ผู้เขียน หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"  (อ่าน 149435 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #210 เมื่อ: เมษายน 06, 2015, 09:14:25 am »
5 ข้อห้ามเพื่อชีวิตที่ปลอดหนี้สิน!
4 เม.ย. 58 21.16 น.


-http://money.sanook.com/269577/-

เข้าสู่ช่วงปลายเดือนทีไร ใครหลายคนมักจะเกิดอาการเหมือนโดนไฟดูดขึ้นมาทันควัน (ช็อตนั่นเอง – -“) และพอไม่มีเงินขึ้นมา สิ่งแรกที่เราคิดนั่นคือ ขอยืมเงินชาวบ้านดีฝ่า (อย่าลืม.. อ่านเคล็ดลับวิธีปฎิเสธเพื่อนยืมเงินประกอบด้วยนะครับ) หรือไม่ก็ตัดสินใจนำเงินอนาคตมาใช้แทน ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด บัตรรถไฟฟ้า เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว จนบางครั้งการใช้เงินในอนาคตที่ว่านี้แหละ อาจจะทำให้เราเป็นหนี้โดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้ พอรู้ตัวอีกที โอ้ยยยย ตรูไม่มีปัญญาจะจ่ายแล้วววว

วันนี้ @TAXBugnoms มีเคล็ดลับการใช้ชีวิตดีๆ แบบปลอดหนี้สินมาเล่าสู่กันฟัง รับประกันได้ว่า ถ้าเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ อ่านแล้วปฎิบัติตามได้ ต่อให้หนี้สินมากแค่ไหนก็ไม่อาจมากล้ำกรายได้เลยล่ะจ้าาาา

ข้อแรก : อย่าใช้เกินกว่าที่หามาได้
กูรูการเงินทั้งหลายมักจะแนะนำว่า ให้ปรับเปลี่ยนสมการการเงินของตัวเราใหม่ นั่นคือ ได้เงินมาเท่าไรหักออกก่อนด้วยเงินออมแล้วที่เหลือค่อยใช้จ่าย (รายได้ – เงินออม = รายจ่าย) แต่บางคนก็บอกว่าจะให้ออมยังไงไหว ชั้นจะตายอยู่แล้วจ้าาา ดังนั้นถ้าทำตามไม่ไหวจริงๆแล้วล่ะก็ สิ่งแรกที่ควรทำคือสร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเองก่อนว่า “ตรูจะไม่ใช้เกินกว่าที่หาได้!!!” เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะอย่างแน่นอนครับ

ข้อสอง : อย่าสนใจของนอกกายที่ไม่จำเป็น
ตามจากข้อแรกมาทันควัน ส่วนใหญ่แล้วที่เราใช้จ่ายมากกว่าที่หาได้นั้น สาเหตุมันเกิดจากของนอกกายทั้งหลายที่ไม่ตายแต่ก็อยากได้จริงๆเลยนี่แหละครับ บางคนเห็นเพื่อนเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ก็อยากจะเปลี่ยนตาม เห็นคนรอบข้างมีของดีของใช้ทันสมัยทั้งหลาย หรือไลฟ์สไตล์ที่น่าอิจฉา ใจมันก็๋อยากได้ขึ้นมาซะงั้น แต่เราลืมถามตัวเองไปว่า แล้วเราน่ะ “เหมาะสม” กับการใช้จ่ายพวกนั้นหรือไม่

และเหตุผลอีกข้อหนึ่งนั้นเกิดจาก “กับดักรายจ่าย” เพราะเราไม่เคยรู้ตัวเลยว่า ตัวเราเองนั้นได้จ่ายเงินไปมากขนาดไหน และที่สำคัญเจ้ารายจ่ายที่จ่ายไป เราแบ่งได้หรือยังว่า รายจ่ายไหนคือ “รายจ่ายที่จำเป็น(Need)” หรือ “รายจ่ายที่ต้องการ(Want)” กันแน่!

รายจ่ายที่จำเป็น คือ รายจ่ายทีต้องใช้ ถ้าไม่ได้จ่ายไปเราก็ตายแน่ๆแต่รายจ่ายที่ต้องการ คือ รายจ่ายที่เราไม่มีก็ไม่ตาย แค่ดิ้นทุรนทุรายไปสักพักเดียวเองจ้าาและสุดท้ายก่อนที่จะจ่ายเงินออกไป ลองถามตัวเองก่อนทุกครั้งว่า “ตรูจ่ายไปทำไมฟระ”

ข้อสาม : อย่าเห็นของลดราคาแล้วตัวสั่น
ข้อนี้ถือว่าเป็นปัญหาของทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา เพราะแต่ละคนมีความชอบที่แตกต่างกัน บางคนชอบชอปปิ้งเสื้อผ้า เห็นเสื้อผ้า SALE ทีไรก็อดใจไม่ไหว บางคนชอบสินค้าไอที เดินงานคอมมาร์ทที่ไรก็ห้ามใจไม่อยู่ เพราะเราทุกคนล้วนมีความชอบนู่นนี่นั่นแตกต่่างกันไป แต่วิธิที่ห้ามใจได้ดีที่สุด นั่นคือ “หยุดมองของลดราคา” แต่ให้ซื้อเมื่อ “จำเป็นจริงๆ” เท่านั้น ไอ้ประเภทที่ซื้อๆไปก่อนเพราะกลัวพลาดของดีราคาถูก บางครั้งกลายเป็นผูกติดหนี้สินโดยที่่ไม่รู้ตัวนะคร้าบบบ

ข้อสี่ : อย่ากระสันอยากมีเหมือนคนอื่นเขา
สำหรับข้อนี้ เป็นเรื่องใจล้วนๆ เพราะความอิจฉาริษยาเราต้องดับให้ขาด หากมีเรื่องพวกนี้ตลอดเวลาในใจ เราก็จะกลายเป็นคนที่มัวมองหาเป้าหมายที่จะแข่งขัน เปรียบเทียบ อยากมี อยากเป็น อย่างคนอื่นเขา แต่จริงๆเราเคยถามตัวเองไหมว่า “ชั้นต้องการอะไร” และ @TAXBugnoms เชื่อเลยครับว่า ถ้าเรารู้ตัวเองว่าต้องการอะไร เราจะตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปได้เต็มๆ เลยล่ะครับและเมื่อไม่ต้องใช้จ่าย โอกาสที่จะเป็นหนี้มันก็น้อยลงไปเหมือนเงาตามตัวเลยล่ะคร้าบบบ

ข้อห้า : อย่าเอาชีวิตไปผูกติดสินค้าเงินผ่อน
ผ่อน 0% 10 เดือน 20 เดือน 30 เดือน นั้นคือตัวยั่วยวนชั้นดีที่จะทำให้เราตบะแตก ตัดสินใจเป็นหนี้โดยที่คิดว่า ค่อยทยอยๆจ่ายก็ได้น่า ไม่เห็นเป็นไรเลย จากประสบการณ์ที่เคยเห็นมา บางคนมีบัตรเครดิตกี่บัตร พี่ท่านจัดเต็มวงเงินทุกบัตรเลยคร้าบ ทีนี้มันก็เป็นปัญหาตามมาว่า ผ่อนทุกเดือน จ่ายทุกเดือน หนี้เก่าไปหนี้ใหม่มา แต่ตัวคุณพี่น้้นหาอะไรกินไม่ได้เลยเพราะใช้หนี้จนหัวโตกันเลยทีเดียว

เคล็ดลับทั้ง 5 ข้อนี้ มีไว้เพื่อเตือนใจเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ก่อนจะตัดสินใจเป็นหนี้ แต่หนี้จะเกิดขึ้นได้นั้น มันต้องมาจากความอยากที่จะใช้จ่าย ถ้าหากแก้ปัญหาที่ตรงจุด ลดหนี้สิน เราต้องหยุดตั้งแต่ความคิดที่จะใช้จ่าย ไม่ใช่หยุดความคิดที่จะสร้างหนี้ เพราะถ้ารู้ตัวช้าแบบนั้น บางครั้งอาจจะไม่ทันการณ์นะคร้าบบบบบ

