวยหรือไม่รวยมีอยู่แค่ 3 สิ่ง คือเงินทุน ความรู้ และโอกาส แต่จริงๆ แล้วยังมีสิ่งสำคัญยิ่งกว่า นั่นก็คือ “นิสัยและรูปแบบการใช้ชีวิต” ของ คนๆ นั้น ในแวดวงการเงินพบว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไม่รวย ไม่มั่งคั่งล้วนเกิดจากพฤติกรรมหรือค่านิยมการใช้ชีวิตแบบผิดๆ ซึ่งจำเป็นต้องละ เลิก และปรับเปลี่ยนให้ได้เสียก่อน และนิสัยไม่ดีเหล่านี้มีอยู่ด้วยกัน 11 เรื่อง ดังนี้

     1. กลัวและไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง

คนส่วนใหญ่มักคิดว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ดีอยู่แล้ว จึงชอบที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ และไม่ขวนขวายที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต

    2. ไม่ขยัน แถมขี้เกียจอีกต่างหาก

ชอบใช้เวลาอย่างไม่มีคุณค่า โดยลืมนึกไปว่าเวลาในชีวิตคนเรามีจำกัดมาก เวลาทำงานก็อยากมีเวลาว่าง แต่ไม่เคยคิดที่จะใช้เวลาว่างนั้นให้เกิดประโยชน์กับชีวิตของตัวเองเลย

    3. หน้าใหญ่และฟุ้งเฟ้อ

ชอบเอาเวลาไปท่องเที่ยว สันทนาการและใช้จ่ายเกินตัวแบบคนรวย จริงๆ แล้วถ้าจะทำแบบนี้ก็ไม่น่าเกียจถ้ามีเงินเหลือเฟือและทำนานๆ ครั้ง แต่ปัญหาก็คือคนที่ทำบ่อยๆ กลับไม่ใช่คนรวยซะอย่างนั้น

     4. ชอบซื้อของแพงตามแฟชั่น

เช่น ซื้อรถยนต์ มือถือ แท็บเล็ต และโน้ตบุ๊คอย่างไม่ฉลาด เช่น เลือกสเปคเวอร์ๆ เพียงเพื่ออวดหรือเกทับกัน ทั้งๆ ที่สินทรัพย์เหล่านี้ขาดทุนทันทีตั้งแต่ซื้อ และยิ่งถือนานก็จะล้าสมัยและเสื่อมค่าลง ถ้าลองเปลี่ยนค่านิยมใช้รถหรูมาเป็นรถอีโคคาร์แทน ขณะที่มือถือ แท็บเล็ตและโน้ตบุ๊ค เลือกใช้ในสเปคที่เหมาะกับการใช้งานและยี่ห้อรองลงมา เพียงเท่านี้ก็จะทำให้มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นเป็นหลักแสนหลักล้านได้

    5. นิยมเช่าบ้านแทนที่จะซื้อ

ถ้าเลิกเช่าและหันมาซื้อบ้านแทนยิ่งทำเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดค่าเช่าได้แล้ว ยังสามารถนำมาให้คนเช่าต่อซึ่งสร้างรายได้ได้ด้วย ดอกเบี้ยผ่อนซื้อ สามารถใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีปีละ 100,000 บาท ที่สำคัญที่สุดคือบ้านถือครองนานๆ ยังเพิ่มค่าได้ แถมยังเป็นการออมภาคบังคับชั้นดีที่ทำให้คนเราเงินเก็บได้ด้วย

    6. มีลูกเยอะ

หลายคนฟังแล้วอาจไม่เชื่อว่าการมีลูกเพียงแค่ 1 คนสามารถทำให้คนจนลงได้นานถึง 20 ปี ดังนั้นหากยังไม่พร้อมจริงๆ ก็ไม่ควรคิดมีลูก และควรมีลูกแต่เพียงพอดีเท่านั้น ยกเว้นฐานะมั่นคงหรือมีเงินเหลือจริงๆ

