ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129502 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #240 เมื่อ: มกราคม 20, 2014, 02:22:50 am »
9 เมนูกินแล้วไม่โง่

-http://club.sanook.com/14266/9-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%82%E0%B8%87%E0%B9%88-



เคยรู้สึกรำคาญตัวเองกันบ้างไหม เวลาที่นึกอะไรไม่ค่อยจะออก ลืมนั่น ลืมนี่ อยู่บ่อยๆ เชื่อว่าใครๆก็ไม่อยากเป็นแบบนี้เลย จึงขอนำสาระดีๆ เรื่องอาหารกลุ่มบำรุงสมองมาให้ได้อ่านกัน ในทางโภชนาการบอกถึงหลักเลือกทานอาหารเพื่อการดูแลสมอง และป้องกันไม่ให้เสื่อมก่อนวัย นอกจากนี้ สมองยังจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนในทุกมื้อ ดังนั้นมาดูกันว่า สารอาหารใดบ้างที่สมองต้องการ

1. พืชผักจำพวกหอมหัวใหญ่ พริก ขิง มีสารสำคัญที่ช่วยเพิ่มเซลล์สมองและกระตุ้นการหลั่งสารอะซีทิลโคลีนจึงช่วยให้ความจำดีขึ้น

2. ใบบัวบก มีสารที่ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองทำให้สมองตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ดี สมาธิดี และความจำดีขึ้น

3. เนื้อสัตว์ มีสารทอรีนที่พบเฉพาะในโปรตีนจากเนื้อสัตว์เท่านั้นช่วยบำรุงสมอง

4. ปลาทะเล มีโอเมก้า 3 ช่วยให้เซลล์ประสาททำงานได้อย่างเป็นปกติ ลดการเกิดพลัค (plaque) ในสมองและป้องกันอัลไซเมอร์ได้

5. ธัญพืช มีกรดโฟลิก วิตามินบี 12 และวิตามินบี 6 เช่น ซีเรียลธัญพืช รำข้าว หรือข้าวซ้อมมือ อาหารเหล่านี้จะช่วยในเรื่องความจำได้เป็นอย่างดี

6. มะเขือเทศ มีไลโคพีน สารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระซึ่งพบในอาการของโรควิกลจริตและอัลไซเมอร์

7. บร็อกโคลี เป็นแหล่งรวมของวิตามินเคที่ช่วยในการเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้และช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ

8. ถั่ว ผักใบเขียว ไข่ ข้าวซ้อมมือ มีวิตามินอีช่วยในการป้องกันความจำเสื่อม

9. เมล็ดฟักทอง มีสังกะสีที่มีความสำคัญในการช่วยเพิ่มความทรงจำ ถ้ารับประทานเมล็ดฟักทองวันละ 1 กำมือ จะทำให้ได้รับสังกะสีเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

นอกจากอาหารที่แนะนำมาแล้วนั้นยังมีผลการศึกษาวิจัยใหม่ๆ จากนักประสาทวิทยา สหรัฐฯ พบว่า สารเคมีในช็อกโกแลต ชา องุ่น และผลบลูเบอรี่ช่วยบำรุงความจำได้ โดยช่วยให้เลือดลมในสมองเดินดีขึ้นและหากออกกำลังเพิ่มด้วยแล้วก็จะยิ่งช่วยให้สมองทำงานได้ดียิ่งขึ้น หากต้องการให้สมองของเราดีมีความจำที่เป็นเลิศก็อย่าละเลยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์บำรุงความจำ และถ้าจะให้ผลดีก็ต้องรับประทานเป็นประจำด้วยสมองก็จะดีแบบเสมอต้นเสมอปลาย

ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก Nestlé







คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #241 เมื่อ: มกราคม 21, 2014, 09:10:44 pm »
มะเขือเทศ…เสน่ห์แพรวพราว!

-http://club.sanook.com/21368/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%9E%E0%B8%A3-




ถ้านึกถึงมะเขือเทศ เรื่องรสชาติจัดจ้านและสีสันแดงเด่นอันนี้คงไม่ต้องพูดถึง แต่คุณสมบัติในตัวซึ่งซุกซ่อนนี่สิน่าสนใจกว่ากันเยอะ เริ่มตั้งแต่อุดมไปด้วยวิตามินตัวสำคัญไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอที่บำรุงสายตา และผิวพรรณให้สวยสดใสวิตามินบีซึ่งช่วยให้ระบบต่างๆ ภายในตัวของเราไม่เกเรยอมทำงานได้เป็นปกติ และวิตามินซีช่วยป้องกันต้านโรคร้ายต่างๆ ที่จะมารังแก ทำให้ไม่นอนซมเป็นไข้ไม่สบายบ่อยๆ แถมแคลอรีก็น้อย กินได้คล่องปากสบายใจ ไม่มีเรื่องของไขมันและน้ำหนักตัวมาทำให้หวาดหวั่น

แต่ที่เด็ดกว่านั้นก็คือมีการค้นพบทางการแพทย์ว่า ถ้าหมั่นใช้บริการ กินมะเขือเทศบ่อยๆ เป็นประจำ จะเป็นทางหนึ่ง ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกคุกคามของเจ้ามะเร็งตัวร้ายให้ลดน้อยลงได้ เพราะมีสาร “ไลโคฟีน” ตัวแอนตี้ออกซิแดนท์ต้านมะเร็ง เหมือนกับเบต้าแคโรทีนที่เราคุ้นชื่อกันดี แต่ไลโคฟีนซึ่งพบมากที่สุดในมะเขือเทศลูกแดงๆ นี้มีฤทธิ์มากกว่าคุณเบต้าฯ ตั้ง 2 เท่าเลย!

