ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129507 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 10 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #190 เมื่อ: ตุลาคม 19, 2013, 08:56:16 am »
ประโยชน์ กล้วยน้ำว้า

-http://men.sanook.com/1453/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2/-



กล้วยน้ำว้า สรรพคุณ ประโยชน์ บำรุงร่างกายและดูแลสุขภาพ กล้วยน้ำว้า เป็นผลไม้ไทยๆ ที่มีมาแต่โบราณเป็นภูมิปัญญาไทยมีแค่ประเทศไทยประเทศเดียว คนไทยทุกคนเกิดมาก็ต้องรู้จักกล้วยน้ำว้าเป็นอย่างดี

กล้วยน้ำว้า ถึงจะเป็นผลไม้ ที่ไม่น่าจะให้พลังงานได้เยอะ แต่เชื่อหรือไม่ว่า กล้วยเป็นแหล่งพลังงานสำรองชั้นดี ในกล้วย 1 ผล สามารถให้พลังงานได้ร่วม 100 แคลอรี่ มีน้ำตาลธรรมชาติอยู่ 3 ชนิด ทั้ง ซูโครส ฟรุคโทส และกลูโครส รวมไปถึงเส้นใยและกากอาหาร และอุดมด้วย วิตามินบี 6 ที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน แถมแร่ธาตุอย่างแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ที่ช่วยป้องกันโรคความดันอีก


ในบรรดากล้วยทั้งหมด กล้วยน้ำว้าให้แคลเซียมสูงที่สุด นอกจากนั้นก็ยังมีวิตามินบี 1 บี 2 ซี และไนอะซิน (บี 6) ในปริมาณที่เท่า ๆ กัน แต่ที่ทำให้กล้วยน้ำว้า มีคุณค่าสารอาหารที่พิเศษกว่ากล้วยชนิดอื่น นั่นก็คือ โปรตีนที่อยู่ในกล้วยน้ำว้า มีกรดอะมิโน อาร์จินิน และฮีสติดิน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก ถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตอนเด็ก ๆ ผู้ใหญ่ถึงให้เรากินกล้วยบด เพราะอุดมด้วยสารอาหาร และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายเรานั่นเอง


สรรพคุณของกล้วยน้ำว้าช่วยป้องกันโรค

1.กล้วยน้ำว้า ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ รับประทานวันละ 5 - 6 ผล จะช่วยให้อาการระคายเคืองลดน้อยลง

2. กล้วยน้ำว้า ยังช่วยระงับกลิ่นปากได้ วิธีการก็คือ รับประทานกล้วยน้ำว้าหลังตื่นนอนทันที แล้วค่อยแปรงฟัน จะช่วยลดกลิ่นปากได้มาก

3.กล้วยน้ำว้า ยังสามารถรักษาโรคกระเพาะ เพราะในกล้วยน้ำว้ามีสารแทนนินอยู่มาก จึงสามารถช่วยรักษาอาการท้องเสียแบบไม่รุนแรงได้

4.กล้วยน้ำว้า แก้ท้องผูก ก็สามารถแก้ท้องเดินหรือท้องเสียได้

 

จะเห็นได้ว่ากล้วยน้ำว่ามีประโยชน์มากมาย กล้วยน้ำว้าหารับประทานได้ไม่ยาก ราคาของกล้วยน้ำว้า ก็ไม่แพงเมื่อเทียบกับผลไม้อื่น หากได้รับประทานกล้วยน้ำว้า เพียงวันละ ลูก ก็จะทำให้เราห่างไกลหมอได้พอสมควร หากได้รับประทานกล้วยน้ำว้า เพียงวันละ 5-6 ลูก ก็จะทำให้เราห่างไกลหมอได้พอสมควร


เกร็ดความรู้ นอกจากนี้ กล้วยน้ำว้า ยังมีแคลเซียมสูงและดูดซึมได้เร็ว 5-6 เท่า เมื่อถูกความร้อนโ ดยเฉพาะ กล้วยบวชชีและกล้วยปิ้ง


http://men.sanook.com/1453/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2/
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #191 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2013, 10:22:47 pm »
เตือนทำตัวเป็น “ลำยอง” ซดเหล้าขณะท้อง ลูกเสี่ยงพิการแถมโง่!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 ตุลาคม 2556 18:30 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000132409-



แพทย์เตือนอย่าเลียนแบบ “ลำยอง” ซดเหล้าขณะท้อง ชี้ลูกเกิดมาเสี่ยงพิการ สมองเล็ก ไอคิวต่ำ ออทิสติก ผลศึกษาจากแคนาดาระบุชัดต้องใช้เงินดูแลลูกถึง 300 ล้านบาทต่อราย ติผู้สร้างละครไม่ขึ้นคำเตือน แนะหารือ กสทช.เมื่อมีฉากดื่มของมึนเมา หากตัดไม่ได้ต้องขึ้นข้อความสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

วันนี้ (22 ต.ค.) นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีละคร “ทองเนื้อเก้า” มีฉากที่ “ลำยอง” ตัวละครเอกของเรื่องดื่มเหล้าขณะตั้งครรภ์ ว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์ถือเป็นเรื่องต้องห้ามในทางการแพทย์ เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อเด็กทั้งด้านการสร้างอวัยวะ ซึ่งจะส่งผลให้เด็กพิการทางกาย และด้านพัฒนาการทางสมอง ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง ดังนั้น หากมีฉากหญิงตั้งครรภ์แล้วดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ควรมีการหารือกันว่า จะมีการออกมาตรการใดควบคุมหรือไม่ โดยเฉพาะต้องมีการให้ความรู้ต่อสังคม เช่น ขึ้นคำเตือนที่เพียงพอในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับสังคม
       
        นพ.สมาน กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ หากมีฉากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ควรที่จะมีการหารือกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่า ฉากดังกล่าวควรที่จะมีปรากฏหรือไม่ และหากจะให้มีฉากดังกล่าวปรากฏเพราะจำเป็น เนื่องจากเป็นบทก็ควรที่จะมีอะไรคู่ขนานกันไป เช่น คำเตือน เป็นต้น
       
