ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129510 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 9 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #230 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2013, 01:26:43 am »
ชู “ใบบัวบก” ยาอายุวัฒนะ ช่วยรู้สึกเป็นหนุ่ม!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 ธันวาคม 2556 16:24 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000157273-


 กรมแพทย์แผนไทยแนะให้ยาสมุนไพรเป็นของขวัญปีใหม่ ชูตำรับยาอายุวัฒนะ 5 กลุ่ม ชู “ใบบัวบก” ช่วยให้สดชื่น รู้สึกเป็นหนุ่ม ตำรับยาเบญจกุลช่วยปรับธาตุในร่างกาย เห็ดหลินจือช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


       วันนี้ (23 ธ.ค.) นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวเปิดโครงการทำดีเพื่อพ่อ ตามรอยวิถีชีวิตพอเพียงกับกิจกรรมตลาดนัดสมุนไพร ว่า การจัดงานครั้งนี้เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และนำแนวทางพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ให้เป็นรูปธรรม โดยชูเรื่องการใช้ยาสมุนไพรใกล้ตัวที่มีประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพ และเพื่อเป็นการต้อนรับปีใหม่ 2557 จึงอยากเชิญชวนประชาชนให้หันมาดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพร พร้อมให้กระเช้าของขวัญเป็นยาสมุนไพรต่างๆ เนื่องจากมีคุณสมบัติดีเยี่ยมในการปรับสมดุล และช่วยให้ร่างกายต้านโรคภัยไข้เจ็บ เรียกว่าเป็นตำรับยาอายุวัฒนะ
       
       นพ.ธวัชชัย กล่าวอีกว่า ตำรับยาอายุวัฒนะที่ช่วยให้สุขภาพดี อายุยืน มีด้วยกันหลายชนิด แต่ที่กรมฯอยากแนะนำ คือ 1.ตำรับตรีผลา ประกอบด้วย มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก ช่วยบำรุงร่างกาย เจริญอาหาร ขับน้ำเหลืองเสีย ฯลฯ 2.ตำรับยาเบญจกุล ประกอบด้วย เหง้าขิง รากเจตมูลเพลิง ดีปลี รากช้าพลู และเถาสะค้าน ช่วยปรับสมดุลธาตุในร่างกาย คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เสริมภูมิคุ้มกัน เจริญอาหารได้ดี เป็นยาอายุวัฒนะ 3.บัวบก ช่วยให้สดชื่น รู้สึกเป็นหนุ่ม ให้ความชุ่มชื่นระดับเซลล์ ให้เซลล์อ่อนวัย 4.เห็ดหลินจือ ช่วยฟื้นฟูอวัยวะ สร้างภูมิคุ้มกันกับร่างกาย และ 5.ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรที่ช่วย บรรเทาอาการหวัด และเสริมภูมิต้านทานดีกว่าการใช้ยาปฏิชีวนะในคนที่เป็นหวัดบ่อยๆ ร้อนในบ่อยๆ เนื่องจากร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้ไม่เป็นหวัดง่าย
       
       “สมุนไพรทั้ง 5 กลุ่ม มีสรรพคุณช่วยให้ร่างกายอบอุ่นในหน้าหนาวได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีในช่วงอากาศหนาวเย็นให้รับประทานพืชผักที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น ขิง ใบกะเพรา กระชายก็ช่วยได้ แต่การดูแลสุขภาพให้มีอายุยืนยาว มีสุขอนามัยที่ดีนั้น ไม่ใช่แค่การรับประทาน แต่ต้องมีปัจจัยอื่นๆ เรียกว่า 3 อ.คือ อาหาร ต้องรับประทานครบห้าหมู่ เลือกพืชผักสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งทางการแพทย์แผนไทยมีฤาษีดัดตน โดยพิสูจน์ไปทั่วโลกว่าช่วยให้ร่างกายแข็งแรงจริง และอารมณ์ ต้องรู้จักปรับอารมณ์ให้นิ่ง อย่าโกรธง่าย โดยอาจหัดนั่งสมาธิปรับอารมณ์ให้เย็นและนิ่ง หากทำได้ทั้งหมด อายุวัฒนะก็ไม่ไกลเกิน” อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กล่าว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับตลาดนัดสมุนไพรที่จัดขึ้นภายในบริเวณอาคารกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ มีขึ้นระหว่างวันที่ 23-27 ธันวาคม 2556 เวลา 10.00-17.00 น.โดยภายในงานเป็นการรวมตัวกันของภาคีเครือข่ายผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มีการออกร้านจำหน่ายสมุนไพร พืชผักพื้นบ้าน อาหารสุขภาพมากมาย อีกทั้ง ยังมีบูธกิจกรรมรณรงค์ให้ประชาชนหันมาให้ของขวัญปีใหม่เป็นกระเช้าสมุนไพร 6 กลุ่ม คือ กระเช้าอายุวัฒนะ กระเช้าสาวพันปี กระเช้าชาสมุนไพรเพื่อสุขภาพ กระเช้าไม้สมุนไพรนานาพันธุ์ กระเช้าน้ำสมุนไพร และกระเช้าสมุนไพรป้องกันโรคเรื้อรัง เป็นต้น


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #231 เมื่อ: ธันวาคม 29, 2013, 10:13:53 am »
อาหาร "ช่วยคลายหนาว"

-http://campus.sanook.com/1370443/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-

ช่วงอากาศหนาวร่างกายโหยหาความอบอุ่นเสื้อผ้าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายและอีกอย่างที่สำคัญเช่นกันคือการดูแลสุขภาพการกินอาหารก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะช่วยสร้างความอบอุ่นให้ยามหนาวได้ นั่นคือการเลือกกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงาน เช่น แป้ง ข้าว อาหารที่มีไขมัน เป็นต้น แต่หากกินอาหารที่ให้พลังงานสูง และไม่ออกกำลังกายอาจส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้

ดังนั้นการกินอาหารในช่วงอากาศหนาวคนโบราณและแพทย์แผนไทยแนะนำให้กิน เช่น น้ำขิง ,บัวลอยงาดำในน้ำขิง หมี่เย็น หมี่หวาน ข้าวมันไก่ เป็นต้น หากเป็นผักสมุนไพร โดยเฉพาะพวกขี้เหล็ก ดอกแค สะเดา ซึ่งเป็นพืชผักที่ขึ้นในฤดูหนาว สามารถนำมาประกอบอาหารเป็นแกงส้ม แกงสะเดา ก็จะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายได้


นอกจากนี้ยังมีผักสมุนไพรอาหารทั่วๆ ไป ที่กินได้ทังวัน และช่วยสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย ได้แก่ ผักชี, อบเชย, ข้าวเจ้า, ข้าวเหนียว, ข้าวโพด, ข้าวสาลี, ขิงสด, พริกไทย, พริกหอม, เทียนสัตตบุษย์, ต้นหอม, ขึ้นไช่, ผักกวางตุ้ง, กุยไช่, เผือก, งา, ลิ้นจี่, เนยใสผสมน้ำผึ้ง, เนื้อวัว, เนื้อแพะ, เขากวางอ่อน, โสม, ดีปลี

และผลไม้ในช่วงหน้าหนาวนี้ คือสับปะรด แต่ไม่ควรกินมากเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูงควรเลือกกินครั้งละ 6-8 คำ

**สิ่งสำคัญอีกประการคือการเลือกกินอาหารที่ปรุงสุก สะอาด และสดใหม่**


-----------------------------------------------------------


แบบว่า กินไม่ได้ แต่ขออนุญาตลงครับ


--------------------------------------

ออกกำลังกายสมอง แก้ปัญหาคิดช้า มึนงง หลงๆ ลืมๆ

-http://campus.sanook.com/1370441/%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%A1%E0%B8%B6%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%87-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B9%86-%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%A1%E0%B9%86/-



1.ท่าบริหารปุ่มสมอง นวดไหปลาร้า 30วินาที เป็นการกระตุ้นให้เลือกไปเลี้ยงสมองได้ดี

2.ท่าบริหารปุ่มขมับ ใช้นิ้วนวดขมับเบาๆ 30วินาที เพื่อให้สมองสองซีกทำงานสมดุลกัน

3.ท่าบริหารท่าจีบ L มือหนึ่งจีบ อีกมือหนึ่งทำเป็นรูป L ทำสลับไปมา 10ครั้ง เพื่อกระตุ้นการทำงานที่สัมพันธ์ของมือกับตา


