ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129530 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #330 เมื่อ: มิถุนายน 22, 2014, 08:42:02 am »
กินกันทุกวัน ...รู้ยัง? ดื่ม ′น้ำผลไม้′ ให้ประโยชน์มากแค่ไหน ?


-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1403244371-


ณ วันนี้เป็นยุคที่ผู้คนทั้งประเทศตื่นตัว กลัวตาย หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ขณะเดียวกันในด้านของผู้ผลิต ก็ตอบสนองโดยการผลิตสินค้าทั้งอุปโภคและบริโภค ที่ห้อยท้ายด้วยคำว่า "เพื่อสุขภาพ" ออกมาจำหน่ายกันมากมาย หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือ น้ำผลไม้หลากชนิด นานายี่ห้อ ที่มีให้เลือกซื้ออย่างจุใจ

การดื่มน้ำผลไม้ทำให้รู้สึกสดชื่น ดับกระหาย ส่วนคุณค่าทาง โภชนาการจะมีมากน้อยแค่ไหนนั้น เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคทุกคนต้องทราบ เพื่อที่จะได้จัดสรรอาหารการกินในแต่ละวันให้เป็นไปอย่างสมดุล และร่างกายได้รับประโยชน์จากอาหารที่เรากินเข้าไปมากที่สุด แต่ก่อนที่จะไปถึงคำตอบในคำถามที่ตั้งหัวข้อไว้ อยากให้ทำความรู้จักกับน้ำผลไม้ชนิดต่างๆ กันก่อน

ชนิดของน้ำผลไม้

น้ำผลไม้ที่เราซื้อมาดื่ม ทั้งที่มีขายอยู่นอกห้างและในห้างสรรพสินค้าซึ่งมีทั้งชนิดคั้นสด บรรจุกล่อง บรรจุขวด ฯลฯ หลากหลายรูปแบบนั้น ความจริงแบ่งได้ เป็น ๒ ประเภทเท่านั้น คือ

๑. น้ำผลไม้สด หมายถึง น้ำผลไม้ที่คั้นสำหรับดื่มสดๆ โดยไม่เติมสารปรุง แต่งใดๆ ทั้งสิ้น อย่างเช่น น้ำส้ม หรือน้ำฝรั่ง ที่คั้นกันสดๆ หรือบรรจุขวดแช่น้ำแข็งขาย

๒. น้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ หมายถึง น้ำผลไม้ที่ผลิตขึ้นด้วยวิธีการถนอมอาหาร โดยใส่สารกันบูด หรือสารปรุงแต่งอื่นๆ เพื่อยืดอายุการเก็บให้นานขึ้น ซึ่งน้ำผลไม้ประเภทนี้ก็มีหลายรูปแบบ เช่น

น้ำผลไม้ชนิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ที่ทำจากผลไม้สดที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น  เช่น ส้ม ฝรั่ง สับปะรด เป็นต้น โดยไม่ เติมกรด หรือน้ำตาล ซึ่งน้ำผลไม้ชนิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นี้จะมีรสชาติใกล้เคียงน้ำผลไม้คั้นสดมากที่สุด

น้ำผลไม้ผสม น้ำผลไม้ประเภทนี้ อาจมีน้ำผลไม้ผสมอยู่มากกว่า ๑ ชนิด และส่วนใหญ่มักจะเติมน้ำตาล สารกันบูด สี และสารปรุงแต่งกลิ่นรสลงไปด้วย โดย ที่มีน้ำผลไม้เป็นส่วนประกอบหลัก ๔๐ เปอร์เซ็นต์ หรือ ๖๐ เปอร์เซ็นต์

น้ำผลไม้ยูเอชที น้ำผลไม้ประเภทนี้ อาจผลิตจากผลไม้สด หรือน้ำผลไม้เข้มข้น (ที่ต้องมาทำให้เจือจาง) ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วบรรจุขวด หรือผนึก กล่องสุญญากาศ เพื่อให้เก็บได้นานวัน

ดื่มน้ำผลไม้ได้ประโยชน์อะไร

ในบรรดาอาหารชนิดต่างๆ ที่เรากิน ผักสด ผลไม้สด จะให้วิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายชนิดแล้ว ถ้าหากแปรรูปมาเป็นน้ำผักหรือน้ำผลไม้ เราจะยังได้รับคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วนเท่าเดิม เท่าที่ควรจะได้หรือเปล่า ไปฟังคำตอบจากนักวิชาการด้านอาหารกันค่ะ อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข ๙ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

"คุณค่าของน้ำผลไม้ทั้ง ๒ ชนิด ถ้าเปรียบเทียบคุณค่าจะใกล้เคียงกัน แต่ถ้าเทียบระหว่างผลไม้และน้ำผลไม้ สดๆ ผลไม้สดย่อมดีกว่าน้ำผลไม้  แน่นอน ซึ่งได้วิตามินเต็มที่ เพราะระหว่างที่คั้นผลไม้ อาจจะสัมผัสกับแสงแดด และระหว่างการเก็บจะทำให้ วิตามินและแร่ธาตุบางชนิดสูญหายไป เช่น วิตามินซี หรือวิตามินเอ เมื่อโดนแสงก็สลายไปหมด อีกประการหนึ่ง การที่คนหันมานิยมดื่มน้ำผลไม้ สิ่งที่จะขาดไปคือใยอาหาร ซึ่งคนปัจจุบันกินผักน้อยลงมาก จึงได้ไฟเบอร์หรือใยอาหารน้อย นักโภชนาการเองเคยหวังว่า เมื่อคนกินผักน้อยหรือไม่ชอบกินผัก (จะด้วยเหตุผลว่าผักไม่อร่อย หรือขี้เกียจเคี้ยวก็ตามที) ประชาชนก็น่าจะกินผลไม้ให้มากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าแทนที่จะกินผลไม้สดๆ กลับไปกินน้ำผลไม้แทนเพราะสะดวก สบาย ไม่ต้องเคี้ยว ผลคือ ทำให้ได้ใยอาหารต่ำ

ไฟเบอร์ไม่ใช่สารอาหาร แต่เป็นไฟโตเคมีคอล เป็นสารที่อยู่ในผักและผลไม้ ซึ่งมีคุณสมบัติอมน้ำ แล้วขณะอมน้ำก็เกิดน้ำหนัก ก็เลยไหลผ่านระบบลำไส้ กระเพาะ แล้วขณะที่ไหลมันก็จะไปกวาดเอาน้ำตาล ไขมัน โคเลสเตอรอล หรือสารก่อมะเร็งออกไปจากร่างกายด้วย ฝรั่งจึงกล่าวว่าไฟเบอร์ที่ได้จากผัก ผลไม้ เปรียบประดุจไม้กวาด ที่กวาดเอา สิ่งที่ไม่ดีออกจากร่างกาย ปัจจุบันนักวิชาการให้ความสำคัญกับเรื่องไฟเบอร์มากจริงๆ ก็พูดกันมานาน แต่ไม่เป็นข่าวมากเหมือนทุกวันนี้ และที่เป็นข่าวมากก็เพราะคนทั่วโลกกินผัก ผลไม้น้อยลงอย่างน่าตกใจโดยเฉพาะผัก เมื่อไม่กินผักไม่กินผลไม้ โรคภัยก็ตามมา เพราะฉะนั้นระยะหลังคนจึงเป็นโรคภัยไข้เจ็บกันเยอะมาก"

ควรเลือกดื่มน้ำผลไม้แบบไหน

การดื่มน้ำผลไม้ให้ภาพลักษณ์ที่ดูดี (ว่าเป็นคนที่รักสุขภาพ) ขณะเดียวกันการโฆษณาหรือกล่องสวยๆ ของเครื่องดื่ม ก็มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อไม่น้อย อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ให้คำแนะนำในการเลือกดื่มน้ำผลไม้ให้ได้ประโยชน์ว่า

"พูดถึงน้ำผลไม้ ผมขอรวมเอาน้ำสมุนไพรที่กำลังเห่อกันอย่างน้ำลูกยอ หรือน้ำผักปั่นเข้าไปด้วย สิ่งที่น่าห่วงคือการที่ผู้ขายใส่น้ำตาลจนหวานเจี๊ยบ จนแทบไม่มีกลิ่นหรือมีรสของสมุนไพรเลยจริงๆ แล้วตามความหมายของน้ำสมุนไพร คือ ต้องมีกลิ่นสมุนไพรนำหน้า ไม่ใช่กลิ่นหรือความหวานของน้ำตาลนำหน้า อาจหวานนิดหน่อยปะแล่มๆ น้ำผลไม้หรือน้ำสมุนไพรที่หวานจัด น้ำตาลที่สะสมมากๆ นี่แหละ ที่จะเปลี่ยนเป็นไขมันแล้วทำให้อ้วนได้ ข้อเสียของการดื่มน้ำผลไม้ที่หวานจัด คือ เด็กๆ ที่กินหวานมากจะไม่รู้สึกหิวข้าวซึ่งเป็นอาหารหลัก ผลคือ อาจทำให้ขาดสารอาหาร  ทำให้เด็กติดรสหวาน ทำให้ฟันผุ ถ้าจะดื่มน้ำผลไม้แทนการดื่มน้ำอัดลมเป็นครั้งคราว หรือวันละ ๑-๓ แก้ว เพื่อดับกระหาย เพื่อความสดชื่นก็สามารถดื่มได้ ถ้าจะให้ดีก็ควรเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่เติมน้ำตาล แต่ถ้าจะดื่มน้ำผลไม้แทนการกินผลไม้ ผมไม่สนับสนุน"

