ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129532 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #290 เมื่อ: เมษายน 04, 2014, 10:13:50 pm »
ได้ผลจริง!ลบรอย “ตีนกา” ด้วยใบบัวบก

-http://club.sanook.com/28424/%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2-%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2-%E0%B8%94%E0%B9%89-







เชื่อไหมว่า “น้ำใบบัวบก”  ที่ใครๆก็ชอบเอามาล้อคนอกหักว่ากินแก้ช้ำในช้ำใจนั้นมีประโยชน์เรื่องความสวยความงามแบบที่คุณผู้หญิงต้องอึ้งกันไปเลย   เพราะมันสามารถลบรอยตีนกาได้….จริงดิ….

วิธี คือ นำใบบัวบกที่ได้มาล้างให้สะอาด แล้วนำมาปั่น หรือจะบด จะโขลก ด้วยกรรมวิธีอะไรก็ได้ที่ถนัด เพราะสิ่งที่ต้องการ คือ น้ำใบบัวบก   พอได้น้ำใบบัวบกสด ๆ แล้ว ใช้สำลีชุบน้ำใบบัวบกมาทาให้ทั่วใบหน้า ทาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก ทาทุกวันก่อนนอน หรือจะหลับไปเลยก็ได้

น้ำใบบัวบกจะไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ซึ่งจะช่วยลบรอยตีนกาได้ แต่ที่สำคัญต้องทำสม่ำเสมอ ถึงจะเห็นผล รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่อยากลบรอยตีนกา ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้ แบบไม่ต้องพึ่งพาโบท็อกซ์นะจ๊ะ










.




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #291 เมื่อ: เมษายน 05, 2014, 08:46:15 am »
กินอย่างไรดีในหน้าร้อน

-http://club.sanook.com/28264/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99-

อากาศที่ร้อนอบอ้าวนอกจากจะทำให้ไม่สบายตัวแล้ว อาจจะทำให้จิตใจร้อนรุ่มพาลทำให้เกิดความหงุดหงิดได้ง่ายอีกด้วย เมื่อร่างกายและจิตใจไม่สบายแล้ว ก็จะส่งผลกระทบต่อหลายๆอย่างโดยไม่รู้ตัว

“การกินอาหาร” ก็เป็นหนึ่งในวิธีคลายร้อนที่ง่าย ได้อิ่มทั้งกายอิ่มทั้งใจเลยทีเดียว แต่เมนูที่จะกินนั้น ก็ต้องสรรหาสรรพคุณคลายร้อน ย่อยง่าย มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากๆ และให้พลังงานต่ำ นะคะ

อาหารจำพวกโปรตีนที่สำคัญ ได้แก่ เนื้อไก่ ไข่ขาว เต้าหู้ และถั่วเขียว วิตามินเกลือแร่ จากผักและผลไม้ที่สามาถช่วยเพิ่มความเย็นให้แก่ร่างกาย ได้แก่ มะเขือเทศ แตงกวา ข้าวโพด ผักโขม แตงโม ฟักเขียว ผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่างๆ ที่สำคัญที่สุดคือการดื่มน้ำเปล่าให้มาก ประมาณ 4-8 แก้ว หรือ 1-2 ลิตร ต่อวัน เพื่อเป็นการชดเชยส่วนที่ร่างกายเผาผลาญไป

ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานสูงและย่อยยากอย่างเช่น เนื้อวัว นม ไขมัน ไข่ ทุเรียน กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล

หากต้องการหาเครื่องดื่ม หรือขนมเย็นๆมาคลายร้อน แนะนำให้ลองพวกสมูทตี้ผลไม้สด หรือไอศครีมเชอร์เบท แทนที่จะเป็นสมูทตี้กาแฟ,นม หรือไอศครีมที่มีส่วนผสมของนมดูค่ะ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #292 เมื่อ: เมษายน 08, 2014, 09:54:49 pm »

"รางจืด" ราชาแห่งการถอนพิษ

-http://campus.sanook.com/1371087/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%94-%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9/-





รางจืดเป็นสมุนไพรที่ เป็นพืขในเขตร้อนและเขตอุ่นของทวีปเอเชีย จึงสามารถขึ้นอยู่ในป่าดิบชื้นของประเทศไทยทุกภาค ลักษณะ เป็นรูปยาวรีดคล้ายใบหญานาง แต่ใยโตกว่า มีสีเขียวอ่อน ปลายเรียวแหลมโคนเว้าหรือหยักรูปหัวใจ ขอบใบอาจเป็นหยักหรือไม่มีหยักก็ได้ และดอกมีขนาดเท่าดอกผักบุ้ง มีสีม่วงแกมน้ำเงิน สีเหลือง สีขาว ซึ้งนิยมดอกมากกว่า ผลเป็นรูปทรงแหลม


