ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129524 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #200 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2013, 11:09:16 am »
“ไข่” ใครว่าไม่ดี

-http://men.sanook.com/1496/%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88-%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5/-

เรือง: DR. Kris

คุณผู้ชายหลายท่านไม่ถูกกับการทานไข่ โดยเฉพาะคนที่มีไขมัน ความดัน หรือ คลอเรสเตอรอลสูง เพราะต่างก็เข้าใจว่า ไข่เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้เกิดความผิดปกติเหล่านั้น แต่ไฉนเลย ไม่ว่าจะสูตรลดน้ำหนักไหนๆ ที่ได้ยินมา ก็มักจะมีไข่อยู่ด้วยเสมอ แถมนักกีฬาหุ่นดี ล่ำบึ้ก ยังบอกว่าต้องทานไข่กันแทบทุกมื้อ แล้วมันยังไงกันแน่ ตกลงทานได้ทานไม่ได้ ทานแล้วจะอ้วนมั้ย วันนี้เรามีคำตอบมาให้ครับ

ความเชื่อผิดๆ

ในอดีต เชื่อกันว่า ไข่ เพิ่มปริมาณคลอเรสเตอรอลในกระแสเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในหนทางสู่โรคหัวใจ เพราะไข่แดงในไข่ 1 ฟอง มีปริมาณไขมันถึง 5 กรัม จึงไม่แปลกที่บรรดานักโภชนาการจะคิดไปว่าไขมันจำนวนดังกล่าวจะไปอุดตัดหลอดเลือด ซึ่งอันที่จริงแล้วใน 5 กรัมนั้นมีส่วนของไขมันดีรวมอยู่ด้วย และอันที่จริงแล้ว คลอเลสเตอรอล ก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป ร่างกายคนเราต้องการคลอเลสเตอรอล เพื่อรักษาเซลล์ กระตุ้นการทำงานของเส้นใยประสาท และผลิตวิตามินดี ซึ่งไข่ประกอบด้วย คลอเลสเตอรอล 200 มิลลิกรัม ในแต่ละวัน ร่างกายต้องการคลอเรสเตอรอลจากอาหารวันละ 300 มิลลิกรัม ดังนั้นการกินไข่มีผลต่อระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดเพียงเล็กน้อย และบางครั้งการกินไข่ อาจไม่มีผลต่อระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดมากเท่ากับการกินเนื้อสัตว์ที่มีปริมาณไขมันชนิดอิ่มตัวสูงนะครับ

ประโยชน์จากไข่

ไข่ให้คุณค่าทางสารอาหาร ไม่ได้แค่มีไขมัน (ในไข่แดง) และโปรตีน (ในไข่ขาว) เท่านั้น แต่ยังประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ ดังนี้

วิตามิน A ดีกับผิวและการเจริญเตอบโตของร่างกาย
วิตามิน D สร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกด้วยการเพิ่มการดูดซึมแคลเซี่ยม
วิตามิน E ปกป้องเซลล์จากปฏิกริยาออกซิเดชัน
วิตามิน B1 ช่วยให้การปดปล่อยพลังงานจากคอร์โบไฮเดรตเป็นไปอย่างเหมาะสม
วิตามิน B2 ช่วยปลดปล่อยพลังงานจากโปรตีนและไขมัน
วิตามิน B6 ส่งเสริมกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของโปรตีน
วิตามิน B12 วิตามินที่สำคัญในการสร้างตัวของเส้นใยประสาทและเซลล์เลือด
ธาตุเหล็ก จำเป็นสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
สังกะสี ดีสำหรับการสร้างความเสถียรของเอนไซม์และการเติบโตทางเพศ
แคลเซี่ยม แร่ธาตุสำคัญในการสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
ไอโอดีน ควบคุมฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์

ทานไข่อย่างไร

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า เด็ก ๆ ควรรับประทานไข่วันละ 1 ฟอง วัยหนุ่มสาวควรบริโภคไข่ไก่วันละ 2 ฟอง ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรบริโภคไข่ไก่ไม่เกิน วันละ 1 ฟอง แต่สำหรับชายวัยฉกรรจ์ ไข่ไก่มีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะช่วยให้ร่างกายมีความกระปรี้กระเปร่า กระชุ่มกระชวย ช่วยให้พลังงานกับร่างกายอย่างเต็มที่ และไข่ไก่ยังช่วยทดแทนพลังงานที่ร่างกายสูญเสียไป ควรทานตามปริมาณที่แนะนำ ไม่ควรทานเกินกว่านี้ เพราะถึงแม้ว่าไขมันในไข่แดงจะไม่ได้ส่งผลกับคลอเรสเตอรอลในเลือดโดยตรง แต่อาจสร้างปัญหาอื่นๆได้ และด้วยภาวะในปัจจุบันนี้ ไม่แนะนำให้ทานไข่ดิบ เพราะ เชื้อโรคต่างๆในโลกเราน่ากลัวและรุนแรงขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะไข้หวัดนกสารพัดสายพันธุ์ที่คร่าชีวิตผู้คนเป็นว่าเล่น ดังนั้นควรทานไข่สุก เพราะเชื่อโรคจะถูกกำจัดที่อุณหภูมิสูงกว่า 70 องศาเซลเซียส


ข้อควรระวัง

การบริโภคไข่ดิบ หรือไข่เน่าเสีย จะทำให้เกิดอาการ อาหารเป็นพิษได้ สาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา ดังนั้น ควรปฏิบัติกับไข่ที่จะนำมาบริโภคดังนี้

1. ควรเก็บไข่ไว้ในตู้เย็น เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์
2. ควรบริโภคไข่ให้หมดภายใน 2 สัปดาห์ หลังจากซื้อ
3. ล้างมือทุกครั้งทั้งก่อนและหลังสัมผัสไข่
4. เช็ดเปลือกไข่ที่สกปรกให้สะอาด
5. ไม่ควรบริโภคไข่ที่เปลือกไข่แตก บุบ ร้าว
6. ไม่บริโภคไข่ที่หมดอายุ หากไม่แน่ใจ ให้ทดสอบโดยนำไข่ไปลอยน้ำ หากไข่จมแสดงว่าไข่ยังสดอยู่ แต่ถ้าลอยหรือมีกลิ่นแสดงว่าไข่เน่าเสีย

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #201 เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2013, 09:19:41 pm »
จากพืชป่าพื้นบ้าน “หมากเบน-หมากหลอด”สู่ยอดน้ำผลไม้รสอร่อย เพื่อสุขภาพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 พฤศจิกายน 2556 10:02 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000137828-



น้ำหมากหลอดเบอร์รี่ และน้ำหมากเบนเบอร์รี่ ดื่มดีเพื่อสุขภาพ

       ทุกวันนี้จะเห็นได้ว่ามีผู้คนหันมาให้ความสนใจและใส่ใจในเรื่องของการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของอาหารการกิน ซึ่งเชื่อได้ว่าทุกคนต่างต้องเลือกสรรหาอาหารที่ดี มีประโยชน์ ให้แก่ร่างกายด้วยกันทั้งนั้น
       
       เราจึงอยากขอนำเสนอให้ผู้ที่ใส่ใจและรักสุขภาพทุกคน มาทำความรู้จักกับน้ำผลไม้พร้อมดื่มเพื่อสุขภาพ ที่มีคุณประโยชน์มากมาย ที่มีชื่อว่า “หมากหลอดเบอร์รี่” และ “หมากเบนเบอร์รี่” ที่ถ้าใครมีโอกาสเดินทางมาเยือนยัง อ.สังคม จ.หนองคาย แนะนำว่าไม่ควรพลาดเครื่องดื่ม 2 ชนิดนี้ ซึ่งกำลังเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านปากโสม-ลำภูพาน  ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย ได้ทำออกมาขายเป็นน้ำผลไม้พร้อมดื่มเพื่อสุขภาพ