น้ำผลไม้ยูเอชทีเพิ่มวิตามิน

ดังเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า น้ำผลไม้ที่คั้นสดๆ แล้วดื่มทันที จะให้วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะวิตามินซี แต่ถ้าเป็นน้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ เช่น น้ำผลไม้บรรจุขวด หรือบรรจุกล่องประเภทยูเอชทีทั้งหลาย แน่นอนว่าวิตามินสำคัญ เช่น วิตามินซี หรือวิตามินเอ สลายไปหมดไม่มีเหลือแล้ว
รู้อย่างนี้ บรรดาผู้ผลิตน้ำผลไม้ประเภทต่างๆ จึงเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ โดยการเติมวิตามินต่างๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี ลงไปเพื่อเสริมส่วนขาด (และเพื่อเป็นการส่งเสริมการขายด้วย) วิตามินที่เติมลงไปในน้ำผลไม้จะ ให้ประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ให้ความรู้ว่า

"โดยหลักการ การเติมสารอาหารลงไป เขาจะเติมให้ได้ปริมาณ ๑ ใน ๓ ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน แต่ต้องยอมรับว่า วิตามินเอ วิตามินซี เมื่อเจอความร้อนจะถูกออกซิไดซ์ (ทำปฏิกิริยากับอากาศ) เพราะฉะนั้นผู้ผลิตส่วนใหญ่ ก็จะเติมวิตามินเหล่านี้ในปริมาณมาก เผื่อการสูญสลายเอาไว้ด้วย หรือบางยี่ห้ออาจใช้วิธีบรรจุเครื่องดื่มในกล่องทึบแสง ซึ่งก็ช่วยให้วิตามินเหล่านั้นคงอยู่ได้ระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าวิตามินที่เติมลงไปจะอยู่ได้ยืนยาวตลอดเวลาจนถึงวันหมดอายุ วิตามินที่เติมลงไปในน้ำผลไม้ อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับสารอาหารบ้างแต่ไม่มาก ไม่อยากให้ประชาชนผู้บริโภค ตื่นกระแสน้ำผลไม้ที่เติมวิตามิน แล้วอุปาทานเหมือนกับว่าดื่มน้ำผลไม้แล้วได้รับประโยชน์มากมาย โดยไม่กินผักและผลไม้ ซึ่งจะทดแทนกันไม่ได้

ผมอยากบอกว่า การกินผลไม้ทุกชนิดโดยตรง แล้วดื่มน้ำเปล่าๆ จะได้ประโยชน์กว่าการดื่มน้ำผลไม้ ยกตัวอย่าง เช่น กินส้ม ๑ ผล กินน้ำส้มคั้น ๑ แก้ว (ที่คั้นสดๆ) ที่หากทิ้งไว้ไม่นาน ก็อาจมีวิตามินซีอยู่บ้าง มีไฟเบอร์เล็กน้อย นอกนั้นก็เป็นน้ำ เป็นน้ำตาล ส่วนธาตุอาหารอย่างอื่นเรียกว่ามีอยู่น้อยมาก แต่ถ้าเรากินผลไม้สด กินส้ม ๑ ผล ขณะที่ปอกเปลือกแล้วกินทันที เราจะได้วิตามินซีแบบเต็มๆ และได้วิตามินอื่นๆ เช่น วิตามินเอ หรือบีตาแคโรทีน เรียกว่า มีประโยชน์มากกว่ากันแน่นอน"

เลือกซื้อ เลือกดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์

น้ำผลไม้ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์(กว่าน้ำอัดลมหรือชากาแฟ)นี้ หากเลือกไม่เป็น หรือซื้อแบบไม่เลือกเลย ก็อาจไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร และบาง กรณีก็อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพได้ คำแนะนำต่อไปนี้จากนักโภชนาการ อาจเป็นคำแนะนำสามัญธรรมดาที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่นำไปปฏิบัติจริง ก็ไม่มีประโยชน์ต่อการบริโภคอาหารในชีวิตประจำวันเลย

ครั้งต่อไปหากจะซื้อน้ำผลไม้มาดื่มก็ควรจะพิถีพิถันกันสักหน่อยถ้าเป็นน้ำผลไม้เข้มข้นก็ต้องทำให้เจือจางก่อนแล้วน้ำที่จะมาทำให้เจือจางนั้น ควรต้องเป็นน้ำต้มสุกที่สะอาด ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดอาการท้องเดินได้ น้ำผลไม้ที่ใส่น้ำแข็ง ก็ควรจะพิถีพิถันในการเลือกซื้อสักหน่อย เพราะบางทีน้ำผลไม้ทำมาสะอาด แล้วใส่น้ำแข็งที่สกปรก ก็ท้องเสียได้ง่ายเช่นกัน เพราะน้ำผลไม้เองก็ง่ายต่อการทำให้ เกิดการบูดเน่าอยู่แล้ว การเลือกซื้อน้ำผลไม้บรรจุกล่องนั้น ก่อนซื้อควรอ่านฉลากทุกครั้ง เพราะผู้บริโภคจะทราบว่า น้ำผลไม้ชนิดนั้นมีปริมาณน้ำตาลอยู่เท่าไหร่ มีสารกันบูดหรือไม่ (การบริโภคสารกันบูดบ่อยๆ ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน) วันหมดอายุของสินค้าเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องดูทุกครั้ง โดยเฉพาะน้ำผลไม้ หากหมดอายุแล้วดื่มเข้าไป จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เพราะร้านค้าบางแห่งหรือบางห้าง มักจะนำสินค้าที่ใกล้หมดอายุมาวางปะปนกัน ถ้าผู้ซื้อดูไม่ละเอียดรอบคอบก็อาจได้สินค้าที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์มาดื่มกิน จะให้ดีที่สุด ควรคั้นเองสดๆ แล้วดื่มทันที นั่นล่ะประโยชน์เต็มร้อย ข้อสำคัญต้องเพิ่มความขยันให้กับตัวเองอีกสักหน่อย แล้วคุณจะรู้สึกได้ถึงพลังความสดชื่นที่แท้จริง
 
 

ที่มา : facebook มูลนิธิหมอชาวบ้าน

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #331 เมื่อ: มิถุนายน 22, 2014, 08:57:04 am »
ฮ่องเต้เจ้าสำราญ ผู้ให้กำเนิดติ่มซำ
ตำนานแผ่นดิน : ฮ่องเต้เจ้าสำราญ ผู้ให้กำเนิดติ่มซำ : โดย ... อ.ไชยแสง กิระชัยวนิช


-http://www.komchadluek.net/detail/20140622/186851.html-

 
                           พระเจ้าเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง ส่งกองทัพขึ้นเหนือบุกยึดทิเบต ปราบปรามชนเผาต่างๆ ถึงมองโกเลีย กำราบชาวมุสลิมยึดเป็นมณฑลซินเกียงจนถึงทุกวันนี้ ฮ่องเต้เฉียนหลงไล่ตีเมืองใต้ ตั้งแต่เสฉวนถึงยูนนาน ข้ามแม่น้ำอิระวดีมาตีกรุงอังวะพม่า เลยไปถึงชายแดนอินเดีย ส่งทัพเรือไปยึดอ๊วกนั๊ม ครองเวียดนามทั้งแผ่นดิน
 
                           เฉียนหลงฮ่องเต้ ปลอมองค์เป็นพ่อค้าเสด็จหัวเมืองทางใต้ พักดื่มน้ำชาในร้านอาหารเมืองตงก่วน (ติดกับกวางเจา) เสี่ยวเอ้อวางถ้วยใส่ใบชาผู่เอ๋อ แล้วยกกาทองแดงใบใหญ่ รินน้ำร้อนใส่จนถึงปากถ้วยพอดี โดยที่น้ำร้อนไม่กระเซ็นหกรดนอกถ้วย เฉียนหลงฮ่องเต้ถามเสี่ยวเอ้อว่า “เจ้าทำได้อย่างไรไม่ให้น้ำหกออกนอกถ้วย”
 
