ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129498 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #150 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2013, 10:43:34 pm »
“ฟักข้าว” ผักพื้นบ้าน สรรพคุณเยี่ยม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 กรกฎาคม 2556 16:43 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000088241-



ไปกิน “ฟักข้าว” กัน!!
       
       หลายคนยังทำหน้างงๆ อยู่เพราะอาจจะยังไม่รู้จักว่าฟักข้าวนั้นคืออะไร มีประโยชน์อะไรบ้าง “108 เคล็ดกิน” ก็เลยจะมาบอกสรรพคุณอันเยี่ยมยอดของ “ฟักข้าว” พืชผักพื้นบ้านของเราว่ามีดีอะไรบ้าง
       
       ก่อนอื่นมาพูดถึงเรื่องหน้าตาของฟักข้าวว่าเป็นอย่างไร ใครที่เคยไปเดินตลาดแล้วสังเกตเห็นผักที่ลักษณะเป็นผลทรงกลมๆ หรือรีๆ มีตุ่มแหลมๆ อยู่ทั่วทั้งผล มีทั้งแบบสีเขียวอ่อนที่ยังเป็นผลอ่อน และผลที่สุกแล้วเป็นสีแดง หรือแดงอมส้ม นั่นแหละ “ฟักข้าว” ที่เรากำลังพูดถึงกัน
       
       สำหรับฟักข้าวนั้นเป็นผักพื้นบ้านที่คนไทยกินกันมานานแล้ว กินกันตั้งแต่ยอดอ่อนของฟักข้าว นำมาลวกจิ้มน้ำพริก ผัด ต้ม หรือแกง ก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น ส่วนผลอ่อนนั้นก็นำมาต้มจิ้มน้ำพริก หรือจะใส่แกงต่างๆ ก็ได้ เพราะเนื้อของฟักข้าวผลอ่อนนั้นละม้ายกับเนื้อมะละกอดิบ แต่เนียนและแน่นกว่า
       
       ซึ่งใบของฟักข้าวตามตำราแพทย์แผนไทยก็มีสรรพคุณแก้ไข้ตัวร้อน ถอนพิษอักเสบ เนื่องจากเป็นผักรสขมเย็น และยังสามารถนำมาตำแล้วพอกแก้ปวดหลัง แก้ฝี แก้พิษ ส่วนผลอ่อนและใบอ่อนของฟักข้าวก็มีการวิจัยออกมาแล้วว่ามีสารที่ช่วยยับยั้งน้ำตาลในเลือด ยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีน ทำให้ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้นั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังมีทั้งวิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็ก และไฟเบอร์อีกด้วย
       
       และสารอาหารที่พบมากในฟักข้าวก็คือ เบต้าแคโรทีน ซึ่งพบอยู่ที่เยื่อเมล็ดของฟักข้าว โดยมีเบต้าแคโรทีนสูงกว่าในแครอทถึง 10 เท่า
       
       ส่วนผลสุกของฟักข้าว หากผ่าเข้าไปดูภายในแล้วจะพบกับเมล็ดของฟักข้าวที่เรียงตัวกันและมีเยื่อหุ้มเป็นสีแดง ตามตำราแพทย์แผนไทย เมล็ดฟักข้าวจะมีรสมันเมาเย็น หากกินเมล็ดดิบๆ จะมีพิษ ต้องนำไปทำให้สุกก่อน อาจจะนำไปคั่วก็ได้ กินแล้วช่วยบำรุงปอด แก้ฝีในปอด แก้ไอ ขับปัสสาวะ แก้ท่อน้ำดีอุดตัน
       
       การศึกษาวิจัยในปัจจุบัน ก็พบสารไลโคปีนในเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าว ที่มีมากกว่าในมะเขือเทศ เป็นสารต้านมะเร็ง มีฤทธิ์ด้านอนุมูนอิสระสูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และที่มหาวิทยาลัยมหิดล ก็ได้วิจัยพบโปรตีนในเมล็ดฟักข้าวที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อเอชไอวี และยับยั้งเซลล์มะเร็ง
       
       และสำหรับคนที่รักสุขภาพ ปัจจุบันก็มีการนำฟักข้าวมาทำเป็น “น้ำฟักข้าว” ซึ่งวิธีการทำก็ไม่ยากนัก เริ่มจากการเลือกใช้ผลฟักข้าวที่สุกแล้ว นำมาปอกเอาเปลือกออก แยกเนื้อฟักข้าวไว้ก่อน ส่วนเมล็ดนั้นจะมีเยื่อหุ้มสีแดงหุ้มอยู่ ให้นำไปขยำกับน้ำเพื่อแยกเอาแต่เยื่อหุ้มเมล็ดมาใช้ จากนั้นนำเยื่อหุ้มเมล็ดที่ได้กับเนื้อฟักข้าวมาปั่นรวมกันให้ละเอียด
       
       จากนั้นนำเนื้อและเยื่อหุ้มเมล็ดที่ปั่นแล้วมาผสมกับน้ำแล้วนำไปตั้งไฟ เคี่ยวด้วยไฟปานกลาง ประมาณ 15-20 นาที ระหว่างนั้นก็ลองชิมแล้วปรุงรสเพิ่มเติมตามชอบด้วยเกลือ น้ำตาล หรืออาจะใส่น้ำมะขามหรือน้ำเสาวรสเพิ่มความเปรี้ยวเล็กน้อย เมื่อเสร็จแล้วสามารถดื่มน้ำฟักข้าวได้ทั้งตอนที่ยังอุ่นอยู่ หรือจะแช่ให้เย็นแล้วค่อยดื่มเพิ่มความสดชื่นก็ได้


http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000088241

.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #151 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2013, 10:48:49 pm »
ปลาดอรี่ ที่โด่งดังไปทั่วโลกที่จริงคือ ปลาสวายเวียดนาม
-http://world.kapook.com/pin/51e8be6738217a5348000000-


GLOBAL 3000 | A Fish Named Pangasius

GLOBAL 3000 | A Fish Named Pangasius

GLOBAL 3000 | A Fish Named Pangasius

-http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=bXGAgYw4JZk-

คลิปนี้เป็นความจริงชวนอึ้ง ของ "ปลาดอรี่" ปลาเนื้อนุ่ม ที่ใครหลายๆ คนยกให้เป็นอาหารจานโปรด ในเมนูปลา ด้วยมันถูกเรียกว่า ปลาดอลี่ ชื่อก็ออกจะฝรั่งจ๋าขนาดนี้ ทำให้คนต่างเข้าใจผิดกันไปว่า มันเป็นปลาจากฝั่งตะวันตก ซึ่งจริงๆ แล้วนั้น ปลาดอรี่ ที่เรากินกันอยู่ตามร้านอาหารนั้น เป็น ปลาสวายเวียดนาม หรือ ปลา Cream Dory เอง ไม่ใช่ว่า ปลาดอรี่ ต้นตำรับของจริงที่ชื่อ จอห์น ดอลี่ (John Dory) แต่อย่างใด ส่วนทำไมคนถึงเข้าใจผิดกันไปยกใหญ่ขนาดนี้ นั่นก็เพราะว่า ชื่อปลาภาษาอังกฤษ มันมีคำว่า ดอรี่ เหมือนกัน ซ้ำร้ายพอนำเข้ามาจากเวียดนาม ไม่มีการระบุในฉลากสินค้าว่า เป็นปลาสวายด้วย ซึ่งผิดกับต่างประเทศ ที่มีการระบุชัดเจนว่ามันคือ ปลาสวาย นั่นเอง