ดร.อรุณศรี อื้อศรีวงศ์ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ

       ดร.อรุณศรี อื้อศรีวงศ์ ประธานสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี หัวหน้าโครงการวิจัยพัฒนาการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอย่างบูรณาการแบบมีส่วนร่วมของชุมชนพื้นที่เชิงเขาสู่ชายโขง อ.สังคม จ.หนองคาย ผู้ที่ได้ทำการวิจัยเรื่อง “หมากหลอด” และ “หมากเบน” ให้ข้อมูลว่าพืชทั้งสองชนิด เป็นไม้เถา และเป็นผลไม้พื้นบ้านที่หลายคนอาจจะไม่รู้จัก จะมีแต่ทางภาคเหนือและภาคอีสานตอนบนเท่านั้น เพราะต้นหมากหลอดและหมากเบน จะเกิดได้เฉพาะพื้นที่ใกล้ภูเขา อากาศร้อนชื้น
       
       ดร.อรุณศรี อธิบายว่า “หมากหลอด” ( ELAEAGNUS LATIFOLIA) เป็นผลไม้พันธุ์พื้นเมือง พบมากบริเวณพื้นที่มีภูเขาล้อมรอบ บริเวณที่มีความชื้นสูง บริเวณที่พบมากคือ อ.สังคม จ.หนองคาย และพื้นที่ภาคเหนือ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ผลหมากหลอดจะเริ่มสุกงอมสังเกตจากสีของผลหมากหลอดจะมีสีเหลืองอมเขียว และพัฒนาสีไปจนกระทั่งผลมีสีแดงอมส้ม ซึ่งหมากหลอดพบในพื้นที่กึ่งป่า ในบริเวณพื้นที่ต.ผาตั้ง ต.นางิ้ว ต.บ้านม่วง และตำบลอื่นๆ


ต้นหมากหลอด

       ทั้งนี้จากการสำรวจพื้นที่เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ได้พบต้นหมากหลอดที่ออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมและผลสุกในช่วงเดือนมีนาคม ชุมชนบ้านปากโสมลำภูพานจึงเกิดแนวคิดในการแปรรูปผลผลิตจากผลหมากหลอดที่มีจำนวนมากและผลสุกจะร่วงลงพื้นเกลื่อนพื้นดิน และจากการศึกษาวิจัยได้ค้นพบว่าหมากหลอดและหมากเบน เป็นผลไม้ที่มีสารที่มีคุณค่ามากมาย สามารถนำมาแปรรูปเป็นน้ำผลไม้พร้อมดื่มได้ จึงได้ทดลองและลงมือทำการแปรรูป ออกมาเป็นน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ “หมากหลอดเบอร์รี่” และ “หมากเบนเบอร์รี่” ซึ่งทำให้ชุมชนมีแนวคิดในการพัฒนาสู่การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากฐานทรัพยากรเพื่อการท่องเที่ยว ผลผลิตที่ได้ทำให้เกิดมูลค่าทำให้เกิดรายได้ อีกทั้งจากการแปรรูปยังนำไปสู่การเรียนรู้ของชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย
       
       สำหรับคุณประโยชน์ของหมากหลอด นั้นมีสรรพคุณที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายมากมาย ดร.อรุณศรีบอกว่า หมากหลอดมีสารที่เรียกว่าสารโพลีฟีนอล คือสารที่สามารถช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายได้ ขับสารที่ไม่พึงประสงค์ และในตัวหมากหลอดยังมีวิตามินเอ มากที่สุด รองลงมาคือ วิตามินอี วิตามินซี และยังมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะมีประโยชน์ มีผลดีต่อสุขภาพแก่ผู้สูงอายุมาก มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์สูง มีเกลือแร่ และมีกรดไขมันดูดซับไขมันได้ดี


ผลของหมากหลอด

       “หมากหลอดมีวิตามินเออยู่มากที่สุด เรากำลังจะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทาหน้าบำรุงผิว ตอนนี้อยู่ในกระบวนการของการทดลอง โจทย์ของเราก็คือว่า วิตามินเอโดยทั่วไปแล้วจะเกี่ยวข้องกับผิวพรรณ เราก็เลยเอาน้ำหมากหลอดที่ส่วนหนึ่งที่เราคั้นมาสกัดด้วยไอน้ำ แล้วก็นำมาผสมกับน้ำผึ้ง แล้วก็ใช้สำหรับทาใบหน้า ตอนนี้ก็ได้ผลดี เพราะผิวที่แห้งหยาบๆ ของชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เขาทำนาก็มีความชุ่มชื่นขึ้น เพราะฉะนั้นปีหน้าเราก็จะผลิตผลิตภัณฑ์ตัวนี้ขึ้นมาอีกตัว” ดร.อรุณศรี กล่าว
       
       ส่วน“หมากเบน” เป็นผลไม้พันธุ์พื้นเมือง พบในพื้นที่หัวไร่ปลายนาและพื้นที่ป่าโปร่ง ออกผลในช่วงเดือนกรกฎาคม หมากเบนมีคุณสมบัติที่ดี มีธาตุเหล็กสูง เหมาะสำหรับสุภาพสตรี มีวิตามินซีสูง สามารถป้องกันโรคความดันได้


หมากหลอดเบอร์รี่พร้อมดื่ม

       ดร.อรุณศรี อธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันนี้ต้นหมากหลอด คือพืชที่อยู่ในป่า แต่ตอนนี้ได้มีการนำเอามาขยายพันธุ์ ให้ชาวบ้านในชุมชนปลูกเอง ทำให้เกิดเป็นธนาคารหมากหลอดขึ้นมา หมายถึงการออกดอกออกผลของต้นหมากหลอด ซึ่งในปีนี้อยู่ในช่วงทำการทอดลองปลูก สามารถขยายพันธุ์ได้ 100 กว่าต้นแล้ว และในปีนี้ได้ตั้งเป้าหมายของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ ไว้ว่าในปีหน้าจะมีต้องมีการปลูกต้นหมากหลอดได้ทุกหลังคาเรือน
       
       “ตอนนี้ชาวบ้านในชุมชน มีความภาคภูมิใจในสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่น เขาสามารถปลูกมันให้มีลูก และนำมันมาแปรรูป สามารถนำมาขายได้ ได้รายได้เพิ่มขึ้น แล้วชาวบ้านเขาก็ดื่มเองด้วย เพราะว่าเขาถือว่ามันมีคุณค่า ที่ผ่านมาเขาอาจจะไม่ค่อยใส่ใจ แต่ตอนนี้เขาบอกว่ามันดูแลสุขภาพได้”
       
       “ในปีหน้าเรามีเป้าหมายคือ บ้านปากโสม-ลำภูพาน จะต้องมีต้นหมากหลอดทุกหลังคาเรือน อันนี้คือเป้าหมายของกลุ่มที่ตั้งไว้ เพราะว่าจะมีโฮมสเตย์ท่องเที่ยวด้วย เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวจะได้รู้จักต้นหมากหลอด ได้มาเรียนรู้วิธีการทำหมากหลอด แปรรูปหมากหลอด ว่าเป็นอะไรอย่างไร” ดร.อรุณศรี บอก


น้ำหมากเบนเบอร์รี่ดื่มดีต่อสุขภาพ

       สำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านปากโสม-ลำภูพาน ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย ได้ดำเนินการทำการแปรรูปน้ำหมากหลอดเบอร์รี่และหมากเบนเบอร์รี่ นี้มาได้ 1 ปีแล้วปัจจุบันนี้มีสมาชิกอยู่ในกลุ่มจำนวน 50 คน
       
