ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129501 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #130 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 06:28:34 am »
ทำไม “ปลาสลิด” ไม่มีหัว
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000068014-



  หลายคนคงเคยสงสัยเหมือนๆ กับ “108 เคล็ดกิน” ว่า ปลาสลิดตากแห้งที่เราเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น ทำไมจึงไม่เคยมีหัวให้เราเห็นเลย ตั้งแต่เกิดมาปลาสลิดเคยมีหัวหรือไม่ ถ้ามีหัวแล้วทำไมต้องตัดออก หรือว่าหน้าตาของปลาสลิดนั้นขี้เหร่จนทนดูไม่ได้ ด้วยความสงสัยก็เลยต้องไปหาคำตอบมาคลายข้อข้องใจ
       
       เริ่มกันตั้งแต่ปลาสลิดนั้นเป็นปลาน้ำจืด รูปร่างหน้าตาก็คล้ายกับปลากระดี่หม้อ ตัวสีเขียวมะกอกหรือสีน้ำตาลคล้ำ มีแถบยาวตามลำตัว และก็มีหัวเหมือนปลาทั่วๆ ไป
       
       ด้วยเหตุที่เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งของไทย และนิยมนำมาแปรรูปเป็นปลาเค็ม หรือปลาสลิดตากแห้งแบบที่เรารู้จักกันดี ก็เป็นที่มาของการที่จะต้องตัดหัวปลาสลิดออก เนื่องจากปลาสลิดนั้นเป็นปลาที่มีมันมาก โดยเฉพาะในส่วนท้องหรือพุงปลา ซึ่งก่อนจะนำมาคลุกเคล้าเกลือเพื่อแปรรูปนั้น จะต้องควักไส้ควักพุง ตัดหัวออก เพื่อเวลาตากแดดแล้วปลาจะได้แห้งสนิท ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า
       
       อีกส่วนก็เพื่อให้เกลือที่คลุกเคล้าตัวปลานั้นซึมซาบเข้าสู่เนื้อปลาได้ทั่วทั้งตัว มีความเค็มเท่าๆ กันทั้งตัว เมื่อนำหัวและพุงปลาออกแล้ว เกลือก็จะเข้าไปแทนที่ เป็นการยับยั้งแบคทีเรียที่จะทำให้ปลาเน่า และเมื่อนำไปตากแดดให้แห้งสนิทแล้ว ก็จะช่วยถนอมอายุของปลาสลิดให้สามารถเก็บไว้กินได้นานขึ้น
       
       ส่วนปลาสลิดที่มีชื่อเสียงที่รู้จักกันทั่วก็คงจะเป็น “ปลาสลิดบางบ่อ” ใน อ.บางบ่อ และ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นพื้นที่เลี้ยงปลาสลิดขนาดใหญ่ในอดีต ปลาสลิดที่ได้มีรสชาติอร่อยกว่าที่อื่นๆ และยังมีที่ ต.ดอนกำยาน อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี อีกแห่งหนึ่ง ที่ในอดีตเป็นพื้นที่เลี้ยงปลาสลิดเช่นกัน แต่ในปัจจุบันนี้ แหล่งที่มีการเลี้ยงปลาสลิดมากที่สุดอยู่ในพื้นที่ อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร จนกระทั่งมีการจัดเทศกาลกินปลาสลิดขึ้นในทุกๆ ปี
       


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #131 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2013, 07:50:49 am »
“มังคุด” สุดยอดความอร่อย ราชินีแห่งผลไม้ไทย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 มิถุนายน 2556 16:58 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000071388-


(ภาพ : http://www.thaikasetsart.com)


       จะเห็นว่าในช่วงนี้มีผลไม้มากมายหลายชนิดออกผลผลิตมาให้เราๆ ท่านๆ ได้ชิมกันอย่างมากมาย แต่ผลผลิตที่ออกมาพร้อมๆ กันนั้นก็จะทำให้ราคาของผลไม้ชนิดนั้นตกต่ำ จนชาวสวนหรือเกษตรกรแทบจะขาดทุนกันเลยทีเดียว อย่างล่าสุด “108 เคล็ดกิน” ก็เพิ่งดูข่าวชาวสวนมังคุดออกมาชุมนุมกันให้ได้รู้ถึงราคาที่ตกต่ำอย่างมาก
       
