ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129516 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 10 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #180 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2013, 11:12:11 pm »
ยี่หร่าดำ...เม็ดเล็กๆ ประโยชน์ไม่เล็ก
-http://campus.sanook.com/1369994/%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B3...%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%86-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81/-




ยี่หร่าดำ...เม็ดเล็กๆ ประโยชน์ไม่เล็ก อยากสมองดี ความจำดี สุดยอดอาหารชนิดใหม่ล่าสุดอย่าง "ยี่หร่าดำ (Black Cumin)" ช่วยคุณได้ งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารเภสัชพฤกษศาสตร์วิทยา ชี้ว่าการกินแคปซูลบรรจุยี่หร่าดำป่นขนาด 500 มิลลิกรัม 2 แคปซูลทุกเย็นเป็นเวลา 9 สัปดาห์ จะช่วยให้ความสามารถในการจดจำ สมาธิ และการเรียนรู้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบและป้องกันระบบประสาทในเครื่องเทศชนิดนี้มีผลต่อการกระตุ้นสมอง และยังอุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็น ช่วยยับยั้งการเสื่อมของสารสื่อประสาทได้อีกด้วย

ขอบคุณภาพประกอบจาก superhumanfoods.org

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #181 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2013, 11:14:28 pm »
มังสวิรัติกับอาหารเจ แตกต่างกันอย่างไร
-http://club.sanook.com/10013/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%88-%E0%B9%81%E0%B8%95-



มังสวิรัติกับอาหารเจแตกต่างกันอย่างไร

เชื่อว่าหลายคนในที่นี้ อาจมีความสงสัยว่า มังสวิรัติ กับ อาหารเจ นั้นแตกต่างกันอย่างไร เพราะว่าวิธีการทานนั้นค่อนข้างใกล้เคียงกัน ซึ่งวันนี้เรามีความแตกต่างระหว่างอาหารมังสวิรัติกับอาหารเจมาฝากกันค่ะ

กินเจ

 ทั้งอาหารเจและอาหารมังสวิรัติเป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียด ดังนี้

อาหารเจนอกจากไม่มีเนื้อสัตว์แล้ว ยังมีข้อห้ามว่าต้องไม่มีหอม กระเทียม ต้นกุยช่าย ผักชี และเครื่องเทศที่เผ็ดร้อนเพราะถือว่าอาหารดังกล่าวทำให้เกิดกำหนัด

วัตถุดิบที่เป็นหลักในการประกอบอาหารเจ คือ แป้ง เต้าหู้  ซีอิ๊ว ถั่วเหลือง ถั่วต่าง ๆ และผักนานาชนิด ยกเว้นผักที่กล่าวมาแล้ว  นอกจากนี้ผู้กินเจที่เคร่งครัด น้ำมันพืชที่ใช้ต้องบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์  จะไม่ใช้น้ำมันพืชสูตรผสม เช่น น้ำมันรำข้าวปนน้ำมันถั่วเหลือง ภาชนะที่ใส่อาหารเจก็ต้องเตรียมไว้เป็นพิเศษ ไม่ใช้ปะปนกับภาชนะที่ใส่เนื้อสัตว์ ปัจจุบันอาหารเจได้รับการพัฒนารูปแบบขึ้นมาก มีการทำ “หมี่กึน” ที่ทำมาจากแป้งสาลีดัดแปลงให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเนื้อสัตว์ นำมาปรุงอาหารสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถตัดขาดจากเนื้อสัตว์ได้เด็ดขาด

อาหารเจจะกินกันในระหว่างเทศกาลกินเจ คือช่วงระหว่างวันขึ้น ๑-๙ ค่ำเดือน ๙ (ตามปฏิทินจีนราวเดือนตุลาคม)ระยะเวลาประมาณ ๑๐ วัน หรือกินในระยะเวลาใดเวลาหนึ่งผู้ที่กินเจเชื่อว่าการกินเจเป็นการได้บุญ จะส่งผลให้ชีวิตประสบความสุขความเจริญ ทั้งเป็นการต่อชีวิตให้ยืนยาวต่อไป



มังสวิรัติ

ส่วนอาหารมังสวิรัติ  โดยรูปศัพท์หมายถึงการงดเว้นเนื้อสัตว์ (มังสะ=เนื้อสัตว์  วิรัติ=การงดเว้น) ภาษาอังกฤษเรียกว่า  Vegetarian

ผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติมีสองกลุ่ม กลุ่มแรก ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ยังคงบริโภคไข่และนม กลุ่มที่สอง ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รวมทั้งไม่บริโภคไข่และนมด้วยอาหารมังสวิรัติงดเนื้อสัตว์เหมือนกับอาหารเจ รวมทั้งเครื่องปรุงรสที่ทำมาจากสัตว์ เช่น กะปิ น้ำปลา แต่ต่างกับอาหารเจตรงที่ไม่ห้ามบริโภคกระเทียม หัวหอม ต้นกุยช่าย หรือผักที่มีกลิ่นแรงตลอดจนเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน อาหารมังสวิรัติสามารถบริโภคได้ทั้งปี  ไม่มีเทศกาลเหมือนอาหารเจ  ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติเชื่อว่าจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง  เพราะได้งดเนื้อสัตว์ซึ่งมีไขมันและสารอื่น ๆ มากมาย นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ต่อจิตใจเพราะไม่จะเบียดเบียนชีวิตสัตว์ทั้งหลาย

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #182 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2013, 11:25:31 pm »
ผลกีวี...มหัศจรรย์ผลไม้เต็มคุณค่า
-http://campus.sanook.com/1369763/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B5...%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2/-

นอกจากอาหารจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของการมีชีวิตรอดของมนุษย์ อาหารยังเป็นสิ่งที่สร้างความสุข ความสมบูรณ์ให้กับชีวิต คนแต่ละคนอาจจะมีอาหารจานโปรด หรือเพลิดเพลินไปกับรสชาติที่ถูกปาก แต่ที่สำคัญกว่านั้นถ้าเราเลือกบริโภคแต่อาหารที่มีประโยชน์ หรืออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เราก็จะมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงจากภายใน ซึ่งจะสะท้อนออกสู่ภายนอกที่แสดงถึง รูปร่างดี ผิวพรรณผ่องใส มีน้ำนวล ที่สำคัญที่สุด การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างแท้จริงย่อมเป็นปัจจัยที่สำคัญในการป้องกันความเจ็บไข้ได้ป่วย หรือบางครั้งอาหารสามารถ "รักษา" โรคบางโรคได้ โดยไม่ต้องพึ่งยาหากเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริโภคที่ผิด ๆ อาหารจึงเป็นสิ่งที่ดลบันดาลสุขภาพที่ดี ถ้าเขาเหล่านั้นรู้จัก "เลือก" ที่จะรับประทานอาหารที่ "ใช่"

"ผลไม้" เป็นหนึ่งในอาหารหลัก 5 หมู่ที่จำเป็นต่อร่างกาย และเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และใยอาหาร ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยในการดูแลเสริมสร้างสุขภาพ แต่ผลไม้ทุกชนิดมีสารอาหารเด่น ๆ ที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นชนิดและปริมาณ มีผลไม้มากมายหลายชนิดที่ได้ชื่อว่าเป็น "ซุปเปอร์ฟรุ๊ต" หนึ่งในนั้นคือ "ผลกีวี"



มีอะไรดีในกีวี

ผลกีวีอุดมไปด้วยสารพฤกษเคมี (phytonutrients) จำนวนมากรวมทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ เช่น วิตามินซี วิตามินอี ลูทีน โฟเลต โพแตสเซียม ใยอาหาร และสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งช่วยปกป้องดีเอ็นเอในนิวเคลียสของเซลล์จากอนุมูลอิสระที่เปรียบเสมือนขยะของร่างกายที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย นอกจากนี้ผลกีวียังมีเอ็นไซม์ที่ใช้ในการหมักเนื้อสัตว์ให้นุ่มแบบธรรมชาติ

กีวีสีทอง หรือโกลด์กีวีนั้นยังอุดมไปด้วยวิตามินอีธรรมชาติ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน จึงช่วยปกป้องอันตรายจากเซลล์ในชั้นไขมัน ช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย ช่วยในการไหลเวียนโลหิต ป้องกันโรคหัวใจ และลดการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจที่ไปเลี้ยงสมอง

ผลกีวีเป็นแหล่งที่ดีของโฟเลต ซึ่งเป็นวิตามินบีที่ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง และจำเป็นต่อคุณแม่ในช่วงก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ ช่วยป้องกันความผิดปกติในการสร้างระบบประสาทและสมองของเด็กทารกในขณะตั้งครรภ์


โดย : อาจารย์ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพประเทศสหรัฐอเมริกา และนักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพไทย


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #183 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2013, 09:31:22 am »
ถังน้ำแตงโม ไอเดียเก๋ไก๋ต้อนรับปาร์ตี้
-http://cooking.kapook.com/view71995.html-


ภาพประกอบจาก prudentbaby.com


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          หากในไม่กี่วันนี้คุณกำลังจะจัดงานปาร์ตี้ และกำลังมองหาความแปลกใหม่ให้กับงานปาร์ตี้ของคุณอยู่ และที่สำคัญอยากประหยัดค่าใช้จ่าย เราได้นำไอเดียการดัดแปลงลูกแตงโมธรรมดาให้กลายเป็นถังน้ำที่สามารถเปิด-ปิดได้ จาก prudentbaby.com ทำได้ง่าย ๆ ไม่กี่ขั้นตอน อุปกรณ์ก็ไม่เยอะ แถมยังประหยัดอีกด้วย


        ขั้นตอนการทำ

        เริ่มต้นจากการเลือกซื้อแตงโมตามขนาดที่ต้องการ (ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกซื้อแตงโมแบบที่ไม่มีเมล็ดจะช่วยให้ทำงานได้ง่ายขึ้น)

        เตรียมหัวจุกก๊อกน้ำที่ต้องการ ล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อย เตรียมไว้

        ใช้มีดตัดส่วนท้ายของแตงโมออกบาง ๆ พอให้ลูกแตงโมวางตั้งได้

        จากนั้นตัดส่วนหัวของแตงโมให้เปิดออกเพื่อให้สามารถตักเนื้อแตงโมออกมาได้

        ตักเนื้อแตงโมออกจากลูก (ค่อย ๆ ตักออกระวังอย่าให้ทะลุเปลือก) จากนั้นนำใส่เครื่องปั่น ปั่นจนละเอียด จากนั้นกรองเอากาก และเมล็ดออกด้วยตะแกรง เอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้

        นำที่เจาะแกนแอปเปิ้ลเจาะลงบนผิวแตงโมค่อนไปทางด้านล่างให้เป็นช่องสำหรับใส่จุกก๊อกน้ำ พยายามเจาะช่องให้เล็กกว่าก๊อกน้ำ ไม่อย่างนั้นน้ำจะซึมออกมาได้