       โดยหนึ่งในสมาชิก คือ นวลละออง วิภูษณะ ได้อธิบายให้ฟังถึงการทำน้ำหมากหลอดเบอร์รี่ และน้ำหมากเบนเบอร์รี่ ว่า ทางกลุ่มวิสาหกิจฯ จะติดต่อกับชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนที่มีต้นหมากหลอดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ และจะรับซื้อหมากหลอดที่สุกแล้วจากชาวบ้านมา ในกิโลกรัมละ 10 บาท เมื่อได้หลมากหลอดมาแล้วก็จะนำมาผ่านขั้นตอนการแปรรูป โดยนำหมากหลอดมาล้างน้ำทำความสะอาดผสมกับเกลือ 3 - 4 ครั้ง จนสะอาด แล้วใส่ตะแกรงพักไว้ จากนั้นนำมาใส่เครื่องปั่นหรือเครื่องบดขนาดใหญ่ ปั่นให้ละเอียด
       
       ต่อจากนั้นจึงนำมาต้มกับน้ำในอัตราส่วนที่กำหนดไว้ ต้มจนเดือดในอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เมื่อเดือดได้ที่แล้วก็ยกลงนำมากรอง แยกน้ำและกากออกจากกัน แล้วก็นำน้ำที่ได้นั้นมาต้มต่ออีกรอบ ใส่ส่วนผสมอย่างน้ำตาล และเกลือป่น ตามอัตราส่วนที่กำหนดไว้ แล้วก็คนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน ต้มจนเดือดอีกครั้ง ก็เป็นอันว่าได้น้ำหมากหลอดเบอร์รี่ หมากเบนเบอร์รี่ ที่พร้อมกรอกใส่ขวดแก้วที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว


ผลของหมากเบน

       “การทำน้ำหลากหลอด ส่วนที่เป็นกากของมัน เราก็ไม่ได้ทิ้ง ยังนำมาทำเป็นแยมหมากหลอด ทอฟฟี่หมากหลอด ส่วนของเมล็ดหมากหลอดนำมาทำเป็นชา โดยการนำเมล็ดมาคั่วและบด และยังมีหมากหลอดไซเดอร์ การทำก็เหมือนหมากหลอดเบอร์รี่ แต่จะใส่น้ำผึ้งเพิ่มเติมด้วย มีส่วนช่วยต้านอนุมูลอิสระ รักษาโรคข้อเข่าเสื่อม คนสูงอายุชอบดื่ม และหมักนาน 1 ปี ได้หมากหลอดไซเดอร์มีความเข้มข้นมากกว่าหมากหลอดเบอร์รี่ แล้วที่นี่ยังมียังมีน้ำมะขามป้อมอีกตัวก็เป็นที่นิยม เพราะเป็นผลไม้ที่เป็นสมุนไพรจากธรรมชาติ” นวลละออง บอก
       
       สำหรับราคาขายของน้ำหมากหลอดเบอร์รี่ และน้ำหมากเบนเบอร์รี้ ที่ชาวบ้านทำออกมาขายตอนนี้อยู่ในช่วงโปรโมชั่น ราคา 3 ขวด 100 บาท ซึ่งเป็นน้ำผลไม้ที่พร้อมดื่มได้เลย หรืออย่างน้ำหมากเบนเบอร์รี่หากใครจะนำไปผสมกับโซดาดื่มก็ได้ เพราะโซดาจะช่วยลดความเฝื่อน และทำให้มีความซ่าอร่อยมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าหากใครสนใจตอนนี้ชาวบ้านยังไม่ได้นำออกมาวางขายตามท้องตลาดทั่วไป จะมีไปฝากขายไว้ที่รีสอร์ทบ้านไม้ริมโขง หรือถ้าใครอยากซื้อก็สามารถติดต่อไปได้ที่ศูนย์วิสาหกิจชุมชนบ้านปากโสม-ลำภูพาน


ต้นหมากเบน

       “เราอยากชวนให้พี่น้องคนไทยที่รักสุขภาพและรักธรรมชาติ มาเที่ยวสัมผัสกับความเงียบสงบและความบริสุทธิ์ของ อ. สังคม จ.หนองคาย เมื่อมาแล้วก็จะได้มาดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะสุภาพสตรี มาดูแลสุขภาพผิวพรรณ ด้วยวิตามินเอสกัดจากหมากหลอด มาดื่มน้ำผลไม้ น้ำหมากหลอดเบอร์รี่ น้ำหมากเบนเบอร์รี่ เพื่อสุขภาพที่ดี” ดร.อรุณศรี กล่าวทิ้งท้าย
       
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
       
       สำหรับผู้ที่สนใจน้ำหมากหลอดเบอร์รี่ และน้ำหมากเบนเบอร์รี่ สามารถติดต่อไปได้ที่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านปากโสม-ลำภูพาน ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย ซึ่งในอนาคตทางกลุ่มยังได้รวมตัวกันจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอย่างบูรณาการ “จากเชิงเขาสู่ชายโขง” ด้วย โทร. 08-4742-0461, 08-9245-4219

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #202 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2013, 04:33:10 pm »

ลองลดน้ำหนักด้วยเต้าหู้ดูสิ

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%AA%E0%B8%B4/-





หนังสือ สมุนไพร 91 ชนิด พิชิตโรค ชุด ตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน ที่ยูเนสโกคัดเลือกให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก จากสำนักพิมพ์อินสปายร์ บันทึกไว้ว่า เต้าหู้ (TOFU) คือถั่วเหลืองที่โม่เป็นแป้งแล้วทำเป็นแผ่น ๆ ใช้เป็นอาหาร มี 2 ชนิด คือ เต้าหู้ขาวและเต้าหู้เหลือง เต้าหู้มีเนื้อนิ่ม รสจืด เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นของจีน ซึ่งอยู่ระหว่าง 206 ปี ก่อน ค.ศ. ถึง ค.ศ. 220

ปัจจุบันเต้าหู้เป็นอาหารโปรตีนสำคัญในการทำอาหารของผู้คนแถบเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เต้าหู้ทำจากถั่วเหลือง เริ่มด้วยการแช่เมล็ดถั่วเหลืองในน้ำ นำไปบดแล้วต้มเพื่อทำเป็นนมถั่วเหลืองและน้ำเต้าหู้ข้น ๆ จากนั้นเติมสารที่ทำให้แข็งตัว ซึ่งจะแยกเอาส่วนที่เป็นเนื้อออกจากกัน เนื้อเต้าหู้ที่ได้จะตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมหล่อน้ำไว้

คุณประโยชน์มากมายของเต้าหู้ อาทิ ช่วยบำรุงกำลังและช่วยให้อวัยวะในระบบย่อยอาหารแข็งแรงขึ้น ช่วยถอนพิษ ลดไข้ ขจัดอาการกระหายน้ำ ป้องกันความดันโลหิตสูง ป้องกันหลอดเลือดแดงแข็งตัวและป้องกันการสะสมไขมันบริเวณตับ ที่สำคัญ เต้าหู้ยังช่วยป้องกันโรคอ้วนได้อีกด้วย เนื่องจากมีแคลอรีน้อย
เต้าหู้นอกจากเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีแล้ว ในเต้าหู้ยังมีสารเลซิทิน (LECITHIN) เป็นสารชนิดหนึ่งในประเภทฟอสฟอลิพิด (PHOSPHLIPID) มีความสำคัญในโครงสร้างเซลล์และเมแทบอลิซึม ประกอบด้วย ฟอสเฟต โคลีน กลีเซอรอล ในฐานะเอสเตอร์และกรดไขมันสองชนิด คู่กรดไขมันต่าง ๆ ทำให้แบ่งแยกเลซิทินต่าง ๆ กันได้ ซึ่งเมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะถูกย่อยเป็นโคลีน