       เห็นแบบนี้แล้ว เราก็น่าจะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรไทย ด้วยการช่วยกันบริโภคมังคุดกันให้มากๆ หน่อย และสำหรับคุณค่าที่ได้จากมังคุดนั้นก็มีล้นเหลือ เรียกว่านอกจากจะได้ช่วยเหลือเกษตรกรแล้ว ก็ยังเป็นการบำรุงร่างกายของเราอีกด้วย
       
       ทีนี้มาดูกันหน่อยว่า “มังคุด” ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นราชินีของผลไม้ไทยนั้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ตามภูมิปัญญาไทยนั้น เปลือกของมังคุดนำมาใช้รักษาอาการท้องเสีย แก้บิด ช่วยสมานแผล รักษาแผลพุพองและน้ำกัดเท้า รักษาโรคผิวหนัง
       
       ส่วนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ มีการศึกษาฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระ โดยการเปรียบเทียบระหว่างน้ำมังคุดกับน้ำผลไม้อื่นๆ พบว่า มังคุดมีฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระมากกว่า แครอท ราสเบอรรี่ บลูเบอรรี่ ทับทิม
       
       ในเปลือกมังคุดมีการวิจัยพบสารแทนนินที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ สมานแผล และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดแผล ฝี และหนอง สามารถนำมาสกัดเป็นเครื่องสำอางในการสมานผิว และสารแทนนินยังสามารถนำมาใช้เป็นสารกันบูดในอาหารได้อีกด้วย
       
       และประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของมังคุดก็คือ ความหวานอร่อยถูกใจนี่เอง


http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000071388

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #132 เมื่อ: มิถุนายน 16, 2013, 01:56:46 pm »

มะตูมไทย - เรื่องน่ารู้



มะตูมไทย - เรื่องน่ารู้
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/211367-
วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.



มะตูมไทยเป็นไม้ต้นขนาดเล็ก ผลัดใบ สูง 6-10 ม. โคนต้นและกิ่งก้านมีหนามยาวแข็ง ๆ ทั่วไป เปลือกนอกสีเทาอมขาว เปลือกใน สีเหลือง เรือนยอด รูปเจดีย์ ต่ำหรือรูปไข่ ใบประกอบ ติดเรียงสลับ มีใบย่อยรูปไข่ 3 ใบ สองใบล่างมีขนาดเล็กและติดตรงข้ามกัน ส่วนใบปลายมีขนาดใหญ่ เนื้อใบบางเกลี้ยง หลังใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบสีจาง ผิวเกลี้ยง ใบอ่อน สีเขียวอ่อนใส ๆ ใบแก่ เขียวหม่น ๆ ดอกเล็ก ออกรวมกันเป็นช่อสั้น ๆ บริเวณปุ่มปมตามกิ่ง เป็นดอกสมบูรณ์เพศ สีดอกขาวอมเขียวหรือสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอม ผล รูปไข่ถึงค่อนข้างกลมป้อม เปลือกสีเขียวอ่อนถึงเหลือง ผิวเรียบและแข็งมาก ภายในมีเนื้อเยื่อสีส้มที่มียางเหนียว ๆ เมล็ดรูปรี และแบน เมล็ดจำนวนมาก