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #152 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2013, 11:05:26 pm »
ปลาดอลลี่....พี่ไทยโดนต้มจนสุก
-http://www.yclsakhon.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539377083-

 ปลาดอลลี่.......พี่ไทยโดนต้มจนสุก ขึ้นโต๊ะจีนราคาแพงๆที่แท้ "ปลาสวายธรรมดา" จากเวียดนาม....อย่างไรก็ตามจะไปโทษเอกชนผู้ขายก็ไม่ได้เพราะเขาเขียนชื่อการค้าเป็นภาษาอังกฤษ Pangasius Fillet แถมมีชื่อวิทยาศาสตร์ชัดเจนว่าเป็นปลา Pangasius Hypophthalmus



ผู้ขายระบุชื่อว่าเป็น "ปลาดอร์ลี่แล่" กำกับภาษาอังกฤษว่า Pangasius Fillet (Pangasius Hypophthalmus) เป็นการให้ข้อมูล "ถูกต้องแต่ไม่ครบถ้วน" อาจสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นปลาทะเล หรือปลาชนิดใหม่ เพราะผู้บริโภคทั่วๆไปไม่ได้จบการศึกษาวิชา Fisheries หรือ Zoology แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสิ้นค้าชนิดเดียวกันที่อเมริกา (ภาพข้างล่าง) เขาระบุรายละเอียดชัดเจนว่าเป็นปลาเลี้ยงจากฟาร์มในประเทศเวียดนาม ใช้ชื่อการค้าว่า Swai เพื่อให้ผู้บริโภคชาวมะกันทั่วๆไปได้ทราบ

จริงๆแล้วคนขายเขาก็ไม่ได้หลอกเพราะเขียนภาษาอังกฤษ พร้อมกำกับด้วยศัพท์วิทยาศาสตร์ไว้เห็นชัดๆว่า Pangasius hypophthalmus แต่ผู้บริโภคทั่วไปไม่ทราบว่านี่คือ "ปลาสวายธรรมดา" ในฐานะที่ผมเรียนจบปริญญาวิทยาศาสตร์สาขาเกษตร และทำงานด้านนี้มา 35 ปี จนเกษียณอายุราชการในตำแหน่งเกษตรและสหกรณ์จังหวัดสกลนคร และเมื่อครั้งที่เป็นเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครพนม ระหว่างปี 2545 - 2550 ก็คุ้นเคยกับโครงการส่งเสริมเลี้ยงปลาชนิดเดียวกันนี้ที่แม่น้ำโขง โดยใช้งบประมาณยุทธศาสตร์จังหวัด หรือเรียกเล่นๆในสมัยนั้นว่างบผู้ว่าราชการจังหวัด ซีอีโอ

         ด้วยความที่ผมถูกสอนมาตลอดอายุราชการให้ทำหน้าที่รับใช้พี่น้องประชาชน จึงจำเป็นต้องเอาข้อมูลที่เป็นจริงมาเผยแพร่ให้เราๆท่านๆได้รับทราบ ถือว่าเป็นการตอบแทนและขอบคุณสังคมไทยที่ผมเคยได้รับทุนรัฐบาลที่มาจากภาษีของพี่น้องร่วมชาติ ไปฝึกอบรมและดูงานในต่างประเทศหลายครั้ง อีกทั้งบำนาญที่ได้รับอยู่ทุกวันนี้ก็มาจากภาษีของท่านทั้งหลาย



ผมซื้อปลาที่ว่านี้ในห้าง WalMart ที่อเมริกา เขาใช้ชื่อการค้าตรงไปตรงมาว่า Swai มีชื่อวิทยาศาสตร์กำกับว่า Pangasius Hypopthalmus และระบุชัดเจนว่าเป็น "ปลาเลี้ยงจากฟาร์ม" (Farm Raised) และส่งมาจากเวียดนาม (Product of Vietnam) เพื่อให้ผู้บริโภครู้ข้อมูลที่แท้จริง



ปลานิลแล่เนื้อขายในห้าง WalMart ที่อเมริกา ต้องระบุว่า "เป็นปลาที่เลี้ยงจากฟาร์ม"



ขณะเดียวกันปลานิลตัวนี้ก็ต้องระบุว่าเป็นผลผลิตจากการเลี้ยงในฟาร์ม (Farm Raised) ประเทศชิลี



ถ้าเป็นปลาแซลม่อนที่จับมาจากทะเลก็ต้องระบุว่า "จับจากธรรมชาติ" (Wild Caught)



เปรียบเทียบระหว่างปลาดอร์ลี่ ฟีเลย์ (John Dory Fillets) ของฝรั่ง กับปลาดอร์ลี่แบบไทยๆ 

คนไทยโดยทั่วไปรังเกียจปลาสวายเพราะเนื้อเหลืองไม่น่ากิน แต่พอไปเห็นปลาที่ใช้ชื่อว่า "ดอลลี่" เนื้อออกสีขาวอมชมพู ดูสวยงามน่ากิน ก็ยอมจ่ายเงินราคาแพงๆเพราะคิดว่านี่แหละของดี

ผมเคยไปดูงานที่เมือง Can Tho ประเทศเวียดนาม ในคราวประชุม 17th Annual Meeting of MRC Fisheries Program 25-26 November 2010 มีผู้เชี่ยวชาญด้าประมงจากหลายประเทศไปประชุมกัน ฝ่ายไทยก็มีผู้เชี่ยวชาญจากกรมประมง และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทุกคนยืนยันนั่งยันว่าที่เขาเลี้ยงในบ่อดินริมแม่น้ำ และเข้าโรงงานแร่เป็นชิ้นเนื้อสีขาวอมชมพู คือ "ปลาสวายธรรมดา" ชื่อวิทยาศาสตร์ Pangasius Hypophthalmus แต่พี่น้องชาวเวียดนามมีวิธีทำให้ปลาสวายมีเนื้อสีขาวด้วยเทคนิค 2 ข้อ คือ

1.เลือกอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดสีเหลืองเข้าไปแทรกในใขมัน เช่น อย่าให้มีอาหารที่เป็นข้าวโพด และเนื่องจากเมืองนี้อยู่ใกล้ปากแม่น้ำ (ใกล้ทะเล) จึงมีสามารถหาซื้ออาหารโปรตีนจำพวกปลาป่นราคาถูกๆ 

2.มีการถ่ายเทน้ำให้สะอาดอยู่ตลอดเวลา พวกเขาโชคดีที่เมืองนี้อยู่ใกล้ทะเลทำให้มีน้ำขึ้นและน้ำลง จึงสามารถถ่ายน้ำเข้าและออกจากบ่อดินได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำให้สิ้นเปลืองพลังงาน