โคลีน (CHOLINE) เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่สัมพันธ์กับวิตามินในแง่กิจกรรม พบอยู่ในตับและลำไส้ เยื่อบุผิวลำไส้ ต่อมหมวกไตชั้นนอก โคลีนมีความสำคัญในเมแทบอลิซึม โดยเป็นองค์ประกอบหนึ่งของลิพิดที่ประกอบขึ้นเป็นเยื่อหุ้มเซลล์ และยังสำคัญในแง่เป็นแหล่งวัตถุดิบทางเคมีสำหรับเซลล์ และในการลำเลียงไขมันจากตับ มักถูกจัดเป็นประเภทเดียวกับวิตามินบี เพราะมีหน้าที่และกระจายตัวในอาหารคล้ายกัน
เต้าหู้ กินได้ทุกเพศทุกวัย แต่จะเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีระบบย่อยอาหารอ่อนแอ เช่น เด็ก คนชรา


ที่มาข้อมูลและรูปภาพ trueplookpanya.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #203 เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2013, 05:55:39 am »
แนะกิน “ไข่ต้ม” ไขมันน้อยกว่า “ไข่ดาว” ยันไม่ทำให้เป็นโรคหัวใจ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 พฤศจิกายน 2556 18:55 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000140522-

สธ.ยันไม่มีงานวิจัยชี้ชัดว่า “กินไข่” ทำให้เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด แนะควรกินไข่ทุกวันสำหรับเด็กอายุ 7 เดือนขึ้น ผู้ใหญ่ 3-5 ฟองต่อสัปดาห์ ชี้กินร่วมกับผักผลไม้ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ เตือนเลี่ยงกินกับเบคอน ไส้กรอก ชูไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ ไขมันน้อยกว่า ไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ลูกเขย


นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ไข่เป็นอาหารที่มีคุณค่า หาได้ง่าย และเหมาะสมสำหรับทุกเพศ ทุกวัย เพราะนอกจากจะให้โปรตีนที่สมบูรณ์แล้ว ยังมีไขมัน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินบี 12 วิตามินเอ วิตามินดี และเลซิตินที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งการปรุงอาหารประเภทไข่สามารถทำได้ง่ายและสารพัดเมนู หากให้เด็กอายุตั้งแต่ 7 เดือนเต็มขึ้นไปจนถึงวัยเรียนกินไข่วันละ 1 ฟอง ส่วนผู้ใหญ่ที่มีภาวะโภชนาการปกติควรกินไข่ 3-5 ฟองต่อสัปดาห์ ส่วนกลุ่มคอเลสเตอรอลสูง อาจกินสัปดาห์ละ 1-2 ฟอง หรือกินแต่ไข่ขาว หรือตามคำแนะนำของแพทย์ ก็จะช่วยให้มีสุขภาพดี
       
       นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า ผู้บริโภคควรกินไข่ควบคู่กับอาหารที่หลากหลายในแต่ละมื้อ โดยให้มีอาหารประเภทแป้ง ธัญพืช เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะผักและผลไม้สด จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันส่วนเกินให้เป็นปกติ ซึ่งกากใยอาหารที่ได้รับจากการกินผักและผลไม้จะช่วยดูดซับสารที่ช่วยทำให้ไขมันมีขนาดเล็กลงบางส่วนที่อยู่ในทางเดินอาหารออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำไขมันไปใช้ได้ ทำให้ลดการส่งผลที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ อาทิ โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือดตามมาได้ นอกจากนี้ ในกรณีที่พ่อแม่ต้องการให้เด็กได้กินไข่ทุกวัน และไม่เบื่อนั้นควรใช้วิธีการประกอบอาหารที่มีการใส่ผักลงไปในไข่ ยังเป็นการจูงใจให้เด็กกินผักได้อีกทางหนึ่ง แทนที่จะเป็นผักล้วนๆ ก็ควรปรุงไปกับไข่ เช่น ไข่เจียว หรือไข่ตุ๋นใส่ผักสับละเอียด โดยจะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายแก่เด็ก
       
       “ที่สำคัญควรเลี่ยงการกินไข่ดิบ เพราะถ้าไข่ไม่สุกอาจปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ และไข่ขาวที่ไม่สุกจะขัดขวางการดูดซึมไบโอติน ทำให้ย่อยยากจึงได้รับประโยชน์ ไม่เต็มที่ การบริโภคไข่ควรบริโภคในรูปแบบไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ จะมีประมาณไขมันน้อยกว่าไข่ดาว ไข่เจียว และไข่ลูกเขย การปรุงอาหารควรใช้น้ำมันที่ไม่อิ่มตัว อาจกินเป็นสลัดไข่ ยำไข่ เพราะจะทำให้ได้สารจากไข่ และได้ไฟเบอร์และวิตามินซีจากผัก และผลไม้” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
       
       นพ.พรเทพ กล่าวด้วยว่า อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ ขนมปังไข่ดาวใส่เบคอน หรือไส้กรอก เพราะจะได้รับปริมาณไขมันสูงมากจากเบคอน น้ำมันที่ใช้ทอด และเนยที่ทาขนมปัง สำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องฟันที่ไม่สามารถทานอาหารโปรตีนอื่นได้ โดยแนะนำให้ให้กินไข่เป็นแหล่งของโปรตีนแทนเนื้อสัตว์ ในคนสูงอายุถ้ามีปัญหาเรื่องไขมันในเลือดสูงในบางมื้ออาจหลีกเลี่ยงการกินไข่แดง
       
       “สำหรับความเชื่อที่ว่าไข่มีคอเลสเตอรอลสูง ส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น โรคหัวใจ ซึ่งการหลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายมีคอเลสเตอรอลสูงไม่ได้อยู่ที่การลดหรืองดกินไข่ แต่ผู้บริโภคต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดไขมันส่วนเกินและควบคุมระดับคอเลสเตอรอลได้ และควรตรวจร่างกายเป็นประจำ เพื่อควบคุมและป้องกันปริมาณส่วนเกินของไขมันในเลือด ที่สำคัญยังไม่มีงานวิจัยใดที่ระบุว่าไข่คือสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้น การกินไข่ร่วมกับอาหารชนิดอื่น อย่างเหมาะสม จะช่วยเสริมคุณค่าสารอาหารตามที่ร่างกายต้องการได้” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #204 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2013, 08:15:13 am »
เป็ดเทศกบินทร์บุรี
-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=194800-



ลูกเป็ดแรกเกิดจะมีขนลำตัวสีเหลือง ดวงตากลมดำ ปากสีชมพูอ่อน แข้งและเท้าสีเหลือง บางตัวจะมีจุดดำกลางหั

เป็ดเทศกบินทร์บุรี เป็นเป็ดที่เลี้ยงง่าย ขยายพันธุ์ได้ดี เติบโตเร็ว ต้านทานโรค และปรับตัวเข้ากับภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยได้ดี ลูกเป็ดแรกเกิดจะมีขนลำตัวสีเหลือง ดวงตากลมดำ ปากสีชมพูอ่อน แข้งและเท้าสีเหลือง บางตัวจะมีจุดดำกลางหัว เมื่อโตจะมีขนสีขาวตลอดลำตัว และมีจุดสีดำเด่นอยู่กลางหัว ปากสีชมพู แข้งและเท้าสีเหลือง ใบหน้ามีผิวขรุขระนูนสีชมพูอมแดง โดยเฉพาะเพศผู้ผิวขรุขระเด่นชัดเต็มใบหน้า ส่วนเพศเมียจะมีผิวขรุขระบ้างเล็กน้อย เป็นสีชมพูอ่อน บริเวณริมขอบปากด้านบน เพศผู้ จะมีขนาดใหญ่กว่าเพศเมีย

เป็นเป็ดที่ได้รับการวิจัยและพัฒนามาจาก เป็ดเทศบาร์บาร์รีซึ่งมาจากประเทศ ฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ. 2533 ให้ไข่ดกตกปีละ 160 ฟอง แม่เป็ดเริ่มไข่เมื่ออายุ 6-7 เดือน เพศผู้โตเต็มที่ 4-5 กิโลกรัม เพศเมีย 2.5-3 กิโลกรัม อัตราแลกเนื้อ 3:5:1: คุณภาพเนื้อสีแดงคล้ายเนื้อโคไขมันต่ำ.