รากรสฝาดปร่าซ่าขื่นเล็กน้อย แก้พิษฝี แก้พิษไข้ แก้สติเผลอ รักษาน้ำดี แก้หืดหอบไอ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ลมอัดแน่นในอก แก้มุตกิต มุตฆาต แก้เสมหะ แก้ดี แก้ปวดหัวตาลาย แก้สะอึก เปลือกราก แก้ไข้จับสั่น ขับลมในลำไส้ เปลือกต้น แก้ไข้จับสั่น ขับลมในลำไส้ แก้ลงท้อง แก้พยาธิ แก้บิด แก้ฝีเปื่อยพัง แก้บวม แก้ตกโลหิต แก่น แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ใบ รสฝาดปร่าซ่าขื่นมัน แก้ตาเจ็บ แก้เยื่อตาอักเสบ แก้หลอดลมอักเสบ แก้หวัด แก้เลือดเป็นพิษ แก้ไข้ แก้หืด แก้เสมหะเหนียว แก้บวม แก้ลงท้อง ผล แก้ลม แก้เสมหะ แก้โลหิต ขับหนอง แก้สะอึก แก้กระหายน้ำ ขับผายลม ขับเสมหะ หนาม แก้พิษฝีต่าง ๆ แก้ไข้ ลดความร้อน แก้ไข้พิษ แก้ไข้กาฬ.


------------------------------------------------------------------------------------


หมากเม่าภูพาน - เรื่องน่ารู้
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/211613-




เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ความสูงประมาณ 12-15 เมตร ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม–พฤษภาคม และผลจะสุกในช่วงเดือนสิงหาคม–กันยายน ในผลดิบสีเขียวอ่อน นำมาประกอบอาหารได้ ผลแก่สีแดงมีรสเปรี้ยว ส่วนผลแก่จัดสีดำม่วง จะมีรสหวานอมเปรี้ยว รับประทานเป็นผลไม้สด ผลมีสรรพคุณเป็นยาระบายและบำรุงสายตา ใบสดนำมาอังไฟเพื่อใช้ประคบแก้อาการฟกช้ำ

ดำเขียว เปลือกต้นหมากเม่าใช้เป็นส่วนประกอบของลูกประคบ ผลหมากเม่าสุกมีกรดอะมิโน 18 ชนิด แคลเซียม เหล็ก สังกะสี วิตามินบี 1 บี 2  ซี และ อี ผลิตภัณฑ์แปรรูปเช่น น้ำผลไม้ ไวน์หมากเม่า แยมกวน สีธรรมชาติผสมอาหาร ฯลฯ น้ำหมากเม่าสกัดเข้มข้น 100% มีสารอาหาร วิตามินหลายชนิด ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย รวมทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระ ไวน์หมากเม่ามีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #133 เมื่อ: มิถุนายน 17, 2013, 10:06:59 pm »
ความจริงของปลาดอรี่ ที่คนยังไม่รู้อาจต้องอึ้ง !
-http://hilight.kapook.com/view/87368-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            ถ้าใครชอบกินปลาแล้วยังชอบเข้าร้านสเต็กด้วยล่ะก็ คงต้องเคยสั่ง "สเต็กปลาดอรี่" มาทานกันแน่เลย แหม...แค่ฟังชื่อ "ปลาดอรี่" ก็ดูเป็นอาหารจานหรูขึ้นมาแล้วเนอะ แถมพอตักเข้าปากก็ยังสัมผัสได้ถึงเนื้อนุ่ม หวาน อร่อย หอมกลิ่นเนยและเครื่องเทศสุด ๆ จนกลายเป็นสเต็กจานโปรดของใครหลายคนเลยใช่มะ พูดแล้วก็หิววว ><

            แต่วันนี้เรามีความลับของเจ้าปลาชื่อแปลกนี้ที่ถูกนำมาแล่ขายมาบอกกัน เชื่อว่าหลายคนคงพอรู้อยู่แล้วล่ะ แต่ถ้าใครยังไม่รู้เคยรู้ก็เร่เข้ามาฟังความจริงชัด ๆ เกี่ยวกับปลาดอรี่ที่ชวนอึ้งกันเลยดีกว่า

            พูดถึง "ปลาดอรี่" แล้ว ลองไปค้นข้อมูลดูก็พบว่า เป็นปลาที่มีชื่อเต็ม ๆ ว่า "จอห์น ดอรี่" (John Dory) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zenopsis conchifera อาศัยอยู่ในทะเลลึกของมหาสมุทรแอตแลนติก และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นปลาตัวกลม ๆ อ้วน ๆ