ด้วยเหตุผลที่ว่าทำให้ปลาสวายธรรมดามีเนื้อสีขาวอมชมพู ในต้นทุนที่ต่ำ สามารถส่งออกตีตลาดได้ทั่วโลก เฉพาะตลาดอเมริกาแห่งเดียวพี่แกก็รับทรัพย์ไปแบบเต็มๆ 



อาหารที่ใช้เป็นวัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่นราคาถูกๆ แรงงานก็ราคาถูก ไม่ใช่ 300 บาทเหมือนบ้านเรา



บ่อดินที่ใช้เลี้ยงปลาสวายก็ติดกับแม่น้ำโขง ทำให้สามารถถ่ายน้ำเข้าออกได้ตลอดเวลา เพราะมีน้ำขึ้นน้ำลงทุกวัน



ภาพนี้ผมถ่ายด้วยตนเอง แสดงให้เห็นว่าบ่อเลี้ยงปลาสวายอยู่ติดแม่น้ำโขง สามารถระบายน้ำเข้าออกได้ตลอดเวลาโดยอาศัยน้ำขึ้นน้ำลง (ไม่ต้องใช้พลังงานเครื่องสูบน้ำ) ทำให้บ่อสะอาด



ผมถ่ายภาพขณะนั่งรถยนต์มองเห็นชัดเจนว่าบ่อเลี้ยงปลาที่ "เมืองเกิ่นเถอ" ประเทศเวียดนามอยู่ติดแม่น้ำโขง

 


เมือง Can Tho (เกิ่น เถอ) อยู่ใกล้ทะเลจึงหาอาหารปลาได้ในราคาถูก แถมยังมีน้ำขึ้นน้ำลงช่วยให้ถ่ายน้ำเข้าออกจากบ่อเลี้ยงปลาได้อย่างสบายๆ





อุตสาหกรรมของเขาครบวงจรตั้งแต่เพาะลูกปลา เลี้ยงให้โต และแปรรูปเป็นเนื้อชิ้นที่สวยงาม และส่งออก



ผมไปร่วมประชุม MRC Fisheries Programme ที่เมือง Can Tho Vietnam ได้สัมผัสกับวิธีการเลี้ยงปลาสวายให้มีเนื้อสีขาวอมชมพู เกษตรกรที่นั่นขายปลาสวายที่ปากบ่อได้ราคากิโลกรัมละ 1 USD ก็ดีใจแล้ว เพราะต้นทุนเขาต่ำเมื่อเทียบกับประเทศไทยทั้งค่าอาหาร และค่าแรงงาน



บรรยากาศในห้องประชุม



ดูกันชัดๆว่านี่คือ "ปลาสวายธรรมดา" แต่เวียดนามเขาสามารถเลี้ยงให้มีเนื้อสีขาวอมชมพู ผมถ่ายภาพนี้กับมือตัวเองที่ร้านอาหารริมแม่น้ำโขงที่เมือง Can Tho ประเทศเวียดนาม



ทำอาหารต้มยำอร่อยมาก ภาษาเวียดนามพูดว่า "อันก้า งอนหลำ"

จากปลาสวายธรรมดากลายเป็นอาหารชั้นดี ดูไฮโซ ขึ้นเหลา ขึ้นโต๊ะอาหารฝรั่ง

พ่อค้าไทยบางกลุ่มหัวใสครับ สั่งปลาสวายเวียดนามเข้ามาตั้งชื่อใหม่ซะสวยหรูว่า "ดอร์ลี่" คนไทยอย่างเราๆท่านๆเห็นอาหารแบบนี้แล้วน้ำลายไหล ดูน่ากิน แพงเท่าไหร่ก็สู้เพราะเชื่อว่าเป็นปลาชั้นเลิศ













ผมอยู่บ้านในเมืองทัลซ่า รัฐโอคลาโฮม่า สหรัฐอเมริกาไปซื้อปลาสวายที่ห้าง WalMart ราคาไม่แพงเหมือนปลาดอร์ลี่บ้านเรามาทอดให้หลานกิน ที่อเมริกาปลาสวายคือสวาย ไม่มีการแหกตาตั้งชื่อใหม่ๆให้สับสน แถมยังระบุด้วยว่าเจ้านี่คือปลาเลี้ยงในฟาร์มนำเข้่าจากประเทศเวียดนาม







ท่านรองนายกรัฐมนตรี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ปิ้งไอเดียการเลี้ยงปลาสวายเนื้อขาว (โดยคิดว่านั่นคือปลาเผาะ) เลยเอามาส่งเสริมที่จังหวัดนครพนมภายใต้แผนยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัดผู้ว่าซีอีโอ เมื่อปี 2547 - 49 เพื่อการส่งออกไปประเทศสเปนส์

      ยอมรับว่าตอนนั้นพวกเราเข้าใจผิดว่าปลาสวายเนื้อขาวที่พี่น้องชาวเวียดนามเลี้ยงคือ "ปลาเผาะ" (Pangasius bocourti) ซึ่งเป็นปลาธรรมชาติอยู่ในแม่น้ำโขง ปลาชนิดนี้ชาวนครพนมรู้จักดีมีเนื้อสีขาวอมชมพู เพราะจับมากินเป็นอาหารชั้นเลิศ เช่นผัดฉ่า ต้มยำ ขายราคาแพงๆในร้านอาหารดังๆ


      ผมเป็นเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครพนมได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สนับสนุนในนามของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีสถานีประมงน้ำจืดนครพนมเป็นตัวจักรในการผลิตลูกปลาเผาะที่ว่า และสถาบันอาหารของกระทรวงอุตสาหกรรมรับผิดชอบในส่วนการจัดหาอาหารปลาและการตลาด องค์การบริหารส่วนจังหวัดรับผิดชอบส่งเสริมการเลี้ยงในกระชังตามริมแม่น้ำโขง โครงการนี้เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่โดย ฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรีเป็นโต้โผ มีการติดต่อกับฑูตประเทศสเปนส์ให้นำบริษัทเอกชนมาลงนามรับซื้อปลาเผาะอย่างเป็นทางการ มีการนำเอกอัคราชฑูตหลายประเทศมาดูงานที่นครพนม








บรรดาท่านฑูตร่วมกันช้อนปลาเผาะที่เลี้ยงในกระชังอย่างสนุกสนาน 


      แต่พอดำเนินโครงการเข้าจริงๆมารู้ตอนหลังว่า "ขาดทุน" เพราะเหตุผลปลาเผาะโตช้ามากกินอาหารหมดตามโควต้าแล้วก็ยังไม่ได้ขนาด ทำให้เกษตรกรต้องเลิกเลี้ยงไปในที่สุด เพราะราคาของการขายส่งออกต่างประเทศเป็นราคาเชิงอุตสาหกรรมกิโลกรัมละ 50 บาท อีกทั้งการเพาะเลี้ยงให้ออกลูกก็ยากทำให้ได้ลูกปลาน้อยเกินไปที่จะเป็นเชิงอุตสาหกรรม และยิ่งมารู้ตอนหลังว่าที่เวียดนามเขาเลี้ยงกันคือปลาสวายธรรมดา "ไม่ใช่ปลาเผาะอย่างที่เราเข้าใจ" แต่ใช้วิธีบริหารจัดการอาหารและวิธีการถ่ายน้ำในบ่อทำให้มีเนื้อเป็นสีขาวอมชมพู ก็ยิ่งเสียความรู้สึกไปเยอะ