ขอบคุณบทความดีๆจาก -www.aommoney.com-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #211 เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2015, 08:54:21 am »
คุ้มโคตรๆ!! กับเงินฝาก 5 ประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษี!!
http://money.sanook.com/276497/

หลายๆคนมีปัญหากับการฝากเงินธนาคาร บางครั้งบ่นว่าต้องเสียดอกเบี้ย วันนี้ @TAXBugnoms เลยขอนำเรื่องราวดีๆมาบอกต่อให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆฟังกันครับว่า มันมีวิธีการฝากเงินแล้วได้ดอกเบี้ย แถมยังไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับว่ามีอะไรบ้าง

1. เงินฝากเผื่อเรียกจากธนาคารออมสินและธนาคารเกษตรและสหกรณ์

สำหรับเงินฝากเผื่อเรียกนี้ ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีจากดอกเบี้ยที่เราได้รับทั้งจำนวนครับ ซึ่งคำว่าเผื่อเรียกนี้ หมายความรวมถึงเงินฝากเผื่อเรียกแบบพิเศษด้วยนะครับ ดังนั้นถ้าใครฝากเงินกับธนาคารสองแห่งนี้ รับประกันได้เลยครับว่าไม่ต้องเสียภาษีอย่างแน่นอน

อ้อ… นอกจากเงินฝากแบบเผื่อเรียกแล้ว รางวัลสลากต่างๆที่เราได้รับจากการลงทุนในสลากออมสินและสลากธกส. ส่วนนี้ก็ได้รับยกเว้นภาษีเช่นเดียวกันแถมยังได้ลุ้นรางวัลใหญ่อีกด้วยครับ

2. เงินฝากออมทรัพย์จากสหกรณ์ออมทรัพย์

สำหรับเงินฝากประเภทนี้ คือเงินฝากออมทรัพย์กับทางสหกรณ์ออมทรัพย์ต่างๆ เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัย สหกรณ์ออมทรัพย์สำหรับข้าราชการแต่ละหน่วยงาน ซึ่งบางครั้งได้เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปอย่างเราๆเข้าไปฝากเงินได้เหมือนกันครับ

3. เงินฝากออมทรัพย์ธนาคารพาณิชย์ส่วนที่ไม่เกินสองหมื่นบาท

เงินฝากธนาคารออมทรัพย์สำหรับธนาคารพาณิชย์ทั่วไปก็ได้ยกเว้นภาษีเช่นเดียวกัน แต่กฎหมายให้จำนวนดอกเบี้ยสูงสุดไว้ที่ 20,000 บาทเท่านั้น ซึ่งถ้าหากใครฝากเกิน 20,000 บาท ก็ต้องเสียภาษีตั้งแต่บาทแรก ไม่ใช่เสียเฉพาะส่วนที่ยกเว้นนะครับ และอันนี้หมายความรวมถึงบัญชีออมทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น ฝากไม่ประจำ ออมทรัพย์พิเศษ ก็อยู่ในประเภทนี้ครับ

4. เงินฝากประจำปลอดภาษี

สำหรับดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินฝากประจำรายเดือนติดต่อกัน โดยมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 24 เดือน และมีเงินฝากแต่ละครั้งไม่เกิน 25,000 บาท หรือรวมทั้งหมดไม่เกิน 600,000 บาท จะได้รับสิทธิยกเว้นรายได้ส่วนนี้ครับ ซึ่ง @TAXBugnoms เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จักกันดีในชื่อของเงินฝากประจำปลอดภาษีนั่นเอง

5. เงินฝากประจำสำหรับผู้สูงอายุ

ประเภทสุดท้ายคือ เงินฝากประจำที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป โดยได้รับดอกเบี้ยเงินฝากไม่เกิน 30.000 บาทต่อปี (ดอกเบี้ยที่ว่านี้ต้องรวมเงินฝากประจำประเภทอื่นๆด้วยนะครับ) และที่สำคัญคือผู้ฝากต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 55 ปี ถึงจะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีจากดอกเบี้ยที่ว่านี้นะครับ ถึงแอบเรียกว่า เงินฝากประจำคนแก่ เอ้ย คนมีอายุนั่นเองครับ

และทั้งหมดนี้คือประเภทเงินฝากดีๆที่ได้รับดอกเบี้ยแล้วไม่ต้องเสียภาษีที่เราทุกคนควรรู้ไว้ เผื่อมีใครจะใช้เพื่อวางแผนประหยัดภาษีและการจัดพอร์ทการลงทุนของตัวเองไปพร้อมๆกันครับ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #212 เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2015, 11:43:44 am »
กู้สินเชื่อที่พักอาศัย ผ่านไม่ผ่าน ดูที่อะไร?

-http://money.sanook.com/278293/-


คุณกำลังคิดจะยื่นขออนุมัติสินเชื่อบ้านหรือไม่? หากใช่ คุณควรอ่านบทความนี้ เพราะข้อมูลที่เรานำเสนอจำเป็นอย่างมากในการที่สินเชื่อของคุณจะได้รับการอนุมัติ ซึ่งหากทราบถึงหลักเกณฑ์คุณก็สามารถคาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าสินเชื่อของตนจะได้รับการอนุมัติหรือไม่ จะได้ไม่ต้องนั่งลุ้นรอผลจากทางธนาคาร หรือหากมั่นใจว่าจะได้รับการปฏิเสธก็จะได้ไม่ส่งคำขออนุมัติให้เสียเวลา และเรายังปิดท้ายด้วยเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการกู้ร่วมมาฝากอีกด้วย

หลักเกณฑ์การพิจารณามีดังต่อไปนี้:

1. ความสามารถในการชำระหนี้ของคุณมีแค่ไหน
ธนาคารผู้ให้สินเชื่อจะพิจารณาจากรายได้ ในกรณีที่มีผู้กู้ร่วม ก็จะนำรายได้ของผู้กู้ร่วมมาคำนวณด้วย และส่วนมากจะให้กู้เป็นวงเงินสูงสุดประมาณ 30 – 40เท่าของรายได้ ซึ่งแล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละธนาคาร ทั้งนี้ทั้งนั้นธนาคารจะนำอาชีพของผู้กู้มาประกอบการตัดสินใจ ซึ่งถ้าเป็นอาชีพที่มั่นคงก็อาจได้รับการอนุมัติวงเงินสูงกว่า และยังพิจารณาไปถึงหนี้สินต่อรายได้ต่อเดือนของคุณ ซึ่งปกติแล้วทางธนาคารอาจไม่อนุมัติหากอัตราหนี้สินต่อรายได้ปัจจุบันของคุณเกิน40%

2. ความเหมาะสมของหลักประกัน
มูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ที่คุณต้องการซื้อส่งผลต่อการอนุมัติของธนาคาร หากเป็นอาคารที่มีมูลค่าทางตลาดสูง ตั้งอยู่ในทำเลดี และหากทำประกันให้อสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวก็อาจเพิ่มโอกาสการได้รับอนุมัติสินเชื่อเช่นกัน

3. คุณสมบัติของผู้กู้
อายุและประวัติส่วนตัวของคุณก็มักถูกใช้ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ตั้งแต่อาชีพไปถึงอายุ ซึ่งอายุของคุณเมื่อครบเวลาผ่อนชำระต้องไม่เกิน70ปี รวมไปถึงเครดิตสกอร์จากเครดิตบูโร ถ้าอยู่ในระดับที่ดีโอกาสที่จะได้รับการพิจารณาก็สูงขึ้นไปอีก


เกร็ดความรู้หากจะกู้ร่วม!