ปลาจอห์น ดอรี่


            แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือ ปลาจอห์น ดอรี่ จากทะเลลึกในแดนไกลนี้ เป็นคนละชนิดกับสเต็กปลาดอรี่ที่ขายกันอยู่ในบ้านเรา แม้เวลาที่เราไปหาซื้อปลาดอรี่แล่ขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตจะเห็นถุงบรรจุเขียนว่า "ปลาดอรี่" หรือ "แพนกาเซียส" แต่จริง ๆ แล้ว มันเป็นคนละตัวกับปลาจอห์น ดอรี่

              อ้าว ! แล้วปลาดอรี่ที่เราซื้อมาทำสเต็กทาน จริง ๆ มันคือปลาอะไรกันแน่ล่ะ? คำตอบก็คือ ปลาสวายประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Pangasius hypophthalmus" ซึ่งปลาตระกูล "Pangasius" จะมีอีกชื่อหนึ่งว่า "Cream dory" เมื่อเห็นชื่อ ดอรี่ เหมือนกัน คนก็เลยเข้าใจว่าเป็นปลาจอห์น ดอรี่ ของแท้

              แล้วก็ไม่ต้องสงสัยไปว่า ถ้าเป็นปลาสวาย ทำไมถึงมีเนื้อสีขาว ต่างจากปลาสวายของไทยที่เนื้อจะออกเหลือง ๆ หน่อย นั่นเพราะปลาสวายที่นำมาแล่ขายโดยใช้ชื่อว่าปลาดอรี่นั้นน่ะ นำเข้ามาจากฟาร์มเลี้ยงในเวียดนาม โดยปลาชนิดนี้ปกติจะอาศัยอยู่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยจะเรียกว่า "ปลาเผาะ" รูปร่างหน้าตาเหมือนกับปลาสวายเลย ต่างกันตรงที่มีเนื้อสีขาวเท่านั้น



ปลาสวาย


            และเมื่อปลาสวายจากเวียดนามถูกส่งไปยังขายยังต่างประเทศ ในหลาย ๆ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เขาก็จะเขียนระบุไว้บนถุงบรรจุเลยว่า "Swai" แถมยังระบุไว้ด้วยว่าเป็นปลาเลี้ยงจากฟาร์มส่งตรงมาจากเวียดนามด้วย ต่างกับที่วางขายในประเทศไทยที่ไม่ได้ให้ข้อมูลเรื่องนี้ แต่กลับบอกเป็นปลาแพนกาเซียสบ้างล่ะ เป็นปลาดอรี่บ้างล่ะ ซึ่งจริง ๆ ควรใช้คำว่า "ปลาครีม ดอรี่" มากกว่า เพราะปลาดอรี่นั้นจะหมายถึงปลาจอห์น ดอรี่ ซึ่งเป็นคนละตัวกัน

            เมื่อปลาสวายธรรมดา ๆ ถูกอัพเกรดให้กลายเป็นปลาดอรี่ของต่างประเทศไปซะงั้น ก็เลยเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับปลาสวายไปในตัว เพราะเข้าใจว่าเป็นปลาชนิดเดียวกับปลาจอห์น ดอรี่ นั่นเอง เพราะแบบนี้แหละ สเต็กปลาดอรี่จึงกลายเป็นอาหารหรูเลิศ แถมแพงเสียด้วย

            ได้รู้ข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้ว อึ้ง ! กันไหมจ๊ะ


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #134 เมื่อ: มิถุนายน 17, 2013, 10:39:53 pm »

เครื่องดื่มบำรุงกระดูก

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81/-




เรื่องปวดหลัง ‘กินดี’ เตรียม สูตรเครื่องดื่มบำรุงกระดูกมาให้คุณผู้อ่านลองนำไปผสมดื่มด้วยตนเอง เพราะสารอาหารจากผักและผลไม้ที่รวมอยู่ในเครื่องดื่มมากคุณประโยชน์แก้วนี้ ได้จาก ‘บร็อกโคลี’ ที่อุดมไปด้วยไฟโตเคมิคอล ซัลโฟราเฟน กลูโคซิโนเลต สารต้านการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง ‘แอปเปิ้ลเขียว’ ช่วย ลดความตึงเครียด เพราะมีโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี1 บี2 และ บี6 ทั้งยังมีกรดมาลิก แทนนิก เส้นใบเพ็กติน ช่วยทำความสะอาดกระเพาะอาหาร-ลำไส้ และช่วยลดไข้ บรรเทาอาการอักเสบของเนื้อเยื่อ