 

ภาพปลาเผาะที่เกษตรกรเลี้ยงในกระชังริมแม่น้ำโขง จังหวัดนครพนม


ทำความรู้จัก "ปลาดอร์ลี่" ตัวจริง กับ ย้อมแมว



ปลาดอร์ลี่ตัวจริงอยู่ในทะเลลึกที่มหาสมุทแอตแลนติก และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เนื้อแน่น น่ากิน มีชื่อเล่นว่า "จอห์น ดอร์ลี่" (John Dory) ชื่อวิทยาศาสตร์ Zenopsis conchifera



ภาพเปรียบเทียบระหว่างปลาดอร์ลี่ ตัวจริงกับ ปลาดอร์ลี่ย้อมแมว



ภาพปลาดอร์ลี่ กับปลาทะเลที่มีชื่อเสียงชนิดต่างๆ









เปรียบเทียบสเต็กปลาดอร์ลี่ตัวจริง รูปร่างกลมๆป้อมๆ กับสเต็กปลาดอร์ลีย้อมแมว รูปร่างยาวๆ (ก็ปลาสวายนี่หว่า) ผู้บริโภคสเต็กถูกแหกตามาตลอดครับพ้ม






 

ปลาดอร์ลี่ตัวจริงเสียงจริงเป็นปลาทะเล ส่วนปลาดอร์ลี่แบบไทยๆคือปลาสวายอยู่ในน้ำจืดเลี้ยงในบ่อตามริมแม่น้ำโขงที่ประเทศเวียดนาม

เป็นยังไงครับเมื่อทราบข้อมูลที่แท้จริงเช่นนี้แล้ว ก็ต้องเริ่มคิดใหม่แล้วครับอย่าให้ถูกต้มถูกหลอกอีกต่อไป.........ความจริงกรมประมงก็ออกข่าวนี้อย่างเป็นทางการแต่สื่อมวลชนยังไม่ค่อยตีข่าวมากนัก

http://www.yclsakhon.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539377083

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #153 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2013, 06:10:45 pm »
"ตักบาตร" คิดถึงพระ(บ้าง) ลดหวาน มัน เค็ม!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 กรกฎาคม 2556 14:33 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000087077-


ร่วมทำบุญตักบาตรในวันเข้าพรรษา


       "วันอาสาฬหบูชา"และ "วันเข้าพรรษา" เป็น 2 วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่พุทธศาสนิกชนต่างให้ความสำคัญกันเป็นจำนวนมาก
       
       และในช่วงวัน 2 วันพระใหญ่นี้ ก็จะมีการทำบุญตักบาตรแด่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งตามความเชื่อของชาวพุทธมักจะทำบุญตักบาตรด้วยสิ่งของหรืออาหารที่ดีที่สุด เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัว



“ข้าวกล้อง” อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ และคุณค่าทางอาหาร


       แต่ในทางกลับกันการทำบุญหรือการถวายอาหาร ที่มีแต่ความน่ากิน และความอร่อย โดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ หรือโทษของอาหารที่นำมาถวายนั้น อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของพระภิกษุสงฆ์ได้
       
       จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ที่สำรวจด้านการเจ็บป่วยของพระสงฆ์ที่มารักษาตัวที่โรงพยาบาลสงฆ์ พบว่า มีพระภิกษุสงฆ์อาพาธด้วยโรคเบาหวาน ร้อยละ 7.17 โรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 7.70 ภาวะไขมันในเลือดสูง ร้อยละ 10.30 และนอกจากนี้แล้วยังพบว่าพระภิกษุสงฆ์ มีภาวะเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ซึ่งภาวะอ้วนและอ้วนลงพุง ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดได้



ถวายผัก-ผลไม้ ช่วยเพิ่มสารอาหารให้ร่างกาย


       ในช่วงเข้าพรรษานี้จึงมีข้อแนะนำดีๆ สำหรับผู้ที่ต้องการทำบุญด้วยการใส่บาตรพระ โดยการหันมาทำบุญตักบาตรด้วยอาหารที่มีประโยชน์ ลด หวาน มัน เค็ม งดอาหารหมักดอง เปลี่ยนเป็นถวายอาหารที่มีกากใยสูง และไขมันต่ำ เช่น ข้าวกล้อง เพราะในข้าวกล้องอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ และคุณค่าทางอาหาร รวมถึงเกลือแร่ต่างๆ ประกอบไปด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ทองแดง เป็นต้น และถ้าหากกินข้าวกล้องเป็นประจำ ก็จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา หรือโรคปากนกกระจอกได้
       
       นอกจากนี้แล้วยังมีอาหารประเภทอื่นที่ควรถวายอีกมากมาย อาทิ ผักและผลไม้สดที่มีรสไม่หวาน หรือปลา เพราะในเนื้อปลาจะมีโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ คาร์โบไฮเดรต และไขมันต่ำกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ หรือถ้าถวายเนื้อสัตว์ก็ไม่ควรให้ติดส่วนมันหรือหนัง และควรมีผัก-ผลไม้สด ในการใส่บาตรด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มประโยชน์แก่ร่างกาย และเพิ่มกากใยอาหารอีกด้วย
       
       สำหรับในวันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษาที่จะถึงนี้ หรือวันพระอื่นๆ หรือการตักบาตรตามปกติทั่วไป รวมไปถึงการถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากแนะนำให้เลือกอาหารที่มีประโยชน์ และลดไขมันไปถวายพระ(บ้าง) เพราะนอกจากจะได้ทำบุญแล้ว ยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆ ให้กับพระภิษุสงฆ์อีกทางหนึ่งด้วย


http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000087077

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #154 เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2013, 09:31:28 am »
ดอกรัก - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/220116-







รักเป็นไม้ดอกต้นสูง 1.5–3 เมตร ทุกส่วนมียางขาวเหมือนน้ำนม ตามกิ่งมีขน ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงกันข้าม รูปรีแกมขอบขนาน ปลายแหลมโคนเว้า กว้าง 6–8 เซนติเมตร ยาว 10–14 เซนติเมตร เนื้อใบหนา ใต้ใบมีขนนุ่ม ก้านสั้น ดอกสีขาวหรือสีม่วง ออกเป็นช่อตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 2–3 เซนติเมตร มีรยางค์เป็นคล้ายมงกุฎ 5 สัน มีเกสรตัวผู้ 5 อัน ส่วนนี้เองที่นำมาใช้ร้อยมาลัย ผลเป็นฝักคู่ รูปรีปลายแหลมกว้าง 3–4 เซนติเมตร ยาว 6–8 เซนติเมตร เมื่อแก่จะแตกและปล่อยเมล็ดแบนสีน้ำตาลจำนวนมาก ที่มีขนสีขาวเป็นพู่กระจุกอยู่ที่ตรงกลางปลายด้านหนึ่ง ให้ปลิวไปตามลม

ในตำราแพทย์แผนไทยมีการใช้ดอกรัก รักษาอาการไอ หอบหืด และหวัด ช่วยให้เจริญอาหาร เปลือกและราก ใช้รักษาโรคบิด ขับเหงื่อ ขับเสมหะ ขับน้ำเหลืองเสีย และทำให้อาเจียน ยางถ้าถูกผิวหนังจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง แต่ก็มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย สามารถบรรเทาอาการปวดฟัน ปวดหู ขับพยาธิ รักษากลากเกลื้อน และใช้เป็นยาขับเลือด.