เนื้อโคทาจิมะภูพาน
-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=194992-



โคทาจิมะภูพาน เป็นโคสายพันธุ์หนึ่งของพันธุ์หวากิว ประเทศญี่ปุ่น เป็นที่รู้จักในชื่อ โกเบ บีฟ และ มัตซึซากะ บีฟ เข้ามาสู่ประเทศไทยในปี 2531
วันเสาร์ 16 พฤศจิกายน 2556 เวลา 00:00 น.

โคทาจิมะภูพาน เป็นโคสายพันธุ์หนึ่งของพันธุ์หวากิว ประเทศญี่ปุ่น เป็นที่รู้จักในชื่อ โกเบ บีฟ และ มัตซึซากะ บีฟ เข้ามาสู่ประเทศไทยในปี 2531 โดยสมาคมผู้เลี้ยงโคหวากิว เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น น้อมเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 1 คู่ ต่อมาศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.สกลนคร ได้นำน้ำเชื้อผสมกับแม่พันธุ์เรดซินดี้ แล้วให้ชื่อว่า โคเนื้อทาจิมะภูพาน นับเป็นสายพันธุ์ใหม่ของประเทศไทย ขุน 12–18 เดือน ใช้อาหารข้นที่ผสมหญ้าสดกับข้าวหมัก (สาโท) เปิดเพลงหมอลำกล่อม ทำให้ได้เนื้อโคขุนในระดับคุณภาพเกรด 3.5 –4.5 มีสัดส่วนของกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูง และมีไขมันแทรกสูง ทำให้สามารถกำจัดไฮโดรเจนอะตอมในร่างกายได้ง่าย ซึ่งในขบวนการเมตาโบลิซึมภายในร่างกายทำให้ย่อย และใช้ประโยชน์จากกรดไขมันไม่อิ่มตัวได้ดีกว่ากรดไขมันอิ่มตัว ทำให้ขบวนการเผาผลาญในร่างกายผู้บริโภคสมบูรณ์ดียิ่งขึ้น.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #205 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2013, 09:54:07 pm »
กินผลไม้อย่างไรให้ได้รับประโยชน์สูงสุด

-http://campus.sanook.com/1370235/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94/-


หลายคนชอบกินผลไม้ แต่ทราบหรือไม่ว่ากินอย่างไรให้ได้คุณประโยชน์สูงสุด

ผลไม้ เป็นสิ่งจำเป็นที่คนเราควรรับประทาน เพราะในผลไม้มีกากใยอาหาร และวิตามิน เกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มากมาย อีกทั้งน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูกวิธี คือ

การกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหารอื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไปตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่


เหตุผลที่ห้ามกินผลไม้หลังอาหาร

เมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลาย่อยประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็กได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจากอาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหารและผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้

คุณค่าของผลไม้จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กินผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดีแต่คุณอาจไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นหากใครที่กินอาหารแล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้


คำแนะนำการกินผลไม้

-หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง

-หากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง

-หากกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย

**ดังนั้น เวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ควรจะกินผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่นจนถึงเที่ยงเนื่องจากร่างกายจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ อีกทั้งช่วยให้สุขภาพดี กระชุ่มกระชวย อยู่เสมอ **






แตงกวามีดีกว่าที่คุณคิด

-http://campus.sanook.com/1370238/%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94/-



ผักที่ดูธรรมด๊า..ธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไปอย่างแตงกวา ใครจะรู้ว่าจะมีประโยชน์มากมายและถือเป็น "super food" อีกชนิดที่แนะนำให้รับประทาน ลองมาดูคุณประโยชน์ของแตงกวาว่ามีดีอะไร ทำไมเราควรรับประทาน...

- หากคุณดื่มน้ำน้อยการรับประทานแตงกวาช่วยคุณได้เพราะแตงกว่าประกอบด้วยน้ำถึง 90 เปอร์เซ็นต์ มันสามารถชดเชยน้ำที่คุณขาดได้

-แตงกวานั้นช่วยลดความร้อนหากมีอาการร้อนในการรับประทานแตงกว่าจะช่วยลดความร้อนภายในร่างกายได้ หรือเมื่อเกิดอาการผิวหนังโดนแดดเผา นำแตงกวาฝานเป็นแว่นบางๆมาวางบริณผิวหนังที่ถูกแดดเผาจะช่วยบรรเทาอาการได้

-แตงกวาช่วยขับสารพิษ น้ำในแตงกว่าจะช่วยขับสารพิษในร่างกายแล้ว การกินแตงกวายังจะช่วยละลายนิวในไตได้ด้วย

-แตงกวามีวิตมินที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันแตงกวาจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ทั้งยังมีวิตมินซีช่วยเรื่องผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง

-แตงกวามีโพสแทสเซียมสูง และมีแมกนีเซียม โพสเตสเซียม จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมสปาหลายแห่งจึงนิยมใช้แตงกวาเป็นทรีตเมนต์พื้นฐาน

-แตงกวาช่วยในการเผาผลาญและลดน้ำหนักได้ เพราะแตงกว่าประกอบด้วยน้ำซะส่วนใหญ่ทำให้มันมีแคลอรี่ต่ำ สำหรับผู้กำลังลดน้ำหนักการรับประทานเมนูแตงกวา อย่างนำมาประกอบสลัดหรือจะรับประทานแทนขนม โดยนำมาหั่นเป็นแท่งจิ้มโยเกิร์ตหรือโรยเกลือแล้วแช่เย็นก่อนรับประทานก็เป็นเมนูที่ดีไม่ใช่น้อย ทั้งแตงกวายังมีกากใยช่วยปัญหาท้องผูกได้อีกด้วย

-แตงกวาช่วยลดการอักเสบ ผู้ที่มีถุงใต้ตาบวมนำแตงกว่าฝานเป็นแว่นว่างไว้บริเวณที่ถุงใต้ตาจะช่วยลดอาการบวมได้

-แตงกวายังช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมากได้

-แตงกว่าช่วยผู้เป็นโรคเบาหวาน ลดคอเลสเตอรอลและควบคุมความดันโลหิต โดยแตงกวามีฮอโมนที่เซลล์ตับอ่อนใช้ในการผลิตอินซูลินซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน ผลวิจัยพบว่าสารประกอบในแตงกวาสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ ทั้งยังมีไฟเบอร์ โพแทสเซียม และแมกนีเซียม เป็นส่วนช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ แตงกวาจึงส่งผลดีแก่ผู้ที่มีความดันสูงหรือความดันต่ำ

-น้ำแตงกวาช่วยรักษาโรคเหงือกได้ นำแตงกวาฝานเป็นแว่นใช้ลิ้นดันไว้บนเพดานปากครึ่งนาที ช่วยฆ่าแบคทีเรียในปากที่เป็นสาเหตุของกลิ่นปากได้

-แตงกวาช่วยรักษาอาการเมาค้าง แนะนำหลังจากดื่มแอลกอฮอล์ให้กินแตงกวาก่อนเข้านอน ลดอาการปวดหัวในตอนเช้า เพราะแตงกวามีวิตมินบีและน้ำตาลช่วยลดอาการเมาค้างได้