คุณรู้หรือไม่ ในกรณีที่อีกฝ่ายหนีหนี้หรือไม่จ่าย คนที่เป็นผู้กู้ร่วมจำต้องรับผิดชอบหนี้สินดังกล่าวเต็มจำนวน ฉะนั้นก่อนที่คุณจะตกลงกู้ร่วมกันใคร มั่นใจเสียก่อนว่าคุณไตร่ตรองมาดีแล้ว บางทีหากคนที่มาขอให้คุณเป็นผู้กู้ร่วมอาจเป็นครอบครัว ซึ่งการปฏิเสธก็ยาก เพราะฉะนั้นคุณควรศึกษาสถานะทางการเงินของอีกฝ่ายให้ดีเสียก่อน
สิ่งที่คุณต้องถามตนเองคือ:

1. อีกฝ่ายไว้ใจได้แค่ไหน
ลองถามตนเองอย่างจริงจังว่าคุณไว้ใจผู้กู้แค่ไหน เขาเป็นคนแบบไหน อย่ากลัวการเสียเพื่อนเพราะหากเกิดอะไรขึ้น เงินที่คุณต้องรับผิดชอบอาจสูงจนกระทั่งคุณลำบาก อีกทั้งการตามทวงหนี้หรือการตามทวงเงินจากผู้กู้นั้นไม่ใช่เรื่องสนุก

2. ลิมิตของคุณมีเท่าไหร่
หากคุณตัดสินใจจะเซ็นเป็นผู้กู้ร่วม ในเมื่อคุณต้องแบกรับความเสี่ยงในกรณีที่อีกฝ่ายไม่จ่ายหนี้ คุณก็ควรมีสิทธิ์กำหนดลิมิตจำนวนหนี้สินที่คุณต้องจ่ายในกรณีที่อีกฝ่ายหนีหนี้ และอย่าลืมเก็บเอสารหลักฐานทุกอย่างเอาไว้ในกรณีที่คุณต้องใช้ในภายหลังหากเกิดอะไรขึ้น

การกู้ร่วมไม่ใช่เรื่องแย่ แต่คุณต้องกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้การช่วยเหลือผู้อื่นทำให้ตัวคุณเองเดือดร้อนและคุณไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่คุณจะต้องการความช่วยเหลือบ้าง

ทีมงาน MoneyGuru พร้อมเสมอที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับสินเชื่อบ้านของคุณ หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อเราได้ที่ info@moneyguru.co.th หรือ www.moneyguru.co.th

เรื่อง : MoneyGuru

create by smethailandclub.com

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #213 เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2015, 07:39:24 pm »
อยู่ดีๆ ตกงาน ควรใช้บัตรเครดิตต่อหรือไม่?

-http://money.sanook.com/280513/-

หากวันหนึ่ง คุณพบว่าคุณต้องตกงาน และคุณยังไม่มีงานใหม่ คุณอาจเกิดคำถามกับตัวเองว่า ปกติเป็นคนที่ใช้บัตรเครดิตตลอด พอตกงาน ขาดรายได้ ยังควรใช้ต่อไปหรือไม่ แล้วถ้ามีหนี้บัตรเครดิตอยู่ด้วยแล้วล่ะ จะทำอย่างไรกับชีวิตการเงินของคุณดี วันนี้ MoneyGuru อยากให้คุณใจเย็นๆ เพราะทุกปัญหาการเงินมีทางแก้ วันนี้เราจึงเอาคำตอบของสถานการณ์นี้มาฝากกัน

หากยังมีหนี้อยู่ ทำอย่างไรกับหนี้สินดี?

วิธีจัดการเบื้องต้นนั้น ก็ไม่ต่างอะไรมากนักกับเวลาที่บรรดาธุรกิจที่ประสบกับภาวะหนี้สิน นั่นก็คือการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในการชำระหนี้ในช่วงระยะเวลานั้นๆ นั่นเอง

เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่คุณต้องทำเลยคือ อย่าหนีหนี้ ยกหูโทรศัพท์หาธนาคารเจ้าของบัตร เล่าสถานการณ์ให้ฟัง และดูว่าธนาคารสามารถช่วยอะไรเราได้บ้างหรือไม่

ต่อมา ที่ควรทำคือ การชำระหนี้อย่างน้อย จ่ายขั้นต่ำ สำหรับหนี้ทุกก้อนที่คุณมี โดยเริ่มจากหนี้สินที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันก่อน ทั้งค่ารถ ค่าบ้าน เพราะหากคุณไม่ยอมจ่ายหลายๆเดือน คุณอาจจะถูกยึดหลักทรัพย์เหล่านั้นไป

ต่อมาคือ หนี้สินที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ได้แก่ บัตรเครดิต ซึ่งก็เหมือนกับหนี้สินประเภทอื่นๆ คือ พยายามจ่ายขั้นต่ำของทุกบัตรที่คุณมีอยู่ ลองคุยกับธนาคารว่าสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้หรือไม่ แล้วยิ่งหากคุณมีประวัติเครดิตที่ดีมาตลอด ถือว่าคุณเป็นลูกหนี้ชั้นดี คุณจะยังมีภาษีพอที่จะต่อรองธนาคารได้

ซึ่งส่วนมากนั้น หากคุณซื่อสัตย์กับธนาคารจริง ธนาคารจะเข้าใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือ ดีกว่าคุณไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ กลายเป็นบุคคลล้มละลาย หนี้ของคุณจะกลายเป็นหนี้สูญทันที และธนาคารจะไม่ได้ประโยชน์อะไร หรืออีกกรณีหนึ่งคือ คุณบอกกับธนาคารว่า คุณจะทำการโอนยอดหนี้ไปบัตรอื่น ธนาคารอื่น ก็อาจจะเป็นการช่วยเพิ่มน้ำหนักในการเจรจาอีกทางหนึ่ง

เป็นคนปลอดหนี้ ควรใช้บัตรเครดิตต่อไปหรือไม่?

หากคุณเป็นคนกลุ่มนี้ อาจจะน่าโล่งใจกว่าคนกลุ่มแรก เพราะคุณไม่มีหนี้สินต้องพะวง เพียงแค่ต้องหารายได้มาจุนเจือค่าใช้จ่ายรายวัน และรายเดือนในช่วงเวลาที่คุณยังหางานไม่ได้ และยังต้องใช้เงินเก็บสำรองกรณีฉุกเฉิน ที่คุณเก็บสะสมไว้ก่อนหน้านี้

แต่กระนั้น คุณก็คงไม่สามารถมองเห็นอนาคตได้ว่าคุณจะได้งานเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น การใช้เงินในช่วงนี้ของคุณต้องใช้อย่างระมัดระวังมากที่สุด ดังนั้น การใช้บัตรเครดิต อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ว่า คุณต้องคุยเจรจากับทางธนาคาร หรือ เลือกบัตรเครดิตที่อัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดเท่าที่คุณจะหาได้ เพื่อที่คุณสามารถใช้จ่ายในช่วงสองถึงสามเดือนที่คุณหางานทำอยู่ โดยที่คุณไม่ต้องเสียดอกเบี้ยมากจนเกินไป

