ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129511 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 10 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #140 เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2013, 10:08:17 pm »
เคล็บลับอร่อยได้ดังใจ แต่..ไม่อ้วน
-http://health.kapook.com/view65592.html-




เคล็บลับ..อร่อยได้ดังใจแต่.."ไม่อ้วน" (ไทยโพสต์)

          ในยุคนี้ไม่ว่าหันหน้าไปทางไหนก็จะเห็นคนหันมารับประทานอาหารเพื่อสุขภาพกันมากยิ่งขึ้น เนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "โรคอ้วน" ซึ่งมีอัตราการเพิ่มของผู้ที่เป็นโรคนี้อย่างต่อเนื่อง และมีอายุลดลงเรื่อย ๆ

          แท้ที่จริงแล้วการรักษาน้ำหนักให้ได้มาตรฐาน ด้วยการดูแลร่างกายให้แข็งแรง และรักษารูปร่างให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อปลอดภัยจากโรคอ้วนนั้นทำได้ไม่ยาก ซึ่งสามารถเริ่มจากเรื่องใกล้ตัวที่ทำได้ไม่ยากในแต่ละวัน คือ "การปรุงอาหาร" ไม่ว่าจะเป็นการลองทำอาหารสูตรใหม่ ๆ หรือแม้แต่เปลี่ยนวิธีการปรุงอาหาร เช่น ไม่ใช้น้ำมันในการปรุงอาหาร ซึ่งใครเลยจะรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้จะช่วยลดปริมาณแคลอรี่ของอาหารในแต่ละมื้อ ชนิดที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

          วันนี้ โภชนาการซูซาน โบเวอร์แมน ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด มี 3 เคล็ดลับง่าย ๆ เพื่อความอร่อยโดยไม่ต้องกังวลกับน้ำหนักที่จะเพิ่มขึ้น และยังช่วยลดน้ำหนักได้ด้วยมาฝากกัน ดังนี้
   

เคล็ดลับสุขภาพ

1. "โละทิ้ง" สูตรอาหารเดิม ๆ เพื่อเริ่มต้นอิ่มอร่อยอย่างมีสุขภาพ

          ลองเปลี่ยนแปลงอาหารสูตรเดิม ๆ ที่เคยทำเป็นประจำ จะทำให้สามารถ "ลด" ปริมาณแคลอรี่ในระยะยาวได้อย่างคาดไม่ถึง

          เริ่มต้นจาก "สำรวจวัตถุดิบ" ในการปรุงอาหารแต่ละมื้ออย่างละเอียด แล้วลองพลิกแพลงหาวัตถุดิบใหม่ ๆ มาทดลองใช้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องคำนึงถึง คือ วัตถุดิบทดแทนใหม่ ๆ  นั้น เมื่อปรุงแล้วควรมีรสชาติที่ใกล้เคียงกับวัตถุดิบชนิดเดิม แต่มีคุณค่าทางโภชนาการที่มีประโยชน์มากกว่า

          เช่น ใช้เนื้อไก่บ้านซึ่งเหนียวนุ่มในการปรุงอาหารแทนการใช้เนื้อวัว เลือกใช้ข้าวซ้อมมือแทนข้าวสารที่ขัดขาวเพื่อเพิ่มไฟเบอร์ในมื้ออาหาร หรือเพิ่มผลไม้หลากชนิดในสลัด เป็นต้น

          นอกจากนี้ "ปริมาณของวัตถุดิบ" ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนึ่งที่ช่วยลดแคลอรี่ในอาหารแต่ละมื้อได้ เช่น ถ้าเราต้องปรุงอาหารด้วยการทอดที่ต้องใช้น้ำมันท่วม อาจลองเปลี่ยนมาใช้วิธีการผ่านความร้อนเร็ว ๆ บนกระทะที่ใช้น้ำมันน้อย แต่ทำให้สุกและคงคุณค่าอาหารได้มาก

          วิธีนี้นอกจากจะลดปริมาณการใช้น้ำมันลงแล้ว ยังสามารถลดความเค็มและความหวานในการปรุงรสลงได้อีกด้วย เพราะรสชาติกลมกล่อมของวัตถุดิบจะคงอยู่โดยถูกลดทอนด้วยความร้อนและน้ำมันลงไม่มากนัก และเรายังสามารถเพิ่มปริมาณอาหารด้วยผักหลากชนิดได้อีกด้วย

   


2. ยิ่ง "ปรุง" เพื่อเพิ่มรสชาติอาหาร ยิ่ง "ปรับ" แคลอรี่ให้เพิ่มขึ้นแบบไม่รู้ตัว
   
          เวลาทำอาหาร เรามักจะเคยชินกับการปรุงอาหารให้มีรสชาติที่ถูกปาก เพราะเชื่อว่าหากปรุงอาหารด้วยวัตถุดิบที่มีแคลอรี่ต่ำแล้ว เราก็จะบริโภคอาหารในมื้อนั้น ๆ ด้วยปริมาณแคลอรี่ที่ไม่สูงมากนัก ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด ในความเป็นจริงแล้วด้วยขั้นตอนและวิธีการในการปรุงอาหารต่างหากที่ทำให้เราเข้าใจผิด จนในที่สุดก็บริโภคอาหารที่มีแคลอรี่สูงอย่างไม่รู้ตัว

          เช่น ใช้การทอดแทนการย่าง เพราะอาหารที่ทอดจะให้กลิ่นและรสที่กลมกล่อมกว่าการย่าง หรือการปรุงอาหารให้มีรสชาติที่ถูกปาก จนละเลยเรื่องปริมาณของวัตถุดิบว่าใช้เกินกว่าที่ร่างกายต้องการ เป็นต้น
   



3. เคล็ดลับ (ก้นครัว)...ช่วยลดแคลอรี่ในอาหาร แต่คงความอร่อยอย่างมีสุขภาพ
   
            เลือกใช้วัตถุดิบที่ช่วยลดแคลอรี่ แต่เพิ่มคุณค่าในอาหาร เช่น เพิ่มผักหั่นลูกเต๋าเป็นวัตถุดิบหลักสำคัญในทุก ๆ ครั้งที่ปรุงอาหาร เลือกรับประทานสลัดทูน่าหรือสลัดไก่แทนพาสต้า (ชุ่มครีมซอส) ซึ่งจะลดแคลอรี่ของอาหารในแต่ละมื้อได้ทันที
   
            เลี่ยงการใช้เนยหรือซอสปรุงรสในการปรุงอาหาร โดยเลือกใช้น้ำมะนาว กระเทียม หัวหอม หรือเครื่องเทศ เพื่อเพิ่มรสชาติอาหารให้เข้มข้นแทน ซึ่งนอกจากจะได้รสชาติไม่แพ้กันแล้ว ยังดีต่อสุขภาพของเราอีกด้วย
   
            สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานสลัด ลองเปลี่ยนจากผักกะหล่ำมาเป็นผักใบเขียวชนิดต่าง ๆ ที่ชอบและเพิ่มรสชาติที่แปลกใหม่ด้วยการเติมผลไม้ผสมลงไป โดยเฉพาะส้ม แอปเปิลและกีวี ซึ่งนอกจากจะทำให้รสชาติของสลัดแปลกขึ้นจากเดิมแล้ว ยังช่วยทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีคุณค่ามากขึ้นด้วย
   