        "เด็กที่เกิดจากแม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์ ถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจากแม่ที่ดื่มทั้งที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และรู้แต่ยังดื่ม เพราะเด็กได้รับผลกระทบโดยที่ไม่สามารถต่อสู้หรือป้องกันตัวเองได้ เป็นเรื่องเศร้า ที่ต้องเกิดมาพิการหรือปัญญาอ่อนจากการกระทำของแม่ จึงต้องระมัดระวัง” นพ.สมาน กล่าว
       
        ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ที่ปรึกษาสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ผลกระทบจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ประเทศไทยไม่เคยพูดถึงและเป็นเรื่องสำคัญ คือ ผลเสียจากการที่หญิงตั้งครรภ์ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีการพิสูจน์แล้วว่าจะทำให้เด็กที่คลอดออกมาสมองเล็ก ไอคิวต่ำ เป็นออทิสติก ไฮเปอร์แอ็กทีฟ กลายเป็นปัญหาต่อสังคมภายภาคหน้าอย่างมหาศาล และมีการศึกษาในประเทศแคนาดา พบว่า การเลี้ยงดูเด็กที่มีปัญหาดังกล่าว 1 คน ใช้เงินราว 10 ล้านเหรียญแคนาดา หรือราว 300 ล้านบาท

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #192 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2013, 08:21:49 am »
“กระชาย“ราชาแห่งสมุนไพร

-http://men.sanook.com/1467/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3/-




กระชายมี 3 ชนิด คือ กระชายดำ กระชายแดง กระชายเหลือง กระชาย ในที่นี้จะขอกล่าวถึงกระชายเหลืองอย่างเดียวเปรียบเทียบกระชายคือโสมของไทย คือ "ราชาแห่งสมุนไพร" กระชายปั่นคั้นน้ำ กระชายมีวิตามินซี, บี1, บี 3 ,บี 6 และแคลเซียม

สรรพคุณกระชาย

1.ช่วยบำรุงตับ ไต แข็งแรง

2.ช่วยฟื้นฟูต่อมไทรอยด์ ต่อมใต้สมอง

3.ช่วยบำรุงเส้นเอ็นให้แข็งแรง กระดูกไม่เปราะบาง

4.ช่วยให้เส้นผมไม่หงอกก่อนวัยเล็บมือ เล็บเท้า แข็งแรง

5.ช่วยปรับสมดุลความดันโลหิตให้พอดี ไม่ให้สูงมากหรือต่ำมากเกินไป

6..ช่วยบำรุงหัวใจ ระบบกล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง เต้นสม่ำเสมอ ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น

7.ช่วยปรับฮอร์โมนเพศหญิง คือ เอสโตรเจน และฮอร์โมนเพศชาย คือ เทสโทสเตอโรน ซึ่งอยู่ในร่างกายทุกคน ไม่ว่าผู้หญิงหรือชาย



คุณค่าในน้ำกระชาย

เมื่อกินน้ำกระชายเข้าไปแล้ว ในกระเพาะเรามีน้ำ มีไขมันและจุลินทรีย์สองกลุ่มจะแยกกันทำหน้าที่ของมันเอง ตัวจุลินทรีย์ในกระเพาะจะทำให้เกิดแอลกอฮอล์ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่สกัดตัวยากลุ่มที่ละลายน้ำออกมาจากกระชายได้เอง ส่วนกลุ่มที่ละลายในไขมันก็ทำงานของเขาเอง

คนปกติดื่มกระชาย เพื่อบำรุงเอาไว้ ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคไต ผู้ชายป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากโต ผู้หญิง ป้องกันไม่ให้เป็นมดลูกโต และถ้าให้เด็กดื่มกินเป็นประจำ จะช่วยสร้างกระดูกให้มีโครงสร้างที่แข็งแรง เห็นประโยชน์มากมายเราก็นำสูตรการทำกระชายปั่นคั้นน้ำมาฝากด้วย


วิธีทำ

1.นำกระชายมาล้างน้ำเกลือให้สะอาดประมาณ 1 แก้ว

2.หั่นกระชายเป็นแว่นเล็กใส่เครื่องปั่นแล้วเติมน้ำ 1 แก้ว

3.ปั่นให้ละเอียดแล้วกรองเอาแต่น้ำ ทิ้งกาก (ห้ามกินกาก)

4.ใช้น้ำเป็นหัวเชื้อใส่ขวดเก็บในตู้เย็นได้หลายวัน

5.เวลาจะใช้ดื่มก็เทใส่แก้วแล้วเติมน้ำสะอาดให้เจือจาง

6 เติมน้ำตาล เกลือ ปรับรสชาติตามใจชอบ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #193 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2013, 10:07:20 am »
อิ่มบาป เมนูพิสดาร เห็นเเล้วสงสารสัตว์

อิ่มบาป เมนูพิสดาร เห็นเเล้วสงสารสัตว์

อิ่มบาป เมนูพิสดาร เห็นเเล้วสงสารสัตว์
-http://www.youtube.com/watch?v=h2ayQbsz8_Y-


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #194 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2013, 05:58:55 am »
เครื่องดื่มเพิ่มพุง

-http://men.sanook.com/1471/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%87/-


เครื่องดื่มมีมากมาย ที่เราดื่มกันในแต่ละวัน แต่รู้ไหมว่าน้ำต่างๆที่เราดื่มไปนั้น อาจจะเพิ่มพุงให้เราด้วย มีเครื่องดื่มไรกันบ้าง

1. กาแฟขนาดกลาง 400 Kcal
2. น้ำอัดลมขนาดปรกติ 280 Kcal
3. ชามะนาว 220 Kcal
4. เบียรสด 150 Kcal
5. น้ำส้ม 110 Kcal

กาแฟประเภทต่างๆ

จริงๆแล้วตัวกาแฟเองนั้นมีแคลอรี่ที่น้อยมาก(ประมาณ 5 แคลอรี่/8ออนซ์) แต่ด้วยการปรุงแต่งหลายๆอย่างจากคนเรานี่เองทำให้กาแฟจากร้านขายกาแฟขนาด 10ออนซ์ ใส่ครีมและน้ำตาลนั้นมีแคลอรี่มากถึง 120 แคลอรี่, ลาเต้ 230 แคลอรี่ และคาปูชิโน 130 แคลอรี่ แล้ววันๆหนึ่งคุณดื่มไปกี่แก้วกัน? ถึงแม้จะวันละแก้วแต่ในหนึ่งสัปดาห์นั้นคุณก็จะได้ไปทั้งหมดประมาณ 840-1,610 แคลอรี่เลยนะ ทางที่ดีที่สุดถ้ายังอยากดื่มกาแฟอยู่ก็หันไปหากาแฟดำดู ถ้าหากใครที่ยังไม่สามารถทนกับรสชมของมันได้ก็ใส่หญ้าหวานลงไปช่วยก่อนก็ได้