ตัดลดงบประมาณจนกว่าจะได้งานใหม่

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คุณก็หลีกเลี่ยงข้อนี้ไม่ได้ คือ คุณต้องประหยัด! คุณจะไม่สามารถมีไลฟ์สไตล์เดิมก่อนที่คุณจะตกงานได้ไปซักพัก ก่อนที่จะได้งานใหม่ เพราะตอนนี้คุณกำลังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกองทุนฉุกเฉินที่ไม่มากมายเท่าไหร่นัก (แล้วแต่ว่าก่อนหน้านี้คุณอมเงินไว้มากแค่ไหน) ถึงจะมากก็ไม่ควรใช้จ่ายมากอยู่ดี ควรที่จะใช้ให้ประหยัดที่สุด ซึ่งในส่วนของค่าใช้จ่ายที่คุณไม่สามารถตัดออกได้ ก็ควรใช้บัตรเครดิตในการจ่าย เพราะอย่างน้อยคุณยังสามารถสร้างเครดิตของคุณได้ต่อไป แต่อย่าลืมล่ะ ต้องมีเงินพอที่จะชำระบิลบัตรเครดิตด้วยนะ มิฉะนั้น คะแนนเครดิตสกอร์ของคุณย่ำแย่แน่นอน

หากมีข้อสงสัยด้านการเงิน หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงิน MoneyGuru อยู่เคียงข้างคุณเสมอที่ -www.moneyguru.co.th- หรือ -info@moneyguru.co.th-

เรื่อง : MoneyGuru

Create by -smethailandclub.com-



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #214 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2015, 09:39:37 am »
7 เคล็ดลับเพื่ออัพเกรดให้เป็นสุดยอดมนุษย์เงินเดือน
6 มิ.ย. 58 22.09 น.

-http://money.sanook.com/284525/-


ทุกๆวันนี้ มนุษย์เงินเดือน หลายๆคนอาจจะกำลังบ่นว่า จะเอาอะไรกันนักหนา ทั้งๆที่ทุกวันนี้เราขยัน อดทน ตั้งใจทำงานจนจะตายคาออฟฟิศอยู่แล้ว มันยังไม่ดีพออีกหรอ!!!! ทำไมชีวิตถึงไม่ได้ก้าวหน้าเสียที

แต่จริงๆแล้วสิ่งที่เราเห็นไม่ใช่ว่าจะไม่มีหรอกนะครับ บางทีเราอาจจะมีแต่ยังไม่รู้ตัวก็ได้ว่า วันนี้ @TAXBugnoms เลยมีแนวคิดดีๆ 7 ข้อ มาแบ่งปันให้ทุกคนประสบความความสำเร็จในฐานะ สุดยอดมนุษย์เงินเดือน มาฝาก อยากรู้แล้วใช่ไหมครับว่า่มีอะไรบ้าง งั้นเรามาดูกันเลยดีกว่า

1. ความอดทน มนุษย์เงินเดือนที่ประสบความสำเร็จทุกวันนี้ ล้วนเริ่มต้นจากความอดทนมานักต่อนัก ซึ่งความอดทนที่ว่าไม่ใช่ทนทำงานหนักเหมือนวัวเหมือนควาย อย่างที่ใครเค้าชอบพูดกันนะครับ แต่มันคือการอดทนทำงานให้เสร็จตามเป้าหมาย ถึงแม้ว่าเราจะไม่อยากทำ เพราะนั่นคือ คุณสมบัติของการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่เรียกตัวเองว่า “มืออาชีพ”

2. การฝึกฝนและพยายาม ความเพียรพยายาม หมั่นฝึกฝนในสิ่งที่เราได้เรียนรู้มาจากการทำงานในแต่ละวัน เอามาร่วมกันกับการ Focus เป้าหมายและมองหาหนทางสร้างอาชีพเพิ่มเติมที่ไม่ได้หยุดแค่การเป็นมนุษย์เงินเดือน เพื่อสร้างความก้าวหน้าในอาชีพที่ทำ หรือสร้างหนทางใหม่ๆให้กับสายงานที่เราทำอยู่ แบบนี้ คือ การฝึกฝนและพยายามที่ถูกต้องครับ

สำหรับบางคนอาจจะสงสัยว่า พยายามจะทำแค่ไหนถึงจะไปถึงฝันผมอยากแนะนำให้อ่านบทความนี้เพิ่มเติมดูครับโอกาส ความสำเร็จ และการอิ่มตัวมีจริงไหม?

3. สร้างความมีประสิทธิภาพ นายหมีแห่งออมมันนี่เคยสอนมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งไว้ว่า ทำงานมากแค่ไหนไม่ได้แปลว่าดี แต่การทำงานดีคือการทำงานฉลาดและมีประสิทธิภาพต่างหาก ซึ่งหมายความว่า เรายิ่งต้องสร้างประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้น โดยทำงานให้เสร็จรวดเร็วขึ้นและถูกต้องมากขึ้น เพราะยิ่งงานเร็วขึ้นเท่าไร เรายิ่งมีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นมากยิ่งขึ้นได้อีก #จะขึ้นไปไหน

4. อย่าฉลาดจนเกินงาม ในสังคมไทยมีคำกล่าวไว้ว่า จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ซึ่งหมายถึงคนส่วนใหญ่ไม่ชอบให้ใครเกินหน้าตา ซึ่งคล้ายๆกับวัฒนธรรมที่เรียกว่า The Tall Poppy Syndrome ของประเทศออสเตรเลียที่ไม่ต้องการให้ใครเด่นเกินหน้าใคร ถ้าใครเด่นเกินก็จะถูกกำจัดทิ้งไปเสีย ดังนั้น การแสดงให้คนอื่นรู้ว่าเราเหนือกว่า บางครั้งอาจจะเป็นปัญหาชีวิตของมนุษย์เงินเดือนได้เหมือกัน เช่น การหักหน้าเจ้านายหรือผู้ใหญ่ หรือแม้แต่เพื่อร่วมงานก็ตาม วิธีแก้ คือ แนะนำให้หันมาเพิ่มความสามารถในการบริหารจัดการความรู้สึกคนรอบข้างจะดีกว่า รับรองว่าชีวิตจะดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยครับ


แต่ถ้าเกิดคิดว่าอยากเปลี่ยนงานขึ้นมาจริงๆ
ลองตรวจสอบตัวเองที่บทความนี้เลยครับ
5 คำถามก่อนตัดสินใจเปลี่ยนงานใหม่

5. ตามข่าวสารให้ทัน ในยุคที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร การจัดการองค์ความรู้ให้สั้น กระชับ ฉับไว เป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นมนุษย์เงินเดือนที่รู้ทันและรู้กว้าง เพื่อสร้างโอกาสให้กับชีวิต แต่ไม่ใช่เอาแต่ติดตามข่าวสารจนไม่ทำงานนะครับ แบบนั้นจะกลายเป็นปัญหาได้แน่ๆคร้าบ

6. หันมาสนใจเรื่องวางแผนการเงิน อีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนไม่สามารถก้าวไปถึงขั้นสุดยอดได้นั้น เกิดจากปัญหาเรื่องการเงินซึ่งเป็นปัจจัยอันดับ 1 จนถึงกับมีคำกล่าวว่า “เงินไม่ได้สร้างความสุข แต่อย่างน้อยมันไม่ทำให้ทุกข์เพิ่มขึ้น” ดังนั้นอย่าลืมวางแผนการเงินให้กับชีวิตกันด้วยนะครับ

ทำไม? มนุษย์เงินเดือนทุกคนต้องรู้จักกับการวางแผนการเงิน
10 ขั้นตอนสู่อิสรภาพการเงินของมนุษย์เงินเดือน

7. เพลินกับการผ่อนคลายชีวิต มีคนกล่าวไว้ว่า “การพักผ่อนคือส่วนหนึ่งของการทำงาน” ดังนั้นการทำงานที่คร่ำเคร่งมากเกินไปจนหลงลืมเวลาด้านอื่นๆของชีวิต ก็อาจจะทำให้กลายเป็นปัญหาในอนาคตได้ ดังนั้นการผ่อนคลายเล็กๆน้อยๆ เช่น ฟังเพลง ดูหนัง ทำสปา เล่นกีฬาต่างๆ เพื่อสร้างองค์รวมของสุขภาพร่างกายที่ดี และเป็นการผ่อนคลายอีกวิธีหนึ่งที่ให้เราทำงานได้ดียิ่งขึ้นครับ