            ผักและผลไม้แช่แข็งคืออีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้ร่างกายได้รับไฟเบอร์ในปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งสามารถทดแทนผักที่ไม่สามารถหากินได้ตลอดทั้งปี อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่าผักสดบางชนิด เช่น ผักโขมแช่แข็งสามารถนำมาประกอบอาหารเป็นซุปใส หรือจะลองผัดกระเทียมก็ยังคงรสชาติอาหารแบบดั้งเดิมไม่แพ้การใช้ผักโขมสด

            สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเมนูอาหารฝรั่งที่มีกลิ่นนมเนยและเครื่องเทศ อย่างอาหารเมดิเตอร์เรเนียน อาทิ อิตาเลียนหรือสเปน ก็สามารถทำซุปข้นได้ง่าย ๆ โดยไม่ใช่แป้ง เนย หรือครีม เพียงสับผักและปั่นกับน้ำซุป จากนั้นนำไปผัดให้งวดปรุงรสด้วยหัวหอม กระเทียม และเกลือ เติมน้ำซุปอีกเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็จะได้น้ำซุปแสนอร่อยที่สามารถนำไปเพิ่มรสชาติให้กับผัดผักหรือเมนูอื่น ๆ ได้เลย แต่ถ้าต้องการซุปครีม ก็นำซุปข้นที่ปรุงแล้วปั่นกับนมไขมันต่ำและเต้าหู้ เพียงเท่านี้ก็จะได้ซุปเต้าหู้ครีมแสนอร่อย รับประทานกันได้ทั้งครอบครัว
   
            ถ้าคุณชื่นชอบอาหารเบา ๆ อย่างสลัด ลองเปลี่ยนน้ำสลัดเป็นสูตรพร่องมันเนยดูบ้าง จะพบว่าเป็นการลิ้มรสชาติที่แตกต่างออกไป


ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.thaipost.net/tabloid/170313/70984-

.


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #141 เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2013, 08:19:16 pm »
ดอกสัก - เรื่องน่ารู้
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/216930-
วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.



ใบอ่อนที่แตกจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และโตเต็มที่ราว ๆ เดือนกรกฎาคม ช่อดอกจะเริ่มแทงออกมา ดอกสักเล็ก ๆ เริ่มทยอยบาน ช่วงเวลาที่ดอกสักบาน คือ เดือนกันยายน ดอกสักช่อหนึ่ง ๆ ยาวประมาณ 40-60 เซนติเมตร แต่ละช่อดอกประกอบด้วยดอกเล็ก ๆ สีขาวหรือขาวแต้มม่วงและมีจำนวนมากถึงช่อละ 750-3,000 ดอก ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของช่อดอกและลำต้น ดอกสักจะทยอยบานไปเรื่อย ๆ ใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ดอกที่เริ่มบานตอนเช้าจะร่วงหล่นในตอนเย็น หรือเช้าวันถัดไปถ้าดอกไม่ได้รับการผสมเกสร

ดอกสักแต่ละดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6-8 มิลลิเมตร มีกลีบดอกสีขาว หรืออาจมีสีม่วงสลับจำนวน 6 กลีบ ในดอกประกอบด้วยก้านเกสรตัวผู้ชูอับเรณู สีเหลือง 6 ก้าน ตรงกลางดอกมีก้านเกสรตัวเมียขนาดใหญ่ 1 ก้าน ปลายก้านแยกเป็น 4 แฉก ชูเกสรตัวเมีย ที่ฐานของก้านเกสรตัวเมียและฐานดอกเป็นกระเปาะของรังไข่ ภายในมีช่อง 4 ช่อง ช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การผสมเกสรของดอกสัก คือประมาณ 11.00-15.00 น. โดยมีแมลง เช่น ผีเสื้อ ผึ้ง และมด  เป็นตัวช่วยผสมเกสร ในตำราแพทย์แผนไทยใช้ดอกสักต้มน้ำดื่มเพื่อขับปัสสาวะใช้ใบต้มกับน้ำ รับประทานเป็นยาลดน้ำตาลในเลือด.



แตงกวา - เรื่องน่ารู้
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/216417-
วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.



แตงกวาเป็นพืชเถาเลื้อยมีมือเกาะ ลำต้นมีขนขึ้นปกคลุม ยาวประมาณ 2-3 เมตร มีรากแก้ว ใบเป็นใบเดี่ยว ดอกตัวผู้ ตัวเมียแยกกันแต่อยู่บนต้นเดียวกัน ดอกตัวเมีย มีสีเหลือง ลักษณะคล้ายแตงกวาผลเล็ก ๆ ติดกับกลีบดอก

ผลในขณะยังเล็กมีหนามเล็ก สีขาวและสีดำ เนื้อผลของแตงกวานิยมนำมาบำรุงผิวหนังด้วยมีสารกลูซิด กรดอะมิโน และเกลือแร่ ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ใต้ผิวหนัง ในขณะที่สาร ซิสติน และสารเมธิโอนิน ทำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่นแก่ผิวหนัง ผลแตงกวามีความชื้น 96.4% โปรตีน 0.4% ไขมัน 0.1% คาร์โบไฮเดรต 2.8% แร่ธาตุ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก วิตามินบี และวิตามินซี มีเอนไซม์หลายชนิด ใบและเนื้อในเมล็ดจากเมล็ดแก่คนไทยโบราณนำมากินเป็นยาถ่ายพยาธิ แก้ท้องเสีย ผลและเมล็ดอ่อน มีสรรพคุณฝาดสมาน เสริมการทำงานของระบบประสาท ช่วยความจำ ลดอาการนอนไม่หลับ แก้กระหายน้ำ มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ขับปัสสาวะ ช่วยบำรุงผมและเล็บ เถา ช่วยลดความดันเลือด.



ถั่วพุ่ม - เรื่องน่ารู้
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/216716-
วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.



ฝักสดถั่วพุ่มรับประทานแทนผักจิ้มน้ำพริก หรือทำตำส้มแทนมะละกอได้ เมล็ดแห้ง ประกอบอาหารทั้งคาว และหวานได้ เป็นที่นิยมในอาหารประเภทชีวจิต เกษตร กรบางแห่งใช้ถั่วพุ่มปลูกเป็นพืชปุ๋ยสด แซมในไร่มันสำปะหลัง โดยปลูกแซมแถวเดียว ระหว่างกลางแถวมันสำปะหลัง และพบว่าการไถกลบพืชปุ๋ยสดแล้วปลูกมันสำปะหลังตามในพื้นที่ขุดดินยโสธร จะทำให้ได้ผลผลิตหัวมันสดเพิ่มขึ้นทุกปี ตั้ง แต่ปีที่ 1-5 โดยเฉลี่ยได้น้ำหนักหัวมันสด 2,490 กิโลกรัมต่อไร่