    7.ชอบกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์

หนุ่มสาวสมัยนี้มีค่านิยมผิดๆ คือชอบกู้ยืมเงินเพื่อจับจ่ายหรือซื้อของฟุ่มเฟือย บางคนกู้มาท่องเที่ยว ทำให้มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น และบั่นทอนโอกาสกู้ยืมลงด้วย

    8. ไม่ฉลาดในการจ่ายเงินซื้อของ

ชอบซื้อของราคาเต็ม และหน้าบางไม่ชอบต่อรอง ถ้าลองเปลี่ยนมาซื้อของในห้างราคาถูก ตลาดหรือข้างถนนแทน เช่น ซื้อของตลาดนัดชิ้นละ 25 บาท หากต่อรองได้ 20 บาท เท่ากับลดค่าใช้จ่ายลงได้ถึง 20% ถ้ารวมกันเยอะๆ ทั้งเดือนก็จะลดค่าใช้จ่ายลงได้อย่างเห็นน้ำเห็นเนื้อทีเดียว

     9.ชอบถือครองทรัพย์สินที่ไม่เป็นประโยชน์

ส่วนใหญ่เป็นของสะสมฟุ่มเฟือยราคาแพง ที่ใช้ประโยชน์ได้เพียงแค่ชื่นชมส่วนตัว สนองตอบความชอบของตัวเองเป็นสำคัญ เช่น กระเป๋า น้ำหอม และรองเท้าแบรนด์เนมราคาแพง ฯลฯ ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าสิ่งเหล่านี้เหมาะสมที่จะทำต่อเมื่อรวยแล้วเท่านั้น

    10. ไม่เคยคิดที่จะเก็บออม

และแสวงหาความรู้เพิ่มเติมในหัวสมองเลย ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าถ้าไม่มีเงินออม ไม่มีความรู้ ก็จะไม่มีการลงทุนเกิดขึ้น นั่นเท่ากับเป็นการปิดโอกาสความรวยไปโดยปริยาย ทั้งนี้คนส่วนใหญ่เมื่อหาเงินมาได้สิ่งแรกที่ชอบคิดกันก็คือจะใช้เงินก้อน นั้นอย่างไร จริงๆ แล้วสิ่งที่ควรคิดก่อนคือการออมต่างหาก

     11. ชอบให้คนกู้ยืมเงิน

ส่วนใหญ่มักเป็นผลมาจากการชอบคุยโวโอ้อวดว่าตัวเองมีเงิน ขอให้ตระหนักอยู่เสมอว่าเงินทองเป็นของหายาก ต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพและระมัดระวัง ทั้งนี้ตัวเองก็มีความจำเป็นต้องใช้เงินมาช่วยสร้างความมั่นคง มั่งคั่งให้กับตัวเองอยู่แล้ว จึงเป็นการไม่ฉลาดเลยที่จะให้คนกู้ยืมง่ายๆ โดยไม่มีหลักประกันใดๆ

เครดิต : ohozaa


http://webboard.money.sanook.com/forum/?topic=3723600


.



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #58 เมื่อ: มิถุนายน 09, 2013, 02:24:30 pm »
เมื่อผมถูกตำรวจควบคุมตัวไม่ให้ออกจาก ธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน
-http://pantip.com/topic/30484962-

ถามผู้รู้...แต่เรื่องยาวหน่อยนะครับ

ผมชื่อวรเทพครับ...เนื่องจากผมได้ดำเนินการกู้สินเชื่อสำหรับซื้อบ้านของโครงการบ้านจามจุรี พาร์ค ตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 ที่ผ่านมา และตลอดระยะเวลาในการประสานงานกับทางธนาคารกรุงไทย ผมได้รับการติดต่อจากพนักงานชื่อ คุณตู่ ทางโทรศัพท์มาโดยตลอด และหลังจากสรุปการอนุมัติสินเชื่อแล้ว ทางคุณตู่ ได้เชิญให้ผมเข้าไปเซ็นสัญญา ที่ธนาคากรุงไทย สาขาสะพานกรุงธน ในวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2556 ในช่วงบ่าย ซึ่งในวันเวลาดังกล่าว ผมได้เข้าไปตามเวลานัด แต่เนื่องจากเอกสารประกอบการอนุมัติสินเชื่อ ส่วนที่เป็นการทำประกันชีวิต ไม่ตรงตามที่ได้คุยกันแต่แรก แต่พนักงานท่านอื่น ไม่สามารถชี้แจงได้ เพราะคุณตู่ ไม่อยู่สาขา แต่ได้ไปออกงาน Money Expo ที่เมืองทองธานี ทั้งนี้พนักงานที่สาขาได้ต่อสายโทรศัพท์คุยกับคุณตู่ แต่คุณตู่ก็โอนสายให้กับพนักงานอีกคน ซึ่งเป็นคนอธิบายเรื่องกรมธรรม์ ซึ่งผมเห็นว่ายังอธิบายได้ไม่ชัดเจน ผมเลยไม่ได้ทำการเซ็นสัญญากู้สินเชื่อในวันและเวลาดังกล่าว ทางคุณตู่จึงได้นัดเข้าไปสาขาอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 น.