--------------------------------------

ระวัง! 7 ข้อห้ามการอบสมุนไพร
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 ธันวาคม 2556 07:21 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000159445-

 การอบสมุนไพรเป็นวิธีการบำบัดรักษา และส่งเสริมสุขภาพตามหลักของการแพทย์ไทยด้วยสมุนไทยๆที่หาได้ตามท้องถิ่น โดยใช้การอบสมุนไพรนั้นมีประมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย ช่วยทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น ช่วยให้ร่างกายขับเหงื่อออกมากขึ้น ขยายรูขุมขน ทำให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้น ช่วยละลายเสมหะ ลดอาการอักเสบและบวมที่เหยื่อบุทางเดินหายใจตอนบน ลดการระคายเคืองในลำคอ อีกทั้งเมื่ออบแล้วจะทำให้รู้สึกสบายตัว ลดอาการปวดศีรษะด้วย
ลักษณะสมุนไพรที่ใช้ในการในการอบนั้น แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม
       กลุ่มที่ 1 สมุนไพรที่มีกลิ่นหอม กลุ่มนี้มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์เป็นน้ำมันหอมระเหย ซึ่งจะช่วยรักษาโรคต่างๆ เช่นโรคผิวหนัง ปวดเมื่อย หวัดคัดจมูก ตัวอย่างสมุนไพรเช่น ไพล ขมิ้นชัน
       กลุ่มที่ 2 สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว กลุ่มนี้มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆซึ่งจะช่วยชะล้างสิ่งสกปรก และเพื่อมความต้านทานโรคให้กับผิวหนัง ตัวอย่างเช่น ใบมะขาม ใบและฝักส้มป่อย
       กลุ่มที่ 3 เป็นสารประกอบที่ระเหิดได้เมื่อถูกความร้อนและมีกลิ่นหอม เช่นการบูร พิมเสน
       กลุ่มที่ 4 สมุนไพรที่ใช้รักษาเฉพาะโรค เช่นรักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน จะต้องใช่เหงือกปลาหมอเป็นต้น
        อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะอบสมุนไพร เราทำความรู้จักสรรพคุณของสมุนไพรแต่ละตัวกันก่อนสักเล็กน้อย เพื่อที่เราจะเลือกสมุนไพรมาอบให้ถูกกับความต้องการ เช่น "ไพล" แก้อาการปวดเมื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว "ขมิ้นชัน" แก้โรคผิวหนังสมานแผล "กระชาย" แก้ปากเปื่อย ปากแตกเป็นแผล ใจสั่น "ตะไคร้" ดับกลิ่นคาว บำรุงธาตุไฟ "ใบมะขาม" แก่อาการคันตามร่างกาย "ใบเปล้าใหญ่" ช่วยถอนผิดสำแดง บำรุงผิวพรรณ "ใบ-ลูกมะกรูด" แก้ลมวิงเวียน ช่วยระบบทางเดินหายใจ "ใบหนาด" แก้โรคผิวหนัง พุพองน้ำเหลืองเสีย "ใบส้มป่อย" แก้หวัด แก้ปวดเมื่อย "ว่านน้ำ" ช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้ "พิมเสน การบูร" บำรุงหัวใจ รักษาโรคผิวหนัง "เหงือกปลาหมอ" แก้โรคผิวหนัง พุพองน้ำเหลืองเสีย "ชะลูด" แก้ร้อนในกระสับกระส่าย ดีพิการ "กระวาน" แก้เจ็บตา ตาแฉะ ตามัว และ "เกษรทั้ง 5" ช่วยระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น
       
        ทั้งนี้ โรคทุกไม่สามารถรักษาด้วยสมุนไพรได้หมด แต่โรคและอาการที่เหมาะแก่การรักษาด้วยการอบสมุนไพร ได้แก่ โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด ในระยะอาการที่ไม่รุนแรง เป็นหวัด น้ำมูกไหล โรคที่ไม่ได้เป็นการเจ็บเฉพาะที่ หรือเป็นเฉพาะที่มีหลายตำแหน่ง เช่นอำมพาต ปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือาการบางอย่าง เช่น ยอก โรคเรื้อรังต่างๆ เช่นโรคเบาหวาน โรคเก๊าท์ ซึ่งโรคเหล่านี้อาจจะต้องใช้การอบสมุนไพรร่วมกับการรักษาอื่นๆตามความเหมาะสม อย่างเช่น หัตเวชกรรม ประคบสมุนไพร นอกจากนี้การอบสมุนไพรยังช่วยในเรื่องของสุขภาพแม่หลังคลอดบุตรด้วย
        แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ การอบสมุนไพรยังมีข้อควรระวังอยู่ โดยข้อห้ามสำหรับการอบสมุนไพร มีทั้งหมด 7 ข้อ คือ
       1.ไม่ควรทำการอบสมุนไพรขณะมีไข้สูง(มากกว่า 38 องศาเซลเซียส) เพราะอาจมีการติดเชื้อ
       2.ผู้ที่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงทุกชนิด
       3.มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคไต โรคหัวใจ โรคลมชัก โรคหอบหืดระยะรุนแรง โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่รุนแรง ในรายที่มีความดันโลหิตสูง 180 มิลลิเมตรปรอท สามารถอบได้ตามดุลยพินิจของแพทย์แต่ต้องได้รับการดูแลอย่างไกล้ชิด
       4.ผู้หญิงที่มีประจำเดือน ร่วมกับมีอาการไข้ร่วมด้วย
       5.มีการอักเสบจากบาดแผลต่างๆ
       6.อ่อนเพลีย อดนอน อดอาหาร หรือหลังรับประทานอาหารใหม่ๆ
       และ 7.ปวดศระษะชนิดรุนแรง คลื่นใส้
        หากคุณผ่านฉลุยสำหรับข้อห้ามในการอบสมุนไพร ก็ลงมืออบสมุนไพรได้เลย ซึ่งมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. อาบน้ำ เพื่อชำระสิ่งสกปรกที่อาจติดอยู่ตามรูขุมขน และเพื่อเป็นการเตรียมเส้นเลือดให้พร้อมต่อการยืดขยายและหดตัว แล้วแต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น 2.เข้าอบตัวในห้องสมุนไพรที่มีการควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ระหว่าง 42-45 องศาเซลเซียส ใช้เวลาในการอบ 30 นาที โดยอบสองครั้ง ครั้งละ 15 นาที และออกมาพัก 3-5 นาทีพร้อมทั้งดื่มน้ำทดแทนแต่ไม่ควรเป็นน้ำเย็นจัด สำหรับบุคคลที่ไม่เคยอบควรจะให้อบ ครั้งละ 10 นาที 3 ครั้ง และ 3.หลังการอบสมุนไพรแล้วไม่ควรอาบน้ำทันทีให้นั่งพัก 3-5 นาทีหรือจนเหงื่อแห้งแล้งจึงอาบน้ำอีกครั้งเพื่อชำระคราบเหงื่อไคลและสมุนไพร และช่วยให้เส้นเลือกหดตัวลงเป็นปกติ เท่านี้คุณก็สามารถอบสมุนไพรได้อย่างปลอดภัย ช่วยให้ร่างกายสบาย ได้รับสรรพคุณต่างๆ จากสมุนไพรอย่างเต็มที่


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 29, 2013, 10:44:38 am โดย sithiphong »
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #232 เมื่อ: ธันวาคม 29, 2013, 11:12:27 am »
เค้ก-คุกกี้ปีใหม่ กินเพลินไม่ยั้ง ระวังพุงมาไม่รู้ตัว

-http://health.kapook.com/view78819.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ช่วงเดือนแห่งการเฉลิมฉลองอย่างนี้ หลายที่มีการจัดเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ขณะที่หลายคนก็มักจะได้รับขนมเค้ก คุกกี้ ช็อกโกแลตจากคนรู้จักมาเป็นของขวัญ แต่ทว่าถ้าเผลอกินเพลินจนหมดทั้งกล่อง เพราะพ่ายแพ้ความอร่อยล่ะก็ รับรองว่าหลังจากนี้คำว่า "อ้วนลงพุง" มาเคาะประตูเรียกแน่นอน