                           เสี่ยวเอ้อเล่าว่า ชงชาแบบ ฟองตากุ้ง ยกแขนสูงรินน้ำร้อนใส่ถ้วยจะเกิดฟองน้ำเท่าตากุ้ง ป้องกันไม่ให้น้ำร้อนกระเด็นออกนอกถ้วย ช่วยขับรสชาติใบชาให้หอม เฉียนหลงฮ่องเต้จึงลุกขึ้นหยิบกา รินน้ำร้อนใส่ถ้วยชามหาดเล็กทันที มหาดเล็กตกใจรีบหงายมืองอนิ้วเคาะโต๊ะ แทนการคุกเขาขอบพระทัยเจ้าเหนือหัว จึงเกิดประเพณีเคาะโต๊ะขอบคุณ เมื่อมีผู้รินน้ำชาให้
 
                           ชาวตงก่วน หรือกวางตุ้ง ทำอาหารจานใหญ่กินกันไม่หมด เฉียนหลงฮ่องเต้จึงขอกุ๊กทำอาหารจานเล็ก จะได้เสวยอาหารอร่อยครบทุกจาน จึงมีการทำอาหารจานเล็กเสิร์ฟร้อนๆ มาในซึ้งไม้ไผ่ย่อส่วน กินกับชาร้อนช่วยไล่ไขมันทำให้ไม่เลี่ยน กลายเป็นอาหารเช้าของชาวจีนทั่วโลก มีอีกหลายวัฒนธรรม ที่เกิดขึ้นจากฮ่องเต้องค์นี้ จนได้รับยกย่องเป็นเทพของชาวจีน
 
                           ผมไปตงก่วนเมื่อสิบปีที่แล้ว เจ็ดโมงเช้าทั้งเมืองเงียบสงบ แต่พอโผล่หน้าเข้าไปในภัตตาคารติ่มซำ ต้องตกใจกับชาวกวางตุ้งเต็มห้องโถงใหญ่ เสียงสั่งอาหาร อาซิ้มเข็นรถติ่มซำให้ลูกค้าเลือกชิม อาหารติ่มซำทยอยออกมาไม่ขาด ติ่มซำอร่อยราคาถูก ตงก่วนจึงเป็นเมืองผลิตพ่อครัวติ่มซำ ส่งไปเป็นกุ๊กที่ฮ่องกงและไชน่าทาวน์ทั่วโลกครับ
 
 

แสงสีรุ้ง ติ่มซำสูตรโรงแรม
 

                           ผมเลิกกินติ่มซำตั้งแต่เข่งละ 10 บาทกำลังฮิต โรงแรมแถวราชเทวีติ่มซำอร่อยมาก พอเป็นบุฟเฟ่ต์ติ่มซำต้องแย่งกินกับโต๊ะอื่น ผมรีบพาแม่มะลิกลับบ้านเลิกกินข้าวโรงแรมนี้ อยากกินติ่มซำอร่อยๆ ยอมเสียเงินเพิ่ม ไปกินติ่มซำดีๆ ในโรงแรมเครือดุสิตธานี บินไปกินติ่มซำข้างวัดหวังต้าเซียนฮ่องกง อร่อยถูกกว่าร้านดังที่คนไทยโพสต์อวดกันสนั่น   
 
                           เชฟแป๊ะ เรียนวิธีทำติ่มซำจากเชฟฮ่องกง ที่โรงแรมดุสิตธานีเชิญมาทำติ่มซำ ให้ลูกค้าเศรษฐีชิมในห้องอาหารจีน MAY FLOWER เมื่ออาจารย์หมดสัญญากลับฮ่องกง เชฟแป๊ะลาออกมาทำอาหารจีน ตามภัตตาคารในย่านเยาวราช ล่าสุดมาเปิดสวนอาหาร ทำติ่มซำฮ่องกง อาหารจีน และอาหารไทย ให้คนทำงานบนตึกสูงได้ชิมกัน
 
 
 
 
                           สวนอาหารแสงสีรุ้ง มีติ่มซำอร่อยตำรับฮ่องกง ซาลาเปาหน้าแตก ไส้หมูสับ ไส้หมูแดง ไส้ครีม แป้งซาลาเปาบางเนียนนุ่ม ห่อไส้เยอะกว่าซาลาเปาทั่วไป ซาลาเปานมสด แป้งบางใสจนเห็นไส้ครีมข้างในเต็มลูก ฮะเก๋า ต้องนวดจนแป้งบางไสห่อกุ้งเนื้อหนาเต็มคำ ฝันโก๋ทรงเครื่อง ห่อกุ้งผสมหมูสับ ฝันโก๋กุยช่าย อร่อยเหมือนไปกินฝันโก๋ต้นตำรับที่ฮ่องกง
 
                           ห่ามสุยโก๋ ติ่มซำโบราณที่ทำได้เฉพาะกุ๊กฮ่องกงเท่านั้น แป้งเนียนกรอบอร่อย ลูกชิ้นกุ้งผักโสภณ เคล็ดลับอยู่ที่การใช้กุ้งแชบ๊วยล้วนๆ นวดจนเหนียวหนึบปั้นเป็นลูกชิ้น ทอดให้เนื้อกุ้งสุกหวานกรอบอร่อย บร็อคโคลีกุ้งนึ่ง ตีจนเนื้อกุ้งหนึบติดมือ ห่อบร็อกโคลีนึ่งร้อนๆ อร่อย ขาเป็ดตุ๋นซอสพริกเซี่ยงไฮ้ เคี่ยวให้เปื่อยนุ่มถึงเอ็น พริกเซี่ยงไฮ้ซึมถึงกระดูกเป็ดทุกชิ้น
 
 
 
 
                           เผือกทอดไส้หมูแดง อยู่ที่ฝีมือเชฟทอดให้เนื้อเผือกฟูกรอบเป็นเส้นให้ได้ ขนมผักกาด ต้องหอมกลิ่นหมูอบติดในแป้งผักกาด ฟองเต้าหู้ทอด ห่อเนื้อกุ้งผัดหน่อไม้ ขนมจีบกุ้ง ลูกโตๆ ห่อเนื้อกุ้งกรอบล้วน ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง ห่อกุ้งหมูสับหน่อไม้ ติ่มซำเนื้อกุ้งเต็มคำขายเข่งละ 40 บาทเท่านั้น
 
 
 
 
                           ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้ง ก๋วยเตี๋ยวหลอดหอยเชลล์ ก๋วยเตี๋ยวหลอดหมูแดง เชฟแป๊ะนึ่งแผ่นก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ราดน้ำซีอิ๊วปรุงรสให้หอมอร่อย ขายจานละ 100 บาท ถูกกว่าไปกินที่ฮ่องกง แสงสีรุ้งขายติ่มซำสูตรฮ่องกงทุกวัน เวลา 11.00-24.00 น. ที่ ถนนนราธิวาส ซอย 26 ข้างโลตัสพระราม 3 อยากกินติ่มซำอร่อยๆ เมื่อไหร่ ไปกินได้ทันที โทร.0-2294-5273-5             
 
 
 
-------------------------
 
(ตำนานแผ่นดิน : ฮ่องเต้เจ้าสำราญ ผู้ให้กำเนิดติ่มซำ : โดย ... อ.ไชยแสง กิระชัยวนิช)
 
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #332 เมื่อ: มิถุนายน 22, 2014, 06:59:47 pm »
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 มิถุนายน 2557 13:08 น.


-http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9570000056483-




       ท่ามกลางความมืดสนิทของคืนเดือนมืด “ทีมพรานล่าผึ้ง” ของ เฉลิม กาญจนพิทักษ์ ผู้นำชุมชนเก้ากอ เดินเท้าขึ้นไปบนภูเขาบ้านเก้ากอ ต.ทอนหงส์ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช เป้าหมายคือรังผึ้งหลวงขนาดใหญ่บนต้นยายพัด ต้นไม้เก่าแก่ 4 คนโอบ สูงร่วม 30 เมตร ยืนต้นตระหง่านมานานอย่างน้อย 2-3 ช่วงอายุคนแล้ว
       
       รังผึ้งหลวงบนต้นยายพัดต้นนี้ได้ถูกหมายตาไว้เป็นแรมเดือนแล้ว หลังจากผึ้งป่าหรือที่รู้จักกันในชื่อผึ้งหลวงได้ “จับรัง” สร้างสะสมน้ำผึ้ง เมื่อถึงคราวเดือน 5 น้ำผึ้งป่าจะหอมหวานดังคำเปรียบเปรย “หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า” นั่นเป็นเรื่องจริง อย่างน้อยการล่าครั้งนี้จะต้องได้น้ำผึ้งป่าหอมหวานมาครองให้ได้ 9-10 ขวด
       


“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
       
       “วิถีพรานล่าผึ้ง” ของชาวชุมชนแห่งนี้สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติบนเทือกเขาหลวง
       