คุณประโยชน์ :ใบ ราก เถา : รสจืดเย็น ตำคั้นหรือเอารากฝนกับน้ำหรือต้มเอาน้ำยา ดื่มถอนพิษ แก้ไข้ ถอนพิษยาเบื่อเมา แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ประจำเดือนไม่ปกติ แก้ปวดหู ตำพอก แก้ปวดบวม ใบสดช่วยเร่งการสร้างเมา ราก รสจืดเย็น แก้อักเสบ แก้ปวดบวมทั้งต้น รสจืดเย็น ปรุงยาแก้มะเร็งใช้หัวว่านฝนกับน้ำเปล่า หรือน้ำเหล้าเป็นกระสาย ทาหรือพอกไว้บริเวณที่โดนพิษ ไม่นานจะหาย หรือปรุงเป็นยาแก้โรคพิษสุนัขบ้า อมหัวว่านนี้ไว้ในปากกินเหล้าจะไม่เมา

การนำมาประกอบอาหาร : การปรุงอาหารจากรางจืด นำยอดรางจืดไปยำ ต้มจืด สลัดผักและชารางจืด ส่วนวิธีการใช้ประโยชน์รางจืดที่ดีที่สุดคือ เครื่องดื่มน้ำรางจืด โดยเฉพาะเกษตรกรเป็นกลุ่มอาชีพที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืช และได้รับการสะสมสารเคมีตกค้าง โดยเฉพาะยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต ซึ่งมีพิษเฉียบพลันและเรื้อรัง โดยมีผลต่อระบบประสาท ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย มึนงง ชักหมดสติ โดยชงรางจืดดื่มวันละ 6 กรัม ประมาณ 4-5 แก้วต่อวัน เพื่อขับสารพิษออกจากร่างกาย

การเก็บรักษา เก็บส่วนใบเรียวใบในภาชนะก่อนเพื่อกันใบช้ำ หลังจากนั้นเก็บเถา เส้นผ่า ศูนย์กลาง 0.5 เซนติเมตร ถ้าเถาร้อนเกินไปจะมีสีคล้ำเมื่อแห้ง นำใบและเถามาหั่นยาวประมาณ 2 นิ้ว ส่วนเถายาวประมาณ 1 ซม. นำไปตากแดด 4-5 วัน โดยแยกเถาและใบตาก เมื่อแห้งเก็บใส่ถุงรัดปากถุง ให้แน่น (อัตราการแห้งของใบรางจืดเท่ากับ 1 ต่อ 10)

เกร็ดความรู้เพิ่มเติม

รางจืดต้น แก้พิษ แก้เมา แต่ตัวยาจะด้อยกว่ารางจืดเถา ใช้รากตำละเอียดผสมกับเหล้าขาวใช้ถอนพิษยาเบื่อให้กับสุนัขได้หรือการใช้กับคนที่ได้รับเชื้อไวรัสเฮอร์พีช (Herpes Virus) จำพวก เริม งูสวัด ไฟลามทุ่งหรือขยุ้มตีนหมา ตามชื่อเรียกของชาวบ้าน พบว่าใช้ใบรางจืดตำละเอียด ผสมเหล้าขาว นำไปทาบริเวณที่ได้รับเชื้อสามารถถอนพิษและอาการ ของโรคได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้การใช้รางจืดต้นเป็นส่วนประกอบ ในการผสมตัวยาก็ยังเห็นผล อาทิเช่น ใช้ใบรางจืด ใบชุมเห็ดเทศ กระเทียม ตำละเอียดผสมเหล้าขาว ทาแก้โรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน ผื่นคัน อาการเหล่านี้จะหายได้ ในเวลาอันรวดเร็วเช่นเดียวกัน

ปัจจุบันมีผู้นำชารางจืดออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ใบชา หรือถุงชาในแพ็คเกจสวยหรูดูดี และยังทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรสำเร็จรูป ซึ่งเป็นของกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์ชุมชน หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ราคาย่อมเยา สามารถชงดื่มได้ทันที หาซื้อได้ทั่วไป ลองไปอุดหนุนกันหน่อยเพราะเป็นผลิตภัณฑ์ของพี่น้องไทยกันเอง

---------------------------------------------------


น้ำมะนาว ดีต่อสาวๆยังไง


-http://guru.sanook.com/9559/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%86%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%87/-