ขอบคุณข้อมูลจาก วิชาการดอทคอม
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #242 เมื่อ: มกราคม 22, 2014, 09:08:26 pm »
สะเดา สรรพคุณของสมุนไพรมหัศจรรย์

-http://board.postjung.com/627873.html-

สะเดา" ด้วยความขมสามารถใช้รักษาโรคหลายชนิด   


โบราณเขาว่า "หวานเป็นลมขมเป็นยา" ของขมๆ แม้จะไม่อร่อยแต่ก็มีประโยชน์ไม่น้อย อย่างเช่น "สะเดา" ผักสมุนไพรที่แม้จะมีรสขมขนาดไหน แต่ก็ยังเป็นของโปรดของหลายๆ คน โดยเฉพาะเมนูสะเดาน้ำปลาหวานกินกับปลาดุกย่าง หรือกุ้งเผา ที่เมื่อกินพร้อมกันแล้วจะลดความขมของสะเดาลงเหลือแต่ความอร่อย หรือบางบ้านอาจนำสะเดาไปลวกเพื่อลดความขมจิ้มกินกับน้ำพริกอีกด้วย

        เรานิยมนำดอกและยอดของสะเดามาประกอบอาหาร ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน

 
สรรพคุณด้านยาสมุนไพร

       สะเดามีสรรพคุณบำรุงธาตุไฟ สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย และแก้ไข้ อีกทั้งรสขมของสะเดายังช่วยเรียกน้ำย่อย และช่วยให้ขับน้ำดีตกลงสู่ลำไส้มากขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้อุจจาระละเอียดขับถ่ายคล่อง และช่วยให้นอนหลับสบายอีกด้วย

"สะเดา" มีชื่อพื้นบ้านว่า สะเดาไทย สะเดาบ้าน กะเดา กาเดา จะดัง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า นีม ทรี (Neem Tree) และโฮลลี ทรี (Holy Tree) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า อะซาดิแรคตา อินดิคา(Azadirachta indica A.Juss.var.siamensis Veleton) จัดอยู่ในวงศ์ มีเลียซีอี้ (Meliaceae)





สะเดาอินเดีย

              สะเดาอินเดีย จะเรียกว่า ควินิน ขี้นิน จะมีรสขมกว่าสะเดา นิยมใช้ใบและแก่นมาต้มดื่มเป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย ในบางแห่งจะใช้ใบสะเดาเป็นยาฆ่าแมลง หรือต้มดื่มแก้โรคเบาหวาน สำหรับดอกสะเดาอินเดียสามารถใช้แก้กำเดา แก้ริดสีดวงในลำคอ ในตำรายาไทยได้มีระบุว่าใช้ก้านอ่อนและใบสะเดา ในการแก้ไข้ทุกชนิดได้ดี

 

คุณค่าทางโภชนาการคือ


           ประกอบด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี ไนอาซิน ในใบสะเดามีสารที่เรียกว่า ไลโมนอยด์ (Limonoid) และคอร์ซิติน (Quercetin) ที่เปลือกของสะเดามีสารที่เรียกว่า นิมบิน (Nimbin) และในเมล็ดสะเดามีสารที่เรียกว่า อะซาดิแรค-ติน (Azadirachtin) และสารควิโนน (Quinone)


สรรพคุณของสะเดาและวิธีใช้

        ส่วนต่างๆของสะเดามีสรรพคุณในทางเป็นยาได้แก่ ยอดอ่อน ดอกสะเดา ก้านใบ ผล แก่น และราก ซึ่งแต่ละส่วนจะให้สรรพคุณแตกต่างกันดังต่อไปนี้

 


ดอกและใบอ่อน ดอกและใบอ่อนของสะเดามีสรรพคุณในการใช้บำรุงธาตุไฟ คือเรียกน้ำย่อย บำรุงน้ำดี แก้ดีพิการ ทำให้นอนหลับ มีภูมิต้านทานโรค แก้ฝี แก้ไข้
รากและเปลือกต้น รากและเปลือกต้นสะเดาใช้แก้ท้องเสีย แก้บิดมูกเลือด และแก้ไข้มาลาเรีย
         

ราก -รากสะเดามีสรรพคุณใช้เป็นยาแก้ไข้ ทำให้อาเจียน
         

ผล - ผลสะเดาสามารถใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ แก้ริดสีดวง แก้ปัสสาวะพิการ แก้ลมเจริญอาหาร
         

ก้าน - ก้านสะเดาใช้แก้ไข้ บำรุงน้ำดี แก้ดีพิการ แก้ท้องร่วง แก้กระษัย แก้ไข้ลดความร้อนแก้ไข้จับสั่น
         

แก่น -แก่นของสะเดาใช้แก้คลื่นเ...ยน อาเจียน แก้ไข้จับสั่น ไข้ตัวร้อน บำรุงเลือด บำรุงไฟธาตุ

จากการวิจัยในเรื่องของสะเดาพบว่าสามารถเป็นยาฆ่าแมลงที่ได้ผลดีมากและปลอดภัย

 

เห็นมั้ย ค่ะ ว่าถึงสะเดาจะมีรสชาติขมถึงเพื่อนหลายๆคนจะไม่ชอบทาน แต่ว่าก็รสชาติขมนั้นและล้วนเป็นประโยชน์แก่ร่างกายของเรานะค่ะ อย่างที่เขาบอกกันว่า  หวานเป็นลมขมเป็นยา

 

ขอขอบคุณ

http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02biz05241252&sectionid=0214&day=2009-12-24



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #243 เมื่อ: มกราคม 24, 2014, 05:49:14 am »
“ปูนิ่ม” เนื้อนิ่มๆ กินอร่อย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 มกราคม 2557 17:29 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000008649-




ใครที่ชอบกินปู มักจะมีปัญหากวนใจเรื่องต้องมาคอยนั่งแกะเปลือกปูออกไปให้หมด กว่าจะได้ลิ้มรสชาติหวานๆ ของเนื้อปูสดๆ แน่นๆ ก็เริ่มจะเหนื่อยใจ
       
       แต่ปัญหานี้จะหมดไปถ้าคุณเลือกกิน “ปูนิ่ม”!!!
       