        ค่อยๆ หมุนจุกก๊อกน้ำเข้าไปในเปลือกแตงโมให้แน่นจนทะลุเข้าไปในเปลือกด้านใน เตรียมไว้เป็นถังน้ำ

        ผสมน้ำแตงโมที่เตรียมไว้กับกับน้ำมะนาว 1 ลูก เติมน้ำตาลทราย หรือน้ำเชื่อมเพื่อเพิ่มความหวาน (หรือจะเติมแอลกอฮอล์สักเล็กน้อยให้เป็นค็อกเทลได้) จากนั้นเติมน้ำแตงโมลงในถังที่เตรียมไว้ เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

          เป็นอย่างไรบ้างคะกับวิธีการง่าย ๆ ที่ได้มาซึ่งถังน้ำแตงโมสุดเก๋ คราวนี้ก็มีลูกเล่นแปลก ๆ ไว้สำหรับงานปาร์ตี้ของคุณ ทั้งง่าย ทั้งประหยัด และมีคุณค่าอีกด้วย
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #184 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2013, 10:35:36 am »

ใบชะมวง - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/237243-



สถานวิจัยยาสมุนไพรและเทคโนโลยีชีวภาพทางเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ (มอ.) ได้ศึกษาวิจัยคุณสมบัติที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งและต้านแบคทีเรียก่อโรคทางเดินอาหารจาก ใบชะมวง พบเป็นพืชที่ออกฤทธิ์ดีจึงนำมาแยกสารที่ต้องการ สามารถได้สารมีฤทธิ์ในระดับดี เป็นสารที่มีค่าความเข้มข้นต่ำสามารถยับยั้งเชื้อได้ประมาณ 7.8 ไมโครกรัมต่อมิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นสารตัวใหม่ที่ยังไม่มีการค้นพบมาก่อน ทั้งนี้ ยังได้ศึกษาต่อถึงความเป็นไปได้ในการออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อโปรโตซัวร์ ซึ่งเป็นโรคระบาดที่พบบ่อยในภาคใต้ของประเทศไทย พบว่าสารจากชะมวง สามารถยับยั้งโปรโตซัวร์ได้ดี จึงนำไปทดสอบกับเซลล์มะเร็งปอด และเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว พบว่ามีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งได้เช่นกัน ทั้งนี้จะมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมก่อนนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์  เพื่อการรักษาที่ได้ผลและลดอาการข้างเคียงจากการใช้ต่อไป.

-----------------------------------------------------------


ลิเภายุ่ง - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/237160-



ลิเภายุ่งเป็นพืชพวกเฟิน ลำต้นเลื้อยใต้ดิน แทงใบขึ้นเหนือผิวดินเป็นระยะ ใบเป็นใบประกอบสามชั้น ก้านเรียวเล็กคล้ายเส้นลวด เลื้อยคลุมพืชอื่น ๆ และพันต้นไม้ใหญ่ ใบประกอบชั้นที่สองเรียงสลับทอดระยะห่างกัน 5 -10 เซนติเมตร ก้านยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร ปลายก้านมีขนสีน้ำตาล ด้านข้างแยกแขนงหนึ่ง คู่ตรงข้ามกัน ยาวก้านละ 5 -10 เซนติเมตร ปลายก้านใบย่อยชั้นที่สองนี้ ปกติจะไม่เจริญยาวขึ้นอีก ยกเว้นเมื่อก้านใบชั้นแรกตอนบนถูกทำลายไป ปลายก้านใบย่อยชั้นนี้จะแตกตาเจริญขึ้น ทำหน้าที่แทนก้านใบเดิม ขึ้นทั่วไปในที่โล่งบริเวณที่ลุ่มน้ำขังและที่ดอน มีเขตการกระจายพันธุ์ทั่วทุกภาคของประเทศไทยและประเทศในเขตร้อนชื้นของทวีปเอเชียและแอฟริกา เปลือกของเถา หรือที่เรียกว่าย่าน ใช้จักสานเป็นกระเป๋าถือ และหมวก คนไทยเมื่อครั้งอดีตนิยมนำรากมาต้มกินแก้ร้อนใน ปัสสาวะเหลือง ปัสสาวะแดง หรือผสมตัวยาอื่นแก้โรคมะเร็ง ราก ใบ เถา ต้มดื่มน้ำ แก้เลือดพิการแก้ระดูมากะปริบกะปรอย

-----------------------------------------------------



ไก่งวง - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/236759-



ไก่งวงในสังคมโทยเริ่มมีความนิยมเพิ่มขึ้น เกษตรกรหลายพื้นที่เริ่มหันมาเลี้ยงไก่งวงเพิ่มมาขึ้น ด้วยมีตลาดรองรับเพิ่มขึ้น ในทางโภชนาการ เนื้อไก่งวงมีแคลเซียมสูงบริเวณน่องสะโพกขนาด 3.5 ออนซ์มีแคลเซียมสูงถึง 32 มิลลิกรัม มีแคลอรี่ต่ำกว่าไก่ธรรมดา และมีไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าเนื้อสัตว์อื่น ๆ มีโปรตีนที่สูงกว่าเนื้อไก่ เนื้อวัวหรือเนื้อหมู มีกรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อการสร้างโปรตีนที่สมบูรณ์ของร่างกาย ง่ายต่อการย่อย เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีสำหรับผู้สูงอายุ มีโซเดียมต่ำตามธรรมชาติ เนื้อหน้าอกไก่งวงขนาดส่วน 3.5 ออนซ์มีโซเดียมเพียง 68 มิลลิกรัม