เครื่องดื่มจำพวกซอฟต์ดริ้งค์

เครื่องดื่มจำพวกนี้นั้นสามารถพบเห็นได้ในทุกๆวัน ซึ่งที่มีกันเกลื่อนนั้นก็เพราะมันมีรสที่อร่อย แต่ซอฟต์ดริ้งค์ขนาด 12ออนซ์ นั้นมีแคลอรี่ถึง 150-200 แคลอรี่และมีน้ำตาลมากกว่า 52 กรัม(น้ำตาลมากกว่า 13 ช้อนชา) จินตนาการเมื่อคุณดื่มซอฟต์ดริ้งค์ทั้งหลายแหล่ตอนรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ... คุณจะได้รับแคลอรี่เพิ่มขึ้นอีกแทบจะเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว

ชาที่มีรสหวาน

ไม่ว่าจะเป็นชาเย็น, ชาดำเย็น หรือชาอะไรก็ตามที่มีรสหวานนั้นก็ถือเป็นเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะด้วยน้ำตาล, นมข้นหวาน, หรืออื่นๆที่ใส่เข้ามาเพิ่มนั้นล้วนแล้วแต่ทำให้อ้วนทั้งสิ้น ไม่ใช่เฉพาะกับชาที่ชงสดเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงชาที่บรรจุขวดขายตาม 7-11 หรือห้างสรรพสินค้าด้วย

เครื่องดื่มชูกำลัง

เครื่องดื่มชูกำลังนั้นอาจจะเป็นเครื่องดื่มที่้เฉพาะกลุ่มสักนิดหน่อย แต่ถ้าหากใครที่ดื่มเป็นประจำล่ะก็ ในช่วงลดน้ำหนักนี้ก็ยกเลิกสักพักก็แล้วกัน เพราะเครื่องดื่มชูกำลังนั้นอัดแน่นไปด้วยน้ำตาลและคาเฟอีน มีแคลอรี่สูงถึง 110-300 แคลอรี่ และมีน้ำตาลถึง 27-55 กรัม(6-13 ช้อนชา) เลยทีเดียว

ที่มา : http://www.lovefitt.com/
by Sutthakit



-----------------------------------------------------------------------------

'13 เมนู' ที่รู้ทั้งรู้ก็ยังกิน

-http://campus.sanook.com/1370092/13-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99/-

13 เมนูยอดนิยมนี้ ที่มีตั้งแต่โซดาไปจนถึงข้าวโพดคั่ว ทั้งที่มาในรูปอาหารเพื่อสุขภาพและจานด่วน ที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีประโยชน์แต่ก็ยังรับประทาน

1. นักเก็ตไก่
อาหารฟาสต์ฟูดยอดนิยมที่กินสะดวกและหาได้ทั่วไป แต่ถ้าเลี่ยงได้ควรเลี่ยง จะเป็นแบบแช่ฟรีซไว้ในตู้เย็นที่บ้านหรือซื้อทานในร้านอาหารก็ไม่ควร เพราะมีปริมาณเกลือสูง รวมถึงสารกันบูด และ ไขมันในปริมาณเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ

2. เฟรนช์ฟรายด์
รู้อยู่แล้วว่าเป็นของว่างที่อุดมไปด้วยแคลอรี่ การทานเป็นประจำอาจก่อให้เกิดโรคเบาหวานและควบคุมน้ำหนักได้ยาก สารอาหารที่เป็นประโยชน์ของเจ้าแท่งสีเหลืองทองถือว่ามีน้อยมาก แม้ว่าจะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดน้อย แต่ถ้าอยากกินจริงๆ แนะนำให้อบแทนทอด

3. ขนมขบเคี้ยวชนิดทอด
ขนมขบเคี้ยวประเภททอดทั้งหลายล้วนใส่เกลือในสัดส่วนเกินพอดี นั่นหมายถึงปริมาณแคลอรี่ และ สารกันบูด ในระดับที่ทำลายสุขภาพ โดยให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและใยอาหารต่ำ อันจะส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง

4. โซดา
ความจริงคือน้ำซ่าชนิดนี้มีแคลอรี่เท่ากับศูนย์ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ให้สารอาหารเป็นประโยชน์ใดๆ ยิ่งไปกว่านั้นโซดาในท้องตลาดทั้งหลายยังใส่ส่วนผสมแต่งรสแต่งกลิ่น เช่น น้ำเชื่อมฟรุกโตส(ไซรัป) ที่ทำจากข้าวโพดที่ให้โทษมากกว่าน้ำตาล เพราะมันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไปเพิ่มระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดที่มีส่วนทำลายเซลล์ในตับ นอกจากนี้ยังทำให้อ้วน และช่วยกระจายเชื้อแบคทีเรียและมะเร็ง โดยไปเพิ่มปริมาณกรดแก่ร่างกาย


5. ฮอทดอกและเนื้อแปรรูป
กระบวนการผลิตเนื้อและฮอทดอกในท้องตลาดใช้สารสังเคราะห์ในปริมาณสูง รวมถึงผงชูรส เกลือ และบรรจุภัณฑ์ราคาถูก ที่สำคัญ ในขั้นตอนการแยกเนื้อและไขมันนั้นต้องผลิตภายใต้ความร้อนและความดันที่สูงมาก สารอาหารที่มีประโยชน์จึงสูญเสียไปเยอะ

6.แฮมเบอร์เกอร์จานด่วน
เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคเบาหวาน จากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานแฮมเบอร์เกอร์ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะมีแนวโน้มเป็นเบาหวานมากกว่าคนที่ไม่ทาน