       หลายคนอาจจะรู้จักชื่อปูนิ่ม อาจจะเคยกินกันแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าปูนิ่มมันคือปูอะไรกันแน่ วันนี้ “108 เคล็ดกิน” จะมาเฉลยให้ฟัง
       
       “ปูนิ่ม” เป็นชื่อของปูที่นำมาทำอาหาร ซึ่งไม่ได้ย่อมาจาก “ปูปัญญานิ่ม” แต่อย่างใด
       
       “ปูนิ่ม” ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นปูพันธุ์ใด หรือชนิดใดเป็นพิเศษ จะเป็นปูดำ ปูขาว ปูทะเล ก็สามารถนำมาทำเป็นปูนิ่มได้เช่นกัน สรุปว่าปูนิ่มนั้นหมายถึงปูที่ลอกคราบใหม่ๆ นั่นเอง
       
       ซึ่งปูนิ่มที่เรากินกันทุกวันนี้ ส่วนใหญ่จะมาจากฟาร์มที่เลี้ยงปูนิ่มโดยเฉพาะ ที่มักจะนำปูทะเลมาทำเป็นปูนิ่ม โดยวิธีการทำปูนิ่มจะต้องเลี้ยงปูให้ลอกคราบ ซึ่งปกติแล้วปูก็จะมีการลอกคราบเพื่อขยายขนาดกระดองใหญ่ขึ้นตามอายุของปู คือเมื่อปูเจริญเติบโตจนเต็มพื้นที่กระดองเดิมแล้ว ก็จะลอกคราบโดยมีการสร้างกระดองใหม่ขึ้นมา ช่วงที่ปูลอกคราบใหม่ๆ นั้นกระดองจะนิ่ม ผิวเปลือกย่น ซึ่งจะเรียกระยะนี้ว่า “ปูนิ่ม” นั่นเอง
       
       ระยะที่เป็นปูนิ่ม ปูจะอ่อนแอมากที่สุด โดยจะใช้ระยะเวลาลอกคราบจนกระทั่งกระดองใหม่แข็งแรงสมบูรณ์ดีจะใช้เวลาประมาณ 7 วัน ถ้าอยู่ในสภาพธรรมชาติปูที่ลอกคราบใหม่ๆ จะต้องซ่อนตัวให้ดี ไม่อย่างนั้นอาจถูกศัตรูจับกินได้
       
       สำหรับการเลี้ยงปูนิ่มนั้น เมื่อปูลอกคราบเสร็จใหม่ๆ ผู้เลี้ยงก็จะจับเอาปูไปแช่น้ำจืดเพื่อป้องกันการแข็งตัว เนื่องจากในน้ำทะเลมีปริมาณแคลเซียมมาก ปูจะใช้แคลเซี่ยมในน้ำทะเลทำให้กระดองแข็งตัวขึ้น เมื่อแช่ในน้ำจืดสักพักก็จะจับมาน็อกในน้ำแข็งเพื่อให้ปูหมดสติ จากนั้นก็นำไปแช่แข็งแล้วนำออกไปจำหน่าย
       
       “ปูนิ่ม” นั้นมีวิธีการเลี้ยงที่ซับซ้อนพอควร อีกทั้งยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมาก เนื่องจากกินง่าย ไม่ต้องมาคอยนั่งแกะเปลือกเหมือนปูทั่วไป จึงทำให้ปูนิ่มมีราคาค่อนข้างสูงพอควรในท้องตลาด
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #244 เมื่อ: มกราคม 24, 2014, 10:21:04 pm »
“ขิง” สมุนไพรไทยชั้นดี ช่วยต้านหนาว

-http://club.sanook.com/21982/%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%8A%E0%B9%88-


“ขิง” สมุนไพรไทยชั้นดี ช่วยต้านหนาว

พอดีมีโอกาสได้ไปรับลมหนาวที่เชียงใหม่ค่ะ ก็ไปเที่ยวเขา เที่ยวดอย ตามภาษาคนที่อยากไปรับรู้ความหนาวเย็นจัดๆ เป็นยังไงบ้าง ซึ่่งก็ต้องบอกว่าหนาวมาก หนาวเย็นกว่าปกติซะด้วย และก็สังเกตอย่างนึงว่าชาวบ้านท้องถิ่น หรือชาวเขา ที่อยู่ตามดอย จะนิยมเปิดร้านขายมันปิ้ง ไข่ปิ้ง หรือน้ำสมุนไพรร้อนๆ ที่ใส่หม้อดินและตั้งเตาถ่านไว้ ขายกันสดๆร้อนๆ หลากหลายชนิด เช่นน้ำขิงผสมน้ำผึ้ง นมร้อนผสมน้ำผึ้ง น้ำเก็กฮวย อะไรประมาณนั้น ซึ่งเค้าก็จะขายอยู่ตลอดข้างทางที่เดินผ่านไปอ่ะซึ่งก็แอบไปดื่มมา ซึ่งก็อร่อยมากและได้บรรยากาศสุดๆ และที่สังเกตอีกอย่างนึงคือ ในทุกร้านจะต้องมีน้ำขิงขายทุกร้าน..