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #185 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2013, 10:37:32 am »
คล็ดลับกินเจให้สุขภาพดี..ไม่ขาดสารอาหาร
วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/society/237569-















การตื่นตัวเรื่องของสุขภาพมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นตามกระแสโลก การบริโภคอาหารธรรมชาติ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป ลดการกินเนื้อสัตว์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งเริ่มเป็นที่นิยมในเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพของคนยุคนี้ ช่วงเทศกาลกินเจถือเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่จะได้มีโอกาสทำบุญ ชำระจิตใจให้สะอาด เพราะไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต และยังมีโอกาสดีในการถือศีล บำเพ็ญธรรมไปพร้อมกันด้วย เรียกได้ว่าเป็นเทศกาลที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติต่างมีความสุขทั้งทางกายและทางใจ


อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพจากสหรัฐอเมริกา เผยว่า ผู้ที่กินเจมีความเชื่อว่าการกินเจนอกจากได้บุญแล้ว ยังช่วยให้ผู้กินมีสุขภาพดีอีกด้วย แต่ความเชื่อในการกินเจของแต่ละกลุ่มมีความเชื่อที่ต่างกันออกไป ส่วนใหญ่เชื่อว่าในช่วงเทศกาลกินเจนี้พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากสวรรค์มาสถิตยังแดนมนุษย์ เพื่อทำการโปรดสัตว์ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของเทพเจ้า หรือที่เรียกกันว่าช่วง “ฮุดโจ้วเฮี้ยง” บรรดาผู้คนจึงพากันทำความดีด้วยการถือศีลกินเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ งดการกินเนื้อสัตว์ กินแต่ผักผลไม้ ธัญพืชและโปรตีนพืช ร่วมกับการถือศีลภาวนา ซึ่งถือว่าเป็นการชะล้างกายใจให้บริสุทธิ์ เพื่อน้อมถวายและขอพรให้พระโพธิสัตว์ทรงเมตตา และเชื่อว่าหากใครตั้งจิตใจให้บริสุทธิ์และถือศีลกินเจในเทศกาลนี้ จะอธิฐานขอสิ่งใดมักได้สมดังปรารถนา

การกินเจตามธรรมเนียมนิยมแต่โบราณอย่างเคร่งครัดนั้น นอกจากงดการบริโภคเนื้อสัตว์แล้วยังห้ามบริโภคผักที่มีกลิ่นฉุนบางชนิด เช่น หัวหอม กระเทียม หลักเกียว (ลักษณะคล้ายกระเทียมแต่มีขนาดเล็กกว่า) กุยช่าย ใบยาสูบ เป็นต้น เพราะชาวเจเชื่อว่า ผักที่มีกลิ่นฉุน จะเข้าไปทำลายธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย ส่งผลให้อวัยวะภายในร่างกายทำงานไม่ปกติ ในกรณีที่เจ็บป่วย การกินผักกลิ่นฉุนก็อนุโลมได้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่จะทำให้ผิดศีล หากใช้ผักเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรค เพราะเป็นผักที่มีสารพฤกษเคมีที่ช่วยในการเพิ่มภูมิต้านทานและป้องกันมะเร็ง และมีองค์ประกอบเป็นยา

แม้กินเจอย่างเคร่งครัดแต่ในระยะเวลาสั้น ก็ใช่ว่าจะทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะในผัก ผลไม้และธัญพืชที่กินนั้น แต่ละชนิดให้คุณค่าสารอาหารที่ต่างกันออกไป สำคัญตรงที่รู้จักเลือกกินอย่างถูกหลัก เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนและสมดุล การผสมผสานของผักผลไม้ เมล็ดธัญพืชจำพวก ข้าว ถั่วต่างๆ งา และถั่วเหลืองจะทำให้ได้รับสารอาหารหลากหลายเหมาะสมและได้โปรตีนที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะถั่วเหลือง สำหรับชาวเจนับเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีไม่แพ้เนื้อสัตว์ และฮอร์โมนพืชในถั่วเหลืองคือสารไอโซฟลาโวนส์ช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันมะเร็งในเต้านมด้วย

กุญแจของการกินอาหารเจเพื่อสุขภาพ เช่นเดียวกับอาหารอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มังสวิรัติ คือการกินอาหารให้หลากหลายจากผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืชและถั่วต่างๆ รวมถึงเห็ด ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีไม่แพ้เนื้อสัตว์ และเห็ดยังมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายต้องการครบถ้วน นอกจากนี้เห็ดยังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามิน แร่ธาตุ รวมทั้งธาตุเหล็ก และซีลีเนียม ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยชาวเจสามารถเลือกกินเมนูเห็ดได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ต้มยำเห็ดฟาง ยำเห็ดโคนญี่ปุ่น เห็ดเข็มทอง เห็ดออรินจิ เห็ดหูหนู หรือผัดเห็ดหอม เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีเห็ดบางชนิดที่มีสรรพคุณทางยาและได้รับการยอมรับว่าเป็น “เห็ดทางการแพทย์” อาทิ เห็ดยามาบูชิตาเกะ เห็ดไมตาเกะ เห็ดหลินจือ เห็ดชิตาเกะ ถั่งเฉ้า เห็ดแครง เป็นต้น ซึ่งมีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ปลอดภัยและให้ประโยชน์ต่อร่างกายมาก เช่น สารประกอบในกลุ่มโพลีแซ็คคาไรด์และเบต้ากลูแคนที่สกัดได้จากเห็ด มีส่วนช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว เพื่อปรับสมดุลการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ได้ประสิทธิภาพที่เหมาะสมกับการต่อต้านเชื้อโรคและเซลล์มะเร็ง จึงเปรียบได้กับการยกระดับภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ด้วยเหตุนี้เห็ดทางการแพทย์หลายชนิดจึงถูกนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพและใช้เป็นตัวยาในการรักษาโรค ขณะนี้การใช้ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์สกัดเข้มข้น นับเป็นวิธีที่ช่วยให้ได้รับปริมาณของสารสกัดมากกว่าการกินจากเห็ดสดหรือการสกัดเอง