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12.55 น. ผมได้เดินทางไปยังธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน พร้อมกับลูกน้องที่ทำงาน (ต้องไปพร้อมกันเพราะนัดลูกค้าต่อตอนบ่าย 2) ได้พบกับคุณตู่ เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย เป็นครั้งแรก และได้สอบถามเรื่องการกู้สินเชื่อซื้อบ้าน และถามอย่างตรงไปตรงมาว่า ในกรณีการกู้ของผม ผมจะไม่ทำประกันชีวิตได้หรือไม่ ระหว่างที่คุยกับคุณตู่นั้น ได้มีผู้หญิงคนหนึ่ง เดินเข้ามายืนอยู่ข้างเก้าอี้นั่งของคุณตู่ โดยได้แนะนำตัวว่า ชื่อภา เป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับประกันชีวิต กรุงไทย-แอกซ่า เข้ามาอธิบายเรื่องการทำประกันชีวิต และรายละเอียดต่างๆ ซึ่งผมก็ยังยืนยันว่าผมจะไม่ทำ และสอบถามไปยังคุณตู่ว่า ผมจะไม่ทำประกันชีวิต จะกู้ได้หรือไม่ ถ้าไม่อนุมัติก็ให้ทางคุณตู่โทรไปบอกยังโครงการบ้านให้ด้วย

ระหว่างที่ผมคุยกับคุณตู่เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยนั้น คุณภา ก็ไม่ได้หยุดพูด พยายามพูดแทรก ยั่วยุตลอดเวลา ซึ่งผมได้พยายามบอกให้คุณภา หยุดพูด เพราะผมไม่อยากฟัง และได้เชิญไปยังโต๊ะอื่น , คุณภา เดินไปจริง ประมาณ 30 วินาที แล้วก็เดินกลับมาหาเรื่องใหม่ ด้วยคำพูดยั่วยุอีกอย่างเดิม เช่น
-    อ๋อ..ขอโทษนะคะ ดิฉันเป็นท็อปเซลล์
-    ไม่เป็นไร พี่ขอเคลียร์กับผู้จัดการเองเคสนี้ พี่มีอำนาจสามารถเซ็นท์ได้
-    ไม่คิดถึงคนข้างหลังอยู่เลยเวลาจากไปใช่ใหมคะ??
-    คงไม่คิดถึงคนข้างหลังอยู่แล้วละสิ ก็คงไม่คิดจะแต่งงาน มีลูก มีผัว อยู่แล้วละลิ?? (ผมเป็นผู้ชายครับ)
-    ถ้าคุณตาย คุณจะได้เงิน 2 ล้าน เพื่อจะไม่ต้องมีภาระให้ใครไง??