ซึ่งสิ่งที่เราจะเล่าวันนี้นั้น ก็คือ ใน “ขิง” นั้นก็มีสรรพคุณอย่างนึง คือ ช่วยบรรเทาความหนาวเย็นได้ค่ะ ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งของชาวท้องถิ่น หรือนักท่องเที่ยวเค้านิยมดื่มกัน ซึ่งก็อาจจะมาจากสภาพอากาศบนดอยที่หนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปีด้วย  และนอกจากนี้ เรายังมีสาระน่ารู้เกี่ยวกับสรรพคุณของ “ขิง” จากโรงพยาบาลลำปาง มาฝากเพื่อนๆ กันอีกด้วยค่ะ

 

“ขิง”  ปรับสมดุลธาตุหน้าหนาว

ภกญ. ดร.สุภาภรณ์  ปิติพร  หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลอภัยภูเบศร ได้กล่าวว่าหน้าหนาวเป็นช่วงของวาตะธาตุหรือธาตุลม  ส่งผลกระทบต่อธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลมและไฟ  ใครที่มีธาตุ 4 สมดุลก็จะมีภูมิต้านทานกับการเปลี่ยนแปลงแห่งฤดูกาลมากกว่าคนอื่น  สำหรับคนที่มีวาตะธาตุเป็นเจ้าเรือน คือที่ผอมแห้งแรงน้อย  คนชรา หรือวัยเด็ก ก็จะได้รับผลกระทบมากกว่าคนอื่น    ธาตุไฟในคนกลุ่มนี้จะอ่อนแรง  ยิ่งเมื่อถึงหน้าหนาวจะอ่อนแรงไปอีก   ธาตุน้ำและลมจะกำเริบร่วมกัน  ทำให้มีเสมหะเหนียวแห้ง   ช่วงนี้คนมักเจ็บป่วยด้วยอาการหวัดและไอแห้งๆ  รวมทั้งมีการกำเริบของหอบหืดในช่วงฤดูหนาว

 


สมุนไพรขิง จึงเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ถูกนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม  ปลอดภัย  เป็นการช่วยเพิ่มธาตุไฟ   ขิงเป็นสมุนไพรที่ทุกมุมโลกนำมาใช้ พบว่ามีสารหลายชนิดที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่  มีการทดลองพบว่า  น้ำขิงต้ม  ทำให้เม็ดเลือดขาวแมคโครฟาจ จับกินไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ดีขึ้น  จึงเหมาะที่จะเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรสำหรับในฤดูกาลนี้  เพราะขิงเป็นสมุนไพรที่หาง่าย  มีความปลอดภัย  ใช้มานาน    ดังนั้น เมื่อมีอาการเป็นหวัด  ไม่สบาย    เราอาจเลือกกินน้ำต้มขิง  หรือต้มซุปไก่บ้าน ที่ใส่ตะไคร้และขิง   จะช่วยให้อาการดีขึ้น



ปัจจุบันขิงเป็นสมุนไพรที่บรรจุเป็นยาหลักแห่งชาติและองค์การอนามัยโลกรับรองขิงรักษาหวัด แต่มีข้อจำกัดในคนท้อง ยกเว้นต้องซื้อจากบริษัทที่ควบคุมคุณภาพที่ดีพอ ขิงเป็นสมุนไพรที่ใช้ในหลายประเทศทั่วโลก   เช่น   แพทย์จีนโบราณจัดขิงเป็นพืชรสเผ็ดอุ่น   มีฤทธิ์แก้หวัดเย็น  ขับเหงื่อ  บำรุงกระเพาะ  แก้คลื่นไส้อาเจียน  ลดโคเลสเตอรอลที่สะสมในตับและหลอดเลือด   อินเดียใช้ขิงลดการอักเสบ  แก้ปวด ลดการบวมน้ำ   ใช้เป็นยากระตุ้นอาหาร  เป็นยาช่วยย่อย  ช่วยขับลมในลำไส้  ระงับการคลื่นไส้อาเจียน  กระตุ้นกำหนัด   ตำรายาทางอายุรเวทใช้ขิงลดอาการบวม และลดการอักเสบของตับ   คนยุโรปโดยทั่วไปจะใช้ชาขิงช่วยย่อย  ช่วยรักษาท้องอืดจาการดื่มเหล้า  ช่วยขับลม  ใช้รักษาโรคเก๊าท์ และกระตุ้นการไหลเวียนเลือด

สำหรับคนไทย จะรู้จักขิงเป็นอย่างดี  สามารถนำมาเป็นเครื่องเทศปรุงเป็นอาหารได้สารพัด  ช่วยปรุงแต่งให้อาหารมีรสที่ชวนกิน  ดับกลิ่นคาว     อยู่ในตำหรับยารักษาโรคได้มากมาย   ขับลม   ช่วยย่อยอาหาร   ขับเหงื่อ   ขับน้ำนม   บำรุงธาตุ   บำรุงกำลัง    ฉะนั้น  ในหน้าหนาวนี้   ลองปรุงอาหารที่มีขิง   ถ้าหาอะไรไม่ได้   ลองต้มน้ำต้มขิงช่วยปรับสมดุลธาตุกันนะคะ

 

Credit : กลุ่มงานสุขศึกษา    โรงพยาบาลลำปาง

ภาพประกอบ : Photos.com

------------------------------------------------------------------------------------


สารพฤกษเคมีในผักและผลไม้ คืออะไร

-http://campus.sanook.com/1370615/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/-





ผักและผลไม้ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนใหญ่สารที่เป็นประโยชน์พบมากในเม็ดสีของพืชเรียกว่า สารพฤกษเคมี ซึ่งส่วนใหญ่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และต้านการอักเสบตลอดจนมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง

สารที่มักพบในพืชผักผลไม้ มี สารคลอโรฟิลล์ พบมากในพืชใบเชียว เช่น กวางตุ้ง บัวบก และชะพลู ช่วยกระตุ้นในการสร้างภูมิต้านทาน ชำระล้างขจัดสารพิษ และสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย

สารคาโรทีนอยด์ พบมากในพืชสีส้มเหลือง และสีแดงส้ม เช่น แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง ส้ม มะละกอ ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และสารก่อมะเร็งได้เป็นอย่างดี

สารลูทีน จะพบในพืชที่มีสีเหลือง อย่างข้าวโพด ช่วยต้านสารอนุมูลอิในการป้องกันเยื่อแก้วตา สระช่วยบำรุงสายตาการมองเห็น

สารไลโคปีน พบในพืชสีแดง เช่น มะเขือเทศ แตงโม สตรอเบอรี่ มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณผ่องใสขาวอมชมพู และลดการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดแข็งตัวอีกด้วย

สารแอนโทไซยานิดินหรือแอนโทไซยานิน พบในพืชสีน้ำเงิน และม่วงแดง เช่น กะหล่ำปลีม่วง หัวบีท องุ่นม่งแดง เชอร์รี่ ช่วยขยายหลอดเลือด ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและอัมพาต

สารอัลลิซิน พบในพืชสีขาว เช่น กระเทียม เป็นสารที่ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดความดันโลหิต ขับลม ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน และหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลัน

สารอินดอล ไอโซไทโอไซยาเนท บพมากในพืชตระกูลกะหล่ำ บรอคโคลี ผักกาดขาว กะหล่ำปลี เป็นสารที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง

ทั้งนี้ หากต้องการได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน แนะนำให้รับประทานผักปและผลไม้ที่หลากหลาย และมีสีสันหมุนเวียนกันไป เพื่อร่างกายได้รับสารอาหารต่างๆที่เป็นประโยชน์อย่างครบถ้วน และสมดุล

ที่มา : เว็บไซต์ สสส.




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #245 เมื่อ: มกราคม 25, 2014, 09:12:55 am »
รู้ไหม? อาหารชนิดไหนย่อยยากที่สุด!

-http://club.sanook.com/17834/8-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94-





1. น้ำมะนาวหรือน้ำส้ม  เครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดอาจทำให้หลอดอาหารระคายเคือง แถมปริมาณกรดมากมาย อาจทำให้เกิดปัญหาอื่น

2. ช็อกโกแลต  ส่วนใหญ่แล้วปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะคุณกินช็อกโกแลต แต่เป็นเพราะว่าคุณกินมากเกินไปต่างหาก หากคุณเป็นโรคกรดไหลย้อน (GERD) ช็อกโกแลตอาจเป็นปัญหาสำหรับคุณได้แม้ในปริมาณนิดเดียว นี่เป็นเพราะช็อกโกแลตทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างคลายออก กรดในกระเพาะก็จะไหลย้อนกลับขึ้นมาได้

3. บร็อกโคลี่ และกะหล่ำปลีดิบ จริงอยู่ที่ผักเหล่านี้มีทั้งใยอาหาร สารอาหาร และก็ดีต่อสุขภาพของคุณมากๆ แต่พวกมันก็อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะได้ ทางแก้นั้นง่ายมาก เพียงนำมาปรุงอาหารให้ผ่านความร้อนหรือแม้แต่ลวกเพียงเล็กน้อย ก็จะช่วยสลายสารซัลเฟอร์ที่ทำให้เกิดแก๊สได้แล้ว

4. มันบดและไอศกรีม หน้าตาเหมือนเป็นของย่อยง่าย แต่ถ้ากินเข้าไปแล้วรู้สึกกระเพาะปั่นป่วน เริ่มมีอาการท้องอืดมีแก๊สในกระเพาะเยอะ และเริ่มผายลมจนห้ามไม่ได้ นั่นล่ะคือสัญญาณบอกว่าร่างกายของคุณอาจแพ้แล็กโตส และต่อให้คุณปกติดี การกินไอศกรีมหรือมันบดที่มีครีมเยอะๆ ก็อาจเป็นปัญหาอยู่ดี เนื่องจากมันมีไขมันสูง และไขมันก็ย่อยยาก จึงอยู่ในกระเพาะอาหารนานกว่าอาหารอื่นๆ

5. นักเก็ตไก่ ทุกครั้งที่คุณคลุกอาหารเข้ากับแป้งแล้วนำไปทอด คุณได้เปลี่ยนอาหารชิ้นนั้นให้กลายเป็นของย่อยยากที่สุด โดยของทอดมักจะมันและมีไขมันสูง ซึ่งทำให้มันเป็นปัญหาสำหรับกระเพาะของเรา

6. หัวหอมดิบ  หัวหอมนั้นมีไฟโตนิวเทรียนต์ ซึ่งบางชนิดให้คุณแก่สุขภาพและดีต่อหัวใจของคุณ ส่วนบางชนิดจะทำให้ปวดท้อง  ถ้าให้ดีจึงควรกินหัวหอมดิบผสมกับหัวหอมที่ผ่านการปรุงสุกแล้วจะดีกว่า

7. ถั่ว  เป็นที่ทราบกันดีกว่าการกินถั่วมากจะทำให้ผายลม สาเหตุเนื่องมาจากเอนไซม์ที่ย่อยถั่วได้นั้น จะพบได้ในเฉพาะแบคทีเรีย ซึ่งมีชีวิตอยู่ในกระเพาะอาหาร และถ้าคุณไม่กินถั่วเป็นประจำ คุณอาจมีเอนไซม์ไม่เพียงพอต่อการย่อยถั่ว ผลก็คือจะเกิดแก๊สแล้วท้องก็จะอืด

8. หมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล  Sorbitol คือสารชนิดหนึ่งที่มักใช้เป็นส่วนประกอบในขนมหวานสูตรไม่มีน้ำตาล เช่น หมากฝรั่ง ลูกอม มันอาจเป็นสาเหตุของแก๊สในกระเพาะอาหาร ดังนั้น ก่อนจะซื้อหมากฝรั่งมาเคี้ยวก็ลองพลิกฉลากมาดูก่อน หากมี Sorbital มากกว่า 10 กรัม นั่นก็แสดงว่ามันยากต่อการย่อยแน่ๆ