มะนาว เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเราในการกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ทำได้โดยการดื่มน้ำมะนาวผสมในน้ำอุ่นทุกๆ เช้า เพราะมะนาวเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ไม่เพียงแต่จะดีสำหรับการลดไข้ได้ แต่มันยังมีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซน่าว่า ใครที่กินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีในปริมาณที่มาก จะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และจะช่วยให้น้ำหนักลดได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมะนาวยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมให้กักเก็บเอาไว้ในเซลล์ไขมัน โดยผลวิจัยยังแสดงอีกว่า แคลเซียมที่มีอยู่ในเซลล์ไขมันปริมาณมากๆ จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้นด้วย และยังช่วยปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย โดยการบีบน้ำมะนาวลงไปในมื้ออาหารทุกมื้อ หรือผสมเปลือกมะนาวลงไปในซุปหรือสลัด และบีบมะนาวเพียงเล็กน้อยโปรยลงบนเนื้อปลา และเนื้อไก่ก่อนรับประทาน แล้วจะรู้ว่ามะนาวคือเส้นใยที่มหัศจรรย์ที่สุด เพราะมะนาวช่วยให้ระบบย่อยดีขึ้น และช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงด้วย

ถ้าสาวๆ อยากลดน้ำหนัก ยังมีผลการศึกษาของวิทยาลัย Journal of the America College of Nutrition รายงานว่า คาร์โบไฮเดรตที่พบในผิวเปลือกของมะนาว จะสามารถกำจัดความอยากกินให้ลดลงได้ถึง 4 ชั่วโมง เพราะเปลือกมะนาวเป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ที่ดีที่สุด ช่วยให้ระบบย่อยอาหารสามารถดูดซึมน้ำตาลได้เร็วยิ่งขึ้น หลังจากที่คุณกินคุณจะรู้สึกอิ่มไปอีกนานเลยทีเดียว

สูตรน้ำมะนาวลดความอ้วน

1. ดื่มน้ำมะนาวกับน้ำอุ่นทุก ๆ เช้า

เพื่อกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานดียิ่งขึ้น มะนาวเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด ไม่เพียงแต่จะดีสำหรับช่วยลดไข้ได้ แต่มันยังมีผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา แนะนำมาว่า ใครที่กินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีในปริมาณที่มาก จะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และจะช่วยให้น้ำหนักลดได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมะนาวยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมให้กักเก็บเอาไว้ในเซลล์ไขมัน ผลวิจัยยังแสดงอีกว่า แคลเซียมที่มีอยู่ในเซลล์ไขมันปริมาณมาก ๆ จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น

2. รับประทานผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 ชนิด

เพราะผักและผลไม้ทุกประเภท จะมีปริมาณแคลอรีที่น้อยมาก แต่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ เส้นใย และสารอาหารที่ครบครัน จะช่วยในการปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ช่วยให้ระบบประสาททำงานอย่างสงบลง

3. ปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด

โดยการบีบน้ำมะนาวลงไปในมื้ออาหารทุกมื้อ หรือผสมเปลือกมะนาวลงไปในซุปหรือสลัด และบีบมะนาวเพียงเล็กน้อยโปรยลงบนเนื้อปลา และเนื้อไก่ก่อนรับประทาน แล้วจะรู้ว่ามะนาวคือเส้นใยที่มหัศจรรย์ที่สุด เพราะมะนาวจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงด้วย


ที่มาข้อมูลและภาพ tsgclub.com



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #293 เมื่อ: เมษายน 10, 2014, 10:07:12 pm »

“ไหลบัว” ประโยชน์เหลือหลาย สายใยจากบัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    10 เมษายน 2557 18:41 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000034218-



  มีพืชผักหลายชนิดที่เราสามารถนำทุกๆ ส่วนมาใช้เป็นประโยชน์ได้ทั้งหมด ที่เราคุ้นเคยกันดีก็คือต้นกล้วย ที่ตั้งแต่ยอดมาจนราก แถมยังกิ่งก้านใบ ดอก ผล ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้ก็ยังมี “บัว” ที่เราก็สามารถใช้สอยประโยชน์ได้อย่างมากมาย
       
       หนึ่งในส่วนที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการประกอบอาหารก็คือ “ไหลบัว” ซึ่งหลายๆ คนคงยังสับสนอยู่บ้างระหว่าง “ไหลบัว” และ “สายบัว” ซึ่ง “108 เคล็ดกิน” มีข้อสังเกตง่ายๆ มาบอก
       
       “ไหลบัว” ที่เราพูดถึงกันนี้ บางคนอาจเรียกว่า “หลดบัว” ซึ่งเป็นส่วนของหน่อบัว หรือส่วนที่งอกออกมาและจะเจริญไปเป็นลำต้นใหม่ต่อไป ลักษณะของไหลบัวจะเป็นก้านยาวๆ สีขาวนวล ลักษณะแข็ง กดไม่ยุบ แตกต่างจาก “สายบัว” ซึ่งเป็นก้านของดอกบัว เวลาจะกินต้องนำมาลอกเปลือกนอกออกก่อน สีของสายบัวจะออกสีน้ำตาล เมื่อลอกเปลือกออกแล้วจะออกเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ อมเขียวอ่อน ถ้าบีบที่สายบัวจะยุบลงไป หรือเมื่อนำไปผัดหรือต้มก็จะนิ่ม
       