ถั่วพุ่มเป็นพืชปุ๋ยสดหมุนเวียนในนาข้าว โดยปลูกก่อนปักดำข้าว นาข้าวที่นาดอนและมีการระบายน้ำดี โดยปลูกปลายฤดูฝนแล้วไถกลบในภายหลัง เช่นบางพื้นที่ของจังหวัดสกลนคร มีการปลูกถั่วพุ่มและไถกลบในนาข้าว พบว่าได้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 52 ถังต่อไร่ ข้อมูลจากกรมพัฒนา ที่ดินระบุว่าปริมาณธาตุอาหารที่ได้จากการปลูกถั่วพุ่ม หลังจากไถกลบแล้วจะสลายตัวภายใน 30 วัน มีเปอร์เซ็นต์ธาตุอาหาร N, P, K ประมาณ 2.92, 0.45 และ 4.00.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #142 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2013, 08:25:25 am »
รู้จักน้ำมัน เพื่อสุขภาพ
-http://health.kapook.com/view66343.html-





รู้จักน้ำมัน เพื่อสุขภาพ (Modernmom)
เรื่องโดย Sean Nemi

          ถ้าได้ยินคำว่าน้ำมันหรือไขมันแล้วคุณผู้หญิงหลายคนต้องสะดุ้ง เพราะดูเหมือนจะเป็นศัตรูคู่กันมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันจากพืชหรือน้ำมันจากสัตว์ก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วน้ำมันก็มีทั้งดีและไม่ดี แล้วจะรู้ว่าชนิดไหนดีต่อสุขภาพนั้น ก็ต้องมาดูที่องค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งเราจะค่อย ๆ ถ้าความรู้จักกับเจ้าน้ำมันกันก่อนค่ะ เพราะจริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นผู้ร้ายตัวฉกาจอย่างที่คิด

ประโยชน์ก็มีนะ

          - ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงานได้มากถึง 9 กิโลแคลอรี่

          - ช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามินเอ ดี อี และเค รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน โดยทำหน้าที่เป็นเสมือนตัวขนส่งเอาวิตามินและสารอาหารต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย

รู้จักไขมันให้ลึกซึ้ง

          สำหรับคุณสมบัติทางเคมีในโมเลกุลของไขมันจะประกอบด้วยกรดไขมัน 3 โมเลกุล ต่อกับกลีเซอรอล 1 โมเลกุล รวมเรียกว่า ไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งจะอยู่ในรูปของไขมันหรือน้ำมันซึ่งมีความคงตัว สำหรับคุณค่าทางอาหารของไขมันหรือน้ำมันจะดูได้จากปริมาณของกรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acid) และกรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fatty Acid)


น้ำมันปาล์ม

กรดไขมันอิ่มตัว

          เป็นชนิดที่เพิ่มคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดที่นำมาสู่โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น

          พบมากใน : น้ำมันจากสัตว์ และในน้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันปาล์ม และน้ำมันมะพร้าว

          คุณสมบัติ : เป็นไขได้ง่ายในอากาศเย็น มีกลิ่นเหม็นหืนได้ง่าย


น้ำมันดอกทานตะวัน

กรดไขมันไม่อิ่มตัว

          มีองค์ประกอบทางเคมีที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

          พบมากใน : น้ำมันจากพืช ยกเว้นน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์ม (ในน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์มมีกรดไขมันอิ่มตัวอยู่มาก)

          คุณสมบัติ : เป็นไขยากแม้จะอยู่ในตู้เย็น แต่จะทำปฏิกิริยากับความร้อน และออกซิเจนได้ง่าย มักทำให้เกิดกลิ่นเหม็นหืนหลังจากใช้ประกอบอาหารแล้ว สามารถแบ่งออกเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง คือ กรดไขมันไลโนเลอิค (โอเมก้า 6) และกรดไขมันแอลฟาไลโนเลอิด (โอเมก้า 3) อีกชนิดคือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว คือ กรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 9 ซึ่งกรดไขมันทั้งสองชนิดนี้จะช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL)

สำหรับกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ยังแบ่งได้อีก 2 ประเภท คือ

1. กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fatty Acid-MUFA)

          พบได้ใน น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำมันคาโนล่า

          มีประโยชน์ช่วย
         
          ลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้

          ช่วยให้เลือดไม่ข้นหนืด และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดีได้ด้วย จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

2. กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Poly-Unsaturated Fatty Acid-PUFA)

          เป็นกรดไขมันที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น เหมาะสำหรับทำอาหารประเภทผัดหรือทอดแบบเร็ว ๆ ที่ใช้น้ำมันน้อย

          พบได้ใน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย เป็นต้น

          มีประโยชน์ช่วย

          ช่วยยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอลในเลือดลง

          ลดการสะสมของคอเลสเตอรอลที่ผนังหลอดเลือด

          เมื่อทราบถึงชนิดของน้ำมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว หลายท่านคงเลือกใช้น้ำมันเพื่อปรับสมดุลของร่างกายได้เหมาะสมยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามต้องอย่าลืมว่าน้ำมันหรือไขมันยังคงสะสมในร่างกายได้ ดังนั้นควรบริโภคต่อพอดีค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.modernmommag.com/-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #143 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2013, 10:31:54 am »
ถั่วเขียว - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/218059-





ต้นถั่วเขียวใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ดี มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าหญ้าทั่วไป เพราะเป็นพืชตระกูลถั่ว ถั่วเขียวมีปมที่รากซึ่งเปลี่ยนไนโตรเจนในอากาศเป็นปุ๋ยไน   เตรทให้แก่ดิน ถั่วเขียวจึงเป็นพืชบำรุงดินใช้เป็นปุ๋ยพืชสดได้ดี ในอดีตชาวนาภาคกลางปลูกถั่วเขียวในนาข้าวก่อนฤดูปลูกข้าว หลังจากเก็บเกี่ยวถั่วเขียวแล้วจึงปลูกข้าวต่อ วิธีนี้จะได้ผลผลิตถั่วเขียวเพิ่มเติม ถั่วเขียวมีคุณสมบัติพิเศษคือ ใช้น้ำน้อยทนแล้งได้ดี เมล็ดงอกและเติบโตเร็ว ใบกว้างช่วยควบคุมวัชพืชได้ดี ชาวนาไทยบางคนนำถั่วเขียวมาใช้ในแปลงนาระบบเกษตรกรรมธรรมชาติที่ไม่ไถพรวน ไม่กำจัดวัชพืช ไม่ใส่ปุ๋ย และไม่กำจัดแมลง

วิธีการทำ โดยหว่านเมล็ดข้าวกับเมล็ดถั่วเขียวไปพร้อมกันในแปลงนาเดียวกัน ถั่วเขียวจะช่วยบำรุงดินและป้องกันวัชพืช เมื่อถั่วเขียวโตเต็มที่แล้ว จะเก็บกักน้ำให้ท่วมผิวดิน ถั่วเขียวก็จะเน่าตายกลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติ ข้าวจะเติบโตสมบูรณ์ต่อ   ไป ถั่วเขียวจึงนับเป็นถั่วสารพัดประโยชน์ ของชาวไทยชนิดหนึ่งที่ราคาไม่แพงหาง่ายคุณค่าสูง.