ข้อควรระวังสำหรับผู้กินเจ อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช แนะนำว่า ควรจำกัดอาหารที่มีไขมันและอาหารที่ส่วนผสมของน้ำตาลสูง ละเว้นเครื่องดื่มมึนเมาและบุหรี่ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมผลจากอาหารเจต่อสุภาพให้ดียิ่งขึ้น และประการสำคัญ พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้แจ่มใสอย่าให้เครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ สุขภาพที่ดีเยี่ยมจะไม่หนีไปไหน และช่วงกินเจควรใส่ใจดื่มน้ำให้มากอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะอาหารที่มีกากใยสูงต้องการน้ำในการทำงานหากดื่มน้ำไม่พออาจทำให้เกิดอาการท้องอืด มีแก๊ส ปวดท้องได้

http://www.dailynews.co.th/society/237569
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #186 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2013, 10:43:31 am »
กินเจอย่างไร ไม่บั่นทอนสุขภาพ !?! - X-RAY สุขภาพ
วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/article/1490/237998-





ใครที่กินเจเป็นประจำทุกปี คงไม่ต้องแนะนำอะไรกันมาก แต่คนที่เพิ่งกินเป็นครั้งแรกหรือแห่ตามกระแสอาจจะไม่รู้ว่าต้องกินอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพในช่วงเทศกาลกินเจระหว่างวันที่ 5-13 ต.ค.นี้

ใครที่กินเจเป็นประจำทุกปี คงไม่ต้องแนะนำอะไรกันมาก แต่คนที่เพิ่งกินเป็นครั้งแรกหรือแห่ตามกระแสอาจจะไม่รู้ว่าต้องกินอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพในช่วงเทศกาลกินเจระหว่างวันที่ 5-13 ต.ค.นี้

รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลกินเจต้องงดเนื้อสัตว์ แต่สามารถหาแหล่งโปรตีนจากพืชทดแทนได้ เช่น พืชตระกูลถั่ว ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเปลือกแข็ง เต้าหู้  ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาการขาดโปรตีน ส่วนผัก ผลไม้ ถือเป็นโอกาสดีเพราะหลายคนไม่ได้ให้ความสนใจผักและผลไม้กัน ในช่วงนี้ควรเน้นผัก ผลไม้สีต่าง ๆ ซึ่งมีสารสารต้านอนุมูลอิสระ

สำหรับคนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ควรหลีกเลี่ยงผลไม้รสหวานจัด อาหารประเภท ผัด ของทอด

ถ้าทำอาหารเจกินเองได้จะดีมาก เนื่องจากอาหารเจที่ทำขายกันส่วนใหญ่มันมาก เช่น ผัดหมี่ ผัดผัก แกงกะทิ บางทีใช้น้ำมันปาล์ม ซึ่งเหมาะสำหรับทอด แต่นำมาผัด ทำให้ได้ไขมันอิ่มตัวจากผัดผัก แต่ถ้าทำเองก็ใส่น้ำมันถั่วเหลืองน้อย ๆ ดังนั้นคนที่ไม่ได้ทำเองก็พยายามเลือกอาหารที่มีไขมันไม่เยอะ ส่วนข้าวควรเน้นข้าวกล้อง มื้อละประมาณ 2 ทัพพี ผักประมาณ 2 ทัพพี และกินโปรตีนจากพืชที่กล่าวมาข้างต้น

สำหรับน้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหารเจ ควรเน้นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันข้าวโพด เพราะไขมันอิ่มตัวน้อย ลองสังเกตง่าย ๆ ถ้าเอาน้ำมันแช่ตู้เย็นแล้วเป็นไข แสดงว่า ไขมันอิ่มตัวเยอะ

ด้าน ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล อาจารย์ประจำภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สิ่งที่มักพบในช่วงกินเจ คือ การกินอาหารไม่ถูกต้อง ไม่ถูกสัดส่วนตามหลักโภชนาการ ส่วนประกอบของอาหารเจ มักจะทำมาจากแป้ง และ น้ำมัน หากได้รับในปริมาณมากเกินกว่าร่างกายต้องการจะทำให้สะสมเป็นไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว หรือ พุง

แม้จะงดเนื้อสัตว์ แต่จำเป็นต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ในทุกมื้อ โดยเลือก

กลุ่มข้าวแป้งที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง

กลุ่มโปรตีนจากถั่ว เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วขาว หรือถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ วอลนัท ถั่วลิสง เต้าหู้ โปรตีนเกษตร สำหรับผู้หญิงตัวเล็ก ๆไม่ได้ออกแรงอะไรมาก ควรกินโปรตีน 2-4 ช้อนกินข้าว แต่ถ้าเป็นผู้ชายตัวใหญ่ อาจกินโปรตีน 4 ช้อน หรือ 6 ช้อนสำหรับคนออกกำลังกายมาก ๆ