ที่สำคัญ มีบางช่วงที่คุณตู่ ต้องไปโทรศัพท์ โดยลุกออกไปจากโต๊ะ คุณภาได้เข้ามานั่งยังเก้าอี้คุณตู่ และบางทีใช้เม้าท์ คลิกหน้าจอ ผมไม่เห็นหรอกว่าหน้าจอขึ้นข้อมูลอะไรไว้บ้าง เนื่องจากจอคอมหันหลังให้ผม อีกทั้งโต๊ะของคุณตู่ เต็มไปด้วยเอกสารต่างๆ มากมาย

ตลอดระยะเวลาประมาณ 30 นาที คุณภา ไม่หยุดพูดยั่วยุเลย  ผมเลยบอกคุณภา ว่า “ผมเป็นเซลล์มา 12 ปี ปัจจุบันผมเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ผมไม่เคยเห็นประกันคนไหนมาขายประกันแล้วบอกผมว่า ถ้าผมตาย ผมจะได้เงิน 2 ล้าน”
ทางคุณภา ตอบว่า “ก็มันเป็นเรื่องจริง ใครๆ เขาก็พูดกันเป็นธรรมดา”
ผมเลยตอบไปว่า “งั้นผมยกตัวอย่าง ถ้ามีคนมาขายประกันให้คุณ มาขายให้แม่คุณ แล้วบอกว่า ถ้าแม่คุณตาย คุณจะได้เงิน 2 ล้าน คุณเอาไหม??”
คุณภา ยืนกดโทรศัพท์มือถือ แล้วโยนใส่ด้านหน้าที่ผมนั่ง กระเด็นผ่านโต๊ะ แล้วตกไปกับพื้น ซึ่งก่อนหน้านี้ คุณภา ได้โยนโทรศัพท์มือถือ แบบนี้มาแล้วหลายครั้งต่อหน้าผม เพียงแต่ครั้งนี้มันกระเด็นเฉียดตัวผมไปหล่นกับพื้น

หลังจากนั้นคุณภา ได้โทรศัพท์ไปแจ้งความ โดยแจ้งต่อหน้าผมว่า “เป็นผู้ชาย ลักษณะเป็นเกย์ เป็นตุ๊ด ทำการหมิ่นประมาท....” และก็เดินไปคุยด้านหลัง

ระหว่างนั้นผมได้ยินคุณภาแจ้งกับใครสักคนทางโทรศัพท์ ว่า “ผมก้าวร้าว” ตลอดเวลา
   
เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที หลังจากที่คุณตู่ ได้ยืนยันแล้วว่าสินเชื่อไม่ผ่านหากไม่ทำประกันชีวิต จึงได้คืนเอกสารให้ผม ผมก็ได้ล่ำลา และลุกเดินจะออกจากสาขา ทางคุณภา มาเดินขวางแล้วแจ้งว่า ให้รอตำรวจก่อน เพราะได้ดำเนินการแจ้งความไว้แล้ว ผมก็รอจนตำรวจมา กลายเป็นว่า ผมถูกตำรวจควบคุมตัว ไม่ให้ออกจากสาขา และให้เข้าไปคุยกันในห้องผู้จัดการสาขา

ในห้องผู้จัดการสาขา มีตำรวจ 2 นาย, คุณตู่, เจ้าหน้าที่สาขาผู้หญิงสูงวัย, คุณภา, ผม และลูกน้อง รวมทั้งหมด 7 คน ซึ่งระหว่างการสนทนาทั้งหมด ผมได้ทำการบันทึกเสียงไว้ในโทรศัพท์มือถือ ความยาวประมาณ 13 นาที

ได้รับการบอกกล่าวจากทางตำรวจว่า คุณภา แจ้งกับตำรวจว่า "มีการหมิ่นประมาท ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย" ตำรวจเลยรีบมา และทางผมได้ชี้แจงกับตำรวจ เช่นเดียวกับเนื้อหาด้านบน และไม่ได้เกิดการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นแต่อย่างใด

สุดท้ายตำรวจแจ้งให้ในห้องว่า กรณีนี้ไม่เข้าข่ายใดๆ ที่จะฟ้องร้องเรื่องหมิ่นประมาทได้ ซึ่งทางคุณภา และผมก็เข้าใจตรงกัน ก็ทำการขอโทษกันไป  ผมถึงได้ออกจากสาขา เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น อยู่ในคลิปเสียงที่ผมอัดไว้ เป็นการชื้แจงและรับทราบต่อหน้าตำรวจ