-----------------------------------------------------------------

ตั๊กแตนหนวดยาว - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/218317-



ตั๊กแตนหนวดยาวเป็นแมลงขนาดกลางถึงขนาดใหญ่  มีความยาวตั้งแต่ 2-10 ซม. หนวดเป็นแบบเส้นด้ายมีความยาวมากกว่าความยาวลำตัว ฝ่าเท้ามี 4 ปล้อง มีปากแบบกัด มักมีอวัยวะฟังเสียงตั้งอยู่ที่โคนหน้าแข้งของขาคู่หน้า เพศเมียมีอวัยวะวางไข่ลักษณะคล้ายดาบ ชอบวางไข่ฝังในเนื้อเยื่อของต้นพืช  ขณะเกาะพักแผ่นปีกจะวางบนลำตัวเกือบอยู่ในแนวดิ่ง ลำตัวมักมีสีเขียวใบไม้ แต่บางครั้งอาจพบว่ามีสีน้ำตาลแห้งและลาย หรือแต้มสีอื่น ๆ  บางชนิดมีสีสันสวยงาม เพศผู้สามารถทำเสียงได้ไพเราะ โดยใช้อวัยวะที่มีลักษณะเป็นร่องหรือขอบคมของปีกข้างหนึ่ง ถูกับอวัยวะที่มีลักษณะเป็นตุ่ม หรือซี่ฟันเล็ก ๆ ของปีกอีกข้างหนึ่ง กินใบพืชหลายชนิดเป็นอาหาร  บางชนิดดำรงชีวิตเป็นแมลงห้ำคอยจับกินแมลงอื่นเป็นอาหาร.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #144 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2013, 10:45:18 pm »
ทุเรียนหลงลับแล ราคากระฉูด 380 บาท หลังออกสื่อ แนะวิธีดูของแท้
-http://hilight.kapook.com/view/88623-













เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก หลงลับแล

          ทุเรียนหลงลับแล หายากและราคาแพงขึ้นหลายเท่าตัว หลังออกสื่อ โดยเพิ่มขึ้นจาก กิโลกรัมละ 80 บาท เป็น กิโลกรัมละ 380 บาท จนทำให้มีของปลอมระบาด เกษตรฯ อุตรดิตถ์ จึงแนะวิธีดูทุเรียนแท้ด้วยหลัก 5 ข้อ

         วันนี้ (15 กรกฎาคม 2556) เวลา 10.00 น. โรงเรียนชุมชนหัวดง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ มีการจัดกิจกรรมงานก่อเจดีย์ทุเรียน โดยมีชาวบ้าน ต.แม่พูล นำทุเรียนมาบริจาคให้กับ นายเทพนูญ แก้วกสิกรรม ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนหัวดง พร้อมด้วยคณะครู นักเรียนโรงเรียนชุมชนหัวดง เป็นจำนวนกว่า 500 ลูก เพื่อนำไปก่อเจดีย์ด้วย โดยในพิธีก่อเจดีย์ทุเรียนนั้น มีการนิมนต์พระสงฆ์มาประกอบพิธี และหลังจากเสร็จพิธีทางโรงเรียนจะนำทุเรียนทั้งหมดไปขายให้กับพ่อค้าที่รอรับซื้อ และนำรายได้มาพัฒนาโรงเรียน รวมถึงซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอน

         ซึ่ง นายเทพนูญ กล่าวว่า ต้องขอบคุณชาวบ้านและผู้ปกครองนักเรียน ที่มาร่วมกิจกรรมดังกล่าว โดยเป็นการช่วยเหลือโรงเรียนและแบ่งเบางบประมาณของราชการ พร้อมคาดว่าจะขายทุเรียนได้ประมาณ 25,000 บาท เพื่อนำเงินมาบำรุงการศึกษา

         ขณะที่ นายฟื้น โชวันดี ประธานเครือข่ายเกษตรกรทางเลือกเมืองน่าอยู่ จ.อุตรดิตถ์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ทุเรียนหลงลับแล ถูกนำเสนอผ่านสื่อ ทำให้ราคาขยับพุ่งขึ้นจากกิโลกรัมละ 80-100 บาท เป็น 380 บาท เนื่องจากเป็นทุเรียนที่อร่อยที่สุดในโลก และมีคุณภาพดีมาก โดยอาจมีการนำทุเรียนหลงลับแลมาหลอกขายผู้บริโภคได้ เนื่องจากปัจจุบันทุเรียนหลงลับแลได้ถูกนำขายเกือบหมดตลาดแล้ว ทั้งนี้ นายฟื้น บอกว่า อยากแนะวิธีการซื้อทุเรียนหลงลับแล โดยมี 5 วิธีคือ

         1. ต้องมีสติ๊กเกอร์ติดที่ขั้วทุเรียน โดยในสติ๊กเกอร์ต้องมีตราสัญลักษณ์ จ.อุตรดิตถ์ และโลโก้ท่าเหนือเมืองน่าอยู่

          2. ทุเรียนที่แก่จัด ข้อต่อขั้วต้องอวบอ้วนเด่นชัด หากสัมผัสจะรู้สึกสาก ก้านต้องแข็งผ่ารับประทานได้ สังเกตดูจะมีรอยร้าวที่ขั้ว

          3. มีชื่อเจ้าของสวน ผู้ผลิต รหัสรับรอง และเบอร์โทรศัพท์ ติดไว้

          4. ทุเรียนเกรดเอ ต้องมี 4 พู ขึ้นไป หนามต้องสั้นและห่าง

          5. บริเวณปลายผลจะมีจุดที่เรียกว่า สะดือ ให้ใช้มีดจิ้มเข้าไปแล้วงัดเปลือกออกตามรอย และรับประทานในระยะห่าม จะมีรสชาติหวาน มัน ไม่มีใครเทียบได้
           

 
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1373877118&grpid=00&catid=&subcatid=-

.




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #145 เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2013, 06:15:22 am »
ผู้บริโภคตรวจข้าวถุงพบ “โค-โค่” มีสารตกค้างเกินมาตรฐาน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 กรกฎาคม 2556 16:39 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000087114-



น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แถลงผลการตรวจข้าวถุง เมื่อวันที่ 16 ก.ค.


       มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคตรวจข้าวถุงไม่พบสารเคมีใดๆ ตกค้างเลย 12 ตัวอย่าง ตกค้างไม่เกินค่ามาตรฐาน 50 ppm จำนวน 33 ตัวอย่าง และเกินค่ามาตรฐาน 1 ตัวอย่างคือ “ข้าวโค-โค่” แนะรัฐเปิดเผยยี่ห้อข้าวที่พบการปนเปื้อนและปลอดภัย ย้ำเป็นสิทธิที่ผู้บริโภคต้องรู้ ชี้ใช้กำหนดทิศทางการส่งออกข้าวได้ เหตุบางยี่ห้อสารเคมีเกือบเกินมาตรฐานต้องเร่งแก้ไข เพราะไม่ผ่านมาตรฐานประเทศคู่ค้าสำคัญ
       