       ปัจจุบัน “ไหลบัว” ยังสามารถหาซื้อได้ตามตลาดสดใหญ่ๆ เมื่อซื้อมาแล้วก็นำมาล้างทำความสะอาด แล้วหั่นหรือเด็ดให้เป็นท่อนยาวพอคำ สำหรับนำไปปรุงอาหารต่อ แต่ตัวไหลบัวนั้นมีใยอยู่มาก เมื่อเด็ดหรือหั่นจะสังเกตเห็นสายใยที่ยืดยาวออกมา หากไม่กำจัดทิ้งไป เวลากินจะกินลำบาก เคล็ดลับการกำจัดเยื่อใยของไหลบัวคือ เมื่อเด็ดหรือหั่นเสร็จแล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้ แล้วใช้ตะเกียบมาคนวนในกะละมังให้ทั่ว (ใช้ตะเกียบไม้จะดีกว่า) จะเห็นว่ามีใยของไหลบัวติดออกมา ให้คนไปเรื่อยๆ จนกว่าใบไหลบัวจะไม่ติดขึ้นมา
       
       ส่วนสรรพคุณของไหลบัวนั้น ตามตำราสมุนไพรไทย ไหลบัวเป็นยาเย็นรสจืด สรรพคุณช่วยแก้อ่อนเพลียและบำรุงหัวใจ มีเส้นใยอาหารมาก จึงช่วยแก้โรคท้องผูกได้

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #294 เมื่อ: เมษายน 12, 2014, 07:32:37 pm »
ระวัง! 8 เมนูอันตราย เสี่ยงอาหารเป็นพิษช่วงสงกรานต์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    12 เมษายน 2557 16:03 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000041323-




เตือนประชาชนระวังภัยอาหารและน้ำช่วงเทศกาลสงกรานต์ เสี่ยงป่วยโรคอุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ จากเมนูอาหาร 8 ชนิด อาทิ อาหารปรุงจากกะทิ อาหารกล่อง แนะอาหารทะเลสดให้ปรุงสุก หลีกเลี่ยงการลวก พล่าสุกๆ ดิบๆ ชี้ช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงแล้ว 3 แสนรายเสียชีวิต 3 ราย แนะพ่อค้าแม่ค้าน้ำแข็งสำหรับบริโภคไม่ควรแช่รวมกับอาหารดิบจำพวกเนื้อสัตว์และอาหารทะเลชี้ความเย็นช่วยให้เชื้อโรคมีอายุนานขึ้น

        นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า สภาพอากาศร้อนอบอ้าว ในฤดูร้อน จะทำให้อาหารบูดเสียได้ง่าย ประชาชนมีความเสี่ยงเจ็บป่วยจากโรคระบบทางเดินอาหารสูงกว่าฤดูกาลอื่นๆ จากข้อมูลรายงานของสำนักระบาดวิทยา ตั้งแต่ 1 มกราคม - 7 เมษายน 2557 ทั่วประเทศพบผู้ป่วยอาหารเป็นพิษแล้ว 34,378 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต และพบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วง 330,485 ราย เสียชีวิต 3 ราย ดังนั้นในช่วงหยุดฉลองเทศกาลสงกรานต์ 12-16 เมษายน 2557 นี้ ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการรับประทานอาหารและน้ำดื่ม ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ปรุงเองที่บ้าน อาหารสั่งซื้อ หรือออกไปรับประทานอาหารตามร้านนอกบ้าน
       
        นพ.ณรงค์กล่าวว่า อาหารที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินอาหาร ประชาชนควรเพิ่มความใส่ใจเป็นพิเศษ ได้แก่ เมนูอาหาร 8 ชนิด ได้แก่ 1.อาหารปรุงด้วยกะทิ 2.ขนมจีน 3.อาหารทะเลสด 4.อาหารปรุงสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ ก้อย ยำ พล่า 5.อาหารถุง อาหารกล่อง อาหารห่อ 6.ส้มตำ 7.อาหารค้างมื้อ และ 8.น้ำดื่มและน้ำแข็ง โดยอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ ควรกินเฉพาะที่ปรุงสุกใหม่ หากเหลือแล้วไม่ควรเก็บไว้เพราะจะบูดเสียง่าย ส่วนเส้นขนมจีนที่ทำจากแป้งหมักมักจะเสียง่าย ไม่ควรทิ้งค้างคืน ผักสดที่กินกับขนมจีนต้องล้างให้สะอาด ในกลุ่มของอาหารทะเล ขอให้ปรุงสุก หลีกเลี่ยงการปรุงโดยวิธีลวกหรือพล่าสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะ กุ้ง หอย ปลาหมึก เช่นเดียวกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ หมู ไก่ และไข่ ส่วนประเภทอาหารถุง อาหารกล่อง หรืออาหารห่อพร้อมบริโภค ในการบรรจุควรแยกกับข้าวออกจากข้าว และควรรับประทานไม่เกิน 2-4 ชั่วโมงหลังจากปรุง
       