สิ่งที่ผมอยากทราบที่สุดเลยคือ

1.    คุณภา เจ้าหน้าที่กรุงไทย-แอกซ่า เป็นพนักงานธนาคารกรุงไทยสาขาสี่แยกสะพานกรุงธนหรือไม่? ทำไมถึงมีอำนาจมากมาย คุยกับผู้จัดการสาขาได้ว่าจะอนุมัติเคสใครให้ทำประกันก็ได้ ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่(คุณตู่) ทำไม่ได้ เพราะผมไม่เห็นว่าเขาจะแต่งกายชุดพนักงานของธนาคารเลย และเป็นคนเดียวในสาขาด้วย ผมถามเขา เขาตอบว่าเขาเป็นพนักงานเอ้าซอร์ท สามารถเดินไปที่ไหนก็ได้ในธนาคาร
2.    คุณภามีอำนาจมากมายขนาดที่สามารถนั่งโต๊ะคุณตู่ หรืออยู่หน้าคอมคุณตู่ ได้เลยหรือ ทั้งข้อมูลในคอมหรือเอกสารที่อยู่บนโต๊ะต่างๆ เท่าที่ผมทราบ ควรจะเป็นความลับของเจ้าหน้าที่แต่ละคนหรือไม่ ผมถามคุณภา ว่าเอกสารการกู้สินเชื่อของผมเป็นความลับไม่ใช่หรือ ทางคุณภายืนยันว่ามีสิทธิ์ดูได้เพราะเกี่ยวกับประกันที่เธอดูแล อยากทราบเหมือนกันว่า ที่อยู่หน้าคอมและเอกสารบนโต๊ะนั้น เป็นเอกสารที่เกี่ยวกับประกันภัยทั้งหมดเลยหรือไม่
3.    สมควรหรือไม่ ที่ให้ตำรวจมาควบคุมตัวผมไม่ให้ออกจากสาขา แล้วแจ้งความว่า “หมิ่นประมาท ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย” ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ผมไม่ได้ก้าวร้าว ไม่คำหยาบออกมาจากปากผมสักคำ และ ผมเชื่อว่ากล้องวงจรปิดที่สาขา สามารถบันทึกภาพไว้ได้ทั้งหมด  ระหว่างที่ผมนั่งคุยที่โต๊ะคุณตู่ ผมไม่ได้ลุกจากที่นั่งด้วยซ้ำ คุณภาต่างหาก ทั้งเดิน ทั้งนั่ง โยนใส่โทรศัพท์ใส่หน้าผม แล้วถ้าลองเปลี่ยนจากโทรศัพท์เป็นของมีคมละ? หรือถ้าโทรศัพท์มันระเบิดขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบผม เพราะโทรศัพท์ไอโฟน ก็เคยมีกรณีระเบิดมาแล้ว
4.    หากคุณภาเป็นพนักงานบริษัทกรุงไทยจริง อยากทราบว่า ธนาคารกรุงไทย ให้พนักงานทำกับลูกค้าของคุณแบบนี้หรือ?? ทั้งให้พนักงานมาทะเลาะกับลูกค้า, ให้พนักงานพูดจาเหยียดหยามเรื่องเพศ และให้ตำรวจมาควบคุมตัว ไม่ให้ออกจากสาขา ต่อหน้าลูกน้องผม, ต่อหน้าพนักงานธนาคารและต่อหน้าลูกค้าธนาคาร ที่มาใช้บริการขณะนั้น มันถูกต้องแล้วหรือ??
5. การที่ใครสักคนจะเป็นเพศอื่นๆ ที่ไม่ใช่เพศชาย หรือเพศหญิง จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากพนักงานธนาคารกรุงไทยหรือ?? ยุคสมัยของการดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติ สีผิว และเพศ มันน่าจะผ่านไปนานแล้ว
6.    เคยเกิดกรณีพนักงานโรงหนังแห่งหนึ่ง ตะคอกเถียงลูกค้าที่มาใช้บริการ สุดท้ายก็ต้องออกจากงานนั้นไป ถามว่าทางมาตรฐานและบรรทัดฐานของกรุงไทย จะจัดการเช่นไรกับกรณีนี้
7. ถ้ากู้ซื้อบ้าน และไม่ทำประกันได้หรือไม่ (อันนี้ไม่อยากได้คำตอบแล้ว)