       คบไฟสำหรับก่อให้เกิดควันไล่ผึ้งหลวงตัวใหญ่มีเหล็กในที่มีพิษถูกทำด้วย “เปลือกไม้สามแก้ว” เป็นไม้พิษชนิดหนึ่งที่พบมากบนเทือกเขาหลวง แต่ไม่มีพิษกับคน ถูกเตรียมไว้อย่างเพียบพร้อม พร้อมทั้ง “ทอย” ที่ถูกทำขึ้นจากไม้ไผ่ตงเหลาจนแหลมคม สำหรับตอกเข้าไปในเนื้อต้นไม้เพื่อเป็นทางสำหรับป่ายปีนไปให้ถึงรังผึ้งที่หมายตาสูงไปกว่า 20 เมตรจากพื้นดิน ทุกอย่างถูกดำเนินการจนเสร็จสิ้นตามขั้นตอน
       


“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
       
       พรานผึ้งลงมาจากต้นไม้รอท่าให้ “เดือนตก” จะได้เวลาที่มืดสนิทเป็นเวลาที่จะเข้าตีรังผึ้งให้ได้อย่างปลอดภัย โดยที่ไม่ถูกตอบโต้
       
       เมื่อได้เวลาหลังจากพรานผึ้งเอ่ยปากเอ่ยคำขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง และขอรังผึ้ง น้ำผึ้งไปเลี้ยงชีวิตตามความเชื่อแล้ว จึงปีนขึ้นไปบนทอยไม้อย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ช่วยคอยจุดคบไฟโยงขึ้นไปให้ พร้อมทั้ง “แสก” สำหรับใส่ “หัวน้ำผึ้ง” และรังผึ้งที่เต็มไปด้วยตัวอ่อนโยงกลับลงมาบนพื้นดิน เพื่อเข้าสู่กรรมวิธีบีบน้ำผึ้งเช่นเดียวกับทุกฤดูกาล
       
       “วิธีเก็บน้ำผึ้งป่ามีหลายแบบ แบบนี้เรียกว่าตอกทอยขึ้นไปบนต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ และผูกกับไม้ไผ่ขึ้นไปจนถึงรังผึ้ง หลังจากนั้นจะใช้คบไฟที่ทำจากเปลือกไม่สามแก้ว ที่เมื่อจุดแล้วจะมีควันเป็นหลัก ใช้สำหรับไล่ผึ้งออกจากรัง คบไม่มีเปลวไฟ มีเพียงสะเก็ดที่หลุดออกมาจากคบเป็นตัวล่อให้ผึ้งบินตาม” เฉลิม กาญจนพิทักษ์ อธิบาย
       


“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
       
       เช่นที่เฉลิมอธิบาย พลันที่พรานผึ้งเริ่มปฏิบัติการท่ามกลางความมืด เห็นได้แค่ละอองสะเก็ดไฟจากเปลือกไม้สามแก้วกระจายเป็นสายลงมาจากคาคบไม้สูง พร้อมกับเสียงผึ้งแตกรังมาเป็นระลอกๆ ทุกคนที่อยู่ด้านล่างต้องปิดไฟฉาย หรือแหล่งกำเนิดแสงไฟใดๆ ก็แล้วแต่ นั่นหมายถึงว่าหากมีแสงไฟผึ้งที่แตกรังจะพุ่งเข้ามาโจมตีทันที
       
       เพียงไม่ถึง 5 นาทีขั้นตอนทุกอย่างจบลง รังผึ้งถูกบรรจงโยงลงมาถึงพื้นดิน โดยมีผู้ช่วยรอรับ แล้วจึงนำไปจัดการเก็บใส่ขวดรักษาคุณภาพ
       


“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
       
       แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า การเก็บรังผึ้งแต่ละครั้งรังทั้งหมดจะถูกทำลายอย่างย่อยยับ การเก็บเอาประโยชน์จากผึ้งเหล่านี้ พรานผึ้งที่นี่ต่างรู้ดีว่าความคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นหากช่วยกันรักษา วิธีการเก็บจึงบรรจงใช้มีดปาดเอาแค่ “หัวน้ำผึ้ง” ที่อยู่บนรวงผึ้งเท่านั้น และเหลือไว้ส่วนหนึ่งพร้อมทั้งตัวอ่อน เพื่อให้พวกมันได้ซ่อมแซมรังและออกลูกออกหลานได้ต่อไป
       
       จึงไม่แปลกที่ต้นไม้ใหญ่แทบทุกต้นที่มีผึ้งป่ามาจับรัง เมื่อถึงฤดูกาลลูกหลานของผึ้งจะมาทำรังที่เดิมอย่างน่าเหลือเชื่อ ชาวชุมชนที่นี่จึงมีน้ำผึ้งป่าเก็บออกจำหน่ายได้ทุกปี
       


“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
       
       หลังจากได้รังผึ้งและรวงผึ้งมาแล้ว ขั้นตอนของการเก็บแยกเอาน้ำผึ้งจึงเริ่มขึ้น รวงผึ้งที่เต็มไปด้วยน้ำผึ้งถูกแยกออกไว้เฉพาะ แล้วจึงทำการบีบคั้น ก่อนกรองเฉพาะน้ำผึ้ง แยกสิ่งที่ไม่ต้องการออก แล้วจึงบรรจุขวด ส่วนรังตัวอ่อนและไขผึ้ง พร้อมทั้งนมผึ้ง คือสารอาหารสำคัญที่มีคุณค่าสูง และนับเป็นสมุนไพรชั้นดีเยี่ยมถูกเก็บไว้ต่างหาก
       
       ตัวอ่อนผึ้งมีกรรมวิธีการรับประทานตามแต่ถนัด บ้างรับประทานสดพร้อมกับน้ำผึ้ง หรือไปประกอบอาหารเพิ่มความเผ็ดร้อนตามพอใจ
       


“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
       
       เฉลิม กาญจนพิทักษ์ ยังบอกอีกว่า ปีนี้เป็นปีทองของวงการผึ้งใน ต.ทอนหงส์ทีเดียว จากความแห้งแล้งยาวนานกว่าทุกปี ชาวบ้านได้จัดทีมเก็บน้ำผึ้งป่าที่มีเป็นจำนวนมากกว่า 20 ทีม เท่าที่สำรวจในขณะนี้มีการเก็บน้ำผึ้งได้แล้วมากกว่า 7 พันขวด จำหน่ายขวดละ 500-1,000 บาท สร้างรายได้ให้อย่างเป็นประวัติการณ์ ขณะนี้มีเม็ดเงินเข้ามาในพื้นที่แล้วกว่า 3.5-4 ล้านบาท
       
       “ที่สำคัญหลังจากฤดูแล้งแล้วจะมีช่วงที่ชาวบ้านออกหาน้ำผึ้งป่าอีกช่วงคือ เดือน 7-8 ช่วงนี้ในวงการน้ำผึ้งจะรู้ว่าเป็นน้ำผึ้งที่หายาก และมีคุณค่าสูงสำหรับสรรพคุณทางยาคือ ‘น้ำผึ้งขม’ ซึ่งจะเป็นน้ำผึ้งที่มีรสชาติขม อันเกิดจากผึ้งเก็บเอาเกสรดอกไม้และน้ำหวานจากดอกไม้ที่มีรสขม เช่น บอระเพ็ด และพืชที่เป็นสมุนไพรหลายอย่าง น้ำผึ้งประเภทนี้จะมีราคาสูงถึงขวดละกว่า 1 พันบาท และเป็นที่ต้องการสูงมากของตลาด” หัวหน้าทีมล่าผึ้งเล่าให้ฟัง
       


“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
       
       เกรียงศักดิ์ รักษ์ศรีทอง นายอำเภอพรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช ออกสำรวจความเป็นผู้ของชุมชนที่เขาดูแล และติดตามทีมพรานผึ้งไปดูถึงวิถีชีวิตคนกับป่าที่ผสมกันได้อย่างกลมกลืน เขาบอกว่าอำเภอได้มีการเก็บข้อมูลการหาน้ำผึ้งป่าของชาวบ้าน พบว่า ในฤดูกาลนี้ชาวบ้านสามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวสูงมาก ที่สำคัญได้แสดงให้เห็นว่าพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์อย่างน่าพอใจ และต่างช่วยกันอนุรักษ์แบบพึ่งพาอาศัยกันจนมีความยั่งยืน
       
       ชาวบ้านต่างดูแลกันและกัน ระมัดระวังกันเองเรื่องคุณภาพของสินค้าที่หามาได้ ไม่มีการปลอมปน ทุกขวดที่บรรจุน้ำผึ้งป่าออกไปขายจะเป็นน้ำผึ้งแท้ทั้งหมด หากใครปลอมปนเจือปนออกมาเขาก็จะล้มละลายในอาชีพหาน้ำผึ้งไปเลย ขณะที่ทางราชการนั้นได้ช่วยส่งเสริมให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติมีความยั่งยืน ชุมชนมีความสุข” นายอำเภอพรหมคีรีกล่าวทิ้งท้าย
       