สุดท้ายแล้ว 7 เคล็ดลับที่จะมาแนะนำสำหรับมนุษย์เงินเดือนนี้ ถ้าบริหารจัดการให้ดีและทำได้ครบทุกข้อ ย่อมสามารถทำให้เรากลายเป็นสุดยอดมนุษย์เงินเดือนได้อย่างแน่นอนครับ และที่สำคัญกว่านั้น เราไม่ควรจบแค่อ่านผ่านๆเพียงอย่างเดียว แต่อย่าลืมนำไปปฎิบัติกันด้วยนะคร้าบบบบบบบบบบ

เรื่องและภาพจาก -www.aommoney.com-

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #215 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2015, 10:23:02 pm »
รายได้(ต่อเดือน) - เงินออม = ค่าใช้จ่าย

สูตรสมการทางการเงินอย่างง่ายๆ

ก่อนอื่น ต้องทราบก่อนว่า เรามีรายจ่ายที่เป็นค่าใช้จ่ายรายปีเท่าไหร่ (เช่น ค่าประกันอัคคีภัย , ค่าประกันภัยรถยนต์ หรือ ค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่ายปีละครั้งหรือสองครั้ง เช่น ค่าเทอมหรือค่าใช้จ่ายของลูก) เราต้องนำมาเฉลี่ยต่อเดือน ในที่นี้ผมจะเรียกว่า ค่าใช้จ่ายรายปี(เฉลี่ยต่อเดือน)

ต่อมาเราต้องทราบว่า รายจ่ายที่เราต้องจ่ายจริงๆในแต่ละเดือนมีอะไรบ้าง (เช่น เงินที่ผ่อนบ้าน , ผ่อนสินเชื่อประเภทต่างๆ เป็นต้น) ในที่นี้ผมจะเรียกว่า ค่าใช้จ่ายจริงต่อเดือน

เมื่อเรารู้ค่าใช่้จ่าย (ค่าใช้จ่ายรายปี(เฉลี่ยต่อเดือน) และค่าใช้จ่ายจริงต่อเดือน) แล้ว เราต้องรู้รายรับ

เราต้องเฉลี่ยรายรับต่อเดือนให้รู้ว่า เรามีรายได้ต่อเดือนเท่าไหร่

อีกประการ หากเราต้องการมีเงินออม เราต้องคิดว่า เราจะเก็บเงินที่เราต้องการออมไว้เดือนละเท่าไหร่ (เงินจำนวนนี้ ต้องใจแข็ง ห้ามใช้ สำคัญมากขึ้นและดีขึ้นก็คือ เรานำเงินจำนวนนี้ นำไปลงทุนเพื่อหาดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก)

เราจะได้ไปคำนวนเรื่องเงินกัน

รายได้ต่อเดือน - เงินออม - (ค่าใช้จ่ายรายปี(เฉลี่ยต่อเดือน) = ค่าใช้จ่ายจริงต่อเดือน + ค่าใช้จ่ายประจำวัน

ค่าใช้จ่ายรายปี(เฉลี่ยต่อเดือน) ที่หักไว้ ผมแนะนำให้นำไปลงทุน แต่ต้องกะระยะเวลาที่สามารถถอนออกมาเพื่อนำไปจ่ายค่าใช้จ่ายรายปีของประเภทนั้นๆได้

หากเรามีรายได้ที่น้อยลง เราต้องหาวิธีการที่จะพยุงการเงินในครอบครัวของเรา

มีวิธีอยู่ 2 วิธีคือ

1.การหารายได้เพิ่ม
นั่นคือการหางานอื่นทำให้มากขึ้น

2.การลดรายจ่าย
ผมว่าวิธีนี้ น่าจะเป็นวิธีการที่ง่ายกว่าข้อที่ 1 การลดรายจ่ายที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน แนะนำว่า ลองจดค่าใช่จ่ายประจำวัน แล้วกลับไปดูว่า ค่าใช้จ่ายประจำวัน เราจ่ายอะไรไปบ้าง เรื่องไหนที่จำเป็น เรื่องไหนที่ไม่จำเป็น หากเรื่องไหนที่ไม่จำเป็นก็ให้งดจ่ายในเรื่องนั้นๆ

ลองทำกันดู แต่หากอ่านแล้วงง ถามผมในกระทู้ฯได้ตลอดน๊ะครับ ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดีเลย ผมเป็นห่วงครับ

ด้วยรักและห่วงใย
sithiphong
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #216 เมื่อ: มิถุนายน 14, 2015, 12:35:34 pm »
หมอลำชื่อดังตกอับ ถูกหลานขับไล่ต้องมาอยู่วัด

-http://news.sanook.com/1811015/-









นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (11 มิ.ย.) พบหมอลำชื่อดังในอดีต ชีวิตตกอับลูกหลานขับไล่ออกจากบ้าน ต้องมาอาศัยที่วัดอดุลแก้วมอดี อ.เมือง จ.ขอนแก่น ทราบชื่อ หมอลำนวลปรางค์ อุทัยทิพย์ อายุ 80 ปี

จากการสอบถาม นางนวลปรางค์ เล่าว่า ได้มาอาศัยอยู่ที่วัดแห่งนี้ตั้งแต่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา เพราะไม่มีที่พึ่งพาแล้ว ก่อนหน้านี้เคยไปอยู่กับหลาน เพราะลูกและสามีที่เป็นอดีตนายอำเภอภูเวียง จ.ขอนแก่น ได้เสียชีวิตแล้ว แต่กลับถูกขับไล่ออกจากบ้าน ต่อมาจึงได้มาหอบข้าวของที่เหลือติดตัวมาขออาศัยอยู่ที่วัดแห่งนี้ โดยไร้ญาติติดต่อและออกตามหา

นางนวลปรางค์ ยังเล่าว่า ในอดีตเคยเป็นหมอลำกลอนชื่อดัง เคยได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติผู้มีสัมพันธ์ดีเด่นด้านวัฒนธรรมสัมพันธ์ มรดกอีสาน จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อปี 2550 ย้อนกลับไปเมื่อ 60 ปีที่แล้ว เมื่ออายุ 20 ปี นางนวลปรางค์มีชื่อเสียงในด้านการขับร้องหมอลำที่ไพเราะ ทำให้มีงานแสดงติดต่อเข้ามามากมาย

หลังจากนั้นเพียง 1 ปี ก็ได้แต่งงานกับอดีตนายอำเภอภูเวียง จ.ขอนแก่น 14 ปี ต่อมา สามีก็เสียชีวิต และลูกชายก็เสียชีวิต ทำให้หมอลำนวลปรางค์เหลือตัวคนเดียว และเริ่มมีอายุมากขึ้น การงานที่เคยติดต่อเข้ามาก็เริ่มน้อยลง จนในที่สุดก็ต้องกลับมาอยู่บ้าน ซึ่งมีหลานและเหลนอยู่ แต่กลับถูกด่า และขับไล่ให้ออกจากบ้าน จนกระทั่งขอมาอาศัยอยู่ที่วัดอดุลย์แก้วมอดี

ด้าน เจ้าอาวาสวัดอดุลย์แก้วมอดี บอกว่า ได้ให้ความช่วยเหลือนางนวลปรางค์ ให้ที่พักอาศัยและข้าวปลาอาหาร เพราะเห็นว่าแก่แล้ว และไม่มีที่พึ่ง แต่ด้วยความไม่เหมาะสมที่ทางวัดไม่มีแม่ชี หรือเด็กวัดที่จะคอยช่วยเหลือนางนวลปรางค์ได้ ทางกรรมการหมู่บ้านจึงได้หารือเพื่อให้ความช่วยเหลือ โดยจะส่งไปอยู่ที่ บ้านพักคนชราที่ จ.นครพนม ซึ่งนางนวลปรางค์ก็ยินดีเดินทางไปในวันพรุ่งนี้