ผมได้ทำการร้องเรียนผู้เกี่ยวข้องไปแล้ว แต่ก็ไม่คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบอะไร เต็มที่ก็คงจะทำการขอโทษ ซึ่งการขอโทษมันก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะนอกจากความรู้สีกที่เสียไปแล้ว ยังมีอื่นๆ ที่เสียตามมาอีก
- บ้านผมก็กู้ไม่ผ่าน
- ชื่อผมก็ต้องอยุ่ในบันทึกของตำรวจ
- ลูกน้อง การปกครองต่อไปจะเป็นอย่างไร
- เจ้าหน้าที่ธนาคารท่านอื่น ก็คงไม่อยากบริการลูกค้าเช่นผม
- ลูกค้าธนาคารช่วงเวลานั้น ตีหน้าผมไปแล้วว่า...
- ความกลัวที่จะเข้าไปใช้บริการกรุงไทย ผมไม่รู้ว่าหากพูดผิดหูเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือไม่ จะถูกแจ้งความว่า "หมิ่นประมาท ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย" อีก
- ภาพในกล้องวงจรปิด "ผมถูกตำรวจควบคุมตัว ไม่ให้ออกจากธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน"

เลยมาแชร์ และถามผู้รู้ครับ

 สมาชิกหมายเลข 839416
14 พฤษภาคม เวลา 13:27 น.  [IP: 125.25.37.119]
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #59 เมื่อ: มิถุนายน 09, 2013, 02:26:42 pm »
เมื่อผมถูกตำรวจควบคุมตัวไม่ให้ออกจาก ธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน
-http://pantip.com/topic/30484962-

ความคิดเห็นที่ 77
มาตอบและขอบคุณพันทิพ ครับ

ได้รับการติดต่อจากผู้จัดการสาขาแล้วครับ ได้รับการขอโทษจากผู้จัดการ ในนามของธนาคาร ผู้จัดการแจ้งว่า เพิ่งได้ทราบเรื่อง จากสำนักงานใหญ่ จากเรื่องราวที่ผมโพสในพันทิพ และผู้จัดการสาขาจะเข้ามาพบที่ออฟฟิสผม ในวันพุธที่ 15 พ.ค. บ่าย 2

เห็นแจ้งว่าขอเข้าพบเพื่อชี้แจง และจะดูให้ว่าพอจะช่วยเหลือเคสนี้อย่างไรบ้าง

ผมได้แจ้งวันเวลาเข้าพบอีกครั้ง และรบกวนให้ทางผู้จัดการนำไฟล์ของกล้องวงจรปิดมาให้ด้วยจะได้เข้าใจตรงกัน แต่ผู้จัดการแจ้งว่า กล้องวงจรปิดมีเฉพาะที่เค้าเตอร์กับประตูทางเข้า บริเวณที่คุณตู่นั่งไม่มี เฮ้อ...กลายเป็นสิ่งที่ผมพูด ไม่มีน้ำหนักขึ้นมาทันที มีแต่พยานบุคคลคือลูกน้องผม กับเจ้าหน้าที่ธนาคารอีก 2 คน ซึ่ง 2 คนหลังจะเป็นพยานให้หรือไม่

ผ่านพรุ่งนี้ไปได้ จะมาเล่าอีกทีนะครับ

ขอบคุณทุกความเห็นและพันทิพครับ


-------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 250
เจ้าของกระทู้นะครับ มาตอบแล้วแจ้งข่าวและความคืบหน้าครับ

15 พ.ค.56 เวลา 14.30 น.- เจ้าหน้าที่กรุงไทย(คุณตู่), คุณคมสัน จันทร์สืบสาย ผู้จัดการสาขา(คห.163), เจ้าหน้าที่กรุงไทย-แอกซ่า 4 ท่าน และลูกน้องผม(ผู้ร่วมเหตการณ์)

ทางเจ้าหน้าที่ทั้งจากกรุงไทย และกรุงไทยแอกซ่า ได้ทำการขอโทษอย่างเป็นทางการ พร้อมกระเช้าผลไม้จากกรุงไทยแอกซ่า ครับ