       สนใจลองติดต่อไปยัง อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช
       
       เรื่อง/ภาพโดย…กฤษณะ  ทิวัตถ์สิริกุล
       







คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #333 เมื่อ: มิถุนายน 27, 2014, 11:15:29 pm »
อยากรู้ไหม “ขนมครก” เกิดขึ้นมาได้อย่างไร


-http://club.sanook.com/39675/%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1-%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%81-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%82/-

เชื่อว่าพวกเราทุกคนคงรู้จักและชื่นชอบ “ขนมครก” กันทุกคน เนื่องด้วยรสชาติที่อร่อย และหาซื้อได้ง่ายราคาไม่แพง จึงทำให้ขนมครกนั้นเป็นที่ชื่นชม และนิยมของคนทุกเพศทุกวัย แต่อยากรู้กันไหมคะว่า แท้จริงแล้วนั้นกว่าจะเป็นขนมครกได้ มีเส้นทางเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

 



ขนมครก เป็นขนมโบราณของไทยชนิดหนึ่ง ซึ่งทำมาจากแป้ง น้ำตาล และกะทิ  เวลาจะทำก็จะเทส่วนผสมลงบนเตาหลุม ซึ่งอาจจะเป็นเตาถ่าน หรือเตาแก๊สในปัจจุบัน ซึ่งเชื่อว่าขนมครกนั้นเป็นขนมของไทยที่มาช้านานตั้งแต่สมัยโบราณ นอกจากนี้ขนมครกยังพบในประเทศต่างๆ เช่น พม่า ลาว และอินโดนีเซีย ซึ่งชาวอินโดนีเซีย จะเรียกว่า “เซอราบี” (serabi)

มีหลักฐานว่าขนมครกเป็นที่นิยมมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เพราะมีการทำเตาขนมครกขายตั้งแต่ยุคนั้น ซึ่งแต่เดิมขนมครกใช้ข้าวเจ้าแช่น้ำโม่รวมกับหางกะทิ ข้าวสวย และมะพร้าวทึนทึกขูดฝอย และผสมเกลือเล็กน้อยใช้สำหรับทำเป็นตัวขนม ส่วนหน้าของขนมครกจะเป็นหัวกะทิ  ขนมครกชาววังจะมีการดัดแปลงหน้าขนมครกให้แปลกไปอีก เช่น หน้ากุ้ง (แบบเดียวกับข้าวเหนียวหน้ากุ้ง) หน้าไข่ หน้าหมู (แบบเดียวกับไส้ปั้นสิบ) หน้าเผือก หน้าข้าวโพด หน้าต้นหอม

 

ข้อมูลอ้างอิง จาก Wikipedia
ภาพประกอบ จาก Thinkstockphotos
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #334 เมื่อ: มิถุนายน 28, 2014, 07:23:22 pm »
คลินิกเกษตร

-http://ch3.sanook.com/10229/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7-


ผักที่ไม่ควรบริโภคดิบๆ

ผักที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวัน มีบางชนิดที่ไม่ควรรับประทานดิบๆ ในปริมาณมาก  เพราะอาจจะส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงอย่างท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้ บางชนิดหากรับประทานดิบๆ ไป ก็มีผลต่อร่างกายมากกว่าที่เรารู้

1. ผักตระกูลกะหล่ำปลี ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำปลีดอก บร็อกโคลี เพราะผักชนิดนี้มีสารกอยโตรเจน ซึ่งไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ในการจับไอโอดีน

2. ถั่วฝักยาว ยิ่งเป็นถั่วฝักยาวดิบด้วยแล้วจะมีแก๊สค่อนข้างสูงโดยเฉพาะแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ท้องอืด

3.ถั่วงอก ที่หลายคนชอบใส่ในก๊วยเตี๋ยวหรือผัดไท ในถั่วงอกดิบมีสารพิษธรรมชาติชื่อ ไฟเตด ทำให้ขัดขวางการดูดซึมของสารบางชนิดได้

4. ผักโขม ไม่ควรกินดิบเพราะกรดในผักโขมจะขัดขวางการดูดซึมของธาตุเหล็ก

5. หน่อไม้ มันสำปะหลัง มีสารไซยาไนด์สูง มีผลต่อระบบประสาท ทำให้มึนงงได้ ผู้บริโภคควรนำไปต้มน้ำทิ้งก่อนนำมาปรุงอาหาร

คลิป ติดตามดูจากลิงค์ครับ

http://ch3.sanook.com/10229/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #335 เมื่อ: มิถุนายน 28, 2014, 07:26:25 pm »
ตำถาดอันตราย เสี่ยงสารโลหะ สารเคมีปนเปื้อน

-http://club.sanook.com/40487/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%82/-


นางสาวดวงกลม เชาวน์ศรีหมุด นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษโครงการเคมี กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เก็บตัวอย่างถาด และภาชนะโลหะเคลือบ ที่นิยมนำมาใส่ ส้มตำ ทำเป็นจุดขายได้รับความสนใจจากประชาชน นิยมบริโภคกันมากในเวลานี้ มาทดลองทั้งหมด 30 ตัวอย่าง ด้วยการหยดกรดอะซิติก หรือกรดน้ำส้มสายชู แล้วแช่ไว้ในอุณหภูมิ 22 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 1 ชั่วโมง พบว่า ตัวอย่างเกือบทั้งหมด มีปริมาณสารแคดเมี่ยมเกินมาตรฐานกว่า 3 เท่า หากบริโภคมากจะมีอันตรายเฉียบพลัน คือปวดท้อง คลื่นไส้ มึนศีรษะ ถ้าสะสมในร่างกาย จะเป็นโรคอิไตอิไต ปวดกระดูก และมีผลต่อตับไตด้วย ถาดโลหะ หรือสังกะสี จึงไม่เหมาะใส่อาหารที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้มตำ จึงสุ่มเสี่ยงกินอาหารที่มีสารเคมีปนเปื้อน แม้บางร้านจะเลี่ยงใช้ใบตองรอง แต่ส้มตำ มีน้ำปรุงรสเปรี้ยว เป็นกรดอยู่แล้ว ไม่ควรใช้กับถาด หรือจานชามพ่นสี


คลิปดูจากลิงค์ครับ

http://club.sanook.com/40487/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%82/

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #336 เมื่อ: มิถุนายน 29, 2014, 08:17:38 am »
ประโยชน์อันน่าอัศจรรย์ของแอปเปิ้ล



-http://club.sanook.com/34593/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C/-



เคยได้ยินประโยคที่ว่า apple every day doctor go away ไหมคะ นั่นหมายถึงว่า ทานแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ต้องไปหาหมอนั่นเอง แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมายเช่น วิตามินซี ธาตุเหล็ก แคลเซียม โปแทสเซียม รวมถึงไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารด้วยค่ะ วันนี้จะพามาดูถึงข้อดีของการทานแอปเปิ้ลว่าเราได่ประโยชน์อะไรจากมันบ้าง

 



 

1 . ป้องกันฟันผุ
การกัดผลแอปเปิ้ลจะช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลายในปาก ซึ่งเป็นผลดีต่อปากและฟัน รวมถึง และอาจช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในช่องปากได้

2 . ส่งผลดีต่อระบบการย่อยอาหาร
แอปเปิ้ลถือเป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง เส้นใยที่อยู่ในแอปเปิ้ลจะช่วยดูดซับน้ำในลำไส้ และส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น ทำให้หมดปัญหาจากอาการท้องเสีย หรือท้องผูก

3 . ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
มีงานวิจัยบางชิ้น กล่าวว่าความเข้มข้นของเส้นใยที่อยู่ในแอปเปิ้ลสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ หากทานเป็นประจำก็อาจมีโอกาสบรรเทาอาการจากโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

4 . ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์
บางงานวิจัยชี้ว่า การบริโภคแอปเปิ้ลเป็นประจำอาจช่วยขจัดปัญหาทางสมอง เช่น อัลไซเมอร์ ได้

5 . ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง
มีการค้นพบว่าสารไตรเทอร์ปินอยด์ในผิวแอปเปิ้ลอาจช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด โดยมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์กล่าวว่า สารนี้มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมได้

 

ข้อมูลจาก :: firstworldfacts.com
ภาพประกอบจาก :: Thinkstockphotos.com



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #337 เมื่อ: มิถุนายน 29, 2014, 09:01:33 am »
10 ผลไม้ให้วิตามินซีสูงปรี๊ด สกัดหวัด เสริมภูมิคุ้มกัน


-http://health.kapook.com/view91893.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง มีมากมายหลายชนิด ไม่ต้องเป็นผลไม้รสเปรี้ยวจี๊ดก็เติมเต็มวิตามินซีให้ร่างกายได้ ขอบอก !