        ส่วนส้มตำซึ่งเป็นอาหารยอดฮิตทุกฤดูกาล ในฤดูร้อนต้องระวังให้มากเป็นพิเศษ เนื่องจากในส้มตำมีเครื่องปรุงส่วนประกอบมากมาย อาทิ ปลาร้า ปูดองดิบหรือต้มไม่สุก มะละกอดิบ มะเขือเทศ ผักดิบแกล้ม พริกขี้หนูที่ล้างไม่สะอาดหรือไม่ได้ล้าง อาจมีเชื้อโรคหรือสารเคมีตกค้าง หากแม่ค้าที่ไม่ใส่ใจความสะอาดและขาดสุขนิสัยที่ดี ล้วนนำมาสารพัดโรคได้ สุดท้ายคือน้ำดื่มและน้ำแข็ง ขอให้ดื่มน้ำบรรจุขวดที่มีเครื่องหมาย อย.รับรอง และเลือกขวดที่มีฝาปิดสนิท ส่วนน้ำแข็งควรเลือกชนิดบรรจุถุงที่มีเครื่องหมาย อย. หรือที่เรียกว่าน้ำแข็งหลอด และขอความร่วมมือพ่อค้าแม่ค้า ไม่ควรนำอาหารดิบจำพวกเนื้อสัตว์และอาหารทะเลรวมทั้งเครื่องดื่มกระป๋องแช่รวมในถังน้ำแข็งที่ใช้บริโภค เพราะจะทำให้น้ำแข็งปนเปื้อนเชื้อโรค และความเย็นยังช่วยให้เชื้อโรคมีชีวิตได้นานและแบ่งตัวได้ดีขึ้น
       
        ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เพื่อความปลอดภัยจากโรคระบบทางเดินอาหาร ขอแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติให้เป็นนิสัย 3 ประการ คือให้ “กินอาหารสุกร้อน ใช้ช้อนกลาง และต้องล้างมือเป็นประจำ” สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ขอให้พ่อแม่ดูแลเรื่องการกินอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเด็กวัยนี้นอกจากจะมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำแล้ว ยังดูแลตัวเองไม่เป็น กินและหยิบอาหารเข้าปากแบบไร้เดียงสา จึงมีโอกาสติดเชื้อง่าย


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #295 เมื่อ: เมษายน 13, 2014, 09:22:24 am »
บริเวณที่มีมลพิษทางอากาศ ดินไม่ดี มีสารเคมีเจือปนอยู่ ผักกูดจะไม่ขึ้น ในต้นผักกูดมีสารเบต้าแคโรทีนและธาตุเหล็ก
วันเสาร์ 12 เมษายน 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/229587/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%94+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-





ผักกูดเป็นพืชตระกูลเฟิร์นกินได้ มีเหง้า ใบเป็นแผงรูปขนนก ยอดอ่อนและปลายยอดม้วนงอแบบก้นหอย ชอบขึ้นบริเวณพื้นที่โล่งแจ้งมีน้ำชื้นแฉะ เป็นพืชดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อม บริเวณที่มีมลพิษทางอากาศ ดินไม่ดี มีสารเคมีเจือปนอยู่ ผักกูดจะไม่ขึ้น ในต้นผักกูดมีสารเบต้าแคโรทีนและธาตุเหล็ก คนไทยเมื่อครั้งอดีตนิยมใช้ใบผักกูดต้มน้ำดื่มเพื่อช่วยแก้ไข้ตัวร้อน แก้พิษอักเสบ บำรุงสายตา บำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง ป้องกันเลือดออกตามไรฟันและขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลในเม็ดเลือด ยอดอ่อนนิยมนำมาแกง ลวกจิ้ม ยำ  ผัก แต่ไม่นิยมกินสด ๆ เนื่องจากมียางเมือก.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #296 เมื่อ: เมษายน 14, 2014, 07:43:37 pm »
จำให้แม่น 4 คู่อาหาร “ต้านแก่”

-http://club.sanook.com/18197/%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99-4-%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-



เรื่องการกินอาหารนั้นใครว่าเป็นเรื่องเล็กๆ อยากกินอะไรก็กินๆไปเหอะ ชอบอะไรก็กินแบบนั้นอย่าลืมนะประโยคอมตะที่ว่า You are what you eat อาหารบางอย่างกินคู่กันแล้วเป็นพิษ แต่ในทางกลับกันบางอย่างเมื่อมาผสมกันแล้วกลับให้ผลลัพธ์ที่เลิศทวีคูณไม่เชื่อให้ลองดูการจับคู่ อาหารเหล่านี้….