จากนั้นผมได้เริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดตามเนื้อความที่ตั้งกระทู้ และทางคุณคมสัน ได้เล่าผลทางการสอบสวนเจ้าหน้าที่สาขาก่อนที่จะมา ซึ่งไปในทิศทางเดียวกันกับเหตุที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม, คำพูดยั่วยุ เสียดสี, การโยนโทรศัพท์, การเดินเข้า-ออกระหว่างสนทนา และสุดท้ายคือการแจ้งตำรวจมาควบคุมตัวที่สาขาต่อหน้าพนักงาน และลูกค้าท่านอื่น

กรุงไทย
- ได้ชื้แจงแล้วว่า คุณภา ไม่ใช้พนักงานของธนาคารกรุงไทย แต่เป็นพนักงานของกรุงไทย-แอกซ่า ที่ประจำสาขานี้ และขณะนี้ได้ระงับ ไม่ให้เข้าไปยังสาขาแล้ว
- กล้องวงจรปิด ทางธนาคารได้นำรูปถ่ายภายในสาขา บริเวณที่ผมนั่งทำธุรกรรมอยู่ และเห็นว่าไม่มีกล้องวงจรปิดจริงๆ
- ในส่วนของสินเชื่อซื้อบ้าน ไม่มีเงื่อนไขว่า จะต้องซื้อประกันชีวิตด้วย และชี้แจงว่า กรณีของผม สินเชื่อได้ทำการอนุมัติแล้ว โดยได้ประสานงานกับทางโครงการบ้านจามจุรี พาร์ค ให้ดำเนินตามขั้นตอนต่อ แต่ที่คุณภาทำ คือการยัดเยียดการทำประกันชีวิต ซึ่งทางธนาคารไม่ได้มีนโยบายว่า การไม่ทำประกันชีวิต จะไม่อนุมัติสินเชื่อ

กรุงไทย-แอกซ่า
- ชี้แจงเรื่องไม่มีนโยบายให้ตัวแทนประกัน พูดคำว่า "ตาย" แต่ให้เลี่ยงใช้คำอื่นที่ไกลตัว แต่สื่อความหมายให้เข้าใจ
- ชี้แจงส่วนของพนักงาน (คุณภา) ว่าทางบริษัท ได้ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับพนักงานคนดังกล่าว และไม่ได้เข้าข้างพนักงานแต่อย่างใด รวมถึงไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดต่อสิ่งที่คุณภาทำ
- ชี้แจงเรื่องกรมธรรม์, ขั้นตอนการอธิบาย รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่จะได้รับ(ที่ไม่ได้รับข้อมูลตั้งแต่แรกเริ่ม)

จากการได้พูดคุยกันในวันนี้ เนื้อความไม่ได้เยอะมากมาย แต่เป็นเรื่องการชี้แจงในหัวข้อต่างๆ ข้างต้น เพื่อสร้างความเข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ ผมคิดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของบุคคลเพียงคนเดียว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์กร ทั้งจากธนาคารกรุงไทย และกรุงไทย-แอกซ่า และผมเองก็ไม่ได้ติดใจเอาความแล้ว

สำหรับกรุงไทย-แอกซ่า ตามที่ได้คุยกัน ผมก็เห็นว่า คุณภา ได้ทำเรื่องแย่ๆ เพียงคนเดียว แต่ไม่ได้เกี่ยวกับองค์กร การขออภัยจากทางองค์กร ผมก็ถือว่าน่าจะเพียงพอแล้ว
สำหรับธนาคารกรุงไทย ขอขอบคุณที่แสดงการรับผิดชอบครั้งนี้อย่างจริงใจ

เรื่องระหว่างผม, ธนาคารกรุงไทย และ กรุงไทย-แอกซ่า ก็จบด้วยความเข้าใจอันดีครับ

ป.ล. ก่อนกลับ เราได้ทำการฟังคลิปเสียงที่ผมได้ทำการบันทึกไว้พร้อมกัน และทุกท่านที่ได้ฟังก็ดูสีหน้าตกใจกับเหตุเสียงที่ได้ยินในคลิป ทั้งคำพูดและน้ำเสียงที่ไม่เหมาะสม