       วันนี้ (16 ก.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวแถลง “ผลทดสอบข้าวสารถุงยี่ห้อไหนไม่มีสารเคมี?” ว่า การเปิดเผยข้อมูลการทดลองในครั้งนี้เพื่อประโยชน์ของสาธารณะ และคุ้มครองผู้บริโภคในการรับข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอต่อการบริโภค สิทธิในการเลือกซื้อสินค้า และสิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการบริโภค ทั้งนี้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ร่วมกับมูลนิธิชีววิถี และศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ ตรวจสารเคมีในข้าวสารบรรจุถุงจำนวน 46 ตัวอย่าง จากยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต และคาร์บาเมต ยากันรา และสารรมควันข้าวเมทิลโบรไมด์ พบว่า ข้าวสารจำนวน 12 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 26.1 ไม่พบสารตกค้างทุกกลุ่ม ได้แก่ ลายกนก-ข้าวหอมมะลิ ข้าวพันดี-ข้าวขาว ธรรมคัลเจอร์-ข้าวหอม รุ้งทิพย์-ข้าวเสาไห้ บัวทิพย์-ข้าวหอม ตราฉัตร-ข้าวขาว ข้าวมหานคร-ข้าวขาว สุพรรณหงส์-ข้าวหอมสุรินทร์ เอโร่-ข้าวขาว ข้าวแสนดี-ข้าวหอมทิพย์ โฮมเฟรชมาร์ท-จัสมิน และชามทอง-ข้าวหอมมะลิ
       
       น.ส.สารี กล่าวอีกว่า ส่วนอีก 34 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 73.9 พบสารเมทิลโบรไมด์ ตั้งแต่ 0.9-67 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ppm) โดยแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ดังนี้ 1.ตกค้างน้อยมาก คือน้อยกว่า 0.9 ppm มี 7 ตัวอย่าง ได้แก่ ช้างเผือก-ข้าวเสาไห้ cooking for fun-ข้าวหอมมะลิ ข้าวเบญจรงค์-ข้าวหอมมะลิ แฮปปี้บาท-ข้าวขาว เทสโก ตราคุ้มค่า-ข้าวหอม และ อคส.-ข้าวหอมมะลิ 2.ตกค้างน้อย คือ ระหว่าง 0.9-5 ppm จำนวน 14 ตัวอย่าง ได้แก่ ข่าวอิ่มทิพย์-ข้าวขาว ชาวนาไทย-เสาไห้ ข้าวแสนดี-ข้าวขาว ท็อปส์-หอมมะลิ ตราเกษตร-ข้าวขาวหอม ฉัตรทอง-หอมมะลิ ติ๊กชีโร่-หอมมะลิ หงษ์ทอง-หอมมะลิ บิ๊กซี-หอมปทุม ตราฉัตร-หอมผสม โรงเรียน-หอมมะลิ ฉัตรอรุณ-หอมผสม ปทุมทอง-หอมมะลิ และไก่แจ้เขียว-หอมมะลิ
       
       น.ส.สารี กล่าวด้วยว่า 3.ตกค้างสูง คือระหว่าง 5-25 ppm จำนวน 7 ตัวอย่าง ได้แก่ พนมรุ้ง-ข้าวขาว ท็อปส์-หอมปทุม คุ้มค่า-เสาไห้ เอโณ่-ข้าวหอม มาบุญครอง-ข้าวขาว ดอกบัว-ข้าวหอมมะลิ และปิ่นเงิน-ข้าวหอม 4.ตกค้างสูง คือระหว่าง 25-50 ppm จำนวน 5 ตัวอย่าง ได้แก่ ถูกใจ-ข้าวขาว สุรินทิพย์-หอมมะลิ ดอกบัว-ขาวตาแห้ง ตราดอกบัว-เสาไห้ และข้าวแสนดี-ข้าวหอม และ 5.ตกค้างเกินมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ (CODEX) ที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ 50 ppm จำนวน 1 ตัวอย่าง คือข้าวยี่ห้อ “โค-โค่-ข้าวขาวพิมพา” โดยตกค้างอยู่ที่ 67.4 ppm ส่วนการตรวจสารพิษจากเชื้อรา และคุณภาพข้าวถุงนั้นยังไม่แล้วเสร็จ
       
       “การเปิดเผยข้อมูลในครั้งนี้ไม่ได้ต้องการดิสเครดิตธุรกิจใด หรือต้องการโจมตีรัฐบาล แต่ต้องการคุ้มครองผู้บริโภค โดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจะส่งผลการตรวจนี้ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พร้อมกับขอเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐ ทั้ง อย. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยรายละเอียดชื่อยี่ห้อข้าวที่พบการปนเปื้อน หรือตัวอย่างยี่ห้อที่ตรวจแล้วปลอดภัยไม่พบการปนเปื้อน เพราะผู้บริโภคมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลตามกฎหมาย นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อการกำหนดทิศทางการผลิตสินค้าและการบริโภคของประเทศในอนาคต และการตรวจสอบของหน่วยงานรัฐครั้งต่อๆ ไป ควรมีองค์กรผู้บริโภคร่วมด้วย” เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวและว่า การส่งตรวจในครั้งนี้ ได้ส่งตรวจในห้องปฏิบัติการที่น่าเชื่อถือทั้งภาครัฐและเอกชนด้วยงบประมาณ 7 แสนบาท
       
       นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า การตรวจข้าวบรรจุถุงครั้งนี้ พบผลที่แตกต่างจากของรัฐบาล คือเราพบข้าวถุงที่มีสารตกค้างเกินค่ามาตรฐาน 50 ppm ที่สำคัญการตรวจของรัฐบาลไม่มีการจำแนกระดับของสารตกค้างให้ผู้บริโภคทราบ สำหรับเกณฑ์การกำหนดระดับสารตกค้างเมทิลโบรไมด์นั้น ได้ใช้ค่ามาตรฐานของประเทศคู่ค้าข้าวรายสำคัญของไทย ซึ่งมีค่ามาตรฐานที่ต่ำกว่า 50 ppm เป็นเกณฑ์คือ อินเดียที่กำหนดไว้ไม่เกิน 25 ppm และประเทศจีนที่กำหนดไว้ไม่เกิน 5 ppm ซึ่งการแบ่งเกณฑ์ดังนี้จะสะท้อนข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทราบว่ามีข้าวยี่ห้อใด บริษัทใด มาจากโรงสีใด ที่อาจมีผลกระทบต่อการส่งออก เพราะมีสารตกค้างอยู่ในระดับที่เกินกว่าประเทศคู่ค้ากำหนด ซึ่งต้องรีบแก้ไขเพราะอาจทำให้ไทยสูญเสียตลาดค้าข้าวที่สำคัญ อย่างจีนเมื่อก่อนนำเข้าข้าวจากไทยประมาณ 5 แสนตันต่อปี ปัจจุบันเหลือเพียง 1 แสนตันต่อปีเท่านั้น โดยหันไปนำเข้าข้าวจากประเทศอื่นมากขึ้น
       