โยเกิร์ตรสธรรมชาติ+กล้วย = ช่วยดูแลลำไส้ เมื่อกินกล้วยและโยเกิร์ตคู่กัน ร่างกายก็จะได้รับทั้งพรีไบโอติกและโพรไบโอติกพร้อมกัน ก็จะ เหมือนการชาร์จแบตเตอร์รี่เพิ่มพลัง



แอปเปิ้ล+องุ่น = ตัวช่วยของหัวใจ นักวิจัยชาวอิตาเลียนค้นพบว่า หากกินแอปเปิ้ลหนึ่งผลควบคู่ไปกับองุ่นสักหนึ่งกำมือ สารเควอร์ซิตินใน แอปเปิ้ลจะทำงานร่วมกับสารคาเตชินในองุ่น



เนื้อปลา+บร็อกโคลี่ = กินคู่นี้ไกลมะเร็ง เมื่อกิน อาหาร สองชนิดนี้คู่กัน ซีลีเนียมและซัลโฟ-ราเฟนจะช่วยยับยั้งการก่อตัวและการแพร่กระจาย ของเซลล์มะเร็ง ทำให้ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลดลงมากกว่าการกินเดี่ยวๆ ถึง 13 เท่า



ถั่วฝักยาว+พริกหวานสีแดง = ป้องกันโลหิตจาง อาหาร ที่มีธาตุเหล็กสูงอย่าง ถั่วฝักยาว คะน้า และ บร็อกโคลี่ แล้ว ควรกินผักที่มีวิตามินซีสูง มากอย่างพริกหวานสีแดง ควบคู่ไปด้วย เพราะหากไม่มีวิตามินซีร่างกายจะดูดซึมธาตุเหล็กจากผักไปใช้ได้ไม่ถึง 10%



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #297 เมื่อ: เมษายน 15, 2014, 09:27:47 am »
ร้อนนี้ “น้ำเก็กฮวย” ช่วยท่านได้

-http://club.sanook.com/28916/%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%AE%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2-


ร้อนนี้ “น้ำเก็กฮวย” ช่วยท่านได้

ตอนนี้ใครๆ ก็ต่างพากันบ่นว่าร้อนๆ ซึ่งแต่ล่ะคนก็มีตัวช่วยกันสารพัด ไม่ว่าจะเปิดพัดลม เปิดแอร์ เปิดกันเข้าไปให้หายร้อนซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือค่าไฟ ที่จะทำเอาเราช๊อกกันได้ แต่วันนี้เราเอาวิธีบรรเทา แก้ร้อนแบบง่ายสุดๆ ประหยัดเงิน มีประโยชน์ แถมได้กินอย่างเอร็ดอร่อยด้วยค่ะ



เชื่อว่าทุกคนที่กำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ต้องรู้จัก “น้ำเก็กฮวย” แน่นอนค่ะ แต่รู้ไหมคะว่าน้ำเก็กฮวยธรรมดาหน้าตาโบราณนี่ มีประโยชน์มาก และเหมาะกับหน้าร้อนบ้านเรามากๆ เพราะน้ำเก็กฮวยจะมีคุณสมบัติขับร้อน อีกทั้งยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีกด้วยค่ะ

น้ำเก๊กฮวย เป็นเครื่องดื่มทำจากดอกเก๊กฮวย (เบญจมาศสวน) ที่นำไปตากให้แห้งและนำไปต้มกับน้ำเดือดแล้วเติมน้ำตาลลงไป

วิธีทำคือ  นำดอกเก๊กฮวยอบแห้ง 5-10 ดอก ลงไปในหม้อกับน้ำประมาณ 2 ลิตร ต้มนาน 5 นาที แล้วกรองออก จะเติมน้ำตาลทรายหรือน้ำตาลกรวดลงไปเพื่อเพิ่มความหวาน หรือไม่ตามแต่ชอบ หรือจะเพิ่มความหอมโดยการใช้ใบชาหรือเตยลงไปด้วยก็ได้ รับประทานได้ทั้งร้อนและเย็น