7.ซีเรียลผสมน้ำตาล
อาหารเช้าอย่างซีเรียล โดยเฉพาะยี่ห้อที่กล่องสีสันสดใส หลายบ้านมีไว้คู่ครัว ทราบหรือไม่ว่าแต่ละกล่องเพิ่มปริมาณน้ำตาลเข้าไปในระดับเสี่ยงเป็นเบาหวาน แม้คุณสมบัติเส้นใยสูงจะช่วยป้องกันโรคเบาหวาน แต่ซีเรียลเหล่านี้ก็มีไฟเบอร์อันเป็นประโยชน์ในสัดส่วนที่ต่ำมาก ถ้าอยากกินจริงๆ ให้มองหาซีเรียลที่ข้างกล่องระบุไว้ว่ามีไฟเบอร์ประมาณ 5 กรัม และเลี่ยงชนิดที่มีปริมาณน้ำตาลสูง

8. มันฝรั่งทอดชนิดแผ่น
มันฝรังแผ่นทอดกรอบต่างๆ อุดมไปด้วยไขมันและแคลอรี่ ที่สำคัญเค็มมาก ทั้งหมดนี้แทคทีมกันทำร้ายสุขภาพ ทางที่ดีควรกินให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะเท่ากับจะได้หนีจากปริมาณไขมันและแคลลอรี่ในปริมาณที่ร่างกายเกินต้องการ และไปลงท้ายด้วยการสะสมในน้ำหนักจนพุ่งกระฉูด ซึ่งจะนำไปสู่โรคอ้วนและปัญหาสุขภาพอีกสารพัด

9. กราโนลา บาร์ หรืออาหารเช้าที่ประกอบด้วยน้ำนมใส่ผลไม้แห้ง,ผลไม้เปลือกแข็ง,ข้าว ชนิดอัดแท่ง
ตลาดอาหารสำเร็จรูปที่(ดู)มีประโยชน์กำลังโปรโมทเมนูสุขภาพนี้อย่างเต็มที่ ความจริงก็คือ กราโนลาบาร์ มีปริมาณน้ำตาลไซรัปข้าวโพดสูง แม้บางยี่ห้อจะโฆษณาว่ามีส่วนผสมของน้ำผึ้งแท้ แต่สารให้ความหวานส่วนใหญ่มาจากน้ำตาลไซรัปข้าวโพด ที่อุดมไปด้วยโซเดียมและไขมันที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ

10.คุกกี้ แครกเกอร์ เค้ก และ มัฟฟิน สำเร็จรูป
ขนมเหล่านี้จัดอยู่ในสินค้าหมวดเดียวกันของร้านสะดวกซื้อ เพราะมีผลต่อสุขภาพใกล้เคียงกัน นอกเหนือจากปริมาณน้ำตาลและเกลือที่สูงมาก ขนมเหล่านี้ยังประกอบไปด้วยไขมันชนิดทรานส์ ซึ่งผู้ผลิตนิยมใช้เพราะราคาถูกว่าไขมันที่มีประโยชน์ขนิดอื่นๆ และยังช่วยยืดวันหมดอายุ และ ทำให้หน้าตาขนมดูดีไปได้เป็นระยะเวลานาน

11. ชาเย็นสำเร็จรูป
จากคำโฆษณาว่าทำเองแสนจะง่ายแถมราคาถูกอีกต่างหาก ที่จริงแล้วเครื่องดืมชนิดนี้ทำมาจากถุงชาราคา เครื่องดื่มชนิดนี้ไม่ได้มีประโยชน์ต่อสุขภาพตามที่บอกเอาไว้ นอกจากจะไม่มีประโยชน์ใดๆ ยังเต็มไปด้วยกลิ่นสีสังเคราะห์ น้ำตาลไซรัปข้าวโพด และ น้ำตาลชนิดอื่นๆ อีก


12. มาการีน (เนยเทียม)
ดูเป็นทางเลือกรองจากเนยแท้ ซึ่งหลายบ้านมีไว้คู่ครัว ข้อเสียประการสำคัญคือ อุดมไปด้วยไขมันทรานส์ที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ อย่างโรคอ้วน นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วย อนุมูลอิสระ สารกันบูด สารอีมัลซิฟายเออร์-ป้องกันการแยกตัวของน้ำและน้ำมัน และ เฮกเซน - สารทำลายละลาย ซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้ล้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

13. ข้าวโพดคั่วจากไมโครเวฟ
ของทานเล่นยอดนิยมชนิดนี้ คือหนึ่งในเมนูที่ไร้คุณค่าทางสารอาหารมากที่สุดเมนูหนึ่ง ประการแรก ข้าวโพดชนิดนี้ล้วนผ่านการตัดต่อทางพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) ยังไม่รวมสารกันบูด และ เกลือที่ใส่ลงไปไม่ยั้ง มากกว่านั้น ยังมีสารไดอะซิติล สารที่อยู่ในเนยหรือน้ำมันที่ใช้ในการเพิ่มรสและกลิ่น ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดหลอดลมอักเสบ หลอดลมถูกทำลาย หรือมีอีกชื่อว่า Popcorn Lung ถ้าอยากกินจริงๆ ให้เลือกชนิดที่ปลูกแบบออร์แกนิค และ ซื้อมาทำเองที่บ้านด้วยส่วนผสมเตรียมเองเช่นกัน เช่น น้ำมันมะพร้าว เนยแท้ ฯลฯ


ที่มา : fitnea.com และ waymagazine.org

by Kanjanat


------------------------------------------------------------------------------


ยาคูลท์ กำจัดกลิ่นจุดซ่อนเร้นสาว

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B9%8C_%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-