          ฮัดชิ้ว ! เป็นหวัดอีกแล้ว สังเกตไหมคะพอเป็นหวัดทีไร จะมีคนบอกให้เราหาวิตามินซีมาทานมาก ๆ จะได้หายหวัดเร็ว ๆ แล้วยังช่วยป้องกันโรคหวัดที่อาจกลับมาเป็นซ้ำอีกได้ด้วย ซึ่งแหล่งวิตามินซีที่หาทานได้ง่ายที่สุดก็เห็นจะเป็นบรรดาผลไม้ทั้งหลายนี่แหละจ้า โดยร่างกายของคนเราต้องการวิตามินซีวันละประมาณ 60-90 มิลลิกรัม

          แต่เอ...เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองได้รับวิตามินซีเพียงพอหรือเปล่า แล้วควรจะทานผลไม้อะไรที่ให้วิตามินซีสูง ๆ แบบไม่ต้องพึ่งอาหารเสริม ผลไม้เปรี้ยวจี๊ดจะให้วิตามินซีสูงกว่าผลไม้ทั่วไปหรือเปล่า กระปุกดอทคอม ขอชวนชิมลิ้มรส 10 ผลไม้วิตามินซีสูง ตามนี้เลย




1. มะขามป้อม

          ที่เขาว่ากันว่ามะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในโลกไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยค่ะ เพราะข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย ยืนยันมาว่า ในมะขามป้อมผลสด 100 กรัม จะมีวิตามินซีแฝงอยู่ถึง 276 มิลลิกรัม หรือถ้านำผลมะขามป้อมไปคั้นน้ำดื่มก็ยังมีวิตามินซีสูงกว่าน้ำส้มคั้นถึง 20 เท่า ด้วยสรรพคุณอย่างนี้ มะขามป้อมเลยมีฤทธิ์แก้หวัดได้ชะงัด แถมยังช่วยละลายเสมหะ แก้ไอได้ดีด้วย




2. มะขามเทศ

          นอกจากมะขามป้อมแล้ว มะขามเทศก็มีวิตามินซีสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของผลไม้ไทยเลยค่ะ และที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ มะขามเทศยังวิตามินอีด้วย ซึ่งปกติแล้ววิตามินอีมักไม่ค่อยพบในผลไม้เท่าไร แต่เมื่อเจ้ามะขามเทศมีทั้งวิตามินซีและอีมาประสานกัน ก็จะผนึกกำลังกันช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระอีกต่างหาก หรือถ้าใครมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย รีบหามะขามเทศมาทานได้เลย เพราะมะขามเทศมีเส้นใยมาก ช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้นแน่นอน




3. ฝรั่ง

          ถึงจะเป็นผลไม้รสฝาด แต่ขอบอกว่า ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมากเหมือนกัน โดยในเนื้อฝรั่งสด 100 กรัม (ประมาณ 1 ผลกลาง) จะมีวิตามินซีมากถึง 160 มิลลิกรัม ซึ่งเกินพอต่อความต้องการของร่างกายใน 1 วัน อย่างไรก็ตาม อย่าปอกเปลือกเชียว เพราะวิตามินซีอยู่ที่เปลือกนี่ล่ะ และควรกินฝรั่งที่เจริญเต็มที่และยังเป็นสีเขียวอยู่ เพราะวิตามินซีที่ผิวและเนื้อของฝรั่งจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อผลสุกค่ะ
 



4. กีวี

          เนื้อสีเขียวสดใสแสนอร่อยของกีวีมีวิตามินซีอยู่ไม่น้อยเลยนะ โดยกีวี 100 กรัมจะให้วิตามินซีประมาณ 105 มิลลิกรัม หรือถ้าเป็นกีวี 2 ผล ก็จะให้วิตามินซีประมาณ 137 มิลลิกรัม แถมยังมีกากใยมาก อุดมไปด้วยโพแทสเซียม ทองแดง และโฟเลต แคลอรี่ก็ต่ำอีกต่างหาก เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักนะ




5. ลิ้นจี่

          ผลไม้ฉ่ำน้ำรสเปรี้ยวอมหวานชนิดนี้ให้วิตามินซีถึง 71 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัมเชียวนะ เลยมีสรรพคุณช่วยบำรุงหลอดเลือด ป้องกันโรคกระดูกและฟัน แก้ไอเรื้อรัง แก้คัดจมูกได้ แต่ก็เตือนไว้ก่อนว่าอย่าทานมากเกินไป เพราะในเนื้อลิ้นจี่มีสารประกอบชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการร้อนในได้เหมือนกัน





6. มะละกอสุก

          เนื้อมะละกอสุก 100 กรัม มีวิตามินซีราว ๆ 70 มิลลิกรัม จึงช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด โรคเลือดออกตามไรฟันได้ นอกจากนั้น มะละกอยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยปราบอาการท้องผูกได้ชะงัด อ้อ ! แนะนำว่าเวลาปอกเปลือกไม่ควรปอกหนาจนเกินไปนะคะ เพราะที่บริเวณเปลือกและใต้ผิวเปลือกมีสารไม่มีสีที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างยอดเยี่ยมสะสมอยู่ด้วย

 


7. สตรอว์เบอร์รี

          ผลไม้สีแดงรสเปรี้ยวอมหวานชนิดนี้ เพียงกินแค่ 100 กรัม คุณจะได้รับวิตามินซีถึง 66 มิลลิกรัมเลยเชียว และสีแดงสดของสตรอว์เบอร์รีอุดมไปด้วยซูเปอร์ไฟเบอร์เพคติน ช่วยลดคอเลสเตอรอล อีกทั้งยังช่วยดูแลสุขภาพเหงือกและฟัน ดับกลิ่นปาก ขัดฟันให้ขาวด้วย แจ่มมาก




8. เงาะ

          ไม่เคยคิดเลยนะเนี่ยว่า "เงาะ" ก็มีวิตามินซีเหมือนกัน แต่ขอบอกให้รู้ค่ะว่า เงาะ 100 กรัม จะให้วิตามินซีประมาณ 53 มิลลิกรัม ซึ่งสรรพคุณของเงาะก็เลิศไม่น้อย ช่วยรักษาอาการอักเสบในช่องปากได้ แก้อาการท้องร่วงชนิดรุนแรงได้ แต่มีข้อแม้ว่าอย่าทานเงาะมากเกินไปนะ เพราะเงาะมีสารแทนนินสูง กินมากไปอาจปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูกได้เหมือนกัน และไม่ควรรับประทานเม็ดด้วยค่ะ เพราะเม็ดของเงาะมีพิษ กินแล้วอาจคลื่นไส้อาเจียนได้




9. ส้มโอ

          ส้มโออร่อย ๆ ที่กินเป็นผลไม้ก็ได้ นำไปทำกับข้าวอย่าง ยำ สลัด ส้มตำก็อร่อย ให้วิตามินซีประมาณ 44 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม กินแล้วช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน แก้หวัด แก้ไอ ขับเสมหะ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ลดอาการจุกเสียด แน่นท้อง พูดไปก็ชักเปรี้ยวปากอยากทานส้มโอซะแล้ว





10. พุทรา

          ปิดท้ายที่ผลไม้ไทย ๆ อย่าง พุทรา รสชาติฝาด ๆ เปรี้ยว ๆ นี่แหละให้วิตามินซีพอ ๆ กับส้มโอเลย สรรพคุณสุดเด็ดของพุทรานอกจากจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ต่อต้านสารอนุมูลอิสระแล้ว ในพุทรายังมีเส้นใยอาหารมาก ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น แถมกินแล้วอิ่มเร็วด้วย และมีการวิจัยพบว่า พุทรามีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาท ป้องกันอาการผนังเส้นเลือดแข็งตัว และช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับด้วยนะ

          และก็ไม่ใช่แค่ผลไม้เท่าที่เห็นนะคะ ยังมีผักผลไม้อีกหลายชนิดที่มีวิตามินซีสูงอย่างคาดไม่ถึง อย่าง มะรุม มีวิตามินซีสูงถึง 272 มิลลิกรัม พริกหวาน พริกแดง บรอกโคลี ก็ให้วิตามินซีหลักร้อยมิลลิกรัมเช่นกัน

          รู้แล้วก็ทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซีกันให้มาก ๆ โดยเฉพาะสาว ๆ เพราะวิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ลดริ้วรอย คุณประโยชน์ดี ๆ แบบนี้หาได้จากธรรมชาติ ไม่เห็นต้องพึ่งอาหารเสริมเลยเนอะ


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #338 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2014, 03:31:32 pm »
เผยที่มา′สะระแหน่′ผักต่างแดนโอนสัญชาติเปลี่ยนชื่อเป็นไทย ใครเคยรู้บ้าง