ประโยชน์ของน้ำเก๊กฮวย  มีอยู่ด้วยกันหลายประการ นอกจากความหอมสดชื่นแก้กระหายแล้ว ยังเป็นยาเย็น ดับพิษร้อน แก้ร้อนใน ในตำราการแพทย์แผนจีน ช่วยในระบายและย่อยอาหาร ช่วยขยายหลอดเลือดแดงใหญ่ที่เลี้ยงหัวใจ ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดต่าง ๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง, โรคเส้นเลือดตีบ และโรคหัวใจได้ ช่วยขจัดสารพิษให้ออกจากร่างกาย ช่วยดูดซับสารก่อมะเร็งและจุลินทรีย์ต่าง ๆ

 

ที่มา : wikipedia

--------------------------------------------------------------------------------------


แค่จิบเครื่องดื่มให้ถูกจังหวะ ก็แก้ปัญหาสุขภาพได้แล้ว !

-http://health.kapook.com/view85450.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
           
          เครื่องดื่มถือว่าเป็นสิ่งที่ร่างกายขาดไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่า หรือเครื่องดื่มอีกสารพัดชนิดที่เราดื่มกันเป็นประจำ แล้วแต่เวลาไหนอยากจะดื่มอะไร แต่ทราบไหมคะว่า หากเราดื่มเครื่องดื่มให้ถูกจังหวะเวลาของมันสักนิด ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด แถมยังดีต่อสุขภาพแบบคูณ 2 อีกต่างหาก ว่าแล้วก็มาดูข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้จากเว็บไซต์ Huffington Post  ให้ชัด ๆ กันอีกทีดีกว่า เวลาไหนควรดื่มอะไร ตามมาดูกันเลย !



       
สร้างกล้ามเนื้อ ต้องดื่มนม
   
          ในน้ำนมมีโปรตีนอย่างเวย์โปรตีน และเคซีน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่สำคัญกับการสร้างกล้ามเนื้อของร่างกาย ดังนั้นหนุ่มสาวคนไหนอยากให้ร่างกายแน่นเปรี๊ยะไปด้วยกล้ามเนื้อ นมนี่ล่ะคือคำตอบ
           



อยากลดน้ำหนัก จัดชาเขียวสิ

          เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ชาเขียวสามารถช่วยให้เราลดน้ำหนักได้ผลเร็วขึ้น ด้วยการกระตุ้นระบบเมตาลอลิซึมให้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และหากคุณอยากลดน้ำหนักให้ได้ผลอย่างยั่งยืน ก็ต้องดื่มชาเขียวอุ่น ๆ วันละ 4 แก้วเป็นประจำนะจ๊ะ
 




เพิ่มความกระฉับกระเฉง ต้องนมช็อกโกแลตเลย
         
          ในเวลาที่ร่างกายอ่อนล้า ต้องการความสดชื่น เพื่อให้รู้สึกกระฉับกระเฉง แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าเย็น ๆ นมช็อกโกแลต หรือเครื่องดื่มชูกำลังทุกชนิดก็ได้ เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีส่วนผสมของโปรตีน โซเดียม และโพแทสเซียม ซึ่งจะช่วยเติมพลังให้เราหลังจากการเสียเหงื่อเยอะได้จ้า
 


หลังวิ่ง น้ำมะพร้าวสิเด็ด !
           
          นอกจากน้ำเปล่าเย็น ๆ สักขวดแล้ว หลังจากเหนื่อยหนักจากการวิ่งเป็นระยะเวลานาน เราควรดื่มน้ำมะพร้าวให้ชื่นใจด้วย เพราะน้ำมะพร้าวมีทั้งสารกระตุ้นร่างกาย ช่วยเพิ่มความอึด และความทนทาน และเป็นน้ำที่ให้พลังงานกับร่างกายได้พอ ๆ กับเครื่องดื่มชูกำลัง แต่มีปริมาณแคลอรี่ที่น้อยกว่าด้วย หรือคุณจะดื่มน้ำมะพร้าวก่อนเริ่มวิ่งสัก 1-2 ชั่วโมงก็ดี แล้วคุณจะวิ่งได้นาน 90 นาทีแบบไม่ค่อยรู้สึกล้าเท่าไรเลยล่ะ
 


น้ำขิง ช่วยบรรเทาอาการมวนท้อง
           
          ใครที่มักจะปวดท้องบ่อย ๆ เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรืออาหารไม่ย่อย รวมทั้งอาการปวดท้องจากประจำเดือน ลองดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ ดูสิ เนื่องจากน้ำขิงมีส่วนช่วยคลายอาการเกร็งของกล้ามเนื้อหน้าท้อง และช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ได้ด้วย
 