ขอขอบคุณที่มาอ้างอิงจาก วิชาการ.คอม

ภาพประกอบจาก www.photos.com


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #246 เมื่อ: มกราคม 25, 2014, 09:37:21 am »
ผักพื้นบ้าน โภชนาการสูง ปลอดภัย ไร้สารพิษ

-http://health.kapook.com/view80976.html-




ใบชะมวง


ผักพื้นบ้าน โภชนาการสูง ปลอดภัย ไร้สารพิษ (สสส.)
โดย พิมพ์ชนก ศรเพชร Team Content www.thaihealth.or.th

          ผักพื้นบ้านเกี่ยวข้องกับวิถีการกินอาหารของคนไทยมาช้านาน เพราะส่วนใหญ่เป็นผักที่หาได้ง่าย หรือเรียกว่า "ผักสวนครัว รั้วกินได้" แต่ปัจจุบันกลับมีคนรู้จักผักพื้นบ้านไม่มากนัก ด้วยส่วนใหญ่มักจะบริโภคแต่ผักสามัญทั่วไปที่พบเจอได้ตามท้องตลาด

          รศ.ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล หนึ่งในผู้ที่สนใจเรื่องผักพื้นบ้าน โดยเฉพาะผักพื้นบ้านประจำภาคใต้ บอกเล่าความเป็นมาของการศึกษาโภชนาการกับผักพื้นบ้านว่า ตนมีลูกศิษย์เป็นคนใต้ และเขาเองก็สนใจเรื่องผักพื้นบ้านภาคใต้ และพบว่าปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่กลับไม่ค่อยรู้จักผักพื้นบ้าน จากที่เมื่อก่อนมีอยู่ในทุกมื้ออาหาร

          "เหตุที่ผักพื้นบ้าน ค่อย ๆ หายไปนั้น เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าผักมีประโยชน์ และคุณค่าทางสารอาหารมากแค่ไหน เนื่องจากผักทั่วไปสามารถเข้าถึงได้มากกว่า เพียงเดินตามท้องตลาดก็หาซื้อได้ง่าย ส่วน "ผักพื้นบ้าน" เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตอนนั้นจึงเกิดความคิดว่า ทำอย่างไรคนรุ่นใหม่จึงจะรู้จักคุณค่าของผักพื้นบ้าน และพบว่าสิ่งที่จะชักจูงให้เขาสนใจมากที่สุดคือ "คุณค่าทางโภชนาการ" นั่นเอง" รศ. ดร.รัชนี บอกเพิ่มเติม



ผักเหลียง


 พฤกษเคมี คุณค่าผักพื้นบ้าน

          เมื่อเริ่มทำการศึกษาวิจัย รศ.ดร.รัชนี พบว่า ผักพื้นบ้านมีสารอาหารสูงกว่าผักตามท้องตลาดมาก บางชนิดมากถึงสิบเท่า โดยเฉพาะ "สารพฤกษเคมี" หรือ "ไฟโตนิวเทรียนท์" สารชนิดนี้มีบทบาทอย่างมากในการยับยั้งโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อย่างเช่น โรคมะเร็ง หัวใจ ความดัน เป็นต้น และช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อม และกระบวนการเผาผลาญภายในร่างกายที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จะมีในผักพื้นบ้านค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะผักที่มีรสขม ผักทั่วไปหาไม่ค่อยพบ มีในผักพื้นบ้านภาคใต้ เช่น มันปู ยอดมะม่วงหิมพานต์ ผักเลียงน้ำ หรือ ผักเหลียง ผักหนาม ฯลฯ

ฟลาโวนอยด์

          สารต้านอนุมูลอิสระส่วนใหญ่ที่อยู่ในรูปของฟลาโวนอยด์ กลุ่มนี้จะมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งทำให้อนุมูลอิสระเหล่านั้นสลายไป ไม่สามารถทำลายเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้ มีมากในพวกผักใบ เช่น เลียงน้ำ มะม่วงหิมพานต์

สารแอนโทไซยานิน

          ถ้าได้รับในปริมาณที่เพียงพอ จะทำให้สามารถยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็ง ช่วยชะลอริ้วรอยได้ ผักทั่วไปมักพบได้ในกะหล่ำปลีสีม่วง แต่ถ้าผักพื้นบ้านก็จะมี ผักเหลียง มันปู ใบเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ใบชะมวง ผักหนาม




 กินผักเพื่อป้องกันโรค ไม่ใช่รักษา

          รศ.ดร.รัชนี บอกว่า การกินผักให้เป็นยา คือ การกินให้ถูกวิธี ให้พอเหมาะพอควร และครบในทุกมื้ออาหาร อีกทั้งควรกินผักให้หลากหลายหมุนเวียนกันไป เพียงเท่านี้ก็เป็นยาอายุวัฒนะให้กับร่างกายแล้ว เพราะเรากินผักเพื่อป้องกันโรคไม่ใช่รักษาโรค

          หากยกตัวอย่างผักที่มีสรรพคุณเป็นยาชัดเจนนึกถึง "มะระขี้นก" นำผลสดปั่นเป็นเครื่องดื่มสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ต้องกินเป็นประจำทุกวันด้วย

          อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ แนะนำเพิ่มเติมว่า ผักพื้นบ้านเป็นผักที่ปลอดสารพิษ หากกินทุกวันก็เป็นยาไปในตัว นำมาเป็นส่วนหนึ่งของเมนูอาหารอย่างเช่น ผักเหลียงผัดกับไข่ ผักเหนาะจิ้มน้ำพริก แกงใบชะมวง ฯลฯ