นอกจากนี้ยังมี ‘คะน้า’ สรรพคุณช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ แก้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เพราะมีวิตามินบี2 ขณะที่ ‘ผักชีฝรั่ง’ ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง เมื่อเกิดแผลยังช่วยให้เลือดหยุดไหลได้เร็ว ส่วน ‘ขึ้นฉ่าย’ เป็นผักที่ช่วยบำรุงตับ แก้ร้อนในและความดันโลหิตได้

ส่วนผสมต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น จะต้องเตรียมตามสัดส่วนต่อไปนี้
-บร็อกโคลี 1 ถ้วย
-ผักชีฝรั่ง 1/2 ถ้วย
-คะน้า 1/2 ถ้วย
-แอปเปิ้ลเขียว 2 ถ้วย
-ขึ้นฉ่าย 1/2 ถ้วย
-น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

สำหรับ ขั้นตอนในการผสมเครื่องดื่มบำรุงกระดูก เริ่มจากล้างผักและผลไม้ทั้งหมดให้สะอาด นำบร็อกโคลีหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ซอยผักชีฝรั่งและขึ้นฉ่ายจนละเอียด ส่วนคะน้านำไปบุบพอแตกแล้วจึงไปหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ แล้วพักไว้

หัน ไปหั่นแอปเปิ้ลเขียวเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า และนำไปปั่นรวมกันกับส่วนผสมที่สกัดเตรียมไว้ด้วยเครื่องปั่น สามารถเติมน้ำแข็งป่นเพื่อความเย็นสดชื่นแล้วดื่มได้ทันที หากน้ำผักและผลไม้มีลักษณะข้นเกินไป ให้เติมน้ำแร่ลงไปเล็กน้อยเพื่อช่วยเจือจาง

ที่มาข้อมูลและภาพ blogspot.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #135 เมื่อ: มิถุนายน 22, 2013, 09:34:33 pm »

อัลมอนด์และน้ำผึ้ง แก้เจ็บคอ

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87_%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%AD/-




อาการเจ็บคอมาเยี่ยมเราได้บ่อย ๆ เช่น ตอนเป็นไข้ ยิ่งไปกว่านั้นอาการเจ็บคอยังเป็นสัญญาณเตือนที่บอกให้เรารู้ว่า ร่างกายมีท็อกซินเกินขีดกำจัด ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บคอที่ทำให้คอมีอาการบวมแดง ไปจนถึงทำให้ทอนซินอักเสบ สิ่งที่ต้องทำเป็นสิ่งแรกคือ หันกลับมากินอาหารสุขภาพโดยด่วน

 
          นอกจากการดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษและพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว ลองนำของกินเล่นบางอย่างมาทำเป็นยาตำราที่นำมาฝากวันนี้ดูเสียเลย

          ของกินเล่นที่ว่านี้ก็คือ "อัลมอนด์อบ" กลิ่นหอม รสมัน ที่ถูกอกถูกใจวัยรุ่นทั้งหลาย เพราะอัลมอนด์มีสรรพคุณช่วยเยียวยาอาการอักเสบบวมได้ กินกับ "น้ำผึ้ง" ที่มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อด้วย

          วิธีทำคือ ให้นำอัลมอนด์มาบดหยาบ ๆ ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วตักกินให้หมด นอกจากอร่อยแล้ว อาการเจ็บคอก็จะหายในเร็ววัน

          หากรู้จักเลือก ของขบเคี้ยวจากธรมชาติก็ใช้เป็นยาได้

ข้อมูลจาก ::  ชีวจิต


ที่มาข้อมูลและภาพ kroobannok.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #136 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2013, 07:45:25 am »
มะนาวพืชสมุนไพรไทย - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/213536-