เชื่อว่าสาวๆ คงไม่อยากมีปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์บริเวณจุดซ่อนเร้นเป็นแน่ นอกจากจะส่งผลกับสุขภาพแล้ว ยังทำให้หมดความ มั่นใจอีกด้วย
สำหรับกลิ่นเหม็นไม่พึง ประสงค์ในจุดซ้อนเร้นของสาวๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดได้จากเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีในช่องคลอดลดน้อยลง ซึ่ง ถูกทำลายโดยแบคทีเรีย จนเกิดเป็นกลิ่นเหม็นออกมา ในบางรายกลิ่นอาจจะแรงมาก แม้ในขณะเข้าใกล้ แต่ไม่ใช้เรื่องที่น่าตกใจ เพราะปัญหาที่เกิดนี้มีวิธีรักษาได้อย่างง่ายดาย
ส่วนวิธีรักษานั้น เพียงแค่เพื่อนๆ เพิ่มเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปทำลายแบคทีเรียที่เกิดอยู่ โดยเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีที่ว่านี้ ก็คือเชื้อ "แลคโตบาซิลัส" (Lactobacillus) ที่มีอยู่ในยาคูลท์ ซึ่งเพื่อนๆ คงรู้จักกันดี
 เพียงแค่เพื่อนๆ "ทานยาคูลท์วันละขวด" เพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ชนิดดีให้กับร่างกาย ให้เข้าไปทำลายแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น เท่านี้กลิ่นเหม็นที่เพื่อนๆ ไม่พึงประสงค์ในจุดซ้อนเร้นก็จะหายไปเอง


ที่มาข้อมูล internet
ที่มารูปภาพ yakultthailand.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #195 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2013, 06:03:42 pm »
อาหาร 9 ชนิดช่วยสร้างเกราะกันภัยหนาว
-http://campus.sanook.com/1370116/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-9-%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-



เมื่อฤดูหนาวมาเยือนอาจทำให้ป่วยได้ โดยสุขภาพที่มากับหน้าหนาวนี้มีผลกระทบต่ออวัยวะหลักๆคือผิวหนัง ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร อย่างผิวหนังก็ทำให้แห้งแตก ทางเดินหายใจก็ทำให้เป็นหวัด ภูมิแพ้กำเริบและสุดท้ายทางเดินอาหารก็ต้องระวังเพราะหน้าหนาวมีไวรัสที่หนีหนาวมาอยู่กับอาหารมากทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ ดังนั้นการกินให้ปลอดจากภัยหน้าหนาวจึงช่วยได้มาก วันนี้มีอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันหรือป้องกันภัยหนาวให้กับร่างกายมาแนะนำกันเพื่อให้คุณ ๆ ผู้อ่านได้มีสุขภาพแข็งแรงในช่วงหน้าหนาวแบบนี้ค่ะ เริ่มกันที่กินต้านหวัดควรเลือกอาหารที่มีสารอาหารในการป้องกันหวัดช่วยเพิ่มภูมิต้านทานได้แก่



1.ฝรั่งสดและเสาวรส เพื่อให้ได้วิตามินซีเข้มข้นและสดพอที่จะเสริมคอลลาเจนเส้นเลือด

2.ปลาทูและซีฟู้ด เพื่อให้ได้ "ซิงค์" คือสังกะสีไปช่วยเสริมภูมิทหารคุ้มกันร่างกาย

3.น้ำขิง เป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันการอักเสบและฆ่าเชื้อในคอเสมือนยาแก้หวัดจากธรรมชาติ



อากาศที่หนาวเย็นบางครั้งการอาบน้ำอุ่นจะทำให้ผิวแห้งง่ายกว่าอาบน้ำเย็น เพราะน้ำมันที่ผิวหนังจะถูกชะล้างออกไปรวมทั้งความชื้นของอากาศที่ลดลง ก็จะเพิ่มให้ผิวแห้งแตกและคันได้ง่าย ดังนั้นเราควรจะดูแลร่างกายในช่วงหน้าหนาวนี้เป็นพิเศษ โดยการกินกันผิวแห้ง ได้แก่

1.น้ำใบบัวบก มีสารช่วยต้านการอักเสบที่ผิว ทำงานเสริมกับคอลลาเจน ช่วยให้แผลสดและรอยแผลเป็นสมานได้ดีขึ้น

2.งาดำและน้ำมันมะพร้าว เพื่อให้ได้วิตามินอีช่วยผิวชุ่มชื้น ป้องกันการแห้งแตกเป็นรอยยับ

3.น้ำมันปลา ลดการอักเสบทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นดี ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่มาทำร้ายผิว




นอกจากรับประทานอาหารที่ปรุงสุก ก็ควรเลือกอาหารที่มีสารอาหารในการป้องกันหวัดช่วยเสริมสร้างทางเดินอาหาร ได้แก่

1.กะเพราและโหระพา ในใบกะเพราและโหระพามีน้ำมันธรรมชาติที่ช่วยฆ่าเชื้อในลำไส้และทำให้ลำไส้บีบตัวดี

2. หัวหอมและต้นหอม มีส่วนของเส้นใยอาหารที่ทำงานได้ดีในลำไส้ เป็นใยอาหารชนิด "อินนูลิน" ที่ช่วยบำรุงจุลินทรีย์ดีในทางเดินอาหาร

3. กล้วยน้ำว้าห่าม มีสาร "แทนนิน" ช่วยระงับอาการท้องเสียและทำให้ลำไส้ทำงานเป็นปกติ มีวิตามินบีกับโพแทสเซียมช่วยบำรุงแร่ธาตุที่เสียไป ส่วนแมกนีเซียมช่วยการบีบตัวของลำไส้

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #196 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2013, 10:19:31 pm »
ภัยจาก “สารกันบูด“

-http://club.sanook.com/12369/%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%94-

ในระยะนี้หลายๆคนคงได้ยินข่าว ที่เกี่ยวกับที่มีผู้ค้าขายนำอาหารหรือขนมที่ใส่สารกันบูดมาจำหน่าย ซึ่งผู้ค้าเองก็อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์นำมาจำหน่ายให้  ซึ่งสารกันบูดในอาหาร ผู้ค้าขาย ลูกค้า เองก็อาจนั้นก็ไม่อาจทราบได้ว่าใส่ไปเยอะมากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งนึงที่ทำให้ตกใจคืออาหารเหล่านี้ที่ใส่สารกันบูด สามารถที่จะอยู่ได้เป็นเดือนๆ  โดยไม่เน่า ไม่เสีย ซึ่งถ้าเด็กๆ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่เกิดทานเข้าไปก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย ดังนั้นเพื่อเป็นการรับมือกับอันตรายใกล้ตัวนี้  เราเลยมีบทความที่มีสาระประโยชน์มากๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภค เกี่ยวกับอันตรายของสารกันบูดและวิธีการหลีกเลี่ยงอันตรายจากสารกันบูดมาฝากกันค่ะ