-http://campus.sanook.com/1371941/%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89/-






ในบรรดาผักชนิดต่างๆ ที่ชาวไทยรู้จักและคุ้นเคยอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น มีอยู่หลายชนิดที่คนไทยส่วนใหญ่คิดว่าเป็นผักพื้นบ้านดั้งเดิมและมีกำเนิดอยู่ในประเทศไทยแต่ความจริงเป็นผักที่นำเข้ามาจากต่างประเทศนานมาแล้วบ้างหรือเพิ่งนำเข้ามาไม่นานนักบ้างแต่การนำเข้ามานั้นกระทำอย่างไม่เป็นทางการหรือไม่มีบันทึกเป็นหลักฐานเอาไว้อย่างชัดเจน จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้น ผักบางชนิดได้รับการตั้งชื่อที่บ่งบอกว่ามาจากต่างประเทศ เช่น มะเขือเทศและผักโขมจีน เป็นต้น แต่ยังมีผักจากต่างประเทศอีกหลายชนิดไม่มีชื่อบ่งบอกว่ามาจากต่างแดน เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดขาว กระเทียม เป็นต้น รวมทั้งผักที่นิยมปลูกเป็นสวนครัวด้วย เช่น ผักที่คนไทยเรียกว่า สะระแหน่

สะระแหน่ : ชื่อไทยของผักจากต่างแดน

จากคำบอกเล่าของศาตราจารย์อินทรี จันทรสถิต ผ่าน ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา บอกว่า สะระแหน่ถูกนำเข้ามาในเมืองไทยช่วงรัชสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่๓) โดยชาวอิตาเลียนชื่อนายสะระนี สันนิษฐานว่าชื่อสะระแหน่มาจากชื่อนายสะระนีนั่นเอง

ประวัติสะระแหน่ตามคำบอกเล่าของศาตราจารย์อินทรีจันทรสถิตดังกล่าวนี้ น่าจะใกล้เคียงความจริงมากพอสมควรเพราะเมื่อตรวจดูหนังสืออักขราภิธานศรับท์ พ.ศ.๒๔๑๖ ของหมอปลัดเล ซึ่งเป็นช่วงรัชกาลที่ ๔ ปรากฏว่าไม่พบชื่อสะระแหน่เลยแสดงว่าขณะนั้น (๒๔๑๖) สะระแหน่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ซึ่งอาจเป็นเพราะสะระแหน่ยังไม่เข้ามาในเมืองไทยหรือเพิ่งเข้ามาไม่นานก็เป็นได้

สะระแหน่เป็นพืชในวงศ์Labiataeเช่นเดียวกับ กะเพรา โหระพา และแมงลักแต่อยู่ในสกุล (Genus) มินต์ (Mint) ซึ่งมีอยู่หลายชนิดและเป็นพืชที่แพร่หลายในเขตอบอุ่นเพราะเป็นพืชที่มีน้ำมันหอมระเหย อันประกอบด้วยสารเมนธอล (Menthol) อยู่สูง

สะระแหน่ มีชื่อวิทยาศาสตร์ยังไม่เป็นที่ตกลงกันแน่ชัด เดิมใช้ว่า Mentha aruensis Linn แต่ผู้รู้บางท่านแย้งว่า M.aruensis เป็นชื่อของมินต์ญี่ปุ่นที่แตกต่างจากสะระแหน่มาก ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานใช้ชื่อ Mentha cordifolia Opis บ้างก็ใช้ Mentha virdis, Mentha spicata var crispa, Mentha crispa และ Mentha candifolia varcrispa เป็นต้น ในบรรดาชื่อเหล่านี้ผู้เขียนไม่สามารถตัดสินได้ว่าชื่อใดเป็นชื่อที่แท้จริงของสะระแหน่ ดังนั้นหากผู้อ่านท่านใดทราบก็ขอได้แจ้งมาให้ผู้เขียนรู้บ้างเพื่อเป็นวิทยาทานและเผยแพร่สู่ผู้อ่านท่านอื่นต่อไป

สะระแหน่เป็นพืชล้มลุกลำต้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมเลื้อยไปบนดินหรือใต้ดินขยายกิ่งก้านสาขาออกไปโดยใช้ไหลหรือลำต้นใต้ดิน ใบรูปกลม ขอบใบหยัก ไม่มีขน ดอกเกิดบนช่อดอก กลีบดอกสีขาว ปกติสะระแหน่ในประเทศไทยไม่ค่อยออกดอก แต่เราสามารถกระตุ้นให้ออกดอกได้โดยเปิดไฟให้สะระแหน่ได้รับแสงวันละไม่ต่ำกว่า ๑๖ ชั่วโมง ติดต่อกันประมาณ ๓๐ วัน

ชื่อภาษาอังกฤษของสะระแหน่ คือ Kitchen Mint ภาษาไทยภาคกลาง คือ สะระแหน่ หรือสะระแหน่สวน ภาคเหนือและอีสานเรียก หอมค่อน ส่วนภาคใต้เรียก สะแน่

สะระแหน่เป็นพืชขนาดเล็กที่มีรูปทรงและสีสันงดงาม แปลกตาและมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว จึงใช้เป็นไม้ประดับได้ดี ไม่ว่าจะปลูกในกระถางหรือปลูกเป็นแปลงประดับสวนหย่อม นอกจากนี้ยังปลูกเป็นไม้แขวนได้ดี เพราะมีกิ่งที่ทั้งดั้งขึ้นและห้อยลง ปรับตัวเข้ากับสภาพแสงได้ ทั้งกลางแจ้งและร่มรำไร มีเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับสะระแหน่ที่ยังไม่ทราบความเป็นมาคือ คนไทยมักมีคำพูดล้อเลียนเจ้าของรถยนต์เก่าที่มีสภาพทรุดโทรมหรือผุพังว่า น่าจะนำรถยนต์คันนั้นไปใช้ปลูกสะระแหน่ ผู้เขียนยังนึกไม่ออกว่า ทำไมจะต้องนำไปปลูกสะระแหน่โดยเฉพาะ หรือว่ามีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถเก่าสำหรับปลูกสะระแหน่ ฯลฯ ผู้เขียนได้ยินคำกล่าวนี้มานานแล้ว และปัจจุบันก็ยังได้ยินอยู่เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะเจ้าของรถยนต์เก่าๆ) ก็คงได้ยินเช่นเดียวกัน หากผู้อ่านท่านใดทราบความเป็นมาของเรื่องนี้แล้วช่วยบอกมาเป็นวิทยาทานอีกเรื่องหนึ่ง ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

มีความเชื่อที่ไม่ค่อยถูกต้องเกี่ยวกับสะระแหน่บางประการในหมู่ชาวไทยเช่นเชื่อว่าสะระแหน่เป็นพืชปลูกยากบ้าง สะระแหน่ไม่ชอบผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือนบ้าง ความจริงสะระแหน่พันธุ์ที่ปลูกกันอยู่นี้เข้ามาอยู่เมืองไทยกว่าร้อยปีแล้ว จึงปรับตัวเข้ากับสภาพดินฟ้าอากาศเมืองไทยได้ดีพอสมควร หากผู้ปลูกเข้าใจธรรมชาติหรือนิสัยของสะระแหน่แล้วจะปลูกสะระแหน่ให้งามได้ไม่ยากเลย สำหรับผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือนนั้นก็มิได้เป็นอันตรายต่อสะระแหน่แต่อย่างใด ในขณะเดียวกับผู้ชาย (ที่มี่ประจำเดือน)ก็ไม่ใช่ผู้ที่จะปลูกสะระแหน่ได้ดีกว่าผู้หญิงเลย แม้สะระแหน่จะได้ชื่อมาจากผู้ชาย (ฝรั่ง) ก็ตาม

สะระแหน่ในฐานะผักไทย

คนไทยรู้จักสะระแหน่ในฐานะเครื่องปรุงกลิ่นอาหารมากกว่าในฐานะผักโดยตรงเพราะสะระแหน่มีกลิ่นรสฉุนเผ็ดกว่าผักทั่วไปจึงใช้กินเป็นผักโดยตรงไม่มากเท่าการใช้ปรุงอาหารเพื่อดับกลิ่นหรือเพิ่มรสชาติของอาหารรสจัดที่เรียกกันว่าอาหารรสแซ่บอาหารที่ใช้สะระแหน่กินเป็นผักโดยตรงที่นิยมกันดีก็มีเพียงใช้เป็นผักแกล้มลาบและกินกับขนมจีนน้ำยา ปลาร้าเท่านั้น ส่วนการใช้ปรุงกลิ่นรสอาหารหรือดับกลิ่นคาวนั้นใช้กันมาก เช่น ดับกลิ่นคาวเนื้อหรือปลา กับข้าวจำพวกยำต่างๆ เช่น ยำกบย่าง ยำสามสหาย ยำหอยแครง ยำหอยแมลงภู่ ยำปลากระป๋อง ยำหนังหมู ยำไก่ย่าง ยำไข่ต้ม ยำผ้าขี้ริ้ว ยำเนื้อมะเขือเปราะ ยำแหนม ฯลฯ ลาบต่างๆ เช่น ลาบหมู ลาบเลือดเป็ด ลาบปลาดุก ลาบเลือด (ซกเล็ก) เป็นต้น จำพวกซุป เช่น ซุปมะเขือ ซุปขนุนอ่อน ซุปหน่อไม้ นอกจากนี้ยังมี พล่ากุ้ง เมี่ยงสด น้ำพริกมะเขือยาว และ ไก่ต้มยำ ฯลฯ