ข้อมูลทางวิชาการจากมหาวิทยาลัยเอเซียอาคเนย์ได้ระบุถึงประโยชน์ของมะนาว ว่า มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้มากมายหลายโรคด้วยกัน โดยเฉพาะประโยชน์ของมะนาวในแง่การนำมาใช้เป็นสมุนไพร มีมากมาย อาทิ แก้ไอออกเลือด ใช้โดยนำน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มะนาว 4 ลูก เกลือ 1 ช้อน หรือประมาณ 3-4 เม็ด ผสมให้เข้ากันดี ให้มีรสเปรี้ยว เค็ม หวาน ใช้จิบทุกครั้งที่ไอ แก้เสียงแหบแห้ง ด้วยการผ่ามะนาวครึ่งหนึ่ง จิ้มเกลือบีบน้ำลงคอกลืนกิน ทำทุกเช้าทุกวัน เสียงจะไม่แหบแห้ง หรือก้างปลาติดคอแก้โดยเอามะนาว 1 ลูกคั้น เอาแต่น้ำ เติมเกลือ น้ำตาลนิดหน่อยกรอกลงไปให้ตรงก้างที่ติดคอ อมไว้สักครู่ แล้วจึงค่อยกลืน ก้างจะอ่อนตัวหลุดลงไปในกระเพาะ หรือแก้ไข้ โดยนำใบมะนาวมาหั่นฝอย ๆ ชงด้วยน้ำเดือด ดื่มแบบน้ำชาจะช่วยลดไข้และใช้อมกลั้วคอฆ่าเชื้อโรคเป็นต้น

และคนไทยในชนบทเมื่อครั้งอดีตจะใช้มะนาวบรรเทาพิษงูเมื่อถูกงูกัด โดยกินน้ำมะนาว ขนาดผลโตสัก 1 ผล ซึ่งเชื่อกันว่าน้ำมะนาวจะเข้าไปทำปฏิกิริยากับพิษงูที่แล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร สักครูก็จะอาเจียนออกมา มีเลือดปนเล็กน้อย ซึ่งเชื่อกันว่าพิษงูเริ่มหมดฤทธิ์ แต่ปัจจุบันวิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมนำมาใช้ เนื่องจากระบบการรักษาพยาบาลมีความก้าวหน้าและสามารถเข้าถึงชุมชนได้ค่อนข้างกว้างขวางและรวดเร็วกว่าเมื่อเทียบกับเมื่อครั้งอดีต ผู้ถูกงูกัดจึงถูกส่งถึงโรงพยาบาลได้อย่างทันท่วงที.



.

มะตูมซาอุ - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/213315-



มะตูมซาอุ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกา ใต้แถบประเทศบราซิล อาร์เจนตินาและปารากวัย เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูงได้ถึง 10 เมตร มีกิ่งก้านมากจนมองไม่เห็นลำต้น ใบอ่อนมีสีแดง ขอบใบมีลักษณะเป็นหนาม ต้นตัวผู้และต้นตัวเมียแยกกันคนละต้น ดอกออกเป็นช่อเล็ก ๆ สีขาว ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียมีลักษณะคล้ายกัน ออกดอกได้ทั้งปี แต่พบมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว ผลเมื่ออ่อนมีสีเขียวและเปลี่ยนเป็นสีแดงสดเมื่อแก่ เนื่องจากผลมีสีสวยสดและออกได้ทั้งปี จึงนิยมนำไปปลูกเป็นไม้ประดับ ผลเมื่อแก่จัดเปลือกจะแห้งติดเมล็ดคล้ายพริกไทย ชาวอเมริกาใต้ใช้ผลมะตูมซาอุแทนพริกไทย

มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา สารสกัดของมะตูมซาอุช่วยลดการอักเสบ ควบคุมการเต้นของหัวใจ ช่วยรักษาโรคความดันต่ำ แก้ท้องผูก กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อและรักษาบาดแผลลดอาการปวด ทำลายเซลล์มะเร็ง ลดอาการซึมเศร้า ลดอาการชักกระตุก ทำลายเชื้อไวรัส กระตุ้นการย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ ขับเสมหะและกระตุ้นการขับประจำเดือน.