 

สารกันบูด

 

สารกันบูด (preservatives) คือสารเคมีหรือของผสม ของสารเคมีที่ใช้ในการถนอมอาหาร โดยอาจจะใส่ลงในอาหาร พ่น- ฉาบรอบๆผิวของอาหารหรือภาชนะ บรรจุสารดังกล่าวจะทำหน้าที่ยับยั้ง หรือทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหาร เน่าเสียโดยอาจจะไปออกฤทธิ์ต่อ ผนังเซลล์รบกวนการทำงานของ เอนไซม์หรือกลไกทางพันธุกรรม (genetic mechanism) ในเซลล์ ยังผลให้จุลินทรีย์ไม่สามารถเพิ่ม จำนวนได้หรือตายในที่สุด

สารกันบูดที่ดีควรจะออกฤทธิ์ทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุทำให้ อาหารเน่าเสียมากกว่าที่จะออกฤทธิ์ยับยั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ ทำให้อาหารเป็นพิษ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเกิด สายพันธุ์ต้านทาน (resistant strain) นอกจากนี้สารกันบูดไม่ควรจะเสื่อมคุณภาพเพิ่มใส่ลงในอาหาร ยกเว้นสารกันบูดประเภทที่ฆ่าเชื้อได้ ควรจะถูกเปลี่ยนสภาพให้เป็นสาร ไม่มีพิษหรือถูกทำลายได้ด้วยการหุงต้ม

สารกันบูด (Preservatives) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าวัตถุกันเสีย คือวัตถุเจือปนอาหาร เป็นสารเคมีที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษา ช่วยในการถนอมอาหารได้ เพราะช่วยชะลอหรือยับยั้งการเจริญเติบโตและทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุการเน่าเสียของอาหาร ตัวที่นิยมกันมากคือ พวกกรดอ่อนต่างๆ เช่น กรดเบนโซอิกและเกลือเบนโซเอท เพราะมีราคาถูกและไม่ทำให้รสชาติอาหารเปลี่ยน มักเติมลงในเครื่องดื่มต่างๆ เช่น น้ำผลไม้ ซอส ผักดอง แยม เยลลี่ ผลไม้แช่อิ่ม และเครื่อแกงสำเร็จรูป สำหรับกรดโปรปิโอนิก และเกลือโปรปิโอเนตเหมาะสำหรับใช้ป้องกันการเจริญของเชื้อรา และเกิดเมือกหรือยางเหนียวในโด (dough) หรือแป้งขนมปังที่ผ่านการนวดแล้ว จึงเหมาะที่จะใช้ในอาหารประเภทขนมปัง เค้ก และเนยแข็งชนิดต่างๆ ส่วนกรดซิตริกเป็นส่วนประกอบของผลไม้สามารถป้องกันแบคทีเรียและยีสต์ได้ดี เหมาะสำหรับใส่ในเครื่องดื่ม น้ำหวาน น้ำอัดลม เยลลี่ แยม เป็นต้น

การใช้วัตถุเจือปนอาหารซึ่งรวมถึงวัตถุกันเสียด้วย จะต้องใช้ในปริมาณแค่มากพอทำให้เกิดผลตามต้องการ คือไม่ใส่เกินขนาด เพราะผู้บริโภคจะได้สารเหล่านั้นมากเกินความจำเป็น ดังนั้นจึงมีประกาศกระทรวงสาธาณสุข ห้ามใช้วัตถุกันเสียในอาหารที่ไม่จำเป็นที่ต้องใช้สารกันบูดเลยนั่นก็คืออาหารกระป๋องที่ผ่านการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์เรียบร้อยแล้ว สำหรับอาหารอื่นผู้บริโภคจะอ่านได้จากฉลากอาหารว่ามีการใช้วัตถุกันเสียหรือไม่ มีส่วนประกอบอะไรเท่าไหร่

ชนิดของสารกันบูด

1. กรดและเกลือของกรดบางชนิด เช่น กรดเบนโซอิก กรดซอร์บิก กรดโปรปิโอนิก ฯลฯ และเกลือของกรดเหล่านี้ส่วนใหญ่นิยมใช้ในรูป เกลือของกรด เพราะละลายน้ำได้ง่าย เมื่อใส่ในอาหารเกลือเหล่านี้จะเปลี่ยน ไปอยู่ในรูปของกรด หากอาหารนั้นมีความเป็นกรดสูง กรดจะคงอยู่ในรูป ที่ไม่แตกตัว ซึ่งเป็นรูปที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำลายหรือยับยั้งเชื้อ ดังนั้นอาหารที่จะใช้สารกันบูดชนิดนี้ควรจะเป็นอาหารที่มีความเป็นกรด ประมาณ 4-6 ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของกรด เช่น น้ำผลไม้ เครื่องดื่ม แยม ผักดองชนิดต่างๆ ขนมปัง ฯลฯ สารกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะให้ผลยับยั้งราและ ยีสต์มากกว่าแบคทีเรีย ข้อดีของสารกลุ่มนี้คือมีความเป็นพิษต่ำ เพราะ ร่างกายคนสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นสารอื่นที่ไม่มีพิษและขับถ่ายออกจาก ร่างกายได้

2. พาราเบนส์ (parabens) เป็นสารกันบูดที่มีประสิทธิภาพยับยั้ง หรือทำลายราและยีสต์ได้ดีกว่าแบคทีเรีย และจะมีประสิทธิภาพสูงในช่วง ความเป็นกรดด่าง (pH) กว้างกว่าสารกลุ่มแรกคือประมาณ 2-9 อาหาร ที่นิยมใส่พาราเบนส์ ได้แก่ น้ำหวานผลไม้ น้ำผลไม้ แยม ขนมหวานต่างๆ สารปรุงแต่งกลิ่นรส ฯลฯ ร่างกายคนจะมีกระบวนการขจัดพิษของพาราเบนส์ ได้โดยปฏิกิริยาไฮโดรลีซิส (hydrolysis)