----------------------------------------------------




หอยขม - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/219932-



หอยขมเป็นหอยน้ำจืดขนาดเล็ก มีเปลือกเป็นเกลียวกลมยอดแหลม เปลือกหนาและแข็ง ผิวชั้นนอกเป็นสีเขียวแก่ ฝาปิดเปลือกเป็นแผ่นกลม ตีนใหญ่ จะงอยปากสั้นทู่ ตามีสีดำอยู่ตรงกลางระหว่างโคนหนวด ตัวผู้มีหนวดข้างขวาพองโตกว่าเส้นข้างซ้าย ลักษณะพิเศษของหอยชนิดนี้จะมีอวัยวะเพศทั้งเพศผู้และเพศเมียอยู่ในตัวเดียวกัน ออกลูกเป็นตัว และผสมพันธุ์ได้ด้วยตัวเอง

ในตำราแพทย์แผนไทยใช้เข้าตำราทั้งเนื้อ เปลือก และใช้ทั้งตัว สรรพคุณแก้กระษัยปวดเมื่อยตามร่างกาย กระษัยท้องมาน กระษัยลิ้นกระบือ อัมพาต แก้ธาตุดินพิการ บำรุงกระดูก รักษาอาการปวดกระดูก ขับเมือกมันในลำไส้ บำรุงถุงน้ำดี บำรุงลำไส้ แก้ต้อต่าง ๆ แก้ริดสีดวงทวาร แก้ร้อนในกระหายน้ำ ขับนิ่ว ขับนิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ขับปัสสาวะ แก้ไข้ปวดศีรษะ ใจสั่น ตาลาย ชาตามมือตามเท้า รักษาอาการอยู่ไฟไม่ได้ เล็บขบ บำรุงกำลัง แก้โรคกระเพาะอาหาร แก้กามโรค แก้บิด แก้ปวดมวนท้องหรือถ่ายเป็นมูกเลือด ไฟลามทุ่ง เริม งูสวัด แก้ขี้ทูดกุดถัง กลากเกลื้อน แก้ตานซาง แก้พยาธิอกหัก หายใจหอบหืด หายใจเร็ว เจ็บหน้าอก แก้ตาแดง ตาต้อ ใช้เป็นยาถ่ายของไก่ แก้ช้ำใน เป็นต้น.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #155 เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2013, 09:53:23 pm »
"มหิดล"วิจัยพบ"น้ำพริกตาแดง" มีสารต้าน"มะเร็ง-เบาหวาน-ความดัน-หัวใจ"

-http://campus.sanook.com/1369210/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%88/-





นักโภชนาการมหิดลเผยวิจัยพบสารต้านอนุมูลอิสระใน "น้ำพริกตาแดง" ชี้กินเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงเป็น "มะเร็ง-เบาหวาน-หัวใจ-ความดันโลหิต"ได้

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน นายเอกราช เกตวัลห์ นักวิชาการประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า อาหารไทยถือว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะน้ำพริกประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นอาหารติดบ้านเรือนของคนไทย ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ได้มีการวิจัยคุณค่าทางอาหารในน้ำพริกตาแดง พบว่าเป็นน้ำพริกที่มีส่วนประกอบจากเครื่องเทศและสมุนไพรสดหลายชนิด ซึ่งล้วนมีสารสำคัญที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็ง และโรคเรื้อรังต่างๆ

"จากการวิจัยได้ใช้น้ำพริกตาแดงที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ ศึกษาปริมาณสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ และทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลอง โดยใช้ 3 วิธีทดสอบทางวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการที่มีหลักการแตกต่างกัน พบว่าน้ำพริกตาแดงตำรับสุขภาพมีสารเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) และลูทีน (Lutein) อยู่ในปริมาณสูง ซึ่งสารเหล่านี้สามารถต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังได้นำไปทดสอบฤทธิ์ต้านออกซิเดทีพ สเตรส (Oxidative Stress) ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่สามารถต้านสารอนุมูลอิสระได้ และฤทธิ์ต้านการอักเสบในร่างกายของหนูทดลองที่ได้รับการเหนี่ยวนำด้วยควันบุหรี่ เป็นเวลา 2 เดือน พบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับควันบุหรี่และได้รับอาหารผสมน้ำพริกตาแดง 1 หน่วย และ 2 หน่วย เทียบกับหน่วยบริโภคของคนน้ำหนัก 50 กิโลกรัม และน้ำหนักหนู สามารถต้านสารอนุมูลอิสระ และการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันได้ดีกว่ากลุ่มที่ได้รับควันบุหรี่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกายมีค่าเพิ่มขึ้น เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับควันบุหรี่อย่างเดียว และกลุ่มควบคุม" นายเอกราชกล่าว

จากผลการวิจัยดังกล่าว นายเอกราชกล่าวว่า สรุปได้ว่าน้ำพริกตาแดงประกอบด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สามารถต้านอนุมูลอิสระทั้งในหลอดทดลอง และในร่างกายของหนู นอกจากนี้ ยังสามารถลดการอักเสบจากการได้รับควันบุหรี่อีกด้วย ดังนั้น หากมีการบริโภคน้ำพริกตาแดงเป็นประจำ อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็ง และโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระได้ อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิต หัวใจและหลอดเลือด ฯลฯ ด้าน รศ.วิสิฐ จะวะสิต ผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ มหิดล กล่าวว่า อาหารไทยมักมีส่วนประกอบพวกเครื่องแกง พริกต่างๆ ซึ่งล้วนมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น พริก มีคุณสมบัติช่วยระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นช้า ป้องกันการเกิดมะเร็ง กระเทียม มีฤทธิ์ในการลดระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ตะไคร้ มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด หอมแดง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ข่า มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา แบคทีเรีย และยีสต์ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกมะเร็ง ผิวมะกรูด ลดความดันโลหิต เป็นต้น จึงแนะนำให้ทุกบ้านบริโภคน้ำพริกเป็นอาหารหลัก

(ที่มา:มติชนรายวัน 5 มิ.ย.2556)


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #156 เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2013, 07:04:52 am »
สาวๆควรรู้ ผิวสวยเด้ง ด้วย “คอลลาเจน” ในอาหาร
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 กรกฎาคม 2556 17:10 น.    
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000090304-

สาวๆ (และหนุ่มๆ บางคน) สมัยนี้ หันมาสนใจเรื่องของสุขภาพและการกินอาหารกันมากขึ้น เพราะเมื่อมีสุขภาพดี มีการกินอาหารที่เหมาะสมแล้ว เชื่อกันว่าจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสดั่งวัยแรกรุ่น
       