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #137 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2013, 09:37:27 pm »
Sponge - ปลาดิบปลอม 19Apr12
-http://www.youtube.com/watch?v=tvezSN72XiU-

Sponge - ปลาดิบปลอม 19Apr12

Sponge - ปลาดิบปลอม 19Apr12

โพสต์โดย LadyBimbettes

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #138 เมื่อ: มิถุนายน 29, 2013, 11:12:28 pm »
กล้วยน้ำว้าในทางสมุนไพรไทย - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 26 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/214520-



กล้วยน้ำว้าเป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 3.5 เมตร ลำต้นสั้นอยู่ใต้ดิน กาบเรียงเวียนซ้อนกันเป็นลำต้นเทียม สีเขียวอ่อน ใบ เป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ออกเรียงสลับ รูปขอบขนาน กว้าง 25-40 ซม. ยาว 1-2 เมตร ปลายใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ด้านล่างมีนวลสีขาว เส้นใบขนานกันในแนวขวาง ก้านใบเป็นร่องแคบ ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอดห้อยลง เรียกว่า หัวปลี มีใบประดับขนาดใหญ่หุ้มสีแดงเข้ม เมื่อบานจะม้วนงอขึ้น ด้านนอกมีนวล ด้านในเกลี้ยง ผล รูปรี ยาว 11-13 ซม. ผิวเรียบ ปลายเป็นจุก เนื้อในมีสีขาว พอสุกเปลือกผลเป็นสีเหลือง เนื้อมีรสหวาน รับประทานได้ หวีหนึ่งมี 10-16 ผล บางครั้งมีเมล็ด เมล็ดกลม สีดำ ในทางสมุนไพรไทยใช้ราก  แก้ขัดเบา ต้น ใช้ห้ามเลือด แก้โรคไส้เลื่อน ใบ ใช้รักษาแผลสุนัขกัด ห้ามเลือด ยางจากใบ ใช้ห้ามเลือด สมานแผล ผล ใช้ รักษาโรคกระเพาะ แก้ท้องเสีย ยาอายุวัฒนะ แก้โรคบิด รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แก้ริดสีดวง กล้วยน้ำว้าดิบ  มีฤทธิ์ฝาดสมาน ใช้แก้อาการท้องเดิน แก้โรคกระเพาะ และอาหารไม่ย่อย กล้วยน้ำว้าสุกงอม ใช้เป็นอาหาร ยาระบาย สำหรับผู้ที่อุจจาระแข็ง หรือเป็นริดสีดวงทวารขั้นแรกจนกระทั่งถ่ายเป็นเลือด หัวปลี ใช้ขับน้ำนม.
..




พลูสมุนไพรไทย - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 25 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/214195-



ข้อมูลจากงานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรมฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ  คณะทรัพยากรธรรมชาติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ระบุว่าพลูเป็นไม้เลื้อย มีข้อและปล้องชัดเจน ที่ข้อมีรากสั้น ๆ ออกรอบข้อ ใบเดี่ยวติดกับลำต้นแบบสลับลักษณะของใบคล้ายใบโพธิ์ ปลายใบแหลม ผิวใบมัน ดอกออกรวมกันเป็นช่อแน่น ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ ขึ้นง่าย คนแก่ใช้ทาปูนแดง รับประทานกับหมากซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพลูที่มีใบสีเขียวเข้มมากกว่าพันธุ์ที่มีใบสีออกเหลืองทอง นอกจากนี้ยังนำมาใช้ในพิธีมงคลเป็นเครื่องเซ่นไหว้ การทำเครื่องบายศรีสู่ขวัญ  พลูมีคุณค่าทางโภชนาการ ประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย ได้แก่ สารที่เรียกว่า ชาวิคอล ยูจีนอลเบต้าซิโตสเตอรอล และซินีออล เป็นต้น