กลุ่มผักและผลไม้ให้ได้หลากสีสัน ทั้งสีแดง ขาว เขียว ส้ม เหลือง ม่วง

กลุ่มไขมันที่ไม่อิ่มตัว เช่น  น้ำมันรำข้าว  น้ำมันถั่วเหลือง

ขณะเดียวกันควรเลือกกินอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะเมื่อกินผักมาก ๆ ร่างกายจะต้องการน้ำในปริมาณเพิ่มขึ้น หากดื่มน้ำไม่เพียงพอจะทำให้ท้องผูก จึงควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และควรเป็นน้ำเปล่าไม่ใช่น้ำอัดลม ชา กาแฟ

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือ

อาหารแปรรูป พยายามเลือกอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด เช่น อาหารกระป๋อง อาหารแห้ง อาหารดอง มักจะมีการใส่เกลือหรือโซเดียมในปริมาณสูง ทำให้ร่างกายทำงานหนัก และจะเร่งกลไกการเปลี่ยนแปลงน้ำตาลไปเป็นไขมันมากขึ้น จะทำให้อ้วนลงพุงได้ง่าย

ไขมันอิ่มตัว เช่น เนยขาว น้ำมันปาล์ม

เครื่องปรุงประเภทซอสปรุงรส มีส่วนผสมทั้งน้ำตาล น้ำมัน เกลือ ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดการบวมน้ำ และเป็นสาเหตุให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงตามมาได้
 
อาหารเจส่วนใหญ่จะมีแร่ธาตุแคลเซียมน้อย มีงานวิจัยบางชิ้นระบุว่า หากได้รับแคลเซียมไม่เพียงพออาจส่งผลต่อความอ้วนได้ โดยอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ผักสีเขียวเข้ม งาดำ งาขาว สาหร่าย เต้าหู้ ถั่วต่าง ๆ

ระหว่างกินเจอาจมีความรู้สึกว่าหิวง่ายเนื่องจากร่างกายอาจได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ จึงต้องกินอาหารว่างที่มีประโยชน์ เช่น ผลไม้สด เมล็ดธัญพืชอบกรอบ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน นมถั่วเหลืองผสมธัญพืช เต้าฮวยน้ำขิง ขนมปังไม่ขัดสี ข้าวโพดคลุก

ถ้ากินเจให้ถูกต้องตามสัดส่วนโภชนา การสามารถกินได้ทุกเพศทุกวัย ที่มักจะขาด คือ โปรตีน ธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 แคลเซียม ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ การเจริญเติบโตไม่ดี ดังนั้นจำเป็นต้องเลือกแหล่งที่มาของอาหารอื่นทดแทน

สำหรับเมนูเจในแต่ละมื้อ ถ้าให้พูดชื่อเมนูคงยาก เพราะความชอบของแต่ละคนแตกต่างกัน ดังนั้นอยากให้ยึดหลักว่า แต่ละมื้อควรเน้นความหลากหลาย เช่น มื้อเช้า ข้าวต้มใส่ธัญพืช ใส่เต้าหู้ กลางวัน ผัดผัก แกงจืด ไม่ใช่ว่า เช้าเต้าหู้ทอด กลางวันผัดหมี่เจ เย็นผัดผัก คือ กินแต่อาหารเจผัด ๆ ทอด ๆ ทุกมื้อ ที่สำคัญคือ ในแต่ละมื้อควรทานผลไม้หลากสีสันด้วย.

นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #187 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2013, 09:30:46 am »
ถั่วงอก - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/239518-



ถั่วงอกเป็นผักที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง มีประโยชน์สำหรับร่างกาย มีส่วนช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ผิวนุ่ม เปล่งปลั่งดูมีน้ำมีนวล  รับประทานถั่วงอกเป็นประจำจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง วิตามินซีจากถั่วงอกช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกาย และช่วยป้องกันหวัดได้อีกด้วย ช่วยบำรุงประสาทและสมอง ช่วยในการทำงานของสมอง  ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน เนื่องจากมีแคลเซียมสูง มีส่วนช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน  ช่วยในการชะลอวัย ต้านความแก่ เนื่องจากมีสารออซินอน ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย ป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้ การรับประทานถั่วงอกเป็นประจำ จะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองและการเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันได้ เพราะไปช่วยลดระดับไขมันเลว วิตามินซีจากถั่วงอกเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างฮอร์โมนระงับความเครียดต่าง ๆ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนวัยทำงาน.

------------------------------------------------

ลูกจันทน์เทศ - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/239263-



จันทน์เทศมีความสำคัญสำหรับการผลิตเครื่องเทศสองอย่าง คือ เมล็ดจันทน์เทศ และ ดอกจันทน์เทศ ในตำรายาไทย ลูกจันทน์ จะนำมาใช้แก้ธาตุพิการ บำรุงกำลัง แก้ไข้ บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้จุกเสียด ขับลม รักษาอาการอาหารไม่ย่อย คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย แก้บิด แก้กำเดา แก้ท้องร่วง แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้เสมหะโลหิต แก้ปวดมดลูก และบำรุงโลหิต เปลือกเมล็ด รสฝาดมีมันหอม นำมาใช้สมานบาดแผลภายใน แก้ท้องอืด แก้ปวดท้อง ในประเทศอินโดนีเซียจะใช้ลูกจันทน์เทศรักษาอาการท้องเสีย และนอนไม่หลับ

นอกจากนี้ในบัญชียาจากสมุนไพร ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5) ปรากฏการใช้ลูกจันทน์ ในยารักษาอาการโรคในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย คือยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) ยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร มีส่วนประกอบของลูกจันทน์ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในตำรับ มีสรรพคุณ บรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ.