       แต่พออายุเริ่มมากขึ้น ผิวพรรณที่เคยเต่งตึงอาจจะเริ่มมีริ้วรอยเข้ามาทดแทน ฉะนั้นก็เลยต้องสรรหาอาหารที่จะมาช่วยเสริมความงามของผิวพรรณ โดยเฉพาะ “คอลลาเจน” ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้ มีหน้าที่เสริมความเรียบตึงให้แก่ผิวหนัง พอเรามีอายุมากขึ้น เจ้าคอลลาเจนเหล้านี้ก็เริ่มเสื่อมสลายลงไปเรื่อยๆ ทำให้ผิวหนังมีริ้วรอย และเหี่ยวย่น นี่จึงเป็นที่มาของการสรรหาคอลลาเจนมาเสริมให้กับผิวหนังของเรา
       
       หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับคอลลาเจนที่สกัดออกมาเป็นเม็ดแคปซูลที่วางขายตามท้องตลาด แต่ “108 เคล็ดกิน” อยากจะบอกว่า อาหารที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี่แหละ เป็นแหล่งคอลลาเจนชั้นยอดของเราเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะให้คอลลาเจนแล้ว ก็ยังมีอีลาสตินผสมอยู่ด้วย โดยอีลาสตินนั้นก็จะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นนั่นเอง
       
       สำหรับอาหารที่มีคอลลาเจนอยู่เยอะและหากินได้ง่ายก็คือ เนื้อสัตว์สีขาวทั้งหลาย เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา โดยคอลลาเจนจะซ่อนตัวอยู่ในโปรตีนในเนื้อสัตว์เหล่านี้ และยังมีในพวกกระดูกอ่อนหมู กระดูกอ่อนไก่ ซึ่งอาหารที่สังเกตได้ง่ายๆ ว่ามีคอลลาเจนอยู่ อย่างเช่น ต้มยำไก่ น้ำซุปกระดูกหมู เมื่อต้มจนสุกแล้วทิ้งไว้ให้เย็น น้ำซุปก็จะมีลักษณะคล้ายกับวุ้น นี่แหละคือคอลลาเจนที่เราจะได้กินเข้าไป แต่หากว่าใครกลัวอ้วนจากไขมันที่ได้ผสมมา เวลาที่ต้มก็สามารถช้อนฟองไขมันที่อยู่ด้านบนออกทิ้งไป ก็จะช่วยลดไขมันลงไปได้
       
       นอกจากจะพบคอลลาเจนในเนื้อสัตว์ต่างๆ แล้ว ก็ยังสามารถพบได้อีกในอาหารทะเล โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก, ปลาทู, ปลากระเบน, กระดูกปลาฉลาม ซึ่งคอลลาเจนจะพบในกระดูกของปลา หรือพบบริเวณตาปลาที่มีลักษณะเป็นเหมือนวุ้นใส และยังพบในผักผลไม้ต่างๆ อาทิ สาหร่ายทะเล, เห็ดทุกชนิด, หัวบุก, ถั่วเหลือง, แตงกวา, ขึ้นฉ่าย, มะกอก, ส้มโอ, แก้วมังกร, แอปเปิล แต่คอลลาเจนที่พบในพืชผัก ผลไม้ จะมีปริมาณน้อยกว่าที่พบในเนื้อสัตว์
       
       ที่สำคัญ การจะกินคอลลาเจนพวกนี้ให้ได้ผลดี จะต้องกินควบคู่ไปกับวิตามินซี เนื่องจากวิตามินซีจะช่วยดูดซึมคอลลาเจนเข้าไปในร่างกาย ให้ร่างกายได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
       
       ตัวอย่างเมนูอาหารที่มีคอลลาเจน และมีวิตามินซีที่ช่วยดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกาย เช่น ต้มยำขาไก่ หรือ ต้มซุปเปอร์ขาไก่ ที่จะได้คอลลาเจนจากน้ำซุปไก่และกระดูกอ่อนของไก่ ผสมกับวิตามินซีจากมะนาวที่บีบลงไปเพิ่มรสชาติเปรี้ยว แถมยังได้คุณประโยชน์เพิ่มเติมจากสมุนไพรและผักอื่นๆ ที่ใส่ลงไปด้วย


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #157 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2013, 09:16:51 pm »
ผักกระเฉด - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/221749-


ผักกระเฉดถ้าขึ้นบนดิน ก็เป็นพืชคลุมดิน  เป็นไม้เลื้อยเช่นเดียวกับผักบุ้ง เป็นพืชพื้นเมืองของไทยและพบได้ที่ประเทศมาเลเซีย สามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในน้ำ และบนบก แต่ถ้าเจริญเติบโตในน้ำจะมีส่วนทำหน้าที่เป็นทุ่นพยุงเถาให้ลอยน้ำได้เป็นเหมือนทุ่นลอยน้ำ มีวิตามินซีสูง มีวิตามินเอ ผักกระเฉดช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยในระบบสืบพันธุ์ มีแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน ป้องกันภาวะกระดูกพรุน อีกทำให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ ในตำราสมุนไพรไทย ผักกระเฉดเป็นยาเย็น ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ถอนพิษเบื่อเมา ป้องกันโรคตับอักเสบ ในสูตรยาโบราณจะนำผักกระเฉด ตำผสมกับสุราแล้วหยอดบริเวณฟันที่ปวด เชื่อว่าสามารถบรรเทาอาการปวดฟันได้.



หมากแดง - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/221508-


หมากแดงเป็นปาล์มตระกูลเดียวที่มีสีแดงสด มีกอสูงถึงประมาณ 15 ฟุต ลำต้นตั้งตรงมีข้อปล้องเห็นได้ชัด กาบใบมีสีแดงทางใบก็มีสีแดงสด และโค้งงอลงด้านล่าง ใบรูปขนนก มีใบย่อย 25 คู่ ใบย่อยยาวประมาณ 18 นิ้ว ด้านบนสีเขียวแก่ ด้านล่างสีเขียวอ่อน มีสีเหลือบเงินเล็กน้อย ก้านใบจะสั้นยาวประมาณ 6 นิ้ว หมากแดงที่ปลูกกันอยู่ทั่วไป 2 ชนิด คือชนิดสีส้มและชนิดสีแดง หมากแดงนี้ทางภาคใต้เรียกว่า หมากก้นแดงหรือกาบแดง

ดอก สีเขียวอ่อน ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงใต้โคนกาบใบ ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น ช่อดอกยาว ประมาณ 50 เซนติเมตร ผล มีเนื้อเมล็ดเดียว ติดผลจำนวนมาก ทรงกลมรี ขนาด 0.8 เซนติเมตร ผลแก่สีดำ เมล็ดกลมรี คนภาคใต้สมัยก่อนนิยมนำใบหมากแดงมาใช้ประโยชน์ในทางสมุนไพรรักษาอาการ ร้อนใน.