          งานนี้ กระปุกดอทคอมเลยขอนำข้อมูลจากกรมอนามัยที่ได้แนะนำวิธีการรับประทานอาหารในช่วงเทศกาลให้ได้คุณค่าทางโภชนาการและไม่เสี่ยงลงพุงมาบอกกัน ด้วยเทคนิคดี ๆ แบบนี้เลย

          ควรทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบทั้ง 5 หมู่ หรือปรุงด้วยเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น ปลา หรือเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน

          ทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ บรรจุในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด

          หากจำเป็นต้องปรุงอาหารเลี้ยงคนจำนวนมาก ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่เสี่ยงต่อการเกิดท้องเสียได้ง่าย เช่น ลาบ ยำ พล่าต่าง ๆ หรืออาหารที่ปรุงด้วยกะทิ  ลดรสหวาน มัน เค็ม

          หลีกเลี่ยงการกินขนมหวานประเภทเค้ก คุกกี้ เพราะหากกินในปริมาณที่มากเกินไปติดต่อกันเป็นประจำโดยไม่มีการควบคุม จะทำให้ร่างกายขาดความสมดุลของสารอาหารชนิดต่าง ๆ เพราะร่างกายได้รับสารอาหารบางอย่างมากเกินไป เช่น ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และขาดการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดโรคอ้วนลงพุงและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง


เค้ก-คุกกี้ ของอร่อย ๆ แบบนี้กินได้แค่ไหน?

          สำหรับการกินขนมหวาน อย่าง เค้ก คุกกี้ นั้น ช่วงเทศกาลนาน ๆ ทีแบบนี้ก็ไม่ได้มีใครห้ามหรอกนะจ๊ะ แต่ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะส่วนผสมของขนมพวกนี้ทำมาจากแป้ง น้ำตาล เนย ไข่ และไขมัน แถมยังมีรสหวานเสียด้วย ซึ่งจะทำให้เรากินเพลินเกินปริมาณโดยไม่ได้ระมัดระวัง แบบนี้น้ำหนักตัวเพิ่มเอาได้ง่าย ๆ เลยล่ะ

          โดยจากข้อมูลของกรมอนามัย ระบุว่า ขนมเค้ก 1 ชิ้นเล็ก ที่มีขนาด 35 กรัม ให้พลังงานมากถึง 140 กิโลแคลอรี่ ในขณะที่คุกกี้ 1 ชิ้น ที่มีขนาด 10 กรัม  ให้พลังงานตั้ง 51 กิโลแคลอรี่ ดังนั้น หากกินเค้กติดต่อกัน ในปริมาณ  1 ปอนด์ต่อวัน จะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานถึง 1,600 กิโลแคลอรี่ ซึ่งทำให้ร่างกายได้รับพลังงานจากเค้กอย่างเดียวเกือบเท่ากับที่ร่างกายต้องการพลังงานจากอาหารอื่น ๆ วันละ 1,600-2,000 กิโลแคลอรี่เลยทีเดียว ทำให้เราทานอาหารได้ไม่หลากหลาย

          นอกจากเรื่องน้ำหนักตัวที่ต้องระวังแล้ว เรื่องวันหมดอายุของเค้กก็ต้องคำนึงถึงเช่นกัน เพราะตัวเค้กที่มีส่วนผสมทั้งไข่ เนย แป้ง และน้ำตาล มักเสียง่ายหากเก็บไว้ในที่ร้อนหรือเก็บไว้ในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม ส่วนหน้าเค้กส่วนใหญ่จะทำด้วยไขมันและน้ำตาล แม้ว่าจะเสียยากกว่าตัวเนื้อเค้กแต่หากเก็บไว้นานอาจเหม็นหืนและมีเชื้อราขึ้นได้ จึงควรกินให้หมดทันทีหรือกินตามวันหมดอายุที่ได้ระบุไว้

          อย่างไรก็ตาม ถ้าเผลอกินเค้ก คุกกี้ หรืออาหารจัดเลี้ยงจนเกินปริมาณไปแล้ว ก็อย่าลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการสะสมของไขมัน โรคอ้วนลงพุงจะได้ไม่ตามมาเป็นของขวัญปีใหม่ที่ไม่มีใครอยากได้เลย จริงไหมคะ?


------------------------------------------------------------------------------


ไม่ต้องทนอด ! ของอร่อยพวกนี้ ลดความอ้วนก็กินได้

-http://health.kapook.com/view78812.html-




ไม่ต้องทนอด ! ของอร่อยพวกนี้ ลดความอ้วนก็กินได้ (Lisa)

          สำหรับสาว ๆ ที่ชอบกินของว่างระหว่างทำงาน ทั้งคลายเครียดและคลายหิว แต่ยังอยากหุ่นเป๊ะอยากกินแต่ไม่อยากอ้วน Lisa จัดให้

ทำไมต้อง 200 แคลอรี่?

          อาหารว่างเป็นแค่ของกินระหว่างมื้อ ไม่ว่าจะกำลังอยู่ในช่วงไดเอต หรือแค่อยากรักษาน้ำหนักปัจจุบันไว้ พลังงานที่ได้รับจากของว่างก็ไม่ควรเกิน 10% ของพลังงานทั้งหมดซึ่งพอคำนวณออกมาแล้วก็ประมาณ 150-200 แคลอรี่ต่อวันเท่านั้น

ไม่ใช่แค่คลายหิวหรือคลายอยาก

          ป้องกันไม่ให้จัดเต็มกับมื้อใหญ่จนลืมนับแคลอรี่เท่านั้น แต่การกินของว่างมื้อเล็ก ๆ ในเวลา2-4 ชั่วโมงก่อนมื้อหลัก จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเบิร์นมากขึ้นด้วย

200 แคลอรี่…หน้าตาเป็นแบบนี้ !

          แอปเปิล

          แอปเปิล 4 ผล หรือ 385 กรัม หรือจะกินแค่ผลเดียวก็อิ่มสบายท้อง แถมมีน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ความอยากอาหารก็เลยลดลงอย่างรวดเร็ว

          ข้าวโพด

          ข้าวโพด 1 ฝักเล็ก หรือ 308 กรัม แม้จะมีคาร์โบไฮเดรตมากถึง 72% แต่ข้าวโพดก็มีทั้งเบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระ และเส้นใยอาหารเพียบ กินแต่พอเหมาะช่วยได้ตั้งแต่บำรุงสายตา หัวใจ ไปจนถึงความงามของผิวพรรณ

          โยเกิร์ตโลว์แฟต

          โยเกิร์ตโลว์แฟต 1 ถ้วยใหญ่ หรือประมาณ 196 กรัม อุดมไปด้วยจุลินทรีย์มีชีวิตช่วยเพิ่มสมดุลให้ลำไส้ ทำให้การขับถ่ายดีขึ้น มีแคลเซียมที่จะไปช่วยเร่งการเบิร์น และโปรตีนก็ยังทำให้อิ่มนานด้วย

          ป๊อปคอร์น

          ป๊อปคอร์น 1 ถุง หรือประมาณ 4 ถ้วยเล็ก ๆ แม้จะไม่ได้ดูเฮลตี้จ๋า แต่ก็มีเส้นใยอาหารสูงและพองจนเต็มท้อง ทำให้อิ่มเร็ว แต่ต้องพยายามเลือกแบบรสธรรมชาติ ไม่หวานและเค็มน้อย แล้วก็อย่าเคี้ยวเพลินจนเกินโควตา

            แคร็กเกอร์

          แคร็กเกอร์ 15 แผ่นหรือ 50 กรัม ถ้าเป็นคนหิวบ่อยและชอบของว่างที่เป็นคาร์โบไฮเดรต ซื้อแคร็กเกอร์โฮลวีทมาติดโต๊ะไว้บ้างก็ได้ แต่อย่าลืมว่ากินได้แค่วันละ 15 แผ่นเท่านั้นนะ

ของว่างพวกนี้ไม่เวิร์ก

          เพราะในปริมาณที่ไม่เกิน 200 แคลอรี่ มันไม่ช่วยให้คุณอิ่มท้องเลยแม้แต่น้อยน่ะสิ

          มันฝรั่งทอดกรอบ 20 แผ่นบาง ๆ มีแต่คาร์โบไฮเดรตและไขมันล้วน ๆ

          ช็อกโกแลต 8 เม็ด ยังไม่ทันหายอยากเลย พลังงานก็เกินซะแล้ว

          เยลลี่ตุ๊กตาหมี 17 ตัว ทั้งให้พลังงานสูงและไม่มีประโยชน์ เพราะอุดมไปด้วยน้ำตาลและสารปรุงแต่ง

          ไส้กรอกขนาดปกติ 1 อัน รู้ไหมว่าส่วนผสมหลักอย่างหนึ่งของไส้กรอกก็คือไขมันนี่แหละ !

ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.lisaguru.com/wp/blog/health/v14n46-28112013-01/-

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #233 เมื่อ: มกราคม 04, 2014, 09:35:12 pm »
อย.เตือนผู้ปกครอง เด็กกินขนมกรุบกรอบ เสียงเป็นโรคไต เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก เป็นความดันโลหิตสูง
วันศุกร์ 3 มกราคม 2557 เวลา 10:50 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/regional/206058/%E0%B8%AD%E0%B8%A2.%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87+%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87-


เมื่อวันที่ 3 ม .ค. นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากการที่มีการส่งข้อความเผยแพร่ผ่านทางสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับเด็กสาวบริโภคสาหร่ายทอดกรอบในปริมาณมากทุกวัน จนทำให้ม่านตาเสีย

เลนส์ตาเสื่อม และไตพัง และแพทย์แจ้งว่าอาจเกิดจากการบริโภคเกลือ และโซเดียมกลูตาเมทนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีความห่วงใยเด็ก ๆ เกรงจะได้รับอันตราย จึงขอให้ผู้ปกครองแนะนำบุตรหลานถึงการบริโภคขนมกรุบกรอบ รวมทั้งสาหร่ายทอดกรอบ เนื่องจากสาหร่ายอบแห้งธรรมดา เมื่อนำมาปรุงรสด้วยรสชาติต่าง ๆ จะมีการใส่เกลือโซเดียม และโซเดียมกลูตาเมทหรือผงชูรสเป็นส่วนผสม เพื่อให้รสชาติของสาหร่ายอร่อย ซึ่งจากผลการสำรวจพบว่า

นพ.บุญชัย กล่าวต่อว่า สาหร่ายทอดกรอบมีปริมาณโซเดียมเฉลี่ย 100 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภคหรือเทียบเท่ากับเกลือ 250  มิลลิกรัม ในขณะที่การบริโภคอาหารสำเร็จรูปที่มีรสจัด ทำให้ได้รับปริมาณโซเดียมสูงในแต่ละวัน จะทำให้เกิดอันตรายต่อเด็ก ที่สำคัญผลเสียของการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง จะทำให้เกิดการคั่งของเกลือและน้ำในอวัยวะต่าง ๆ ทำให้แขน ขา บวม เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก ทำให้ความดันโลหิตสูง รวมทั้งเกิดผลเสียต่อไต ทำให้ไตทำงานหนักขึ้น และไตเสื่อมเร็วขึ้น  อย่างไรก็ตาม อย. ได้เฝ้าระวังสุ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ สาหร่ายทั้งชนิดปรุงรสและชนิดที่ใช้ปรุงอาหาร เพื่อตรวจวิเคราะห์หาสารปรอท ตะกั่ว และสารหนูอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554-ปัจจุบัน พบว่ามีคุณภาพมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด และหากตรวจสอบแล้วพบสารปนเปื้อนเกินที่กฎหมายกำหนด จะจัดเป็นอาหารผิดมาตรฐาน และต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท นอกจากนี้ หากตรวจพบสารปนเปื้อนดังกล่าวในปริมาณที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เข้าข่ายเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เลขาธิการฯ อย. เปิดเผยถึงปริมาณเกลือ และโซเดียมให้ผู้บริโภคทราบด้วยว่า ปริมาณโซเดียมที่ควรได้รับต่อวัน ไม่ควรเกิน 2,400 มิลลิกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับเกลือแกง (โซเดียมคลอไรด์) 6 กรัม หรือเทียบเท่ากับเกลือแกงแบบร่วนละเอียดประมาณ 1 ช้อนชา นอกจากจะได้รับโซเดียมจากเกลือแล้ว ผู้บริโภคยังอาจได้รับโซเดียมจากผงชูรส (โมโนโซเดียมกลูตาเมท) ที่อยู่ในรูปของเครื่องปรุงรส/ ผงปรุงรส อีกทางหนึ่งด้วย ดังนั้น ไม่ว่าจะบริโภคอาหารสำเร็จรูป ขนมต่าง ๆ สาหร่ายทอดกรอบ

หรือสาหร่ายปรุงรส ขอให้ผู้ปกครองอ่านฉลาก แนะนำบุตรหลานอ่านฉลากด้วย ว่ามีปริมาณโซเดียมเท่าใด และควรใช้วิจารณญาณในการบริโภคว่าร่างกายควรได้รับอาหารดังกล่าวมากน้อยเพียงใด ซึ่งขณะนี้ อย. ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้แสดงข้อมูลโภชนาการในรูปแบบจีดีเอ (**Guideline Daily Amounts : GDA) หรือฉลากหวาน มัน เค็ม เพื่อนำไปสู่การ ลด หวาน มัน เค็ม จากการบริโภคอาหาร โดยกำหนดให้แสดงค่าพลังงาน น้ำตาล ไขมัน และโซเดียม ใน

1 ซอง/ห่อ และเทียบเป็นค่าร้อยละ (%) ของปริมาณสูงสุดที่ควรได้รับในแต่ละวัน บนด้านหน้าฉลากกับอาหารขบเคี้ยว

5 ชนิด

อาทิ มันฝรั่งทอดหรืออบกรอบ ข้าวโพดคั่วทอดหรืออบกรอบ ข้าวเกรียบหรืออาหารขบเคี้ยวชนิดอบพอง ขนมปังกรอบหรือแครกเกอร์หรือบิสกิต และเวเฟอร์สอดไส้ และอยู่ระหว่างขยายให้ครอบคลุมอาหารอื่น ได้แก่ ช็อกโกแลต ผลิตภัณฑ์ขนมอบ อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารมื้อหลักที่เป็นอาหารจานเดียว ซึ่งต้องเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นหรือตู้แช่แข็งตลอดระยะเวลาจำหน่าย และผลิตภัณฑ์อาหารขบเคี้ยวอื่น ซึ่งก็รวมถึงสาหร่ายทอดกรอบด้วย เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นได้ชัดเจนและเข้าใจได้ง่าย สามารถตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารที่เหมาะสมต่อสุขภาพ อย่างไร ก็ตาม

"ขอแนะผู้บริโภคให้ยึดหลัก 3 ฉ. สนองสุขภาพดี เริ่มต้นที่นี่ คือ ฉลาก ฉลาด และเฉลียว โดยอ่านฉลาก ทุกครั้ง ฉลาดซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีประโยชน์ และเฉลียวใจในการดูสภาพของผลิตภัณฑ์ ตรวจสอบไม่ให้มีสิ่งใดปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์ เพื่อสุขภาพที่ดี อย่างไรก็ตาม หากผู้บริโภคพบเห็นผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย หรือไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน ร้องเรียนมาได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดที่พบการกระทำความผิด"  เลขาธิการฯ อย.กล่าว


http://www.dailynews.co.th/Content/regional/206058/%E0%B8%AD%E0%B8%A2.%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87+%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #234 เมื่อ: มกราคม 05, 2014, 07:42:55 am »
เปิดเมนูปรับสมดุลร่างกาย กินตาม “ธาตุเจ้าเรือน”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 มกราคม 2557 09:20 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000000901-


สุขภาพของเราจะสมบูรณ์แข็งแรงไม่ใช่เพียงแค่การออกกำลังการเท่านั้น แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็มีส่วนสำคัญ ว่ากันง่ายๆ คือ กินดีมีประโยชน์ก็ได้สุขภาพดี กินของไม่ดีไม่เกิดประโยชน์ นอกจากไม่ช่วยส่งเสริมยังอาจทำให้เกิดโรค อย่างที่มีคำภาษาอังกฤษที่ว่า “You are what you eat” หรือกินอย่างไรก็ได้อย่างนั้น
       
       นอกจากนี้ การรับประทานอาหารไม่ใช่เพียงการเลือกของที่ดีมีประโยชน์เท่านั้น แต่หากผู้บริโภคเลือกรับประทานอาหารรับประทานสอดคล้องกับ “ธาตุเจ้าเรือน” ของตนด้วยแล้ว ก็จะมีแต่คำว่า สุขภาพดี ตามมาแน่นอน
       