ข้อมูลจาก fitnea.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #206 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2013, 06:07:45 am »
ผิวสวยเต็มที่ ด้วย 7 คุณประโยชน์จากเมล็ดเจีย
-http://women.kapook.com/view75779.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          เดี๋ยวนี้หากไปตามร้านขายอาหารสำหรับคนรักสุขภาพ คุณอาจได้เห็นเมล็ดพืชเล็ก ๆ ดูคล้ายเมล็ดงาแต่กลับไม่มีกลิ่นงา ดูไปดูมาอีกทีก็เหมือนเมล็ดแมงลักแต่ก็ยังไม่ใช่ เช่นนี้แล้ว เมล็ดเจ้าปัญหาที่คุณเจอนั้นคงจะเป็น "เมล็ดเจีย" (chia seeds) แน่ ๆ เลยค่ะ เจีย เป็นเมล็ดพืชที่มีคุณประโยชน์มากมาย แต่เพิ่งจะเป็นที่รู้จักในไทยเมื่อไม่นานมานี้ด้วยความที่มันไม่ใช่พืชท้องถิ่นของบ้านเรา แต่ในปัจจุบันเราก็เริ่มหาซื้อเมล็ดเจียได้ง่ายขึ้นมากแล้ว มันมีคุณประโยชน์เปี่ยมล้นไม่ว่าจะในด้านสุขภาพ หรือด้านความสวยความงาม และเรายังไปพบว่ามันมีประโยชน์ต่อผิวมาก ๆ ด้วยนะ ลองมาดูกันค่ะว่าเมล็ดเจียนี้ จะมีประโยชน์ช่วยให้ผิวสวยใสอย่างไรได้บ้าง

        1. อุดมด้วยวิตามินอี

          วิตามินอีที่มีประโยชน์ต่อผิวในด้านการรักษาความชุ่มชื้น ทำให้ผิวนุ่มนิ่ม และยังช่วยเรื่องความเรียบเนียนเพราะมันต่อต้านการเกิดริ้วรอย แถมเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ดี ต้านทานการอักเสบของผิวได้อีกด้วย ซึ่งวิตามินอีจากเมล็ดเจียก็มีอยู่สูงและอยู่ในรูปที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ง่ายด้วยค่ะ

        2. มีกรดโอเมก้า 3

          กรดโอเมก้า 3 ใครว่ามีอยู่แต่ในปลา มันสามารถพบได้ในพืชเช่นกัน ตัวอย่างเช่น โอเมก้า 3 ที่ได้จากเมล็ดเจีย เป็นต้น แถมโอเมก้าจากเมล็ดเจียยังมีมากกว่าเสียอีก เทียบเมล็ดเจียเพียง 2 ช้อนโต๊ะก็เท่ากับโอเมก้าที่ได้จากเนื้อปลาถึง 4 ออนซ์ (ประมาณ 113 กรัม) เลยทีเดียวค่ะ

          โอเมก้า 3 นี้เป็นกรดไขมันที่ช่วยต่อต้านการเกิดสิว ริ้วรอย ทำให้ผิวเรียบนุ่ม ผมและเล็บก็สวยด้วยอีกต่างหาก นอกจากนี้ยังเป็นตัวช่วยรักษาสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย เพราะเมื่อใดก็ตามที่รู้สึกเครียด ก็จะทำให้ฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน ส่งผลต่อผิวไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็จะได้กรดโอเมก้า 3 มาช่วยรักษาระดับฮอร์โมนให้คงที่ ซึ่งเมล็ดเจียก็นับเป็นแหล่งโอเมก้า 3 ชั้นเยี่ยมแหล่งหนึ่งเลยล่ะ

        3. ไฟเบอร์เพียบ

          ไปเบอร์จากเมล็ดเจีย ซึ่งสามารถขยายตัวได้กว่าเดิมถึง 10 เท่าเมื่อถูกน้ำ ช่วยให้อยู่ท้อง อิ่มนาน และที่สำคัญคือรักษาระดับอินซูลินไม่ให้ตกลงอย่างรวดเร็วเกินไป เพราะหากระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง จะกระตุ้นให้รู้สึกโหย อยากของหวานหรืออาหารมีไขมัน ซึ่งเมื่อกินเข้าไปผลก็จะมาปรากฏอยู่ที่ผิว ทั้งเรื่องสิว ผิวอักเสบ และดูหมองคล้ำไม่สดใสก็ถามหา แต่ทั้งหมดนี้ป้องกันได้ง่าย ๆ ด้วยไฟเบอร์ที่ได้จากเมล็ดเจียนี่เอง

        4. สังกะสี

          ในเมล็ดเจียยังมีสังกะสี หรือ ซิงก์ อันเป็นแร่ธาตุที่ได้ชื่อว่าเป็นสารแอนตี้เอจจิ้ง ทำให้ผิวตึงเรียบ ต่อต้านการอักเสบ นอกจากผิวตึงสวยแล้วสิวจึงลดลงเป็นผลพลอยได้

        5. แมกนีเซียม

          เจียมีธาตุแมกนีเซียมไม่น้อยหน้าไปกว่าพืชชนิดไหน ๆ (ยอมลงให้โกโก้อยู่หนึ่งอันดับ) ซึ่งแมกนีเซียมช่วยรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเส้นเลือด รวมทั้งช่วยให้ระบบประสาททำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยในเรื่องการไหลเวียนโลหิต ผิวจึงดูเปล่งปลั่งไม่ซีดเซียวไร้ชีวิตชีวา

        6. โปรตีน

          โปรตีนนอกจากได้จากสัตว์แล้วก็ยังได้จากพืช โดยมีเมล็ดเจียเป็นแหล่งโปรตีนพืชที่ดีเช่นกัน แถมร่างกายยังนำไปใช้ได้ง่ายด้วย แม้จะมีอยู่ในปริมาณไม่มากแต่ก็ช่วยเสริมสร้างให้ผิว ผม และเล็บแข็งแรงได้ เพราะมันช่วยเสริมสร้างการผลิตคอลลาเจนซี่งเป็นโปรตีนรูปหนึ่งที่อยู่ในผิวนั่นเองค่ะ

        7. โพแทสเซียม

          โพแทสเซียมเป็นแร่ธาตุมีอยู่เสมอ ๆ ในอาหารจำพวกถั่วและเมล็ดพืชต่าง ๆ เมล็ดเจียเองก็มีธาตุโพแทสเซียมเช่นกัน ซึ่งมันช่วยรักษาระดับความดันเลือดของร่างกายให้คงที่ และช่วยป้องกันอาการบวมน้ำ จากความเค็มของอาหาร โดยเฉพาะในอาหารจำพวกเนื้อแปรรูป เช่น แฮม ไส้กรอก ซึ่งเป็นอาหารประเภทที่เราบริโภคกันบ่อยในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นถ้ารู้ตัวว่ากินเค็มมาก หรือกินอาหารจำพวกนี้เยอะ ก็ควรต้องลดความถี่และปริมาณการกินลง รวมทั้งกินอาหารโพแทสเซียมสูงอย่างเช่นเมล็ดเจียเข้าไปเสริมด้วยนะคะ


          มีประโยชน์ต่อผิวเพียบขนาดนี้ ต้องลองนำเมล็ดเจียมาเป็นมาเสริมในมื้ออาหารดูบ้างแล้วล่ะ ซึ่งสามารถนำมาใช้แทนเมล็ดแมงลักที่เราคุ้นเคยได้ด้วย กินง่ายแถมประโยชน์เพียบอย่างนี้ จะพลาดของดีไปไม่ได้แล้วจ้า


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #207 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2013, 09:48:50 pm »

หัวหอมใหญ่ยาครอบจักรวาล

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5/-


ทราบหรือไม่ว่า...การทานหัวหอม ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงอาหาร แล้วจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคหัวใจ และไขมันอุดตัน ซึ่งในปัจจุบันการทานอาหารมีวิธีการทานที่จะต้องแข่งกับเวลาซะเป็นส่วนใหญ่ อาหารที่ได้รับในแต่ละวันจึงไม่ตรงกับความต้องการของร่างกายตัวเอง งั้นคุณลองหันมาทาน "หัวหอมใหญ่" ที่เป็นส่วนประกอบของอาหารต่างๆ ดีกว่าค่ะ

หอมหัวใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก มีสรรพคุณเป็นพืชสมุนไพร มีสารสำคัญคือ ฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ (Flavonoid glycosides) ซึ่งมีคุณสมบัติขัดขวางไขมัน ไม่ให้เกาะตามผนังเส้นเลือด ซึ่งถ้าเกาะมากๆ จะเกิดภาวะเส้นโลหิตอุดตันทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ นอกจากนี้ หอมหัวใหญ่ยังช่วย "ลดไขมันในเลือด" ได้อีก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นโรคอ้วน