---------------------------------------------------------

พิกุล - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/239008-



พิกุลเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 8-15 ม. เรือนยอดแน่นทึบ เปลือกต้นสีน้ำตาลเทา มีรอยแตกระแหงตามแนวยาว ใบ เป็นใบเดี่ยว เกิดเรียงกันแบบสลับ ลักษณะใบมนเป็นรูปไข่ หรือรูปไข่แกมหอก มีขนาดกว้าง 2-5 ซม. ยาว 5-10 ซม. โคนใบสอบมอน ปลายใบเรียวหรือหยักเป็นติ่ง ดอกเกิดเป็นกระจุกตามง่ามใบและตามยอด มีสีขาวปนเหลือง กลีบรองดอกมี 8 กลีบ เรียงเป็น 2 วง ๆ ละ 8 แฉก ดอกบานมีกลิ่นหอม ออกดอกตลอดปี ผลรูปไข่กลมถึงรี ภายในมีเมล็ดเดียว การแพทย์แผนไทยจะใช้ ดอกสด เข้ายาหอม ทำเครื่องสำอาง แก้ท้องเสีย ดอกแห้ง ใช้เป็น  เป็นยาบำรุงหัวใจ ปวดหัว เจ็บคอ ขับเสมหะ ผลสุก รับประทานแก้ปวดศีรษะและแก้โรคในลำคอและปาก เปลือก ทำยาอมกลั้วคอ ล้างปาก แก้เหงือกบวม รำมะนาด เมล็ด นำมา ตำแล้วใส่ทวารเด็ก แก้โรคท้องผูก ใบ ใช้ ฆ่าพยาธิแก่นที่ราก ใช้ เป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต ขับลม ส่วนกระพี้ ใช้  แก้เกลื้อน

--------------------------------------

ข้าวสินเหล็ก - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 8 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/238437-



ข้าวสินเหล็กเป็นพันธ์ข้าวเกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างข้าวเจ้าหอมนิล กับ ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เป็นข้าวสีขาวที่มีกลิ่นหอม  รูปร่างเมล็ดเรียวยาว ไม่ไวต่อช่วงแสง ปลูกได้ตลอดทั้งปี มีความต้านทานต่อโรคไหม้ข้าวสินเหล็กในฐานะเป็นข้าวหอมนุ่มที่มี ดัชนีน้ำตาล ต่ำถึงปานกลาง มีธาตุเหล็กในเมล็ดสูง ลักษณะประจำพันธุ์ มีความสูงประมาณ   148 ซม.อายุเก็บเกี่ยว 120 วันผลผลิต  600-800 กก.ต่อไร่  ความยาวของเมล็ด  ข้าวเปลือก 11 ม.ม. ข้าวกล้อง 7.6 ม.ม. ข้าวขัด 7.0 ม.ม. เป็นข้าวอีกชนิดหนึ่งที่กำลังได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการบริโภคกันอย่างกว้างขวางเนื่องจากมีผลในทางบวกต่อร่างกายในการต้านทางโรค
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #188 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2013, 10:13:30 pm »
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเวลาป่วย

-http://men.sanook.com/1442/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2/-




สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยอาจทำให้ร่ายกายคนเราไม่สบาย ซึ่งก็ต้องรักษาด้วยการพักผ่อนและกินยา แต่ทราบหรือไม่ว่า อาหารก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญ วันนี้จะพาไปพบกับอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเวลาป่วย

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงยามป่วยไข้ ประเภทแรกที่อาจหลีกเลี่ยงได้ยากเหลือเกิน คือ "ขนมหวาน" เพราะอาหารจำพวกนี้ มักมีไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร

ประเภทต่อมาคือ "เนื้อแปรรูป" จะด้วยวิธีรมควัน หรือปรุงรสด้วยน้ำตาลและเกลือก็ตาม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเช่น "เบคอน" ที่มีสารในกลุ่มไนเตรทสูง การบริโภคในปริมาณมากอาจสะสม และทำให้เกิดมะเร็ง นอกจากนี้ ยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแออีกด้วย

ถัดมาคือ "น้ำส้ม" ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมาก เพราะคนส่วนใหญ่รับรู้มาตลอดว่าน้ำส้มมีประโยชน์มาก แต่ว่าน้ำส้มที่รับประทานกันส่วนใหญ่มีน้ำตาลมาก ซึ่งน้ำตาลนี้เองที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และยังมีสภาพเป็นกรด เมื่อดื่มในขณะท้องว่างก็จะกัดกระเพาะอาหาร จะยิ่งทำให้ปวดท้องมากขึ้น

อาหารประเภทต่อมาที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ "ถั่ว" เพราะถั่วทำให้เกิดเสมหะในลำคอ และอาจทำให้ท้องผูก ซึ่งแม้จะไม่มีผลโดยตรงต่อระบบร่างกาย แต่ก็จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่ ไม่สบายเนื้อสบายตัวได้

"เนื้อแดง" ก็เป็นอาหารอีกประเภทที่ส่งผลต่อร่างกายคล้ายกับ "ถั่ว" คือ ทำให้เกิดน้ำมูกและเสมหะ นอกจากนี้ ไขมันในเนื้อยังทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักด้วย

"แอลกอฮอล์" เป็นอีกสิ่งที่ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยง เพราะมีฤทธิ์หักล้างกับตัวยาทุกอย่าง ทำให้การรักษาโรคไม่เกิดผล และตัวแอลกอฮอล์เองยังมีฤทธิ์ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้อง