       หลายคนอาจสงสัย “ธาตุเจ้าเรือน” คืออะไร? จากคู่มือของสำนักงานสาธารณสุข จ.นครปฐม กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค งานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ระบุว่า ทฤษฎีการแพทย์แผนไทยนั้น ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ ซึ่งแต่ละคนจะมี “ธาตุประจำตัว” หรือเรียกว่า “ธาตุเจ้าเรือน” ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ “ธาตุเจ้าเรือนเกิด” หมายถึงเป็นไปตามวันเดือนปีเกิด และ “ธาตุเจ้าเรือนปัจจุบัน” ที่พิจารณาจากบุคลิกลักษณะ อุปนิสัย และภาวะด้านสุขภาพว่าสอดคล้องกับลักษณะบุคคลธาตุเจ้าเรือนอะไร โดยสมัยโบราณจะใช้รสชาติอาหารเป็นยารักษาโรค เพราะรสชาติต่างๆ จะมีผลต่อร่างกาย ดังบทกลอนอธิบายความหมายจากรสยา 9 รส ดังนี้
       
       ฝาดชอบทางสมาน หวานซึมซาบไปตามเนื้อ
       เมาเบื่อแก้พิษต่างๆ ขมแก้ทางโลหิตและดี
       รสมันบำรุงหัวใจ เค็มซึมซาบตามผิวหนัง
       เปรี้ยวแก้ทางเสมหะ เผ็ดร้อนแก้ทางลม
       
       ดังนั้น หากธาตุทั้งสี่ในร่างกายมีความสมดุล ก็จะไม่ค่อยเจ็บป่วย หากขาดสมดุลก็จะเจ็บป่วยด้วยโรคจุดอ่อนด้านสุขภาพแต่ละคนตามเรือนธาตุที่ขาด แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราอยู่ในธาตุใด มีจุดอ่อนอะไร และควรรับประทานอะไรเพื่อให้ตรงกับธาตุเจ้าเรือนของตน เรามีคำตอบ...



       ธาตุดิน เป็นธาตุประจำตัวของคนที่เกิดเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม ลักษณะของคนธาตุดินนั้นจะมีร่างกายแข็งแรง และกล้ามเนื่อแข็งแรง
       
       คนธาตุดินควรรับประทานอาหารที่มีรสฝาด ซึ่งจะช่วยสมานปิดธาตุ รสหวาน ซึมซาบไปตามเนื้อ ทำให้ชุ่มชื่นบำรุงกำลัง หากรับประทานมากเกินไปทำให้กำเริบ ง่วงนอน เกียจคร้าน รสมัน แก้เส้นเอ็นพิการ แวดเสียว ขัดยอด กระตุก และ รสเค็ม ซึมซาบไปตามผิวหนัง ประดง ชา คันถ้ามากไปทำให้ร้อนใน กระหาย
       
       ผลไม้ที่ควรรับประทาน เช่น ฝรั่งดิบ หัวปลี กล้วย มะละกอ เผือก มัน ถั่วพู กะหล่ำปลี ผักกะเฉด มังคุด ฝรั่ง ฟักทอง เผือก ถั่วต่างๆ เงาะ หัวมันเทศ ส่วนผักพื้นบ้าน เช่น ผักกระโดน กล้วยดิบ ยอดมะม่วงหินมพานต์ ยอดมะยม สมอไทย กระถินไทย กระโดนบก กระโดนน้ำ ผักหวาน ขุ่นอ่อน สะตอ ผักโขม โสน ขจร ยอดฟักทอง ผักเซียงดา ลูกเหนียงนก บวบเหลี่ยม บวบงู และบวบหอม
       
       อาหารและเครื่องดื่มที่ควรรับประทานคือ ผักกูดผัดน้ำมันงา คั่วขนุน สะตอผัดกุ้ง ผัดสายบัว แกงมะระ เต้าส่วน วุ้นกะทิ กล้วยบวดชี แกงบวดฟักทอง ตะโก้เผือก น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำตาลสด น้ำมะตูม นมถั่วเหลือง น้ำแคนตาลูป น้ำส้ม น้ำฝรั่ง น้ำลูกเดือย น้ำข้าวโพด น้ำแห้ว น้ำฟักทอง
       
       เกร็ดน่ารู้ : ผู้มีธาตุเจ้าเรือน ธาตุดินมักไม่ค่อยเจ็บป่วย เพราะธาตุดินเป็นที่ตั้งกองธาตุ



       ธาตุน้ำ เป็นธาตุประจำตัวของคนที่เกิดเดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน ลักษณะของคนธาตุน้ำมักมีรูปร่างสมส่วน ท้วมถึงอ้วน ผิวพรรณสดใส เต่งตึง ตาหวาน น้ำตามาก ท่าทางเดินมั่นคง ผมดกดำ กินช้ำทำอะไรช้า ทนหิว ทนร้อน ทนเย็นได้ดี เสียงโปร่ง มีลูกดก หรือมีความรู้สึกทางเพศดีแต่มักเฉื่อย และค่อนข้างเกียจคร้าน
       
       คนธาตุน้ำควรรับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว ช่วยแก้เสมหะ กัดฟอกเสมหะ กระตุ้นน้ำลายช่วยให้เจริญอาหาร แต่หากรับประทานมาก ทำให้ท้องอืด แสลงแผลร้อนใน
       
       ผักและผลไม้ที่ควรรับประทาน เช่น มะเขือเทศ ส้มโอ สับปะรด มะนาว ส้มเขียวหวาน ยอดมะขามอ่อน มะยม มะกอก มะดัน กระท้อน ผักพื้นที่บ้าน เช่น ขี้เหล็ก มะอึก แคบ้าน ชะมวง ผักติ้ว ยอดมะกอก ยอดมะขาม มะเขือเครือ สะเดาบ้าน มะระขี้นก มะระจีน มะแว้ง ใบยอ อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง คือ รสมันจัด
       
       อาหารและเครื่องดื่มที่ควรรับประทานคือ แกงขี้เหล็กปลาย่าง แกงส้มดอกแค แกงอ่อมมะระขี้นก ผัดมะระใส่ไข่ ห่อหมกใบยอ แกงป่าสะเดาใส่ปลาหมอ ต้มโคล้งยอดมะขาม ใบยอผัดน้ำมันหอย มะยมเชื่อม สับปะรดกวน กะท้อนลอยแก้ว มะม่วงน้ำปลาหวาน มะม่วงกวน น้ำมะนาว น้ำใบบัวบก น้ำมะเขือเทศ น้ำมะขาม น้ำสับปะรด น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะเฟือง
       
       เกร็ดน่ารู้ : ผู้มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุน้ำ ในช่วงอายุแรกเกิด-16 ปี มักจะอาการเป็นหวัดคัดจมูก ตาแฉะ ในฤดูหนาว จะเจ็บป่วยง่ายเพราะธาตุน้ำกำเริบ



       ธาตุลม เป็นธาตุประจำตัวของคนที่เกิดเดือนเมษายน พฤษภาคม มิถุนายน คนธาตุลม มักมีรูปร่างโปร่ง ไม่อ้วน ผิวหนังแห้ง รูปร่างโปร่งผอม ผมบาง ข้อกระดูกมักลั่นเมื่อเคลื่อนไหว ขี้อิจฉา ขี้ขลาด รักง่ายหน่ายเร็ว ทนหนาวไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ ช่างพูด เสียงต่ำ ออกเสียงไม่ชัด มีลูกไม่ดก หรือความรู้สึกทางเพศไม่ค่อยดี
       
       คนธาตุลมควรรับประทานอาหารรสเผ็ดร้อน จะช่วยแก้โรคในกองลม อาทิ ลมจุกเสียด ปวดท้องลมป่วง แต่ต้องระวังด้วยเพราะหากรับประทานมากไปจะทำให้อ่อนเพลีย
       
       ผักและผลไม้ที่ควรรับประทาน ได้แก่ ชมพู่ แตงโม แตงไทย ผักพื้นบ้าน ได้แก่ ใบชะพลู ขมิ้นขาว ใบสะระแหน่ ใบแมงลัก ใบโหระพา ขิง ข่า ตะไคร้
       