          นอกจากอร่อยแล้วยังมีประโยชน์ด้วย ยิ่งกินผักทุกมื้ออาหาร มากเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ต้องกินให้หลากหลาย เพราะผักมีคุณค่าสารอาหารที่แตกต่างกันไป กินให้ได้ 3-4 ส่วนของมื้ออาหาร เหมาะสมตามช่วงวัย และควรกินเป็นผักสดเพราะสารอาหารจะไม่ถูกทำลาย ที่สำคัญคือ ควรเพิ่มผักพื้นบ้านในทุกมื้อด้วย เพราะผักพื้นบ้านเป็นแหล่งใยอาหาร เกลือแร่ วิตามิน และสารพฤกษเคมีต่าง ๆ ที่มีคุณค่าต่อร่างกายอีกด้วย

          การบริโภคผักพื้นบ้าน นอกจากได้รับคุณค่าทางโภชนาการ ปลอดภัย ไร้สารพิษแล้ว ยังเป็นการนำวิถีการกินอาหารของคนไทยกลับคืนมา


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/special_report/38628-


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #247 เมื่อ: มกราคม 25, 2014, 07:39:29 pm »
แอปเปิ้ลวันละลูก... เริ่ดจริง ไม่ได้โม้

-http://campus.sanook.com/1370613/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81...-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%89/-

ผลไม้ชนิดนี้ทั้งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แคลอรีต่ำเส้นใยสูง แถมไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดยังยืนยันว่า กินแอปเปิ้ลแค่วันละลูกสามารถลดความเสี่ยงหัวใจวายและเส้นเลือดอุดตันได้ดีพอๆกับยาลดไขมันในเลือดกลุ่มสแตติน (Statin) แล้วยังดีกว่าตรงที่ไม่มีผลข้างเคียงเช่น โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ เบาหวาน ตามมาเหมือนกับการใช้ยาด้วย



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #248 เมื่อ: มกราคม 25, 2014, 08:16:59 pm »
สมุนไพรกับโรคหอบหืด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 มกราคม 2557 18:07 น.


-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000009347-

 โดย...ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร
       หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม
       โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
       
       โรคหอบหืด เป็นโรคทางเดินหายใจที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งในปัจจุบันปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ทำให้เกิดโรคหอบหืดนั้นมีมากขึ้น เช่น มลภาวะและอากาศที่เป็นพิษที่มีอัตราสูงขึ้นในเมืองใหญ่ๆ ของประเทศ รวมถึงสภาพความเป็นอยู่แบบเมืองซึ่งแออัดทำให้มีการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อทางเดินระบบหายใจได้ง่าย และการเพิ่มขึ้นของกลุ่มประชากรที่นิยมสูบบุหรี่ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยมีแนวโน้มของผู้ป่วยโรคนี้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
       
       โรคหอบหืด เป็นโรคที่มีภาวะการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม ซึ่งมีผลทำให้เยื่อบุผนังหลอดลมของผู้ป่วยมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารภูมิแพ้และสิ่งแวดล้อมมากกว่าคนปกติ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอ แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีดหรือหอยเหนื่อย เกิดขึ้นทันทีเมื่อได้รับสารก่อโรคหรือสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ เช่น ฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้ หรือแม้กระทั่งอากาศที่เย็น ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นอาจหายได้เองหรือหายโดยการใช้ยาขยายหลอดลม
       
       ผู้ป่วยโรคหอบหืดบางรายอาจมีอาการเกิดขึ้นเพียงปีละ 1 - 2 ครั้ง แต่ในบางรายอาจมีอาการเรื้อรังตลอดปี และมีความจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยาที่ใช้ในโรคนี้ก็ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลายประการ เช่น การใช้ยาพ่นประเภทสเตียรอยด์อย่างไม่ถูกต้อง ก็อาจทำให้มีการเจริญเติบโตของเชื่อราในช่องปากได้ หรือการรับประทานสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานานก็มีผลต่อการทำงานของไต รวบทั้งยับยั้งการเจริญเติบโตในผู้ป่วยเด็กได้ การใช้ยาขยายหลอดลมบ่อยๆ ก็มีผลทำให้หัวใจเต้นเร็วได้ เป็นต้น ดังนั้น การปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง และใช้ยาสมุนไพรที่มีอยู่รอบๆ ตัว ก็อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยโรคนี้
       
       ผู้ป่วยโรคหอบหืด ควรหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ตนเองแพ้ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการแพ้ โดยตัวผู้ป่วยหรือญาติอาจจะสังเกตุ หรือทำการทดสอบทางผิวหนังดูว่าแพ้อะไร ในระว่างมีอาการควรใช้ยาที่ถูกต้องโดยเฉพาะยาพ่น ควรหลีกเลี่ยงจากอากาศเย็น อาหารเย็น รวมทั้งน้ำเย็น เพราะความเย็นจะทำให้เสมหะจับจัวกันได้ง่าย ซึ่งเสมหะจะเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดการจับหอบได้ นอกจากนี้การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะช่วยสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายได้เช่นกัน
       
       สำหรับสมุนไพรที่มีการบันทึกในตำรายาโบราณว่าช่วยรักษาหอบหืดได้ผล เช่น “ปีบ” หรือที่ทางเหนือเรียกว่า กาซะลอง เป็นพืชตระกูลเดียวกับแค และรับประทานได้เช่นเดียวกับดอกแค ในทางยา ดอกปีบได้ถูกนำมาใช้แก้หอบหืด โดยใช้ดอกแห้งมวนด้วยใบบัวหลวงหรือใบตองนวลเป็นบุหรี่สูบแก้หอบ มีการวิจัยพบว่าในดอกปีบมีสารฮีสปีดูลิน (Hispidulin) ซึ่งระเหยได้ มีฤทธิ์ขยายหลอดลมได้ดีกว่า อมิโนฟิลลีน (Aminophylline) ซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบันที่ช่วยรักษาโรคหอบหืด และไม่มีความเป็นพิษแต่อย่างใด ทางภาคเหนือและอีสานใช้รากปีบต้มกินแก้ไอ และยังเชื่อว่ารากปีบมีสรรพคุณบำรุงปอด นอกจากนี้แล้ว ดอกปีบยังเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในยาแก้ริดสีดวงจมูกอีกด้วย
       