พลูเป็นสมุนไพรแก้ลมพิษ รักษาอาการคัน ในใบพลูมีสารยูจีนอลและชาวิคอล มีฤทธิ์เป็นยาชาและช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคหลายชนิด จึงมีประโยชน์ในการระงับอาการคันและเจ็บปวดเนื่องจากแมลงกัดต่อย ช่วยฆ่าและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของวัณโรคและเชื้อหนอง และมีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังและกลาก และพบว่าน้ำมันพลูสามารถฆ่าพยาธิไส้เดือนได้ สารเบต้าสเตอรอล มีฤทธิ์แก้แพ้ แก้อักเสบ นอกจากนี้ พลูยังมีสรรพคุณใช้แก้การอักเสบของเยื่อจมูกและคอ แก้กลาก แก้ฮ่องกงฟุต แก้คัน แก้ลมพิษ ลนไฟนาบท้องเด็ก แก้ปวดท้องและแก้ลูกอัณฑะยาน เป็นต้น.



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #139 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2013, 08:51:08 am »
“ทุเรียน” กินดีมีประโยชน์...แต่โทษถึงตายถ้ากินกับเหล้า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 มิถุนายน 2556 16:40 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000077196-



 เห็นทุเรียนสีเหลืองทองอร่าม กลิ่นหอมๆ ก็ลอยมาเตะจมูกพลอยให้อยากลิ้มลองไปเสียทุกครั้ง ยิ่งช่วงนี้ฤดูกาลแห่งทุเรียนมาถึง ใครต่อใครก็พากันไปลิ้มรสหวานมันหอมจากราชาแห่งผลไม้ชนิดนี้
       
       จำได้ว่าเมื่อสมัยก่อน “108 เคล็ดกิน” มักจะได้รับคำเตือนจากผู้ใหญ่ว่าอย่ากินทุเรียนมากเกินไป เพราะว่าเป็นของร้อน กินมากแล้วจะร้อนใน ซึ่งที่จริงแล้วก็เนื่องมาจากว่าทุเรียนนั้นมีปริมาณน้ำตาล และไขมันสูง หากกินมากเกินไปก็จะทำให้ได้รับพลังงานมาก ซึ่งกระบวนการย่อยสลายสารต่างๆ ทั้งน้ำตาลและไขมันนั้นจะทำให้เกิดความร้อนขึ้นในร่างกายและอาจทำให้เกิดอาการขาดน้ำ
       
       แต่ต้องบอกว่าทุเรียนนั้นไม่ได้มีแต่โทษเพียงอย่างเดียว ใครที่ยังชอบกินทุเรียนอยู่ก็ยังกินได้อย่างสบายใจ เพราะนอกจากความอร่อยแล้วนั้น ทุเรียนก็ยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง ซึ่งจากการศึกษาทดลองได้พบประโยชน์จากทุเรียนว่ามีส่วนช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และทุเรียนที่มีความสุกกำลังดี โดยเฉพาะในพันธุ์หมอนทอง จะมีสารโพลีฟีนอล และสารฟลาโวนอยด์ ที่มีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ
       
       สำหรับแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในทุเรียนนั้นก็มีธาตุเหล็กและมีปริมาณเส้นใยอยู่มาก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนไขมันที่พบอยู่ในเนื้อทุเรียนนั้นก็เป็นไขมันชนิดดี และมีประโยชน์กับร่างกาย ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ ทั้งนี้ต้องกินในปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งตามปริมาณตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำนั้น แนะนำให้กินครั้งละไม่เกิน 2 เม็ดขนาดกลาง น้ำหนักเฉพาะเนื้อประมาณ 100 กรัม ซึ่งจะให้พลังงาน 187 กิโลแคลอรี
       
       ในคนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ให้ระวังการกินทุเรียน ยังสามารถกินได้แต่ควรกินในปริมาณที่น้อยกว่าคนปกติ ที่สำคัญคือ ห้ามกินทุเรียนคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ เพราะในทุเรียนมีสารกำมะถันอยู่มาก สามารถละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ ถ้ากินทุเรียนคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้แอลกอฮอล์ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วขึ้น ทำให้เมาเร็วและเมาหนัก เกิดความผิดปกติต่อระบบหายใจ เกิดอาหารร้อนใน แน่นอก ขาดน้ำ และอาจเสียชีวิตได้

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)