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #217 เมื่อ: กรกฎาคม 08, 2015, 10:27:38 pm »
4 ขั้นตอนกำจัดปัญหาเรื่องเงินๆทองๆให้หายขาด

-http://money.sanook.com/292989/-

ในที่สุดก็ต้นเดือน ในที่สุดก็ได้เงินเดือน แต่ปัญหาคือ สองสัปดาห์ต่อจากนี้ เรายังจะมีเงินเหลือกินเหลือใช้สบายๆ กันอยู่รึเปล่านี่สิครับ คิดว่าอาจจะเป็นพฤติกรรมการใช้เงินของคนไทยเราที่ทำให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขายดีเหลือเกิน

ดังนั้น เรามาดูวิธีการจัดการเงินเดือน ให้มีใช้ได้สบายๆ ตลอดทั้งเดือน แถมมีเหลือให้เก็บให้ออมอีกด้วยดีกว่าครับ

1. บันทึกทุกอย่าง
เริ่มต้นด้วยสิ่งที่ทั้งง่าย และยากที่สุดก่อนครับ คือการบันทึกรายรับ รายจ่าย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราควักเงินจ่ายออกไป ไม่ว่าจะเป็นการออม การจ่ายหนี้สิน เงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงาน ค่ากิน ค่าใช้ ค่าเที่ยว หรือค่าใช้จ่ายของธุรกิจ

การบันทึกรายรับ รายจ่ายเป็นสิ่งที่คนเรามองข้ามมากที่สุด แต่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากครับ ยิ่งเป็นมนุษย์เงินเดือนยิ่งจำเป็นจะต้องบันทึก เพราะว่าพวกเราได้เงินเป็นก้อน เดือนละเท่าๆ กัน แต่ว่ารายจ่ายของเราอาจจะไม่แน่นอน บางเดือนต้องทำฟัน บางเดือนโทรทัศน์เสีย คอมพิวเตอร์เสีย ต้องซ่อม ต้องมีค่าใช้จ่ายยิบย่อยอื่นๆ ที่เราไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีกหลายอย่างครับ

ดังนั้นการบันทึกรายรับ รายจ่ายจะสามารถช่วยเตือนสติให้เราได้ ว่าเราเหลือเงินจริงๆ เท่าไหร่ ใช้ไปแล้วเท่าไหร่ เร็ว ช้าแค่ไหน บางคนพอเริ่มบันทึกหัวใจจะวาย เงินเดือนหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง เพิ่งสัปดาห์แรกหลังได้เงินเดือนเอง ทีนี้ หากเราบันทึกรายจ่ายเอาไว้เราก็สามารถย้อนกลับมาดูได้แล้วครับว่าเราใช้อะไรฟุ่มเฟือยบ้าง และประหยัดอะไรได้อีกบ้างนั่นเองครับ

2. แยกประเภทค่าใช้จ่าย
ในการบริหารเงินของเรา เราควรแยกประเภทค่าใช้จ่ายด้วยนะครับ โดยแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ดังต่อไปนี้ครับ...

> ค่าใช้จ่ายคงที่ (fixed expenses) เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือนที่มียอดเท่าๆกัน ได้แก่ ค่าเช่า ค่าผ่อนบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเดินทาง ฯลฯ

> ค่าใช้จ่ายผันแปร (variable expenses) เป็นรายจ่ายที่มียอดไม่เท่ากันในแต่ละเดือน ได้แก่ ค่าน้ำทัน ค่าช้อปปิ้ง ค่ากินดื่มเที่ยวนอกบ้าน ค่าอาหาร

> ค่าใช้จ่ายเพื่อการออม และการลงทุน (savings and investment) เป็นค่าใช้จ่ายที่กันเอาไว้เพื่อการออม หรือ การลงทุนในแต่ละเดือน


3. ออมเงินแบบอัตโนมัติ
เพื่อความมั่นใจ ปัจจุบันนี้เราสามารถเปิดบัญชีเงินออมอัตโนมัติ โดยบัญชีนี้จะเป็นบัญชีที่แยกต่างหาก และสามารถตั้งให้ตัดเงินจากบัญชีที่เราได้รับเงินเดือนได้โดยอัตโนมัติเพื่อนำไปเก็บออมนั่นเองครับ โดยเราสามารถสอบถามบริการกับทางธนาคารได้เลยเพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องมานั่งห่วงว่าเดือนนี้เงินฝากเรามีเท่าไหร่ สิ่งที่ดีอีกอย่างของการออมวิธีนี้คือเป็นการช่วยสร้างวินัยในการออม การใช้เงินให้เราด้วยครับ

4. จ่ายบิลอัตโนมัติ
พูดถึงเรื่องการออมแล้ว เราก็สามารถชำระบิลต่างๆ ด้วยการตัดบัญชีอัตโนมัติอยู่เช่นกัน ซึ่งจะสามารถช่วยให้เราไม่ลืมจ่ายเงินค่าโน่นนี่ แถมไม่จำเป็นจะต้องเสียค่าเดินทางที่จะต้องใช้ในการออกไปจ่ายบิลเหล่านี้ด้วยครับ โดยสามารถทำได้ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรเครดิตก็ทำได้ เพียงแค่เราอย่าลืมตรวจสอบว่ารายละเอียดในบิลที่แจ้งมาถูกต้องหรือไม่ หากไม่ถูกต้องควรรีบแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันทีให้แก้ไขนะครับ

เห็นไหมครับ การบริหารเงิน ไม่ได้เป็นเรื่องยากเลย เพียงแค่เราสร้างวินัยให้ตัวเอง อะไรๆ ก็เป็นไปได้ครับ ทำได้ตาม 4 ข้อข้างต้นรับรองเราจะสามารถกำจัดปัญหาเรื่องเงินๆ จากชีวิตเราได้แน่นอนครับ

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #218 เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2015, 09:21:52 pm »
หนี้บัตรเครดิต...เรื่องสำคัญที่คนใช้บัตรเครดิตต้องเข้าใจ
โพสต์เมื่อ : 2 กรกฎาคม 2558 เวลา 11:12:09

หนี้บัตรเครดิต...เรื่องสำคัญที่คนใช้บัตรเครดิตต้องเข้าใจ
-http://money.kapook.com/view123030.html-


         หนี้บัตรเครดิต เป็นแล้วสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้คืออะไร ผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้จะร้ายแรงแค่ไหน  ติดตามได้จากบทความนี้
   
         หนี้บัตรเครดิต  ที่หลายคนก่อไว้มาจากเหตุผลแตกต่างกันออกไป บางคนเกิดจากการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยเกินฐานะความจำเป็น อยากได้สิ่งของราคาแพงแต่ไม่มีเงิน จึงต้องนำเงินในอนาคตมาใช้ แต่บางคนก็ต้องแบกรับภาระหลายทางไหนจะค่าเทอมลูก ค่าบ้าน ค่ารถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ดังนั้นภาระความจำเป็นของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่ทุกสาเหตุนำไปสู่ผลลัพธ์เดียวกันคือ การเป็นหนี้ ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่บวกกับอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่สุดโหดทำให้หลายคนเกิดอาการเบี้ยวหนี้ พอเป็นหนี้แล้วไม่จ่ายหนี้ เจ้าหนี้เขาก็ทวง พอทวงไม่ได้ก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันไป แต่มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ จะเอาเวลาไหนไปศึกษากฎหมายบัตรเครดิต วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำข้อควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ หนี้บัตรเครดิต มาบอกให้ทำความเข้าใจไว้ เพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าหนี้ ว่าแล้วก็ไปเริ่มกันเลย       