3. ซัลเฟอร์ไดออกไซด์และซัลไฟต์ กลไกในการทำลายเชื้อของ สารกันบูดชนิดนี้จะคล้ายคลึงกับสารกันบูดกลุ่มแรกและจะมีประสิทธิภาพสูง ในอาหารที่มีความเป็นกรดด่างปริมาณน้อยกว่า 4 ลงมา จึงนิยมใส่ในไวน์ น้ำผลไม้ต่างๆ ผักและผลไม้แห้ง ฯลฯ สำหรับความปลอดภัยต่อผู้บริโภคนั้น พบว่าแม้สารนี้จะถูกขับออกมาจากร่างกายได้ แต่หากร่างกายได้รับสารนี้ มากเกินไป สารดังกล่าวจะไปลดการใช้โปรตีนและไขมันในร่างกายได้ นอกจากนี้สารกันบูดกลุ่มนี้ยังทำลายไธอามีน (thiamine) หรือวิตามิน B1 ในอาหารด้วย

4. สารปฏิชีวนะ ข้อดีของสารปฏิชีวนะคือ ความเป็นกรดด่างของ อาหาร ไม่มีผลต่อประสิทธิภาพของสาร ซึ่งอาหารที่นิยมใส่สารปฏิชีวนะ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ อาจจะพบว่าใช้กับผักและผลไม้สดด้วย สารปฏิชีวนะจะทำลายหรือยับยั้งจุลินทรีย์ได้หลายชนิดขึ้นกับชนิดที่ใช้ ข้อเสียของสารกันบูดชนิดนี้คือมักจะก่อให้เกิดสายพันธุ์ต้านทานขึ้น

สำหรับปริมาณของสารกันบูดที่ใช้นั้นจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นกับชนิดของอาหาร ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้กำหนดปริมาณ ที่อนุญาตให้ใส่ในอาหารได้ โดยทั่วไปปริมาณที่อนุญาตให้ใช้จะมีฤทธิ์แค่เพียง ยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ในอาหารเท่านั้น ดังนั้นในระหว่างกรรมวิธีผลิต จะต้องระมัดระวังการปนเปื้อนของจุลินทรีย์สู่อาหารให้น้อยที่สุด เพราะ ถ้าหากมีจุลินทรีย์ปนเปื้อนมากหรืออาหารเน่าเสียมาก่อน การใส่สารกันบูด ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

อันตรายจากสารกันบูด

นพ.เอี่ยม วิมุติสุนทร ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมการผลิตอาหารมีการนำสารเคมีชนิดต่างๆ มาใช้ปรุงแต่งอาหาร และสารกันบูดก็เป็นสารเคมีอีกชนิดหนึ่งที่นิยมใส่ในอาหาร เพื่อช่วยป้องกันหรือช่วยทำลายเชื้อจุลินทรีย์ไม่ให้เจริญเติบโตทำให้อาหารนั้นอยู่ได้นาน

การใช้สารกันบูดอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้ เช่น สารกันบูดในกลุ่มของดินประสิว ซึ่งนิยมนำมาใช้กับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ หากใช้ในปริมาณที่เกินกำหนด จะมีผลทำให้ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ในรายที่มีอาการรุนแรงจะทำให้เม็ดเลือดแดงหมดสภาพในการพาออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย จะเกิดอาการตัวเขียวหายใจไม่ออก และอาจถึงตายได้ นอกจากนี้ดินประสิวยังเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วย

“โซเดียมเบนโซเอต” เป็นวัตถุเจือปนอาหารเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และเชื้อราบางชนิด โดยทั่วไปแล้วจะค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็พบว่าทำให้เกิดอาการแพ้ได้ โดยเฉพาะคนที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้

นอกจากนี้การ ใช้ในปริมาณที่สูงจะทำให้ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร พิษกึ่งเฉียบพลันคือจะทำให้น้ำหนักลด ท้องเสีย ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อต่างๆเลือดออกในร่างกาย ตับ ไตใหญ่ขึ้น เป็นอัมพาตและตายในที่สุด ถ้าได้รับสารนี้เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการก่อกลายพันธุ์และทารกในครรภ์มีรูปวิปริต

ดังนั้นผู้ผลิตอาหารที่ใช้สารกันบูดผสมลงในอาหารต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของ ผู้บริโภค เลือกใช้สารกันบูดให้เหมาะสมกับชนิดของอาหารแต่ละประเภทในปริมาณที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนดให้ใช้เท่านั้น ทั้งนี้ผู้ผลิตอาจจะได้รับโทษตามกฎหมาย ซึ่งข้อแนะนำในการเลือกซื้ออาหาร

เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากสารเคมีในอาหาร ดังนี้ เวลาซื้ออาหารสำเร็จรูปที่บรรจุในกล่อง ขวด หรือกระป๋อง ควรดูสลากอาหารและเลือกอาหารที่ระบุว่าไม่ใส่สารกันบูด ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่ไม่มีการระบุชัดเจนว่าใช้สารกันบูดหรือไม่ หลีกเลี่ยงการซื้ออาหารที่ผนึกขายในถุงพลาสติก หรือกล่องพลาสติกที่ไม่ได้ขายหมดวันต่อวัน หลีกเลี่ยงการซื้ออาหารที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะใส่สารกันบูด เช่น แหนม หมูยอ เนื้อเค็ม เนื้อแห้ง กุนเชียง และน้ำพริกชนิดต่าง ๆ เป็นต้น

อย่างไรก็ตามการใช้วัตถุกันเสียในการถนอมอาหารตามสัดส่วนที่ อย.ระบุว่าปลอดภัยแม้ว่าจะไม่มีอันตราย แต่การหลีกเลี่ยงบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของวัตถุกันเสีย เช่นน้ำผลไม้ ,ซอสฯ ,ฯลฯ ก็น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดต่อสุขภาพร่างกายของเรา ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆนอกจากจะดู วันผลิต วันหมดอายุแล้ว ควรอ่านฉลากอาหารว่ามีวัตถุกันเสียหรือไม่ มากน้อยเพียงใด การรับประทานอาหารที่มาจากธรรมชาติและให้ครบ 5 หมู่ ก็จะนำมาซึ่งสุขภาพที่ดีได้

 

ที่มา
พุทธรินทร์ วรรณิสสร
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

Credit : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย)
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #197 เมื่อ: ตุลาคม 31, 2013, 10:34:06 pm »
เห็ดสามอย่างช่วยชะล้างสารพิษในร่างกาย