พลา - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/221239-


พลา เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงถึง 15 เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่กลับ กว้าง 4-8 ซม. ยาว 8-17 ซม. ใบเรียบ ปลายใบแหลมหยักคอดเป็นติ่งสั้นหรือเว้าแหว่งเป็นริ้ว ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น ใบมี 3 เส้น จากฐานเดิม มีขนสากทั่วไป ช่อดอกออกตามง่ามใบและปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ เกสรเพศผู้มีจำนวนมากและล้อมรอบรังไข่ ผล รูปไข่ กลับ มีก้านยาวโค้ง ผิวของผลมีขนทั่วไป เมื่อแก่สีเหลือง สุกสีเขียวคล้ำถึงดำ พลาออกดอก ตั้งแต่เดือนเมษายน พฤษภาคม ในภาคกลางเรียกว่าพลับพลา ขี้เถ้า ภาคเหนือเรียกว่า กะปกกะปู สากกะเบือ พลา คอม กอม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า คอมส้ม ก้อมส้ม ภาคตะวันออกเฉียงใต้เรียกว่า พลองส้ม คอมเกลี้ยง มลาย ภาคใต้เรียก พลา ผลพลา สุกกินได้ ในตำราแพทย์แผนไทยใช้ เนื้อไม้ แก่น ต้มน้ำดื่ม แก้หืด.



ยอดมะม่วงหิมพานต์ - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/220771-


มะม่วงหิมพานต์ตระกูลเดียวกับมะม่วง เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบสูง 6-12 เมตร เนื้อไม้เป็นไม้เนื้ออ่อน  มียางสีเหลืองและเหนียวใสเปลือกต้นสีน้ำตาลใบเป็นใบเดี่ยว สีเขียวเข้ม หนา ออกใบแบบสลับใบรูปร่างรูปไข่กลับ ปลายใบมนป้านและฐานใบแหลม ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง มีกลิ่นอ่อน ๆ เมื่อดอกบานจะกลายเป็นสีชมพู ส่วนของฐานรองดอกจะเจริญค่อย ๆ กลายเป็นผลโดยจะขยายใหญ่พองโตคล้ายกับผลชมพู่

ยอดอ่อนใบอ่อนใช้รับประทาน ชาวใต้รับประทานยอดอ่อนและใบอ่อนสดเป็นผักร่วมกับน้ำพริก แกงเผ็ดขนมจีนน้ำยาเช่นเดียวกับชาวอิสานที่นำยอดอ่อนและใบอ่อนสดรับประทานกับลาบก้อยป่นปลาและน้ำพริก ในตำราแพทย์แผนไทย ใบ มีสรรพคุณเป็นยาสมานลำไส้บรรเทาอาการท้องร่วง ใบแก่ใช้บดใส่แผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก และใบสดนำมาเผาไฟ สูดดมควันเพื่อรักษาอาการ ไอ เจ็บคอ.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #158 เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2013, 09:23:33 pm »

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์อ่อน - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/222472-



เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ มีแร่ธาตุและวิตามินหลายอย่าง เช่น แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก วิตามินอี ซึ่งเป็นสารบำรุงสมอง เมล็ดมะม่วงหิมพานต์มีเส้นใยช่วยการทำงานของลำไส้ คนไทยในอดีตนิยมนำใบมาบดละเอียดใช้พอกแผลไฟไหม้ ยอดอ่อน กินแก้ท้องร่วง ยาง นำไปทำน้ำหมึก น้ำมันขัดเงา ลำต้น ใช้ทำหีบใส่ของ ลังไม้ ดุมล้อเกวียน รากที่อยู่ใต้ดินนำมาเป็นยาสมานแผล น้ำมันในเมล็ด รักษากลาก เกลื้อน และโรคผิวหนังอื่น ๆ ส่วนลูกอ่อนจะใช้รับประทานกับน้ำพริกกะปิ หรือใช้เป็นผักเครื่องเคียงในการรับประทานกับขนมจีน น้ำมันที่สกัดจากเปลือกเมล็ด มีสรรพคุณใช้เป็นพิษต้านเชื้อจุลินทรีย์โดยเฉพาะเชื้อหนองชนิด บางรายงานระบุว่า น้ำมันที่สกัดได้จากเปลือกเมล็ด เคยใช้รักษาโรคเรื้อน เกลื้อนและหูดได้   ขณะเดียวกันก็มีโทษ คือน้ำมันที่สกัดจากเปลือกเมล็ดหากสูดดมอาจจะเกิดการระคายเคือง และมีพิษรุนแรงต่อระบบหายใจ.


ข้าวโอ๊ต - เรื่องน่ารู้
วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:03 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/222246-



ข้าวโอ๊ตเป็นธัญพืชที่ให้พลังงานสูงแต่ให้ไขมันที่ต่ำ มีวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างทันทีและสารแอนตี้ออกซิแดนท์   มีเส้นใยมาก ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะลำไส้เราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยลดอาการท้องผูก ดูดซึมน้ำตาลไขมันของเสียต่าง ๆ ได้ดี  ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือดทำให้รู้สึกอิ่มนาน  ไม่หิวระหว่างมื้อบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังมีสารประกอบที่สำคัญคือ เบต้ากลูแคน เป็นเส้นใยอาหารที่สามารถละลายในน้ำได้ดี มีคุณสมบัติคอยดูดซับคอเลสเตอรอลในลำไส้เล็กและปล่อยเป็นของเสียออกจากร่างกาย การรับประทานข้าวโอ๊ตจึงช่วยในการลดคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและโรคหัวใจ องค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) รับรองผลการศึกษาวิจัยว่า หากร่างกายได้รับเบต้ากลูแคนอย่างน้อย 3 กรัมต่อวันจะสามารถช่วยลดปัญหาคอเลสเตอรอลได้ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลและผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก  (code:33012 คัดลอกข้อมูลมาจาก www.n3k.in.th/).



ผักกระเฉด - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/221749-



ผักกระเฉดถ้าขึ้นบนดิน ก็เป็นพืชคลุมดิน  เป็นไม้เลื้อยเช่นเดียวกับผักบุ้ง เป็นพืชพื้นเมืองของไทยและพบได้ที่ประเทศมาเลเซีย สามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในน้ำ และบนบก แต่ถ้าเจริญเติบโตในน้ำจะมีส่วนทำหน้าที่เป็นทุ่นพยุงเถาให้ลอยน้ำได้เป็นเหมือนทุ่นลอยน้ำ มีวิตามินซีสูง มีวิตามินเอ ผักกระเฉดช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยในระบบสืบพันธุ์ มีแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน ป้องกันภาวะกระดูกพรุน อีกทำให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ ในตำราสมุนไพรไทย ผักกระเฉดเป็นยาเย็น ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ถอนพิษเบื่อเมา ป้องกันโรคตับอักเสบ ในสูตรยาโบราณจะนำผักกระเฉด ตำผสมกับสุราแล้วหยอดบริเวณฟันที่ปวด เชื่อว่าสามารถบรรเทาอาการปวดฟันได้.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #159 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2013, 08:27:38 am »
มะเกลือ - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/223399-