       อาหารและเครื่องดื่มที่ควรรับประทานคือ แกงเผ็ดปลาดุกย่าง ต้มข่าไก่ ต้มยำกุ้ง แกงหอยขมใส่ใบชะพลู สมอไทยจิ้มน้ำพริก บัวลอยน้ำขิง เต้าฮวย เต้าทึง มันต้มขิง ถั่วเขียวต้มขิง เมี่ยงคำ น้ำขิง น้ำตะไคร้ น้ำข่า น้ำกานพลู
       
       เกร็ดน่ารู้ : ผู้ที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุลม ในช่วงอายุ 32 ปีขึ้นไป มักจะมีอาการเวียนหัว หน้ามืด เป็นลมง่าย ในฤดูฝน จะเจ็บป่วยง่าย เพราะธาตุลมกำเริบ



       ธาตุไฟ เป็นธาตุประจำตัวของคนที่เกิดเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม คนธาตุไฟ มักมีลักษณะขี้ร้อน ทนร้อนไม่ค่อยได้ หิวบ่อย กินเก่ง ผมหงอกเร็ว มักหัวล้าน ผิวหนังย่น ผม ขน และหนวดอ่อนนิ่ม ไม่ค่อยอดทน ใจร้อน ข้อกระดูกหลวม กลิ่นปากกลิ่นตัวแรง ความต้องการทางเพศปานกลาง
       
       คนธาตุไฟควรรับประทานอาหารรสขม จะช่วยแก้โลหิตเป็นพิษ ดีพิการ และเพ้อครั่ง แต่อย่ารับประทานมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย นอกจากนี้ ต้องรับประทานอาหารเย็นและจืด เพราะจะช่วยแก้ร้อนใน แก้ไข้พิษ แก้ไขเลือดกำเดา ดับพิษร้อน
       
       ผลไม้และผักที่ควรรับประทาน เช่น แตงโม มันแกว พุทรา แอปเปิ้ล ผักพื้นบ้าน เช่น ผักบุ้ง ตำลึง ผักกระเฉด สายบัว ผักกาดจีน มะระ ผักปรัง มะรุม ทะเขือยาว ผักหนาม ยอดมันเทศ กระเจี๊ยบมอญ สะเดา ยอดฟักทอง หยวกกล้วย หม่อน กุ้ยช่าย
       
       อาหารและเครื่องดื่มที่ควรรับประทานคือ ผัดผักบุ้ง แกงจืดตำลึง ผักสายบัว แกงส้มมะรุม แกงจืดมะระ แกงส้มหยวกกล้วยใส่ปลาช่อน ยำผักกระเฉด ซาหริ่ม ไอศกรีม น้ำแข็งไส น้ำแตงโมปั่น น้ำใบบัวบก น้ำใบเตย น้ำเก๊กฮวย
       
       เกร็ดน่ารู้ : ผู้ที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุไฟ ในช่วงอายุ 16-32 มักจะหงุดหงิด อารมณ์เสียบ่อย เป็นคนเจ้าอารมณ์ในฤดูร้อนจะเจ็บป่วยง่ายอาจเป็นไข้ตัวร้อนได้ง่าย เพราะธาตุไฟกำเริบ
       
       รู้เช่นนี้แล้วใครอยู่ธาตุอะไร ลองนำข้อมูลและความรู้ครั้งนี้ไปปรับใช้เลือกรับประทานอาหาร ผัก และผลไม้ที่รสชาติสอดคล้องกับธาตุเจ้าเรือนของตนเองเพื่อช่วยในปรับสมดุลในร่างกายและป้องกันความเจ็บป่วย


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000000901
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #235 เมื่อ: มกราคม 05, 2014, 05:31:20 pm »
เป็นหวัดอีกแล้วล่ะซี่ งั้นต้องกินอาหารพวกนี้เลย !

-http://health.kapook.com/view79365.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ฮัดเช้ยยยย อากาศเปลี่ยนทีไร ไอ จาม น้ำมูกไหลทุกที ถึงจะเป็นแค่หวัดธรรมดา ไม่ได้ป่วยหนักมากมาย แต่เป็นขึ้นมาทีก็กวนใจไม่ใช่เล่น เพราะฉะนั้นถ้าอยากหายจากหวัดเร็ว ๆ หรือไม่อยากป่วยอีก เว็บไซต์ Reader's Digest เขาก็แนะนำให้รีบไปหาอาหารต่อไปนี้มาทานด่วน ๆ


1. ซุปไก่ร้อน ๆ

          อากาศเย็น ๆ เหมาะกับการนั่งซดบะหมี่ ก๋วยเตี๋ยวสุด ๆ แต่ถ้าจะให้ดี ต้มรวมกับน่องไก่และผัก กลายเป็นซุปไก่ร้อน ๆ ด้วยเลยจะเวิร์กมาก เพราะงานวิจัยจาก University of Nebraska ย้ำว่า ซุปไก่นั้นมีสารอาหารที่ช่วยยับยั้งอาการอักเสบ ทำให้อาการไข้หวัดดีขึ้น ส่วนคนที่ไม่ได้ป่วยไข้ก็สามารถกินซุปไก่เพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้เแข็งแรง ไม่ให้โรคถามหาด้วย



2. ดื่มนมเติมวิตามินดี

          เป็นหวัดแบบนี้ต้องดื่มนมให้มาก ๆ แต่ถ้าท้องของเราไม่ถูกกับนม กินทีไรท้องเสียทุกที ก็ให้มองหาอาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น ซีเรียล มากินสู้หวัดดู เพราะการศึกษาของ Massachusetts General Hospital เขาพบว่า คนที่มีระดับวิตามินดีในร่างกายน้อยจะป่วยเป็นหวัดมากกว่าคนที่ทานอาหารที่มีวิตามินดีมาก สมทบด้วยงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Loyola ที่เผยด้วยว่า การรับประทานอาหารที่มีวิตามินดีสูงจะช่วยบูทอารมณ์ของคุณให้สดชื่นขึ้นในช่วงอากาศหนาว ๆ ที่แสนจะรู้สึกเฉื่อยชาอยากนอนเสียเหลือเกินด้วยล่ะ


3. อย่ามองข้าม "แครอท"

          อาหารที่มีวิตามินเอสูง นอกจากจะช่วยปกป้องดวงตาของเราแล้ว ยังช่วยรักษาโรคหวัดได้อีกด้วยนะ เพราะอาหารที่มีวิตามินเอจะช่วยรักษาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ถ้าป่วยเป็นหวัดแล้ว ก็จะไปช่วยต่อสู้กับเชื้อหวัด ทำให้หายป่วยเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นรีบหาแครอท ผักโขม ผักใบเขียว ฟักทองมาทานด่วน ๆ


4. จิบชาเขียวชงน้ำเย็น

          รู้กันอยู่แล้วว่า ชาเขียวเปี่ยมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน จึงสู้กับอาการป่วยได้ดี แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ชาเขียวนั้นต้องชงกับน้ำเย็นแทนการชงกับน้ำร้อน ๆ จ้า เพราะศึกษาจากต่างประเทศเขาแนะนำมาค่ะว่า การชงชาเขียวกับน้ำเย็น จะทำให้สารแอนตี้ออกซิแดนท์ในชาเขียวเหลืออยู่มากกว่าชาเขียวที่ชงกับน้ำเดือด โดยอาจจะใส่ใบชาเขียวเพิ่งลงไป 2 เท่าของการชงชาร้อนก็ได้ แต่ไม่ควรชงกับน้ำร้อนแล้วมาทำให้เย็นนะจ๊ะ เพราะสารแอนตี้ออกซิแดนท์ก็หายไปกับน้ำร้อนอยู่ดี ถูกป่ะ



5. กระเทียมฆ่าเชื้อ

          หลายคนอาจจะไม่ชอบกลิ่นฉุน ๆ ของกระเทียม แต่ถ้าเป็นหวัดบ่อย ๆ ก็ควรจะต้องฝืนกินสักหน่อยล่ะค่ะ เพราะการกินกระเทียมสดเป็นประจำจะช่วยปกป้องเราจากโรคหวัด เนื่องจากในกระเทียมมีสารอัลลิซิน (Allicin) ซึ่งเป็นสารมหัศจรรย์ฆ่าเชื้อหวัด แถมยังช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ด้วย