ตอบกระทู้- สำหรับหลายท่านที่มีข้อสงสัย ขอตอบดังนี้ครับ
- ผมมาโพสเพื่ออะไร -
     - เพื่อมาแชร์เรื่องราวที่ผมเจอ และมีข้อสงสัยบางอย่างที่ต้องการคำตอบ
     - ผมว่าพนักงานบริการที่บริการเช่นนี้ ควรได้รับบทเรียน

- ทำไมตกลงทำประกันชีวิตแล้วเกิดเปลี่ยนใจ
     - ไม่ได้เปลี่ยนใจครับ เพียงแต่ว่า ตอนแรกแจ้งผมว่าเป็นประกันแบบเงินออม แต่พอมาเห็นกรมธรรม์จริง เป็นประกันแบบเงินออม ปีละ 20,000 บาท เป็นเวลา 26 ปี อันนี้ผมรับได้ แต่มีอีกส่วนที่รับไม่ได้คือ ต้องทำประกันเสริม จ่ายปีละ 10,000 บาท เป็นเวลา 15 ปี ซึ่งไม่เคยมีการแจ้งมาก่อน เลยรู้สึกว่าไม่อยากทำ

- คลิปเสียง ทำไมไม่เอามาลง
     - อัดจากในไอโฟนครับ พยายามจะเอาลงแล้ว แต่ทำไม่เป็น แต่หลังจากได้ทำการพูดคุยกันทุกฝ่าย ทางธนาคารกรุงไทย และกรุงไทย-แอกซ่า ก็ขอให้ผมส่งเป็นไฟล์เพื่อไปพิจารณา ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว (โพสไม่เป็นจริงๆ พยายามแนบไฟล์แล้ว มันเด้งกลับตลอดเลยครับ)

- ทำไมต้องอดทน ตอนที่ถูกยั่วยุ หรือโยนโทรศัพท์ใส่ ใจเย็นอยู่ได้อย่างไร
     - เพราะขณะนั้นผมก็ตกใจเหมือนกัน (กำลังอึ้ง) ทำอะไรไม่ถูก
     - ผมไม่ได้ใจเย็นนะครับ ก็มีเถียงไปตลอดเหมือนกัน การที่ผมจะลุกยืน ชี้หน้าด่า หรือทำร้ายร่างกายคุณภา ซึ่งเป็นผู้หญิงมันก็คงไม่ถูกต้อง ถ้าทำไป เรื่องนี้จะออกมาอีกแบบเลย มีบางคห. บอกว่า "มวยถูกคู่" อันนี้ยอมรับครับ
     - คนเข้าไปกู้เงินธนาคาร ปกติเราก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่แล้ว การจะตั้งหน้าเพื่อจะไปหาเรื่องคงไม่ใช่

- ทำไมต้องรอจนตำรวจมา
     - ไม่ได้รอจนตำรวจมาครับ แต่ว่าจะออกจากสาขาแล้ว คุณภาเข้ามาขวาง ไม่ให้ออกจากสาขา เพียงไม่ถึง 10 วินาที (10 วินาทีจริงๆ เพราะเร็วมาก) ตำรวจก็มาถึงสาขา

- ทำไมไม่แจ้งความกลับ
     - ขณะนั้นผมก็คิดไรไม่ออกครับ ยิ่งอยู่ใกล้ตำรวจด้วยแล้ว คิดอะไรไม่ออกเข้าไปใหญ่
     - ผมมีนัดลูกค้า ไว้ตอนบ่าย 2 เลยต้องรีบไป

เรื่องนี้ต้องให้เครดิตกับตำรวจด้วยครับ เพราะนอกจากจะมาระงับเหตุแล้ว ยังได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น

- ชื่อวรเทพ ครับ ไม่ได้เป็นคนเดียวกับ gsg99 ครับ

สุดท้ายนี้ ผมก็ขอบคุณทุกความคิดเห็น และเสนอแนะจากทุกๆ ท่านครับ ผมแค่อยากมาแชร์ประสบการณ์กับสิ่งที่ได้เจอครับ


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)