       “หนุมานประสานกาย” หรือสังกรณี มีสรรพคุณหลักในการแก้แพ้อากาศ แก้หอบหืด หลอดลมอักเสบ ขยายหลอดลม หวัด เจ็บคอ ไอเรื้อรัง เป็นสมุนไพรที่น่าจับตามอง เพราะสามารถนำมาพัฒนาเป็นยารักษาโรคในระบบทางเดินหายใจระยะยาวได้ ซึ่งนอกจากประเทศไทยแล้ว ญี่ปุ่นก็มีการใช้ในรูปแบบชาชงเพื่อบรรเทาอาการไอ แก้หลอดลมอักเสบและหอบหืด การใช้ใบหนุมานประสานกายให้ใช้ใบสดล้างให้สะอาดเคี้ยวครั้งละ 2 ใบ กลืนน้ำจนกว่ากากยาจะจืดจึงคายทิ้ง หรือกลืนลงไปเลยก็ได้ เคี้ยววันละ 2 ครั้งก่อนอาหารเช้า และเย็น การใช้ใบแห้งให้ใช้ 1 - 3 ใบชงน้ำดื่มแทนชา หรือถ้าต้มใช้ประมาณ 7 - 8 ใบต้มกับน้ำ 4 แก้ว ปล่อยให้เดือดเบาๆ จนน้ำงวดเหลือครึ่งหนึ่ง แบ่งกินวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า - เย็น หากต้องการดื่มทั้งวัน ใช้ใบเพสลาดสดหรือแห้ง หรือรวมกันทั้งสองอย่างราว 7 ใบ ต้มกับน้ำ 7 แก้ว เพียง 10 นาที ใช้ดื่มต่างน้ำ ในบางคนอาจเกิดอาการแพ้ มีอาการใจสั่น แน่นหน้าอก อึดอัด หายใจไม่สะดวก เวียนศรีษะ คลื่นไส้ ต้องหยุดใช้ยาทันที ฤทธิ์ดังกล่าวเกิดจากการใช้ใบสดมากกว่าใบแห้ง คนที่เป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตต่ำหรือสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน
       
       นอกจากนี้ รางจืด และชุมเห็ดเทศ ก็เป็นสมุนไพรอีกชนิดที่มีการนำมาใช้ในโรคหอบหืด เพราะในทฤษฎีแพทย์แผนไทย เชื่อว่าการเกิดโรคหอบหืดนั้น มาจากการที่ร่างกายมีการสะสมของเสียไว้ ดังนั้น การรักษาโรคนี้ก็มุ่งไปที่การขับของเสีย ยาในกลุ่มขับพิษและยาระบายจึงถูกนำมาใช้ ซึ่งในผู้ป่วยหลายรายใช้แล้วได้ผลดี
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #249 เมื่อ: มกราคม 26, 2014, 05:08:30 pm »
จีนห้ามขาย “เซียงจา” เหตุมีสารก่อมะเร็ง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 มกราคม 2557 17:28 น.


-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000008627-



(ภาพจาก travel.truelife.com)


       ขนม “เซียงจา” ถูกทางการจีนสั่งห้ามจำหน่ายเนื่องจากใช้วัตถุเพิ่มสีแดง ที่มีสารก่อมะเร็งผสมอยู่
       
       ขนม “เซียงจา” หรือ “บ๊วยแผ่น” ซึ่งเป็นขนมยอดฮิตในช่วงวัยเด็กเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ลักษณะจะเป็นแผ่นกลมๆ สีแดงๆ บรรจุอยู่ในห่อกระดาษสีสันสดใส รสชาติหวานอมเปรี้ยว ทำมาจากพุทราจีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่าเซียงจา (หรือ ซานจา) หรือ ฮอว์เบอรี่
       
       ล่าสุดนี้ ทางการจีน โดยสำนักความปลอดภัยด้านอาหาร ได้ประกาศรายชื่ออาหารที่ไม่ได้มาตรฐานในช่วงเทศกาลตรุษจีนออกมาทั้งสิ้น 19 รายการ ซึ่งในจำนวนนี้มีขนมเซียงจา และของกินที่ทำจากพุทราจีนอื่นๆ อีก 8 ยี่ห้อรวมอยู่ด้วย
       
       สาเหตุเนื่องจากมีการตรวจพบว่าขนมดังกล่าวมีการผสมสารเพิ่มสีแดงที่มีสารก่อมะเร็งผสมอยู่ โดยขนมที่พบว่ามีสารก่อมะเร็งผสมอยู่นั้นมาจาก 3 ยี่ห้อ ได้แก่ บริษัทชิงโจวอี้ว์ป๋อสือผิ่น บริษัทเป่ยจิงจางหยังซางเม่า และ เป่ยจิงรุ่ยอี๋ชุนสือผิ่น
       
       และทางสำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารยังออกคำเตือนมายังประชาชนให้ระมัดระวังในการเลือกซื้อขนมที่ทำจากพุทราจีนด้วย หากพบว่ามีสีแดงมากเกินไป หรือมีรสชาติหวานมากเกินไป อาจจะเป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ประชาชนควรหลีกเลี่ยงที่จะบริโภค
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)