6. บลูเบอร์รีแก้คัดจมูก

          งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ พบว่า ผลไม้ลูกกลม ๆ สีม่วง ๆ อย่าง "บลูเบอร์รี" นั้น มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลไม้สด ๆ หลายชนิด และช่วยปราบอาการคัดจมูกที่เกิดจากอากาศเย็นได้เริ่ดมาก ๆ อาจจะเลือกทานแบบสด ๆ ในช่วงที่คุณเป็นหวัด หรือจะผสมลงในชามซีเรียล หรือถ้วยโยเกิร์ตกินด้วยกันให้อร่อยแบบคูณสองก็ได้ เพราะทั้งในซีเรียลและโยเกิร์ตก็มีวิตามินดีสูงด้วยล่ะ จำได้ไหมเอ่ย...วิตามินดีก็ช่วยป้องกันโรคหวัดนะ



7. ชาเปปเปอร์มินต์ขจัดเสมหะ

          ถ้ารู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ เหมือนมีน้ำมูกคั่ง มีเสมหะติดคอ ลองหาชาเปปเปอร์มินต์มาชงดื่มดูหน่อยไหมจ๊ะ จิบบ่อย ๆ วันละ 3 เวลา จะช่วยละลายเสมหะที่แสนอึดอัดในลำคอ และปราบอาการไอค่อกไอแค่กที่น่ารำคาญให้หายเป็นปลิดทิ้ง


8. เติมโอเมก้า-3 จากเนื้อปลา

          เว็บไซต์ health.com เขาแนะนำให้คนที่เป็นหวัดทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ให้มาก ๆ ซึ่งหาได้จากปลาแซลมอน ปลาทูน่า เพราะกรดไขมันโอเมก้า-3 จะช่วยลดอาการอักเสบในร่างกาย แถมยังปกป้องภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ต่อสู้กับโรคร้ายให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วย

          เห็นรายชื่ออาหารต้านโรคหวัดทั้ง 8 ชนิดนี้แล้ว จะว่าไปก็หาซื้อหาทานกันไม่ยากเลยนะ รีบไปบูทระบบภูมิคุ้มกันของตัวเองด้วยอาหารพวกนี้กันได้เลย
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #236 เมื่อ: มกราคม 12, 2014, 09:52:05 am »
ผู้ป่วยเบาหวานทานรังนกได้หรือไม่

-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1389158869&grpid=&catid=09&subcatid=0902-


คอลัมน์ รู้เฟื่องเรื่องโรคเบาหวานกับโรงพยาบาลศิครินทร์



เป็นปัญหาหนักอกหนักใจที่สำคัญมากในผู้ป่วยเบาหวาน สำหรับเรื่องการรับประทานอาหาร เพราะอยากทานนั่นก็ถูกลูกห้าม จะทานนี่แฟนก็ห้าม หลายคนถึงขนาดต้องแอบทานอาหาร "ต้องห้าม" มาแล้วก็มี ทุกวันนี้ คนที่เป็นเบาหวานโดยทั่วไปแล้ว เกือบ 100% มักจะละเลยเรื่องของการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย โดยคิดว่าเมื่อรับประทานยาแล้วก็คงหาย เหมือนการรักษาโรคทั่วไป ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่หายขาด การใช้ยาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถควบคุมเบาหวานได้ ต้องรู้จักรับประทานอาหารให้ถูกสัดส่วนกับความต้องการของร่างกายด้วย เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ โดยมากหมอจะแนะนำให้ทานอาหารที่มีน้ำตาลต่ำ ไขมันน้อย รวมทั้งผักผลไม้ ที่อาจใช้เป็นยา เช่น มะระขี้นก ฟักทอง แตงกวา เป็นต้น

ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงก็คืออาหารหวาน มัน ทั้งหลาย เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน เงาะ สับปะรดกวน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายคนมีข้อสงสัยว่า เป็นเบาหวานแล้วจะสามารถทานรังนก ได้หรือไม่

รังนกคือ น้ำลายและสิ่งที่นกนางแอ่นสำรอกออกมาทำรังเพื่อวางไข่ ประกอบไปด้วยโปรตีน ธาตุเหล็ก และสารอาหารอื่นๆ เป็นสมุนไพรที่มีราคาแพงซึ่งชาวจีนนิยมใช้ สามารถนำรังนกมาปรุงอาหารทั้งคาวและหวาน โดยปกติ รังนกสำเร็จรูปที่ขายกันตามท้องตลาดมักจะใส่น้ำตาล หากผู้ป่วยจะรับประทานควรแปลงวิธีการประกอบโดยเลี่ยงการใส่น้ำตาลไปแล้วใช้น้ำตาลเทียมแทน

อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบราคาและคุณค่าทางโภชนาการแล้วอาหารประจำวันอื่นๆ เช่น ซุปไก่ตุ๋น ยังมีราคาถูกกว่ากันมาก ในกรณีที่เจ็บป่วยแล้วรับประทานอาหารไม่ลง ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับประทานรังนกได้เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกายในยามฉุกเฉินแต่ในผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการเงินไม่จำเป็นที่จะต้องขวนขวายหารังนกมารับประทาน อาหารเหลวธรรมดา เช่น ซุป นม น้ำผลไม้ธรรมชาติ โจ๊กเหลว สามารถให้พลังงานฉุกเฉินแก่ร่างกายได้ทั้งสิ้น


...........


(ที่มา Hospital Healthcare เครือมติชน ปีที่ 7  ฉบับที่ 76 มกราคม 2557)

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #237 เมื่อ: มกราคม 12, 2014, 07:17:34 pm »
เพาะ “ถั่วงอก” ในขวดน้ำดื่มกัน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    10 มกราคม 2557 11:04 น.

-http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000003308-



   การเพาะถั่วงอกไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป เพียงแค่มีขวดน้ำพลาสติกใบเดียวก็ใช้เป็นอุปกรณ์เพาะถั่วงอกไว้กินได้แล้ว ซึ่งหลายคนที่ติดตามกระแสปลูกผักในเมือง อาจจะเพาะถั่วงอกด้วยวิธีนี้จนเชี่ยวชาญแล้ว แต่เราจะมารีวิวกันอีกรอบ
       
       อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับการเพาะถั่วงอก คือ ขวดน้ำดื่มพลาสติก คัตเตอร์ หัวแร้งไฟฟ้า ตะแกรงไนลอนหรือตะแกรงเกล็ดปลา และน้ำสะอาด เมื่อได้อุปกรณ์ทั้งหมดแล้วนำมาเจาะรูด้วยหัวแร้งไฟฟ้าเพื่อเป็นรูระบายน้ำ โดยเจาะที่ด้านข้างเพียงด้านเดียวของขวด 2 แถวๆ ละ 5 รู (เว้นระยะจากก้นขวดประมาณ 2 นิ้ว เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับแช่เมล็ดถั่ว) และเจาะที่ฝาปิดขวดอีก 3 รู จากนั้นใช้ตัตเตอร์ตัดขวดด้านตรงข้ามที่เจาะรู เพื่อเป็นช่องสำหรับรดน้ำ
       
       เมื่อได้อุปกรณ์พร้อมแล้วก็มาถึงขั้นตอนเตรียมความพร้อมเมล็ดถั่วเขียว โดยเติมเมล็ดถั่วเขียวลงในขวดที่เตรียมไว้ประมาณ 1 ใน 4 ของความสูงของขวด (ไม่ให้เกินระดับที่ตัดเปิดช่องรดน้ำและรูระบายน้ำที่เจาะไว้) จากนั้นเติมน้ำอุ่นซึ่งผสมน้ำร้อน 1 ส่วน ต่อน้ำธรรมดา 3 ส่วน แล้วแช่เมล็ดถั่วทิ้งไว้ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้เมล็ดถั่วพองตัว
       
       หลังจากแช่เมล็ดถั่วแล้ว นำไปล้างน้ำ 1-2 ครั้ง จากนั้นกระจายเมล็ดถั่วให้ทั่วขวดและวางในแนวนอน แล้วใช้ตะแหรงไนลอน หรือตะแกรงเกล็ดปลา หรืออุปกรณ์ชวยพรางแสงอื่นๆ หุ้มขวด จากนั้นรดน้ำทุกๆ 6 ชั่วโมง จนผ่านไป 60 ชั่วโมงก็จะได้ถั่วงอกไว้รับประทาน
       