หากถูกเจ้าหนี้ฟ้องร้อง คดีที่เกี่ยวกับหนี้บัตรเครดิต ถือเป็นคดีประเภทใด

         ในกรณีที่คุณเป็นหนี้บัตรเครดิตตามกฎหมายจะถือเป็น คดีแพ่ง  ส่วนโทษในคดีแพ่งจะมีเพียงการชำระหนี้และชดใช้ค่าเสียหายเท่านั้น       

หากถูกฟ้องจะต้องขึ้นศาลอะไร ที่ไหน

         กรณีที่เป็นคดีเกี่ยวกับหนี้บัตรเครดิตจะเข้าข่ายคดีเกี่ยวกับหนี้เหนือบุคคล ซึ่งสถานที่ที่เจ้าหนี้สามารถยื่นฟ้องลูกหนี้ ได้แก่ 1. ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล 2. ศาลที่มูลคดีเกิด (ที่ตั้งของสถาบันการเงินที่ลูกหนี้ได้ไปรับบัตรเครดิต)
   
ส่วนการจะฟ้องที่ศาลใดจะต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ดังนี้

        1. ดูประเภทของคดีก่อนว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด

        2. ดูทุนทรัพย์ของคดีว่าอยู่ในอำนาจศาลจังหวัดหรือศาลแขวง

         เช่น ศาลจังหวัด จะพิจารณาคดีแพ่งที่มีจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาที่พิพาทเกินกว่า 300,000 บาท

         ส่วนศาลแขวง จะพิจารณาคดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์ หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทไม่เกิน 300,000 บาท
   
คดีบัตรเครดิตจะเริ่มนับอายุความตั้งแต่เมื่อใดและมีอายุความกี่ปี

         ในคดีบัตรเครดิตโดยทั่วไปเมื่อเจ้าหนี้ได้แจ้งกำหนดการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ทราบแล้ว เมื่อถึงกำหนดลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนด อายุความจะเริ่มนับทันทีในวันถัดไป  ส่วนคดีหนี้บัตรเครดิตจะมีอายุความทั้งสิ้น 2 ปี
     
เจ้าหนี้สามารถยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ได้หรือไม่
 
         คำตอบคือ ได้ โดยเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เจ้าหนี้ชนะคดี หากลูกหนี้ไม่ชำระคืนตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน เจ้าหนี้มีสิทธิ์ยึดทรัพย์หรืออายัดสิทธิ์เรียกร้องของลูกหนี้ได้ โดยศาลจะตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อออกหมายยึดและอายัดต่อไป ดังนี้   

        1. ทรัพย์สินที่เป็นข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือน ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น โต๊ะกินข้าว เก้าอี้ โทรทัศน์ เครื่องครัว มูลค่ารวมกัน 50,000 บาทแรก ห้ามเจ้าหนี้ยึด แต่ถ้าเป็นสร้อย แหวน นาฬิกา ของเหล่านี้แม้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของลูกหนี้ แต่เจ้าหนี้ก็มีสิทธิ์ยึดได้เพราะไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต
   
        2. ทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือทำมาหากินของลูกหนี้ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร (ถ้าประกอบธุรกิจรับถ่ายเอกสาร) ถ้ามูลค่ารวมกัน 100,000 บาทแรก ห้ามเจ้าหนี้ยึด ในกรณีที่เครื่องมือประกอบอาชีพมีราคาสูงกว่า 100,000 บาท และจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ก็สามารถขอต่อศาลได้
 
         ข้อควรรู้ หากมีเจ้าหนี้หลายราย ทรัพย์ใดถูกยึดไปแล้ว ห้ามเจ้าหนี้รายอื่นมายึดซ้ำ เจ้าหนี้รายใดยึดก่อนก็ได้สิทธิ์ก่อน


     
เจ้าหนี้สามารถทำเรื่องขออายัดเงินเดือนของลูกหนี้ได้หรือไม่
   
         ข้อนี้อาจะยาวเสียหน่อย แต่คนที่เป็นหนี้บัตรเครดิตควรจะทราบไว้เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารจัดการรายได้ให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันกรณีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้ทำเรื่องขออายัดเงินเดือนครับ ถ้าลูกหนี้เพิกเฉยไม่ยอมติดต่อเจ้าหนี้ ไม่ยอมใช้หนี้ หรือตกลงเรื่องการจ่ายเงินไม่ได้ ทนายของฝ่ายเจ้าหนี้ก็อาจจะทำเรื่องขอยึดทรัพย์ หรืออายัดเงินเดือนได้
   
        สำหรับเกณฑ์การอายัดเงินเดือนของกรมบังคับคดี หากลูกหนี้เป็นข้าราชการ/ลูกจ้างประจำของข้าราชการจะไม่ถูกอายัดเงินเดือน หากลูกหนี้เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง หรือเป็นพนักงานบริษัท ฯลฯ จะถูกอายัดเงินเดือน โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้

        1. อายัดเงินเดือนไม่เกิน 30 %

                  ลูกหนี้เงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท  (อายัดไม่ได้)

                  ลูกหนี้เงินเดือนเกิน 10,000 บาท อายัดได้ 30 % แต่จะต้องเหลือเงินให้ลูกหนี้ใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท   
 
            หากลูกหนี้มีค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่ารักษาพยาบาล สามารถนำหลักฐานไปขอลดหย่อนที่กรมบังคับคดีเพื่อให้ลดเปอร์เซ็นต์การอายัดเงินเดือนได้   

        2. เงินโบนัส จะถูกอายัดไม่เกิน 50 %

        3. เงินตอบแทนการออกจากงาน จะถูกอายัด 100 %

        4. เงินค่าตอบแทนต่าง ๆ ค่าสวัสดิการต่าง ๆ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าที่พัก ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าตำแหน่ง เจ้าหนี้จะสืบทราบและทำการร้องขอต่อศาลว่าจะอายัดเท่าไร

        5. บัญชีเงินฝาก (อายัดได้)

        6. เงิน กบข. (อายัดไม่ได้)

        7. เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ทำกับบริษัท (อายัดไม่ได้) (พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ)

            แต่ถ้าทำกองทุนต่าง ๆ กับธนาคารต้องดูตามหลักเกณฑ์ของกองทุนว่าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้หรือไม่ และมีข้อห้ามการบังคับคดีหรือไม่ ถ้าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ และไม่มีข้อห้ามก็จะอายัดได้

        8. เงินค่าวิทยฐานะ (ค่าตำแหน่งทางวิชาการ) ถ้าเป็นข้าราชการจะไม่ถูกอายัด แต่ถ้าเป็นสังกัดเอกชนจะถูกอายัด เพราะถือว่าเป็นเงินเดือน

        9. หุ้น กรมบังคับคดีสามารถยึดใบหุ้นเพื่อขายทอดตลาดได้ หรือถ้ามีเงินปันผล ก็จะทำเรื่องอายัดเงินปันผลได้

        10. เงินสหกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือพนักงานบริษัท หากเจ้าหนี้สืบทราบว่าเป็นสมาชิกสหกรณ์ใด สามารถอายัดเงินปันผล เงินเฉลี่ยคืน เงินค่าหุ้นสหกรณ์ได้

        11. ร่วมทุนกับผู้อื่นเปิดบริษัท หากผู้ร่วมลงทุนมีปัญหาถูกอายัดทรัพย์ กรมบังคับคดีจะอายัดเฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์สินของผู้ถูกอายัดเท่านั้น ไม่ได้อายัดทั้งหมด อาจดูเฉพาะส่วนของเงินปันผล ใบหุ้น ฯลฯ ของผู้ถูกอายัด
 