สมุนไพร

แม้สะระแหน่จะเพิ่งเข้ามาในเมืองไทยได้ไม่ถึง ๒๐๐ ปี แต่แพทย์แผนไทย (บางท่านเรียกแพทย์แผนโบราณ) ที่นำเอาสะระแหน่มาปรุงเป็นยารักษาโรคได้หลายขนาน โดยระบุสรรพคุณว่า กลิ่นฉุนหอมร้อน สรรพคุณ แก้ปวดท้อง แก้จุกเสียด ขับผายลม แก้แน่น แก้ไอ ขับเสมหะ ขยี้ทาขมับ แก้ปวดศีรษะ ดมแก้ลม ทาแก้ฟกบวม ฯลฯ

นอกจากนี้ยังใช้เป็นกระสายแทรกแก้โรคเด็ก เช่น ทรางชัก และช่วยให้ผายลมได้ดี ลดอาการท้องขึ้น ท้องเฟ้อ นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า สะระแหน่มีตัวยาบีบมดลูก อาจช่วยให้พัฒนายาทำแท้งจากพืชสำหรับมนุษย์ได้ในอนาคต

ประโยชน์ด้านอื่นๆ

สะระแหน่มีน้ำมันหอมระเหยอยู่มาก สามารถสกัดออกมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมยา เป็นต้น เนื่องจากสะระแหน่เป็นพืชในสกุลมินต์ จึงมีกลิ่นคล้ายเมนทอล อันเป็นส่วนประกอบสำคัญของลูกอมประเภทรสเย็นทั้งหลาย แม้สะระแหน่ไทยจะมีส่วนประกอบของเมนทอลอยู่ในน้ำมันหอมระเหยน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับมินต์ชนิดอื่นๆ แต่สะระแหน่ก็มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ดีเด่นไม่แพ้มินต์ชนิดใด อนาคตคงมีการพัฒนานำเอากลิ่นสะระแหน่ไปใช้ประโยชน์แก่มนุษย์ได้กว้างขวางยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตามความก้าวหน้าของวิทยาการ และความนิยมผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น

ที่มา : facebook มูลนิธิหมอชาวบ้าน


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #339 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2014, 04:10:42 pm »
เตือนอย่ากินเห็ดดอกตูม แยกยากมี-ไม่มีพิษ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 กรกฎาคม 2557 13:54 น.


-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000073950-




  เตือนอย่ากินเห็ดช่วงดอกตูม สธ.ชี้แยกยากว่าเป็นเห็ดมีพิษหรือไม่มีพิษ เหตุลักษณะคล้ายกัน สอดคล้องสถิติผู้ป่วยจากการกินเห็ดพิษ เพราะกินช่วงยังเป็นดอกตูม

เตือนอย่ากินเห็ดดอกตูม แยกยากมี-ไม่มีพิษ
        นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ในช่วงฤดูฝนยังคงมีปัญหาประชาชนเก็บเห็ดพิษมากิน จนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ซึ่งพบได้ทุกปี โดยข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 23 มิ.ย. พบผู้ป่วยจากการกินเห็ดพิษ 214 ราย จาก 40 จังหวัด เสียชีวิต 3 ราย ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร รองลงมาคือรับจ้าง และนักเรียน จึงได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศ เร่งให้ให้ความรู้ประชาชน
       
        นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า เห็ดที่มีพิษรุนแรงที่สุดและเป็นเหตุให้เสียชีวิตบ่อยที่สุดคือเห็ดระโงกหิน และเห็ดไข่ตายซาก จะมีสารพิษ 2 ชนิดคือ อะมาท็อกซินส์ (Amatoxins)และฟาโลท็อกซินส์ (Phallotoxins) ทำลายระบบทางเดินอาหาร ตับ ไต สมอง ระบบเลือด ระบบหายใจ ทำให้เสียชีวิตได้ใน 4-10 ชั่วโมง สารพิษในเห็ดทนความร้อนได้ดี ดังนั้น แม้เห็ดจะสุกแล้ว แต่ความเป็นพิษก็ยังสูง จะมีอาการหลังรับประทานประมาณ 3 ชั่วโมง เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย หัวใจเต้นเร็ว ปวดเกร็งในท้อง ที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ อย่ากินเห็ดพร้อมกับดื่มสุรา เนื่องจากเห็ดบางชนิดจะเกิดพิษทันที และ ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะเป็นตัวนำทางให้พิษแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและรุนแรงขึ้น และอย่ากินเห็ดป่าที่ดอกยังตูมๆ หรือเรียกว่าเห็ดอ่อน เนื่องจากจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นเห็ดพิษหรือไม่มีพิษ เพราะลักษณะดอกภายนอกจะเหมือนกัน ซึ่งจากการสอบสวนผู้ป่วยที่เมาเห็ดพิษ พบว่าส่วนใหญ่จะนิยมกินเห็ดดอกตูม เพราะรสชาติดีกว่าเห็ดบาน
       
        นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า เห็ดป่า เป็นอาหารที่มีคุณค่าเช่นโปรตีน หากจะให้ได้ทั้งคุณค่าอาหารและความปลอดภัย ขอแนะนำประชาชนยึดหลัก ดังนี้ 1.ควรกินเฉพาะเห็ดที่แน่ใจและเพาะได้ทั่วไป อย่ากินเห็ดที่สงสัย ไม่รู้จัก และไม่แน่ใจ เช่น เห็ดที่ขึ้นที่มูลสัตว์หรือใกล้มูลสัตว์ 2.ไม่ควรซื้อหาเห็ดป่าที่ไม่รู้จักมาปรุงอาหารกิน 3.ขอให้จดจำลักษณะเห็ดพิษที่สังเกตง่าย ได้แก่ มีสีเข้มจัด เช่น แดง ส้ม ดำ หรือมีสีฉูดฉาด มีแผ่นหรือเกล็ดขรุขระบนหมวกเห็ด มีขนหรือหนามเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไป และมีกลิ่นเหม็นเอียน และ 4.การเก็บเห็ดที่มีรอยแมลงกัดกิน ไม่ได้แสดงว่าเห็ดนั้นปลอดภัย
       
        "เห็ดระโงกพิษรูปร่างจะคล้ายเห็ดระโงกที่กินได้ แต่มีข้อแตกต่างคือ เห็ดระโงกพิษ จะมีก้านสูง กลางดอกหมวกจะนูนเล็กน้อย มีกลิ่นเอียนและค่อนข้างแรง ช่วงที่เสี่ยงอันตรายที่สุดคือช่วงที่เห็ดยังดอกตูมหรือกำลังเป็นไข่ ซึ่งชาวบ้านนิยมบริโภค ในพื้นที่ที่เคยมีรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตจากเห็ดพิษ ขอให้ประชาชนตระหนักว่ามีเห็ดพิษชนิดรุนแรงอยู่ในพื้นที่ เพราะในช่วงฤดูฝนเห็ดสามารถเจริญเติบโตซ้ำได้ทุกๆ ปี" อธิบดี คร. กล่าว
       
        นพ.โสภณ กล่าวด้วยว่า สำหรับภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ใช้ในการทดสอบเห็ดพิษหลายวิธีเช่น การต้มกับข้าวสาร หรือต้มกับช้อนเงิน แล้วเปลี่ยนสี ไม่สามารถนํามาใช้กับเห็ดพิษได้ โดยเฉพาะกลุ่มเห็ดระโงกพิษ ทั้งนี้ในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่รับประทานเห็ดพิษ หลักการสำคัญที่สุด จะต้องทำให้ผู้ป่วยอาเจียน เอาเศษอาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหารออกมาให้มากที่สุด เพื่อลดการแพร่กระจายพิษ ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือแกง 3 ช้อนชา แล้วล้วงคอเพื่อให้อาเจียนโดยเร็วที่สุด แต่วิธีนี้ห้ามใช้กับเด็กต่ำกว่า 5ขวบ จากนั้นให้รีบนำส่งโรงพยาบาล พร้อมกับนำตัวอย่างเห็ดพิษ หากยังเหลืออยู่ ไปให้แพทย์ดูด้วย





คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)