-http://campus.sanook.com/1370152/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2/-





หลายคนอาจเคยทราบมาก่อนแล้วว่าถ้านำเห็ดอย่างน้อย 3 ชนิดใดก็ได้เมื่อนำมาปรุงเป็นอาหาร ความมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นและเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ให้ทั้งความอร่อยและสุขภาพนั่นคือ "เมนูเห็ดล้างพิษ" จะเป็นเห็ดสด หรือ เห็ดแห้งก็ได้โดยนำมาปรุงอาหารแล้วกินได้ทั้งเนื้อเห็ดและนํ้าต้มเห็ดแล้วจะได้โปรตีนจากเห็ดที่ร่างกายดูดซึมไปใช้งานได้ง่ายกว่าเนื้อสัตว์

ประโยชน์ของเห็ด 3 อย่าง เมื่อนำมารวมกันปรุงอาหาร คือ

สามารถช่วยล้างพิษที่สะสมในตับ ทั้งจากอาหารและสารเคมี เช่น พิษจากสุรา สารตกค้างในเนื้อสัตว์
สารเคมีจากเครื่องสำอาง (ลิปสติกสีสด ยาย้อมผม)สามารถช่วยให้การทำงานของตับแข็งแรงขึ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงดีส่งผลทำให้อารมณ์ดี
สามารถช่วยล้างพิษพวกอนุมูลอิสระ ซีสต์ เนื้องอก มะเร็ง อัลฟาท็อกซิล ไวรัสตับอักเสบ สเก็ดเงิน
สามารถช่วยล้างไขมันในตับ

วิธีการปรุง

นำเห็ดที่ทานได้อย่างน้อย 3 อย่าง เช่น เห็ดหูหนูต่างๆ เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า เห็ดโคน เห็ดเข็มทอง
ปรุงเป็นอาหาร เช่น ยำ ใส่ในแกงจืด แกงเลียง แกงส้ม ไข่ตุ๋น
ต้มน้ำดื่มจะผสมใบมะตูม ใบเตยหรือเพิ่มน้ำตาลกรวด

**ข้อควรหลีกเลี่ยง การผัดกับน้ำมันพืช
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #198 เมื่อ: ตุลาคม 31, 2013, 10:42:06 pm »
“ขนมชั้น” กับสิ่งดีๆที่แฝงอยู่

-http://club.sanook.com/12453/%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%86%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%81-


“ขนมชั้น” กับสิ่งดีๆที่แฝงอยู่

เคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไมขนมไทย อย่าง “ขนมชั้น” นั้นถึงได้มีวิธีการทำโดยแบ่งเป็นชั้นๆ และคนส่วนใหญ่นิยมนำมาใช้สำหรับพิธีมงคลต่างๆ ตามประเพณี

 

ขนมชั้น

“ขนมชั้น” นั้นจัดเป็นขนมโบราณที่ใช้สำหรับในพิธีมงคลมาแต่สมัยโบราณ โดยวิธีการทำขนมไทย ส่วนใหญ่มักมีการแอบแฝงข้อคิด หรือเรื่องดีๆ อยู่ในวิธีการทำหรือการตั้งชื่ออยู่เสมอ  ซึ่ง “ขนมชั้น” ก็เช่นกัน ที่มีการแอบแฝงความเชื่อที่เป็นมงคลไว้ โดยมีเรื่องเล่าตามความเชื่อกันว่าการทำขนมชั้นนั้นถ้าหยอดขนมให้ได้ 9 ชั้น หรือมากกว่า จะเป็นศิริมงคลและทำให้เจริญก้าวหน้า ซึ่งในบางแห่งอาจจะเรียก “ขนมชั้น” ในอีกชื่อหนึ่งคือ “ขนมชั้นฟ้า”

 

Credit : Wikipedia
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #199 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2013, 10:55:43 am »
ประโยชน์ของเนย ที่คุณอาจไม่เคยรู้

-http://campus.sanook.com/1370160/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%A2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89/-


เนยก้อนที่ใช้ประกอบอาหารและขนมแสนอร่อยซึ่งมีความมันและหล่อลื่นสูงก็ช่วยแก้ปัญหาในงานบ้านได้หลายอย่างนะ



- รอยด่างบนไม้ที่เกิดจากน้ำซึมปาดเนยลงไปบนจุดเกิดเหตุ ทิ้งไว้ข้ามคืนจากนั้น ใช้ผ้าขนหนูเช็ดออกในตอนเช้า

- หมึกเลอะบนพลาสติก ใช้เนยป้ายลงบนคราบ นำไปผึ่งแดดสัก 2-3 วัน แล้วนำมาทำความสะอาดอีกครั้งด้วยสบู่ และน้ำ

- ยืดอายุให้ชีสก้อน ใช้เนยทาเคลือบขอบนอกของก้อนชีสให้ทั่วก็จะช่วยป้องกันไม่ให้ชีสขึ้นราเร็วนัก

- หัวหอมใหญ่ ที่ใช้ไปเพียงครึ่งหัวแล้วต้องเก็บไว้ สามารถยืดอายุให้นานขึ้นได้แค่ป้ายเนยบนพลาสติก นำไปห่อหัวหอมแล้วห่อซ้ำอีกครั้งด้วยอะลูมิเนียมฟอยล์

- หม้อที่ต้มน้ำแล้วเดือดเร็วมาก ใส่เนยละลายลงไปประมาณหนึ่งช้อนโต๊ะเพื่อหยุดไม่ให้น้ำเดือดเกินไป

- หมากฝรั่งติดผม ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ลองใช้เนยป้ายตรงที่เกิดเหตุทิ้งไว้ให้เซ็ตตัว แล้วค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดหมากฝรั่งออกไป

- กาวติดมือเหนียวเหนอะหนะ ป้ายเนยลงบนรอยเหนียวๆ แล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดออกก่อนล้างมือให้สะอาด

- สายสร้อยพันกัน เพิ่มความลื่นบนสร้อยด้วยเนย ก็จะทำให้คุณแกะคลายปมออกง่ายขึ้นนอกจากนี้ เนยยังช่วยให้คุณถอดแหวนคับๆ ออกจากนิ้วได้ง่ายขึ้นด้วย


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)