       การเพาะถั่วงอกในขวดน้ำพลาสติกนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในงานถนนสายวิทยาศาสตร์รับวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2557 ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่าง 9-11 ม.ค.57 โดยเป็นกิจกรรมร่วมฉลองปีสากลแห่งเกษตรกรรมแบบครอบครัว (International Year for Family Farming) ในปี 2557 ที่กำหนดขึ้นโดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ซึ่งเยาวชนที่เข้าร่วมในกิจกรรมจะได้รับอุปกรณ์เพาะถั่วงอกพร้อมเมล็ดถั่วกลับบ้าน
       
       รายละเอียดเพิ่มเติม ที่
       
       http://www.facebook.com/nsmfamilyfarming













 ทั้งนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมวิทยาศาสตร์ให้เยาวชนได้ร่วมสนุกอีกกว่า 50 สถานี สำหรับเยาวชน และโรงเรียนที่สนใจสามารถมาเที่ยวชมงานถนนสายวิทยาศาสตร์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ถนนพระรามที่ 6 ได้ตั้งแต่วันที่ 9-11 ม.ค.57 เปิดให้เที่ยวชมฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ 9.00-17.00 น.โดยสามารถเดินทางได้ทั้งรถโดยสารประจำทางสาย 8, 44, 67, 97, ปอ.44, ปอ.157, ปอ.171, ปอ.509, ปอ.538 ตลอดจนรถไฟฟ้าบีทีเอส
       
       หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ โทร. 0 2577 9999


http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000003308
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #238 เมื่อ: มกราคม 12, 2014, 08:48:45 pm »
Detox ด้วยกระเจี๊ยบเขียว

-http://campus.sanook.com/1370489/detox-%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B9%8A%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7/-







หลังจากงานเฉลิมฉลอง ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา หลายคนคงกินลี้ยงสังสรรค์กัน อาจจะเผลอตามใจปาก อาจลืมดูแลสุขภาพตัวเอง ว่าในรอบปีที่ผ่านมาร่างกายเราทำงานหนักโดยเฉพาะสุขภาพภายในที่ต้องแบกภาระหนักกับอาหารการกินที่เรากินเข้าไปอย่างไม่ระวัง เช่น กินปลาดิบ เสต็ก ผักดิบ ของหมักดอง อาหารเหล่านี้อาจจะมีพยาธิแฝงตัวอยู่ อย่างน้อยร่างกายเราควร detox การถ่ายพยาธิปีละครั้งก็เป็นเรื่องดี เนื่องจากเจ้าพยาธิจะทำให้เลือดลมเดินไม่ดี และเมื่อมีการวางใข่ก็จะทำให้เลือดสกปรก ส่งผลทำให้เป็น ไฝ ฝ้า ผิวพรรณหมองคล้ำ ไม่สดใส



กระเจี๊ยบเขียว เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพราะมีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเส้นใยสูง คนไทยส่วนใหญ่นิยมนำ กระเจี๊ยบเขียวมาจิ้มน้ำพริก นอกจากนี้ยังนำมาทำอาหารได้หลายอย่างอาทิ ยำกระเจี๊ยบเขียว แกงกะหรี่ปลาใส่กระเจี๊ยบเขียว ผัดเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอด เป็นต้น


สรรพคุณทางยา

กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชที่มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin) และกัม (Gum) ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่ให้ลุกลาม รักษาความดันให้เป็นปกติ เป็นยาบำรุงสมอง มีสรรพคุณเป็นยาระบายและสามารถแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้ด้วย แต่ต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 15 วัน


จาก ข้อมูล ของ วิสาหกิจชุมชนสนามจันทร์ ซึ่งแปรรูป กระเจี๊ยบเขียว ให้ข้อมูลว่า


รับประทาน 10 - 15 ฝัก ทุกวันสามารถบำรุงตับ

รับประทาน 3 - 5 ฝัก ก่อนอาหารทุกวันสามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

รับประทาน 5 ฝัก ก่อนอาหาร 3 มื้อ ติดต่อกันทุกวันสามารถกำจัดพยาธิตัวจี๊ด

รับประทาน 30 - 40 ฝัก ตอนเย็นหรือก่อนนอนสามารถดีท็อกซ์ลำไส้อุจจาระตกค้าง

รับประทานฝักกระเจี๊ยบ 10 -15 ฝัก ตอนเย็นหรือก่อนนอนสามารถลดอาการท้องผูก


http://campus.sanook.com/1370489/detox-%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B9%8A%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7/
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #239 เมื่อ: มกราคม 17, 2014, 05:27:50 am »
กิน “ถั่ว” หลายๆ สี เพิ่มของดีๆ ให้ร่างกาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 มกราคม 2557 15:15 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000005902-





ถึงจะมีขนาดเล็กๆ แต่ถั่วชนิดต่างๆ กลับมีประโยชน์มากมายเกินตัว จะใช้กินเล่นๆ หรือจะนำไปเป็นส่วนผสมของขนมและอาหารต่างๆ ก็ได้หลากหลายเมนู ที่สำคัญนั้น คุณค่าทางอาหารที่ได้จากถั่วยังล้นเหลือ ซึ่งในถั่วแต่ละชนิดก็มีสารอาหารที่แตกต่างกันไป “108 เคล็ดกิน” มีความรู้ดีๆ มาแนะนำสำหรับคนที่จะหันมาเลือกกินถั่วเพื่อสุขภาพของตัวเอง
       
       เริ่มจากถั่วสารพัดประโยชน์ นั่นก็คือ “ถั่วเหลือง” ที่สามารถนำมาคั่วเป็นถั่วเหลืองกรอบๆ กินเป็นธัญพืช หรือจะแปลงกายมาเป็นเต้าหู้ น้ำเต้าหู้ หมักซีอิ้วขาว-ซอสถั่วเหลือง ทำมิโซะ สกัดเป็นน้ำมันถั่วเหลือง และอีกมากมาย ซึ่งนอกจากจะมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่างแล้ว ถั่วเหลืองก็ยังมีสารอาหารมากมาย มีโปรตีน วิตามินอี เลซิติน แคลเซียม ธาตุเหล็ก ฯลฯ ถั่วเหลืองจึงช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูก ป้องกันกระดูกขาดแคลเซียม บำรุงระบบประสาท และในถั่วเหลืองยังมีสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงช่วยในเรื่องการควบคุมอาการในภาวะหมดประจำเดือน นอกจากจี้ หากกินถั่วเหลืองเป็นประจำยังจะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดระดับคอเรสเตอรอล และช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง
       
       “ถั่วเขียว” นอกจากจะเห็นในรูปแบบของถั่วเขียวต้มน้ำตาลแล้ว ก็ยังมีรูปแบบของถั่วเขียวเลาะเปลือก ที่นำมาเป็นส่วนผสมของขนมและอาหารไทยหลายๆ เมนู แถมด้วยถั่วงอก ที่มีคุณค่าทางอาหารมากกว่าเดิมที่เป็นถั่วเขียวด้วยซ้ำ ซึ่งตัวถั่วเขียวนั้นนอกจากจะมีโปรตีนแล้ว ก็ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตา ลดความดันโลหิต ช่วยกระตุ้นประสาทและทำให้เจริญอาหาร ส่วนเมื่อกลายมาเป็นถั่วงอกแล้วจะมีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
       
       “ถั่วแดง” มีโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีธาตุเห,กช่วยบำรุงโลหิต มีแคลเซียม แมกนีเซียม และวิตามินบีที่ช่วยบำรุงประสาทและสมอง นอกจากนี้ ถั่วแดงยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดระดับคอเรสเตอรอล ที่สำคัญคือมีสารอาหารที่มีประโยชน์สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ทั้งแคลเซียม ธาตุเหล็ก และโฟเลต
       
       แต่นอกจากถั่วทั้งสามชนิดนี้แล้ว ถั่วชนิดอื่นๆ ก็ยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น ถั่วลิสง ที่มีโปรตีนมาก โซเดียมต่ำ ไขมันอิ่มตัวน้อย และปราศจากคอเรสเตอรอล ถั่วดำ มีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย มีกากใยสูง ถั่วขาว ให้พลังงานสูงและช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น
       
       แต่ไม่ว่าจะเลือกกินถั่วชนิดไหน ก็ต้องคำนึงไว้เสมอว่า ควรจะบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะการกินอะไรมากหรือน้อยเกินไปก็ย่อมมีโทษเสมอ ที่สำคัญควรจะกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ร่างกายจึงจะสามารถได้รับประโยชน์จากอาหารอย่างเต็มที่
       
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)