       น.ส.ทัศนีย์ แน่นอุดร หัวหน้าศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีผู้บริโภคร้องเรียนมายังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคให้หาข้อเท็จจริง จากกระแสข่าวเรื่องความไม่ปลอดภัยของข้าวสารบรรจุถุงทางสื่อต่างๆ เพราะมีผู้บริโภคบางส่วนยังไม่เชื่อข้อมูลจากภาครัฐ จึงอยากให้มีข้อมูลการตรวจสอบจากภาคประชาชนด้วย ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อจึงร่วมกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (ไทยแพน) และมูลนิธิชีววิถี เก็บตัวอย่างข้าวถุงที่มีการจำหน่าย ระหว่างวันที่ 19-27 มิ.ย.2556 ทุกยี่ห้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตและห้างโมเดิร์นเทรด ทั้งค้าปลีกและค้าส่ง 6 แห่ง ได้แก่ เทสโก้โลตัส บิ๊กซี แม็คโคร ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ฟู้ดแลนด์ ซูเปอร์มาร์เก็ต โฮมเฟรชมาร์ท และร้านสะดวกซื้อ 1 แห่งคือ เซเวนอีเลฟเวน ได้ข้าวถุงรวม 36 ยี่ห้อ จำนวน 46 ตัวอย่าง แบ่งเป็นข้าวหอมมะลิ 100% จำนวน 15 ตัวอย่าง และข้าวขาวกับข้าวหอมอื่นๆ อีก 31 ตัวอย่าง โดยส่งตรวจคุณภาพข้าวสารถุงที่จำหน่ายในท้องตลาดใน 5 ด้านคือ 1.การตรวจคุณภาพข้าวสารถุง ตามมาตรฐานข้าวสาร กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ 2.สารเคมีทางการเกษตร ยาฆ่าแมลง 2 กลุ่ม ได้แก่ ออร์กาโนฟอสเฟตและคาร์บาเมต 3.ยากันรา 4.สารรมควันข้าวเมทิลโบรไมด์ และ 5.สารพิษจากเชื้อรา อะฟลาทอกซิน

       

ภาพจากเว็บไซต์ฉลาดซื้อ http://www.chaladsue.com/index.php/component/content/article/96-PR/1577-rice.html
       

ภาพจากเว็บไซต์ฉลาดซื้อ http://www.chaladsue.com/index.php/component/content/article/96-PR/1577-rice.html
       

ภาพจากเว็บไซต์ฉลาดซื้อ http://www.chaladsue.com/index.php/component/content/article/96-PR/1577-rice.html
       

ภาพจากเว็บไซต์ฉลาดซื้อ http://www.chaladsue.com/index.php/component/content/article/96-PR/1577-rice.html       




       





คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #146 เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2013, 06:27:30 am »
2 มูลนิธิคอนเฟิร์ม ผลทดสอบข้าว พบ 34 ยี่ห้อมีสารตกค้าง
-http://hilight.kapook.com/view/88662-




















เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก thaipan.org

            2 มูลนิธิคอนเฟิร์มผลทดสอบข้าว พบ 34 ยี่ห้อ มีสารตกค้าง จากการสุ่มตรวจ 46 ยี่ห้อ ขัดกับข้อมูล อย.-กรมวิทยาศาสตร์ฯ ชี้แถลงข่าวเพื่อความปลอดภัยผู้บริโภค

            วันนี้ (16 กรกฎาคม 2556) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ร่วมกับมูลนิธิชีววิถี แถลงผลการเก็บตัวอย่างข้าวถุงจากการสุ่มตรวจเพื่อดูมาตรฐาน จากการเก็บตัวอย่างทั้งหมด 46 ยี่ห้อ พบว่ามี 12 ยี่ห้อ หรือคิดเป็นร้อยละ 26.1 ไม่พบการตกค้างของสารทุกกลุ่มประเภท ขณะที่มีข้าวถุงมากถึง 34 ยี่ห้อ หรือคิดเป็นร้อยละ 73.9 มีการตกค้างของสารเมทิลโบรไมด์ ซึ่งเป็นสารที่ใช้ในการรมควันข้าว โดยมีค่าในหลายระดับตั้งแต่ระดับน้อยที่สุดจนถึงเกินค่ามาตรฐานระหว่างประเทศ คือ 0.9-67 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งในจำนวนนี้พบว่า ข้าวสารยี่ห้อ โค-โค่-ข้าวขาวพิมพา มีระดับสารตกค้าง 67.4 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และยังพบอีกว่ามีเพียง 5 ตัวอย่าง ที่ไม่มีสารตกค้างเกินค่ามาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ เพราะพบสารตกค้างสูงกว่า 25 มิลลิกรัม/กิโลกรัม แต่ไม่เกิน 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ได้แก่

            1. ข้าวแสนดี ข้าวหอม พบสารตกค้าง 41 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            2. ข้าวตราดอกบัว ข้าวเสาไห้ พบสารตกค้าง 29.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            3. ข้าวตราดอกบัว ข้าวตาแห้ง พบสารตกค้าง 28.9 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            4. ข้าวสุรินทิพย์ ข้าวหอมมะลิ พบสารตกค้าง 27.6 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            5. ข้าวถูกใจ ข้าวขาว พบสารตกค้าง 27.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม





สำหรับข้าวถุงจำนวน 12 ตัวอย่างที่ไม่พบการตกค้างของสารเคมีทางการเกษตรชนิดใด ๆ ได้แก่

            1. ลายกนก ข้าวหอมมะลิแท้ 100%
            2. ข้าวพันดี ข้าวขาว 100% ชั้นดีพิเศษ
            3. ธรรมคัลเจอร์ ข้าวหอมคุณภาพคัดพิเศษ
            4. รุ้งทิพย์ ข้าวขาวเสาไห้
            5. บัวทิพย์ ข้าวหอม
            6. ตราฉัตร ข้าวขาว 15%
            7. ข้าวมหานคร ข้าวขาวคัดพิเศษ
            8. สุพรรณหงส์ ข้าวหอมสุรินทร์
            9. เอโร่ ข้าวขาว 100%
            10. ข้าวแสนดี ข้าวหอมทิพย์
            11. โฮมเฟรชมาร์ท จัสมิน ข้าวหอมมะลิ 100%
            12. ชามทอง ข้าวขาวหอมมะลิ 100%

ข้าวถุงที่มีสารตกค้างในจำนวนน้อยมาก ได้แก่

            1. ช้างเผือก-ข้าวเสาไห้
            2. cooking for fun-ข้าวหอมมะลิ
            3. ข้าวเบญจรงค์-ข้าวหอมมะลิ
            4. ข้าวหอมมะลิแปดริ้ว-ข้าวหอมมะลิ
            5. แฮปปี้บาท-ข้าวขาว
            6. เทสโก ตราคุ้มค่า-ข้าวหอม
            7. อคส.-ข้าวหอมมะลิ

ส่วนข้าวถุงที่มีการตกค้างของสารเมทิลโบรไมด์ ได้แก่

            1. โค-โค่-ข้าวขาวพิมพา ระดับสารตกค้าง 67.4 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            2. ข้าวแสนดี-ข้าวหอม ระดับสารตกค้าง 41 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            3. ตราดอกบัว-เสาไห้ ระดับสารตกค้าง 29.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            4. ดอกบัว-ขาวตาแห้ง ระดับสารตกค้าง 28.9 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            5. สุรินทิพย์-หอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 27.6 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            6. ถูกใจ-ข้าวขาว ระดับสารตกค้าง 27.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            7. ปิ่นเงิน-ข้าวหอม ระดับสารตกค้าง 21.9 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            8. ดอกบัว-ข้าวหอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 19.7 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            9. มาบุญครอง-ข้าวขาว ระดับสารตกค้าง 19.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            10. เอโร่-ข้าวหอม ระดับสารตกค้าง 10.6 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            11. คุ้มค่า-เสาไห้ ระดับสารตกค้าง 6.7 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            12. ท็อปส์-หอมปทุม ระดับสารตกค้าง 6.2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            13. พนมรุ้ง-ข้าวขาว ระดับสารตกค้าง 5.4 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            14. ไก่แจ้เขียว-หอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 4.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            15. ปทุมทอง-หอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 4.2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            16. ฉัตรอรุณ-หอมผสม ระดับสารตกค้าง 3.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            17. โรงเรียน-หอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 2.7 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            18. ตราฉัตร-หอมผสม ระดับสารตกค้าง 2.4 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            19. บิ๊กซี-หอมปทุม ระดับสารตกค้าง 2.4 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            20. หงษ์ทอง-หอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 2.2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            21. ติ๊กชีโร่-หอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 1.7 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            22. ฉัตรทอง-หอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 1.6 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            23. ตราเกษตร-ข้าวขาวหอม ระดับสารตกค้าง 1.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            24. ท็อปส์-หอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 1.3 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            25. ข้าวแสนดี-ข้าวขาว ระดับสารตกค้าง 1.2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            26. ชาวนาไทย-เสาไห้ ระดับสารตกค้าง 0.98 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            27. ข้าวอิ่มทิพย์-ข้าวขาว ระดับสารตกค้าง 0.93 มิลลิกรัม/กิโลกรัม