มะเกลือเป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10-30 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลม ลำต้นเปลา โคนต้นมักเป็นพูพอน ผิวเปลือกเป็นรอยแตกสะเก็ดเล็กๆ สีดำ เปลือกในสีเหลือง กระพี้สีขาว กิ่งอ่อนมีขนนุ่มขึ้นประปราย ใบ เป็นใบเดี่ยวขนาดเล็กรูปไข่หรือรีเรียงตัวแบบสลับ ปลายใบสอบเข้าหากัน โคนใบกลม หรือมน ผิวใบเกลี้ยง  ใบที่ยังอ่อนจะมีขนปกคลุมทั้งสองด้าน ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกแยกเพศต่างต้น ดอกตัวผู้มีขนาดเล็ก สีเหลืองอ่อน หนึ่งช่อมี 3 ดอก ดอกตัวเมียเป็นดอกเดี่ยว ลักษณะดอกเหมือนกัน คือ กลีบรอง ตรงกลางดอกมีเกสร ผล กลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. ผิวเกลี้ยง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีดำ ผลแก่จัดจะแห้ง มีกลีบเลี้ยงติดบนผล 4 กลีบ ผลแก่ราวเดือนมิถุนายน-สิงหาคม เมล็ด แบน สีเหลือง 4-5 เมล็ด ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ในทางสมุนไพรไทยจะนำรากและ ผลสด โตเต็มที่และสีเขียวจัด ฝนกับน้ำซาวข้าว รับประทานแก้อาเจียน แก้ลม   ผลมะเกลือสดที่เขียวจัด จะใช้ในการถ่ายพยาธิ กำจัดตัวตืด หรือไส้เดือนตัวกลม พยาธิปากขอ พยาธิเข็มหมุด เป็นต้น


ตะลิงปลิง - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/223252-



ตะลิงปลิงเป็นไม้ผลที่มีสรรพคุณทางสมุนไพรหลายประการ ทุกส่วนของต้นไม่ว่าจะเป็นราก ใบ ดอก และผล สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หมด โดยทั่วไปจะนิยมปลูกตะลิงปลิงไว้รับประทานผล โดยผลอ่อนจะนำมาใส่อาหารที่ต้องการความเปรี้ยว เช่น ต้มยำ แกงส้ม สามารถนำไปใช้ทำส้มตำได้เช่นกัน หรือหากต้องการรับประทานผลดิบ มักจะจิ้มกับน้ำปลาหวาน หรือกะปิ

ส่วนสรรพคุณทางสมุนไพรคนไทยเมื่อครั้งอดีตจะใช้ใบนำไปบดชงกับน้ำร้อนหรือนำไปต้ม ดื่มแก้ลำไส้ใหญ่อักเสบและรักษาโรคซิฟิลิส นำใบมาตำพอกรักษาสิว คางทูม ดอกตะลิงปลิง มีรสเปรี้ยวฝาด สามารถนำมาชงเป็นน้ำชา ดื่มบรรเทาอาการไอ รากตะลิงปลิง นำไปตากแห้ง ใช้ต้มดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยลดไข้ บำรุงกระเพาะอาหาร แก้โลหิตออกตามกระเพาะอาหาร แก้ริดสีดวงทวาร แก้คัน แก้คางทูม แก้ไขข้ออักเสบ รักษาสิว ผลตะลิงปลิง ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงกระเพาะอาหาร  ลดไข้ ฟอกโลหิต ยาบำรุงแก้ปวดมดลูก แก้ไอบรรเทาโรคริดสีดวงทวารแก้ลักปิดลักเปิดเป็นต้น.


จิก - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/223000-



จิกเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูง 4-8 เมตรลำต้นมีปุ่มปมเปลือก แผ่นเปลือกชั้นในสีเหลืองแกมน้ำตาล ถึงชมพู มีเส้นใยเหนียว ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงเวียนรอบกิ่ง เป็นกระจุกที่ปลายกิ่งแผ่นใบคล้ายกระดาษ ไม่นุ่ม ใบรูปรีแกมรูปไข่กลับ ถึงรูปหอกแกมรูปไข่กลับ เกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนเป็นมัน ปลายเรียวแหลม ฐานสอบแคบ ขอบหยักละเอียด ก้านใบอวบสั้น ดอกออกที่ปลายกิ่ง เป็นช่อกระจะ ช่อดอกห้อยลง ดอกใหญ่ ผล สีเขียวถึงสีเขียวอมม่วง รูปไข่ถึงรูปรี ปลายผลแหลมทั้งสองด้านมีกลีบเลี้ยงสองด้าน มีกลีบเลี้ยง 2-4 กลีบ
จิกที่ชาวไทยรู้จักคุ้นเคยมากเป็นพิเศษมี 3 ชนิด คือ จิกนา จิกบ้านหรือจิกสวน และจิกน้ำ ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก ใบอ่อนกินเป็นผักสด มีรสชาติ ค่อนข้างฝาดเล็กน้อย ดอกจิกมีความงดงามเป็นที่นิยมในหลายท้องถิ่น นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ในตำรายาไทยสรรพคุณสมุนไพร ใบ รสฝาด สมานบาดแผล ชัก ธาตุแก้อุจจาระพิการ แก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด ต้นแก้ปวดศีรษะ เลือดออกตามไรฟัน แก้เสมหะพิการ เนื้อไม้ ขับระดูขาว รากเป็นยาระบาย เมล็ดแก้เยื่อตาอักเสบ แก้อาเจียน แก้ไอ แก้แน่น แก้ไข้ตัวร้อน เป็นต้น.



ส้มโอ - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/222743-



ส้มโอ เป็นผลไม้ที่มีวิตามินและเกลือแร่อยู่มากมาย ช่วยบำรุงผิวพรรณ เช่น วิตามินซี ฟอสฟอรัส กรดอินทรีย์ โมโนเทอร์  มีแคลเซียมบำรุงส่วนที่สึกหรอในร่างกายและมีสารต้านมะเร็ง ส้มโอยังมีสรรพคุณทางยา ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นหน้าอก ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย คนไทยเมื่อครั้งอดีตใช้เปลือกส้มโอแก้โรคผิวหนัง โดยการเอาไปต้มจนได้ที่แล้วนำน้ำมาทาบริเวณผิวหนัง  ใบใช้เป็นยาแก้ปวดข้อ ท้องอืดแน่น แก้ปวดหัวโดยการตำพอกที่ศีรษะ ดอกใช้แก้ปวดกระเพาะอาหาร แก้ปวดกระบังลม ขับเสมหะ ขับลมผลแก้เมาสุรา ขับลมในลำไส้และกระเพาะอาหาร ทำให้เจริญอาหารเหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์เบื่ออาหาร ปากไม่รู้รสอาหาร เปลือกผลใช้เป็นยาขับลม ช่วยขับเสมหะ แก้อึดอัด แน่นหน้าอก ไอ จุกแน่น ปวดท้องน้อย ไส้เลื่อน หรือต้มน้ำอาบแก้คัน ใช้ตำพอกฝี เมล็ดแก้ไส้เลื่อน แก้ปวดท้อง ลำไส้เล็กหดตัวผิดปกติ รากแก้หวัด แก้ไอ แก้ปวด ปวดท้องน้อยและกระเพาะอาหาร ไส้เลื่อน.

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)