            การถูกอายัดเงินเดือน กรมบังคับคดีจะอายัด 30% จากเงินเดือนเต็ม ก่อนหักภาษีและประกันสังคม

กรณีคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย เจ้าหนี้สามารถยึดทรัพย์สินภายในบ้านได้หรือไม่       

         ถ้าเป็นกรณีที่เป็นสามีภรรยาโดยถูกต้องตามกฎหมาย ให้ถือว่าทรัพย์สินภายในบ้านเป็นสินสมรส เจ้าหนี้มีสิทธิ์นำชี้แถลงยืนยันต่อ เจ้าพนักงานบังคับคดี พร้อมนำส่งเอกสารประกอบการยึดทรัพย์ได้ หากทรัพย์ภายในบ้านเป็นสินสมรสจริง


       
ในกรณีที่ลูกหนี้เสียชีวิตใครจะเป็นผู้รับผิดชอบภาระหนี้สินดังกล่าว
 
         หลายคนอาจสงสัยว่าหากเจ้าหนี้เสียชีวิตลง ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหนี้สินที่ผู้ตายได้ก่อไว้ก่อนเสียชีวิต เรื่องนี้มีคำตอบครับ ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกฎหมายเกี่ยวกับหนี้สินกันก่อนซึ่งตามกฎหมายระบุไว้ว่า "หนี้" ถ้าคนไหนก่อคนนั้นก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบครับ คนอื่นไม่เกี่ยว ดังนั้นชัดเจนแล้วว่า คนอื่นที่เกี่ยวข้องกับผู้ตายไม่ต้องเป็นกังวลไปนะครับว่าจะโดนทวงหนี้ แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ความเป็นหนี้จะสิ้นสุดลงตามการตายของลูกหนี้ คนมีหนี้ก็ต้องใช้หนี้กันไป โดยกฎหมายระบุไว้ว่า เมื่อลูกหนี้ได้เสียชีวิตลง เจ้าหนี้ก็จะต้องไปทวงหนี้เอาจากกองมรดกของลูกหนี้เท่านั้นครับ แต่ถ้าหากลูกหนี้ไม่มีมรดกก่อนตายก็จบครับเป็นอันว่า “เจ้าหนี้ก็ไม่ได้รับชำระหนี้คืนเลย”
     
         ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ดูเหมือนลูกหนี้จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ฝ่ายเดียว แต่อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไป ในทางปฏิบัติแล้วยังพอมีหนทางที่ลูกหนี้จะสามารถเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อแบ่งเบาภาระหนี้ได้ซึ่งกระปุกดอทคอมขอยกมา 3 วิธี ได้แก่ การประนอมหนี้ การโอนหนี้บัตรเครดิต และการปรับโครงสร้างหนี้
     
การประนอมหนี้
 
         การประนอมหนี้ คือ การที่เจ้าหนี้ยินยอมลดจำนวนหนี้สินลง หรืออาจจะยืดระยะเวลาการชำระหนี้ให้ เพื่อให้ลูกหนี้ได้ผ่อนชำระในจำนวนเงินที่น้อยลงสมกับสถานะทางการเงินปัจจุบันของลูกหนี้ ส่วนจำนวนหนี้ที่ยอมลดให้จะมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการต่อรองระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ แม้ว่าบางครั้งเจ้าหนี้จะได้รับการชำระหนี้ไม่สูงแต่ถือว่าดีกว่าไปฟ้องร้อง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายทางศาล และเป็นการรักษาชื่อเสียงของเจ้าหนี้ว่าเจ้าหนี้รายนั้นไม่ใช่เจ้าหนี้หน้าเลือด

การโอนหนี้บัตรเครดิต
     
         ส่วนใหญ่เวลาคนเป็นหนี้บัตรเครดิตมักเกิดจากหนี้จากบัตรเครดิตหลาย ๆ ใบ ทำให้ต้องชำระหนี้หลายช่องทางพ่วงด้วยอัตราดอกเบี้ยตามจำนวนบัตรที่ถือ ซึ่งภาระเรื่องดอกเบี้ยนี่แหละที่เป็นตัวการใหญ่ของปัญหาหนี้บัตรเครดิต ดังนั้นจึงมีหลายสถาบันการเงินที่รับโอนหนี้ ซึ่งการโอนหนี้ก็คือ การถ่ายโอนหนี้ค้างชำระจากสถาบันการเงินเดิมไปรวมไว้ยังสถาบันการเงินแห่งใหม่ ซึ่งลูกหนี้จะสะดวกในการรวมชำระหนี้ให้เป็นแห่งเดียว และจะทำให้ดอกเบี้ยลดลง ง่ายต่อการชำระหนี้มากขึ้น

         ลูกหนี้สามารถเลือกผ่อนชำระได้นานขึ้นทำให้มีเวลาในการตั้งตัวและหาเงินมาใช้หนี้ รวมไปถึงช่วยลดภาระการชำระหนี้ต่อเดือน เช่น การผ่อนบัตรเครดิต ต้องชำระขั้นต่ำ 10% ของยอดคงค้าง ถ้าโอนหนี้แล้ว ลูกหนี้สามารถเลือกผ่อนได้น้อยลงขึ้นอยู่กับจำนวนเดือนที่เลือกผ่อนชำระกับทางสถาบันการเงิน
     
การปรับโครงสร้างหนี้
   
         เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ช่วยบรรเทาภาระหนี้สิน เนื่องจากโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเงินของลูกหนี้ในเวลาปัจจุบัน การปรับโครงสร้างหนี้มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นขอขยายเวลาชำระหนี้ออกไปโดยผ่อนค่างวดน้อยลง อัตราดอกเบี้ยคงเดิม, ขอจ่ายดอกเบี้ยแต่เพียงอย่างเดียวสักระยะหนึ่ง หลังจากนั้นจึงขอจ่ายเป็นค่างวดตามเงื่อนไขเดิม พร้อมกับขยายระยะเวลาการกู้ออกไป เป็นต้น ดังนั้นพูดได้ว่าการปรับโครงสร้างหนี้ทำให้ลูกหนี้สามารถที่จะชำระหนี้ได้โดยที่ไม่ต้องไปขึ้นศาล และไม่ต้องถูกฟ้องล้มละลาย แต่ทั้งนี้การปรับโครงสร้างหนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันทั้งสองฝ่ายระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ร่วมกัน
   
         การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ เป็นประโยคที่ใช้ได้จริงกับผู้คนในยุควัตถุนิยมอย่างเช่นในปัจจุบัน ซึ่งจะว่าไปการมีบัตรเครดิตก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด หากเรารู้จักการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและรู้จักคำว่า พอเพียง ไม่ใช้จ่ายเกินตัว ก็สามารถมีบัตรเครดิตได้ ดังนั้นจึงอยากจะฝากข้อคิดถึงผู้ที่เป็นหนี้ทุกประเภทว่าจะใช้จ่ายอะไรก็ตาม ขอให้นึกถึงความจำเป็นและศักยภาพในการชำระหนี้ของเราเป็นหลัก เพราะถ้าทำตามความต้องการของตัวเองมากจนเกินไปอาจก่อให้เกิดหนี้สินพะรุงพะรังจนเราไม่สามารถใช้หนี้ได้หมด และอาจโดนฟ้องร้องจนเป็นเหตุให้เสียทรัพย์สินตามมาก็เป็นได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กรมบังคับคดี, ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล, lukkid.com, บริษัท สำนักงานจรัสทนายความและการบัญชี จำกัด, บริษัท พัฒนกิจ บัญชี ภาษีและฝึกอบรม จำกัด, บริษัท อาณาจักรกฎหมาย จำกัด
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #219 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2015, 10:07:32 pm »
ศคง.

https://www.facebook.com/hotline1213
-https://www.facebook.com/hotline1213?pnref=story-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)