น่าสนใจมากที่ปัจจุบัน นิยมนำหอมหัวใหญ่มาทำเป็นน้ำมันหอมระเหย หรือที่เราเรียกกันว่า การบำบัดแบบ "อโรมาเทอราปี" โดยหอมหัวใหญ่ที่สุกจะมีน้ำมันหอมที่ชื่อว่า "อัล ลิลิก ไดซัลไฟด์ (Allilic disulfides)" ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้ ถ้าสูดดมมากๆ จะช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะ บรรเทาอาการหวัด และลดเสมหะได้ หรือน้ำคั้นจากหอมหัวใหญ่ ก็จะช่วยลดอาการอักเสบบวม หรือลดความดันโลหิตและน้ำตาลในเส้นเลือด เนื่องจากหอมหัวใหญ่มีธาตุฟอสฟอรัสที่สูง จึงช่วยทำให้ความจำดีขึ้นอีก และยังสามารถนำหอมหัวใหญ่ไปใช้เป็นยาทาภายนอก ช่วยลดอาการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียใช้แก้พิษแมลงกัดอาการปวดบวมตามข้อหรือทาแก้สิวได้ด้วย

           หอมหัวใหญ่ คนไทยนำมาประกอบอาหารหลายชนิด เช่น ยำต่างๆ ข้าวผัด สลัด ไข่เจียว ซุปหรือสตูต่างๆ ซึ่งถ้ารับประทานกันแบบสดๆ จะมีรสชาติกรอบ เผ็ดร้อน แต่ถ้านำไปปรุงอาหาร หรือถูกความร้อนก็จะมีรสชาติหวาน เนื่องจากสารที่ชื่อ "อัลลิลโปรบิลซัลไฟต์" ระเหยไประหว่างที่ถูกความร้อนและได้สารที่มีรสหวานมาแทน ว่ากันว่า...ถ้ารับประทานหอมหัวใหญ่วันละครึ่งหัวทุกวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 2 เดือน จะช่วยลดอาการโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

แทบจะเรียกได้ว่าเป็นยาครอบจักรวาลเลยก็ว่าได้ เมื่อคุณทราบกันแล้วว่าหัวหอมดีอย่างไร อย่าลืมทุกครั้งที่ทำอาหาร ให้คุณลองเติมเมนูที่มีหอมหัวใหญ่ไปด้วย เพื่อสุขภาพของคนที่คุณรักน่ะค่ะ


ที่มาข้อมูล myhomeveg.com
ที่มารูปภาพ thaiza.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #208 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2013, 06:30:28 am »
วิธีเก็บมะนาวให้สดนาน

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99/-

ด้วย 3 เคล็ดลับจากวัตถุดิบก้นครัว ช่วยชะลออายุมะนาวเน่าเสียช้าลง ทั้งยังคงรสชาติไม่เปลี่ยน

มะนาวที่ซื้อมาแล้วใช้ไม่หมด หากเก็บไว้นาน ๆ ผิวจะเริ่มแห้งกรอบ เมื่อบีบ หรือคั้นก็จะไม่ค่อยได้น้ำ ปัญหานี้มีวิธีแก้โดย

นำลูกมะนาวที่เหลือล้างน้ำให้สะอาด ปล่อยทิ้งไว้จนแห้ง จากนั้น ใช้กระดาษห่อแยกเป็นลูก ๆ ใส่ถุงพลาสติกมัดปากถุงให้แน่น แล้วแช่ตู้เย็นในช่องผัก

หรือ ใช้น้ำมันพืชทาเคลือบผิวมะนาวบาง ๆ ผึ่งให้แห้งก่อนใส่ถุงพลาสติกนำเข้าตู้เย็น จะช่วยเก็บความชื้น และน้ำในผลมะนาวให้ระเหยน้อยลง ทั้งยังยืดอายุให้เน่าเสียช้าด้วย

นอกจากนี้ อาจผ่ามะนาวที่เหลือให้หมด แล้วคั้นน้ำบรรจุภาชนะมีฝาปิดมิดชิด จากนั้น ใส่ตู้เย็นในช่องแช่แข็ง เมื่อจะใช้จึงนำมาละลาย ทำให้เก็บได้นาน และรสชาติไม่เปลี่ยน

ที่มาข้อมูล internet

-----------------------------------------------------------



เปลือกส้ม เปลือกมะนาว อย่า!!เพิ่งทิ้งนะ

-http://campus.sanook.com/1078527/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B0/-


เปลือกผลไม้บางอย่างก็ยังเก็บไว้ใช้ประโยชน์ได้อย่างเปลือกมะนาวและส้มนั้นคุณสามารถนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นกลิ่นหอมปรับอากาศในบ้านก็ได้ โดยนำเปลือกส้มหรือมะนาวแห้งมาเผาบนเตาหรือนำเข้าเตาอบ เพียงแค่นี้ก็จะได้กลิ่นหอมสดชื่นทั่วบ้านอย่างง่ายๆ ในเวลาเร่งด่วนแล้วล่ะคะ



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #209 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2013, 06:44:13 am »
ทับทิม : อัญมณีแห่งผลไม้

-http://men.sanook.com/1563/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89/-



ศัพท์บางคำในภาษาไทยนั้น อาจมีความหมายได้หลายอย่าง และความหมายที่ต่างกันนั้นมักมีความเกี่ยวข้องกัน ตัวอย่างเช่น คำว่า "ทับทิม" หนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอบรัดเลย์ ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2416 ให้ความหมายไว้ว่า...

"พลอยแดง : เป็นชื่อต้นไม้อย่างหนึ่งดอกแดง ลูกกลมๆ กินดี : อนึ่งเป็นชื่อพลอยที่เขาทำหัวแหวนสีแดงๆ นั้น"

ชาวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยส่วนหนึ่งมีจุดประสงค์เพื่อมาซื้อพลอยแดงน้ำดีจากประเทศไทยที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า "ทับทิมสยาม" นั่นเอง

เนื่องจากคนไทยคุ้นเคยกับทับทิมที่เป็นพลอยสีแดงมานาน เมื่อมีต้นไม้ต่างประเทศชนิดหนึ่ง ถูกนำเข้ามาปลูกในเมืองไทย และต้นไม้ชนิดนั้นมีเมล็ดซึ่งหุ้มด้วยเนื้อใสสีแดง มีเหลี่ยมมุมคล้ายพลอยสีแดง คนไทยจึงเรียกชื่อต้นไม้ต่างประเทศชนิดนั้นว่า "ทับทิม" ไปด้วย เพราะเป็นลักษณะเด่นที่จำได้ง่าย
หัวนอนปลายเท้าของต้นทับทิม

ต้นทับทิมมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Punica granatum linn. ภาษาอังกฤษเรียก Pomegranate, สเปนเรียก Granada, อินเดียเรียก Darim, ชาวเชียงใหม่และภาคเหนือทั่วไปเรียก มะก้อ ชาวน่านเรียก มะก่องแก้ว ชาวแม่ฮ่องสอนเรียก หมากจัง ชาวหนองคาย และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เรียก พิลา ชาวจีนเรียก เซี๊ยะลิ้ว ฯลฯ

สันนิษฐานว่า ทับทิมมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่แถบทวีปเอเชียตะวันตก ติดกับทวีปยุโรปตอนใต้ และคงนิยมปลูกกันมานานหลายพันปีแล้ว จึงแพร่กระจายออกไปมากมาย ทั้งในเขตร้อน (tropical) และกึ่งร้อน (Sub-tropical) ของทวีปเอเชียและทวีปยุโรป รวมทั้งทวีปแอฟริกา

ทับทิมเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง สูงประมาณ 6-10 ฟุต ทรงพุ่มโปร่ง มีหนามแหลมตามกิ่งก้าน ใบเดี่ยวขนาดเล็ก รูปใบยาวปลายแหลม ยาว 3-4 เซนติเมตร ดอกสีแดงหรือสีขาว ผลค่อนข้างกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6-10 เซนติเมตร เมื่อแก่จัดเปลือกผลสีเหลืองอมแดงหรือน้ำตาลอมส้ม ผิวมักแตก ออกเห็นเมล็ดใสอยู่ภายในมากมาย เมล็ดมีเนื้อใสสีแดงหรือสีชมพูหุ้มอยู่แยกแต่ละเมล็ด เนื้อทับทิมมีน้ำมาก รสหวานหรือเปรี้ยวอมหวาน มีทับทิมอีกชนิดหนึ่งมีขนาดเล็กมาก เรียกว่า ทับทิมหนู (Punica granatum Var.nana Pere) สูงเต็มที่ไม่เกิน 4 ฟุต มีดอกสีแดงดกตลอดปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ

ความเชื่อและตำนาน

ชาวกรีกโบราณเชื่อว่า ต้นทับทิมเกิดจากโลหิตของไดโอนีซุส (Di-onysus) ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งเทพเจ้าทั้งปวงและเทวีนาน่า(Nana) ซึ่งเป็นพรหมจารีย์ ตั้งครรภ์ขึ้นโดยการสอดใส่ผลทับทิม และให้กำเนิดเทพเจ้าแอตติส (Attis) ขึ้น ดังนั้น ผู้ที่เคารพนับถือเทพแอตติสจึงไม่กินผลทับทิม ชาวยิวในสมัยพระเจ้าโซโลมอนก็ถือว่า ทับทิมเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ ดังปรากฏอยู่บนยอดเสาของวิหารกษัตริย์โซโลมอน ชาวฮินดู ในอินเดียเชื่อว่า พระคเณศทรงโปรดทับทิม ผู้ที่เคารพพระคเณศจึงนิยมนำผลทับทิมไปถวาย นอกจากนี้ ยังใช้ดอกทับทิมบวงสรวงบูชาพระอาทิตย์ พระนารายณ์ และเทวีลักษมี อีกด้วย

ชาวจีนถือว่า ต้นทับทิมเป็นไม้มงคล (โดยเฉพาะทับทิมชนิดดอกสีขาว) และถือว่าทับทิมเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ความมีลูกหลานมากมาย (เนื่องจากผลทับทิมมีเมล็ดมาก) จึงนิยมให้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่บ่าวสาวในพิธีแต่งงาน (เพื่อให้มีลูกหลานมากๆ) ในพิธีแต่งงานนิยมปักยอดทับทิมไว้ที่ผมเจ้าสาว และปักยอดทับทิมไว้ที่สิ่งของเซ่นไหว้เจ้า ชาวจีนยังเชื่อว่า ใบหรือกิ่งทับทิมมีอำนาจไล่ภูตผีปีศาจได้ จึงนิยมปลูกทับทิมไว้ในบริเวณบ้าน และใช้ใบทับทิมแช่น้ำล้างหน้า ล้างมือ หลังกลับจากงานศพ (เพื่อมิให้ปีศาจติดตามมา)

ในญี่ปุ่นคงรับความเชื่อเกี่ยวกับทับทิมไปจากจีน กลายเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแม่ที่คอยปกป้องรักษาเด็กๆ ให้ปลอดภัย และเชื่อว่าเมื่อเด็กๆ ได้กินผลทับทิมแล้วจะปลอดภัยจากภูตผีปีศาจทั้งปวง ชาวไทยก็คงได้รับถ่ายทอดความเชื่อเกี่ยวกับทับทิมมาจากชาวจีนบ้าง ดังปรากฏว่า มีศาลเจ้าหลายแห่งในประเทศไทย ชื่อเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งคงจะเป็นเจ้าแม่ที่มีกำเนิดจากประเทศจีนแล้วเปลี่ยนเป็นชื่อไทยทีหลัง

ประโยชน์ด้านต่างๆ ของทับทิม

เมล็ดทับทิมมีเนื้อหุ้มใสสีแดงเข้มเป็นประกายนั้น มองดูคล้ายพลอยแดงน้ำดีที่เจียระไนแล้ว สมกับที่มีผู้ยกย่องทับทิมว่าเป็น "อัญมณีแห่งผลไม้" นอกจากความงดงามแล้ว รสชาติของทับทิมยังดีเยี่ยมอีกด้วย น้ำคั้นจากผลทับทิมดื่มแล้วสดชื่นแก้กระหายน้ำได้ดีมาก เพราะมีทั้งน้ำตาลและกรดที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกรดแอสคอร์บิกหรือวิตามินซี ซึ่งช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดด้วย เนื่องจากทับทิมเป็นต้นไม้ที่มีคุณสมบัติด้านสมุนไพรที่เด่นมากชนิดหนึ่ง สามารถนำเอาส่วนต่างๆ มาทำยารักษาโรคได้หลายชนิด เป็นที่รู้จักดีในกลุ่มคนหลายกลุ่มมาแต่โบราณกาล เช่น ชาวอียิปต์ และชาวฟีนีเซี่ยน เมื่อหลายพันปีมาแล้วก็ใช้ทับทิมเป็นสมุนไพร ต่อเนื่องมาถึงกลุ่มชนอื่นๆ เช่น

ชาวอาหรับ ใช้เปลือกรากทับทิมสดๆ ต้มน้ำ ใช้ดื่มถ่ายพยาธิตัวตืด ใช้เปลือกผลทับทิม (ผสมกานพลูและฝิ่น) รักษาโรคบิดและท้องร่วงอย่างแรง เปลือกจากลำต้นทับทิม ต้มน้ำใช้ถ่ายพยาธิชนิดต่างๆ ร่วมกับยาถ่าย

ชาวฮินดู ใช้น้ำคั้นจากผลทับทิม และดอกทับทิม ปรุงยาธาตุ ใช้สมานลำไส้ แก้ท้องเสีย เมล็ดทับทิมแก้ท้องเสีย ใช้บำรุงหัวใจ

ชาวไทย ทับทิมทั้งต้นหรือทับทิมทั้ง 5 ; ใช้เป็นยาระบาย หรือถ่ายพยาธิเส้นด้ายและตัวตืด

เปลือก ราก และเปลือกต้น ; ใช้ถ่ายพยาธิตัวตืด, ไส้เดือน, เส้นด้าย และฝาดสมาน
ใบ ; สมานแผล แก้ท้องร่วง อมกลั้วคอ ทำยาล้างตา
ดอก ; ใช้ห้ามเลือด
เปลือกผล ; สมานแผล แก้บิด แก้ท้องร่วง (มีแทนนิน) ร้อยละ 22-25
เนื้อหุ้มเมล็ด ; แก้กระหายน้ำ แก้โรคลักปิดลักเปิด
น่าสังเกตว่า ชาวไทยใช้ประโยชน์จากทับทิมด้านสมุนไพรมากกว่าชาติอื่นๆ และผลทับทิมในประเทศไทยได้รับความนิยมน้อยกว่าประเทศอื่นๆ อาจเป็นเพราะว่าพันธุ์ทับทิมที่มีอยู่ในประเทศไทยยังมิใช่พันธุ์ที่ให้ผลคุณภาพดีเยี่ยมสำหรับการบริโภคเป็นผลไม้

หากชาวไทยนำพันธุ์ทับทิมคุณภาพดีเข้ามาปลูก หรือปรับปรุงพันธุ์ทับทิมของเราให้ดีเท่าเทียมกับพันธุ์คุณภาพดีที่มีอยู่ในโลก เชื่อว่าคนไทยนิยมปลูกและบริโภคทับทิมไม่น้อยกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ เป็นแน่


หมอชาวบ้าน สนับสนุนเนื้อหา
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)