ต่อมาคือ "คาเฟอีน" ซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างกายสามารถย่อยได้ยาก การเลิกดื่มชา กาแฟ และเครื่องดื่มคาเฟอีนอื่น ๆ จะทำให้หายป่วยได้เร็วยิ่งขึ้น

อาหารอีกชนิดที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ "อาหารเผ็ดร้อน" เพราะอาหารที่มีรสเผ็ดจะทำให้เกิดแก๊ส ซึ่งจะทำให้อึดอัดแน่นท้อง ไม่สบายเนื้อสบายตัว

"อาหารที่ไม่ผ่านการปรุง" ก็เป็นอาหารต้องห้ามอีกอย่างสำหรับคนป่วย ทั้งผักสลัดและอาหารอื่น ๆ เพราะนอกจากจะย่อยยาก ร่ายกายต้องทำงานหนักมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อแบคทีเรียมากยิ่งขึ้น

"ผลิตภัณฑ์นม" ต่าง ๆ ก็เป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะเต็มไปด้วยไขมันโมเลกุลหนักและซับซ้อน ทำให้ย่อยยาก และนอกจากนี้ บางคนยังมีอาหารแพ้นมระหว่างที่ป่วยด้วย

จากประเภทอาหารทั้งหมดที่กล่าวไปนี้ แสดงให้เห็นว่าอาหารการกินเป็นเรื่องสำคัญกว่าที่คิด เพราะฉะนั้น อาการป่วยก็ไม่ควรเป็นข้ออ้างที่จะทำให้คนเราตามใจปากอีกต่อไป


------------------------------------------------------------

อย่าใช้เกลือล้างผักและผลไม้นะ

-http://campus.sanook.com/1221858/%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%B0/-


หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าการใช้น้ำเกลือล้างผักจะช่วยให้ผักสะอาดหมดจดได้ ความจริงแล้วเกลือเป็นโซเดียมคลอไรด์ที่มีส่วนทำให้สารตกค้างอย่างยาฆ่าแมลงนั้นคงทนยิ่งขึ้น ทำให้มันยังตกค้างอยู่ในผักและผลไม้ การล้างผักและผลไม้ที่ถูกต้องนั้นควรล้างด้วยน้ำเปล่าก่อนหนึ่งครั้ง จากนั้น นำไปแช่โดยใส่แป้งสาลีผสมลงในน้ำด้วยเล็กน้อย เพราะมันจะช่วยล้างสารพิษจากยาฆ่าแมลงออกไปได้ หรืออีกวิธี ก็คือล้างด้วยน้ำเปล่าซ้ำกันหลายๆ ครั้ง และจะดียิ่งขึ้นหากปล่อยผักและผลไม้ไว้ที่อุณหภูมิห้องก่อนครึ่งวันแล้วค่อยนำมาล้าง

ข้อมูลโดย : Lisaguru
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #189 เมื่อ: ตุลาคม 19, 2013, 08:52:40 am »
แลคโตส คืออะไร

-http://club.sanook.com/11232/%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B8%AA-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-


แลคโตส คืออะไร

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “แลคโตส” อยู่บ่อยๆ แต่ก็คงยังไม่รู้แบบลึกซึ้งจริงๆ ว่าแท้จริงแล้ว “แลคโตส” นั้น คืออะไรและมีประโยชน์กับเราอย่างไรบ้าง ซึ่งวันนี้เราเอาบทความเกี่ยวเรื่องของ “แลคโตส” มาฝากกันค่ะ


แลคโตส (lactose or milk sugar) หรือน้ำตาลนม เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่สำคัญ พบในน้ำนมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แลคโตส สังเคราะห์ขึ้นในเต้านม น้ำนมจะมีแลคโตสเฉลี่ยประมาณ ๔.๘ เปอร์เซ็นต์ แลคโตสมีความสำคัญในอุตสาหกรรมนม เนื่องจากแลคโตสถูกทำให้ สลายตัวได้ง่ายโดยแบคทีเรีย ทำให้เกิดกรดแลคติค ซี่งทำให้น้ำนม มีรสเปรี้ยว แลคโตสซึ่งผลิตเป็นการค้าเตรียมได้จาก เวย์ (Whey) ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการทำเนยแข็ง

ประโยชน์ของแลคโตส

    ช่วยในการสร้างเซลสมองของเด็กอ่อน
    ใช้ในการทำยาเม็ด และยาชนิดแคปซูล
    เป็นตัวควบคุมการ fermentation ของผลิตภัณฑ์นม เพราะแลคโตสเป็นแหล่งอาหารอย่างดีสำหรับจุลินทรีย์
    ทำให้เกิดสีและกลิ่นในผลิตภัณฑ์นมและขนมปัง เนื่องจากแลคโตส เมื่อถูกความร้อนจะให้สีน้ำตาล (caramel) หรือปฏิกริยาที่เรียกว่า Maillard reaction
    ใช้เป็นตัวนำให้แลคโตส ในนมข้นหวานตกตะกอนได้เร็วขึ้น เพราะถ้าแลคโตส ตกตะกอนไม่หมดเวลานำมารับประทานจะรู้สึกสากลิ้น (sandy)
    ใช้เป็นส่วนประกอบของ media ในการเลี้ยงเชื้อรา penicill


Credit : ku.ac.th ,ผลิตภัณฑ์จากน้ำนม พ.ศ.๒๕๒๕, หน้า ๑๑-๑๒, สุวรรณา กิจภากรณ์
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)