            โดย น.ส.สารี ระบุว่า การแถลงข่าวในครั้งนี้เพื่อเป็นการเปิดเผยข้อมูลผลการทดลองที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และเพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคในการที่จะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอในการบริโภค รวมถึงสิทธิในการเลือกซื้อสินค้า โดยเฉพาะในเรื่องของการตรวจสอบสารเคมีในข้าวสารบรรจุถุง ในกลุ่มยาฆ่าแมลงชนิดกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต และคาร์บาเมต รวมถึงสารที่เป็นยากันเชื้อรา และสารรมควันข้าวเมทิลโบรไมด์



 ทั้งนี้ น.ส.สารี กล่าวย้ำด้วยว่า ก่อนหน้านี้แม้จะมีหน่วยงานของรัฐบาล อาทิ คณะกรรมการอาหารและยา รวมถึงกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ออกมาแถลงข่าวยืนยันในเรื่องของความปลอดภัยของข้าวสารถุงแล้ว แต่ขณะนี้จากการตรวจสอบของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ร่วมกับมูลนิธิชีววิถี พบว่ายังมีข้อมูลที่แตกต่างกัน ฉะนั้นจึงต้องการย้ำชัดเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

            ขณะที่ทางด้าน นายวิฑูรณ์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี ได้กล่าวถึงเรื่องค่ามาตรฐานของ codex ว่า จากการตรวจสอบสารรมควันเมทิลโบร์ไมด์ พบว่า มีข้าวสารบรรจุถุง จำนวน 13 ตัวอย่างที่มีการตกค้างของเมทิลโบร์ไมด์ในข้าวเกิน 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานของ codex ของประเทศจีน ที่กำหนดปริมาณการตกค้างของเมทิลโบร์ไมด์ในข้าวต้องไม่เกิน 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และถ้าหากยังไม่มีการปรับปรุงในเรื่องนี้ เชื่อได้ว่า อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวของประเทศไทยได้ เพราะประเทศจีน คือ คู่ค้าข้าวรายสำคัญของประเทศไทย จึงอยากเสนอให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตรวจสอบโรงสี และผู้ประกอบการเพื่อหาสาเหตุของการตกค้างของสารรมควันข้าวเมทิลโบรไมด์ในข้าว ว่ามาจากสาเหตุใดกันแน่ พร้อมทั้ง กำหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานการปนเปื้อนของสารเคมี เพื่อยกระดับคุณภาพของข้าวไทยให้มากขึ้น เพราะเรื่องนี้นอกจากจะกระทบเรื่องการส่งออกแล้ว ก็ยังอาจกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภคอีกด้วย

            นอกจากนี้ นางสาวสารี อ๋องสมหวัง ได้ยื่นขอเสนอแนะแก่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

            1. ขอให้รัฐบาลเร่งผลักดันให้มีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อให้องค์การนี้เป็นตัวแทนของผู้บริโภคในการดำเนินการตรวจสอบสินค้า หรือบริการต่าง ๆ

            2. ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของภาครัฐ และภาคเอกชน ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพข้าว เปิดเผยผลการตรวจสอบคุณภาพข้าวให้ประชาชนได้รับทราบ

            3. ขอให้มีการสร้างระบบตรวจสอบคุณภาพข้าวอย่างเป็นระบบ โดยระบบนี้ควรเกิดจากความส่วมมือของหลาย ๆ ภาคส่วน เพื่อให้ข้อมูลที่ได้ตรวจสอบครอบคลุมและครบถ้วนทุกด้าน นอกจากนี้ อยากให้ดำเนินการสุ่มตรวจตัวอย่างข้าวเป็นระยะ เพื่อให้เกิดการปรับปรุง และพัฒนาคุณภาพข้าวไทย

.


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #147 เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2013, 10:43:34 pm »

โทษของการกินน้ำตาลมากเกินไป

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B/-

การกินน้ำตาลเป็นการให้พลังงานแก่ร่ายกาย แต่ถ้ากินมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ วันนี้ก็มีเคล็บลับดีๆ มาฝากกันจร้า

1. เมื่อกินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆ ภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล

2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง

3. หากยังกินน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่น ๆ เช่นหัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อย ๆ ถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น

4. การกินน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงนอน

5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการกินน้ำตาลมากเกินไป

6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่มีสูงขึ้น เพราะเชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร

7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย สมาธิสั้น

ถ้าอยากมีสุขภาพดี ก็ควรกินน้ำตาลแต่พอประมาณจะดีกว่า



ที่มาข้อมูล vajira.ac.th

http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B/
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #148 เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2013, 11:06:21 pm »
มะเขือพวง - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 17 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/219426-





คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้วิจัยเรื่องสรรพคุณ ของมะเขือพวงพบว่า  มีฤทธิ์ช่วยลดอนุมูลอิสระ  ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ของผู้ป่วยเบาหวาน   มีเส้นใยที่ช่วยดูดซับไขมันส่วนเกินได้ดี นอกจากนี้มะเขือพวงยังมีสรรพคุณตามตำราแพทย์แผนโบราณหลายประการ  เช่น  ช่วยเจริญอาหาร  ช่วยระบบขับถ่าย บำรุงธาตุ  ขับเสมหะ แก้ไอ ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนได้ดี  แก้ปวด  ฟกซ้ำ  ปวดกระเพาะ แก้อาการฝีบวมหนอง  อาการบวม  อักเสบ  ขับปัสสาวะ  ทั้งนี้  จากการศึกษาวิจัย  ทำให้พบว่ามะเขือพวงมีสารจำพวก “ไฟโตนิวเทียนท์” ที่จะช่วยร่างกาย ในสภาวะขาดสารอาหาร ให้สามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติมีกลุ่มสาร “ทอร์โวไซด์” ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ และกระตุ้นให้ตับนำคอเลสเตอรอลในเลือดไปใช้ได้มากขึ้น  รวมทั้งยับยั้งการดูดซึมกลับของคอเลสเตอรอลในลำไส้  จึงอาจช่วยป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้อีกทางหนึ่งมีสาร “ซาโปนิน”  มีฤทธิ์ขับเสมหะเป็นพืชที่มีเส้นใยมาก เมื่อเทียบกับผักพื้นบ้านของไทยทั้งหมด โดยมีเส้นใยมากกว่ามะเขือยาว 3 เท่า และมากกว่ามะเขือเปราะถึง  65 เท่า  เส้นใยในมะเขือพวง  มีชื่อเรียกว่า “เพกติน”  ซึ่งเป็นสารที่ละลายน้ำได้

สารนี้จะสามารถเปลี่ยนเป็นวุ้นไปเคลือบที่ผิวของลำไส้  ทำให้ลำไส้ดูดซึมแป้งและน้ำตาลที่ย่อยแล้วได้ช้าลง จึงเป็นการช่วยไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเร็วเกินไป  ทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้.



แก้วมังกร - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/219194-





แก้วมังกรเป็นผลไม้เสริมสุขภาพมีกากใยสูงให้แคลอรีต่ำอุดมไปด้วยวิตามินซี แมกนีเซียมและแคลเซียม เมล็ดสีดำเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทั่วไปในผลแก้วมังกรอุดมไปด้วยไขมัน ที่ไม่อิ่มตัวซึ่งช่วยต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ช่วยดูดซับน้ำในร่างกาย ควบคุมระดับกลูโคสในคนที่เป็นโรคเบาหวาน  (ชนิดไม่พึ่งอินซูลิน)ได้ บรรเทาโรคโลหิตจาง ช่วยเพิ่มธาตุเหล็กให้แก่ร่างกาย มีสรรพคุณในการป้องกันโรคหัวใจ มะเร็งลำไส้และต่อมลูกหมาก เบาหวาน ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของกระดูกและฟัน

ต้นแก้วมังกรที่ปลูกในประเทศไทยส่วนมากมาจากการใช้กิ่งปัก ปลูกประมาณ 8-10 เดือนจะเริ่มออกดอกและให้ผลผลิต โดยมี 4 รุ่นใน 1 ปี เป็นพืชที่ดูแลรักษาง่าย ใช้ฟาง เศษหญ้าแห้งหรือแกลบเป็นวัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้นเพื่อช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นของดิน ใส่ปุ๋ยคอกหลักละ 1 บุ้งกี๋เว้นระยะ 2-3 เดือนต่อครั้ง.



.


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #149 เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2013, 11:11:45 pm »
ถั่งเช่าหลบไป ยาโด๊ปไทยๆ สมุนไพรช่วยได้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 กรกฎาคม 2556 16:42 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000087133-


กระชายดำ


       หลายวันมานี้ “108 เคล็ดกิน” ได้ยินแต่ชื่อ “ถั่งเช่า” ตอนแรกก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะไม่ได้เปิดฟังคลิปปริศนาอันโด่งดัง พอมาเสิร์ชหาข้อมูลจึงได้ถึงบางอ้อว่า เจ้าถั่งเช่าก็คือสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง ที่มีสรรพคุณในการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศนั่นเอง
       
       อ่านมาถึงขั้นนี้แล้ว หลายๆ คน (โดยเฉพาะคุณผู้ชาย) อาจจะทำตาโต แล้วถามกันใหญ่ว่าจะหาถั่งเช่าได้ที่ไหน ขอบอกเลยว่าถั่งเช่านี่พบในแถบที่ราบสูงทิเบต และเนื่องจากว่าหาได้ยากจึงมีราคาสูงลิบลิ่ว ที่สำคัญ ในเมืองไทยนั้นไม่มี ถึงจะมีนำเข้ามาขายก็ราคาสูงมากกก..
       
       แต่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปนัก เพราะ “108 เคล็ดกิน” อยากจะบอกว่า สมุนไพรไทยๆ ของเราก็ออกฤทธิ์ที่ดีไม่ต่างกัน มีสมุนไพรหลากหลายอย่างที่มีสรรพคุณช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ อย่างแรกก็คือ กระชายดำ ที่มีสรรพคุณช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากกระชายดำมีฤทธิ์ทำให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น
       
       นอกจากนี้ กระชายดำยังช่วยบำรุงกำลัง กระตุ้นประสาท ทำให้กระชุ่มกระชวย แก้ปวดเมือน เหนื่อยหอบ แก้ใจสั่นหวิว ขับปัสสาวะ และยังเป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยชะลอความแก่อีกด้วย
       
       มาต่อกันด้วยสมุนไพรอีกชนิดหนึ่ง กวาวเครือ ที่เป็นสมุนไพรยอดฮิตอยู่ในช่วงหนึ่ง โดยกวาวเครือนั้นจะแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ตำรายาหัวกวาวเครือของหลวงอนุสารสุนทร คือ กวาวเครือขาว กวาวเครือแดง กวาวเครือดำ และกวาวเครือมอ
       
       สรรพคุณของกวาวเครือนั้น ต้องถือว่าเป็นยาอายุวัฒนะสำหรับผู้สูงอายุทั้งหญิงและชาย ช่วยให้มีความกระชุ่มกระชวย ทำให้ผิวหนังดูมีน้ำมีนวล ช่วยเสริมอก กระตุ้นเต้านมให้ขยายตัว โดยเฉพาะในกวาวเครือขาว ช่วยบำรุงโลหิต บำรุงประสาทและสมอง
       
       แต่กวาวเครือนั้นก็ยังมีข้อห้ามในการใช้เป็นยาอยู่เช่นกัน โดยแพทย์พื้นบ้านจะแนะนำว่า ในคนหนุ่มสาวห้ามกินกวาวเครือ และไม่ควรกินกวาวเครือมากหรือต่อเนื่องกันนานเกินไป เพราะจะทำให้เต้านมโตเกินไป เต้านมแข็งเป็นก้อน จนอาจกลายเป็นมะเร็งได้ ส่วนในผู้ชายถ้ากินมากเกินไปจากทำให้เยื่อหุ้มอัณฑะหนาตัวขึ้น และนำไปสู่การเป็นมะเร็งที่อัณฑะได้ นอกจากนี้ ยังมีข้อควรระวังคือ กวาวเครือทุกชนิดจะมีพิษทำให้เบื่อเมาได้ โดยเฉพาะในกวาวเครือแดงจะมีพิษมากที่สุด ซึ่งการนำมาทำเป็นยาจะต้องนำมาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นร่วมด้วย
       
       ล่าสุด ยังมีการวิจัยพบอีกว่า เมล็ดหมามุ่ย ก็มีฤทธิ์ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้เช่นกัน โดยการนำเมล็ดหมามุ่ยมาคั่วแล้วบดให้ละเอียด ชงผสมกับน้ำดื่มในช่วงเวลาเย็น แต่ก็ยังมีข้อสังเกตว่า เมล็ดหมามุ่ยที่มีสารเพิ่มสมรรถภาพทางเพศนั้นเป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากประเทศจีนและอินเดีย ส่วนหมามุ่ยในประเทศไทยนั้นเป็นคนละสปีชีส์กัน ฉะนั้นยังต้องศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน และระวังว่าอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นหรือไม่
       
       สำหรับสมุนไพรที่ช่วยเรื่องสมรรถภาพทางเพศนั้น ใครใคร่จะทดลองกินก็ควรจะศึกษาข้อมูลการใช้ วิธีการกิน และผลข้างเคียงอื่นๆ ด้วย แต่ที่ดีที่สุดก็คือ การทำสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ จะได้มีชีวิตอยู่ทำอะไรต่อมิอะไรได้อีกเยอะ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)