บรรเทาอาการหวัด ด้วยน้ำผึ้งมะนาว
           
          น้ำผึ้งมีสารช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย และอาการอักเสบ ส่วนมะนาวก็มีวิตามินซีสูงมาก เมื่อน้ำทั้ง 2 อย่างมารวมกันเป็นเครื่องดื่มอุ่น ๆ ไว้จิบในช่วงที่คุณป่วยเป็นไข้หวัด เชื้อไวรัสที่อยู่ในร่างกายก็จะถูกทำลายไป อาการไข้ก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ และหายไปในที่สุด
 



จิบน้ำผึ้งอุ่น แก้อาการไอ
           
          ใครที่กำลังมีอาการไอ ให้จิบเครื่องดื่มอุ่น ๆ อย่างน้ำผึ้งผสมน้ำร้อนเป็นประจำ เนื่องจากน้ำผึ้งมีส่วนช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก อีกทั้งความหวานของน้ำผึ้งยังช่วยขับน้ำลาย และเสลดในคอเราได้ด้วย ก็เลยส่งผลให้อาการไอลดน้อยลงด้วยนั่นเอง

 


ชาขมิ้น บรรเทาอาการเจ็บคอ
           
          อาการเจ็บคอมักจะมาพร้อมกับอาการไอ และไข้หวัด ซึ่งสิ่งที่ทำให้คุณเจ็บคอก็คือเชื้อไวรัส ที่ทำให้เกิดการอักเสบในคอนั่นเอง ดังนั้นเราก็เลยต้องจัดชาขมิ้น ซึ่งมีคุณสมบัติแก้อาการอักเสบ และกำจัดเชื้อแบคทีเรียให้ร่างกายสักหน่อย อาการเจ็บคอที่ทรมานอยู่จะได้หายไปนะจ๊ะ

 



กะทิ ลดอาการแสบร้อนในปาก จากอาหารเผ็ด
           
          เวลาที่กินอะไรเผ็ด ๆ เข้าไปมักจะเกิดอาการแสบร้อนปาก ทำให้เผ็ดไม่หายอยู่อย่างนั้น และต่อให้ดื่มน้ำเย็น ๆ เข้าไปมากเท่าไรความเผ็ดร้อนก็ไม่หายไปสักที ถ้าอย่างนั้นลองหาขนมหวานน้ำกะทิมากินดูสิคะ เพราะไขมันจากกะทิมีโปรตีนช่วยลดอาการเผ็ดร้อนได้ หรือจะลองดื่มนมที่มีแลคตินช่วยลดอาการแสบร้อนเนื่องจากความเผ็ดก็ได้จ้า
 




น้ำว่านหางจระเข้ แก้อาการท้องผูก
           
          สำหรับคนที่ท้องผูกเป็นประจำ ลองดื่มน้ำว่านหางจระเข้วันละ 1 แก้วเป็นอย่างต่ำดูสิจ๊ะ เพราะน้ำว่านหางจระเข้อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่จะช่วยปรับสมดุลในลำไส้ กระตุ้นระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นได้ง่าย ๆ เลยล่ะ
 



แก้ง่วงด้วยกาแฟ น้ำเปล่า และสไปรูลิน่า
           
          ตกบ่ายทีไรเป็นต้องง่วงจนตาจะปิดทุกที ยังงี้คงต้องหากาแฟสักแก้วมาดื่มกระตุ้นร่างกายสักหน่อย แต่หากใครไม่ใช่คอกาแฟ ก็สามารถดื่มน้ำเปล่าเย็นเจี๊ยบ หรือน้ำเปล่าผสมผงสาหร่ายสไปรูลิน่าสักหน่อยก็ได้ โปรตีนจากสาหร่ายชนิดนี้จะช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกายได้อีกเยอะเลยจ้า
 



นอนไม่หลับ ต้องจัดนมอุ่น ๆ และชาคาโมมายล์
           
          นมอุ่น ๆ มีโปรตีนและกรดอะมิโนที่สามารถกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนเมลาโธนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ ส่วนชาคาโมมายล์ก็ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกาย ช่วยให้คุณนอนหลับสบายไปตลอดทั้งคืนเชียวล่ะ
 



ลดความดันด้วยเลมอนบาล์ม
         
          เลมอนบาล์มเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่ช่วยผ่อนคลายร่างกาย และลดความดันโลหิต กระตุ้นระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ดังนั้นใครที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูงเกินปกติ ก็ลองดื่มชาเลมอนบาล์มบรรเทาอาการก่อนก็ได้ค่ะ
 


ดื่มน้ำเปล่าระหว่างมื้อ ช่วยย่อยอาหาร
           
          การดื่มน้ำระหว่างที่รับประทานอาหาร หรือหลังจากรับประทานอาหารอิ่ม สามารถช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารของเราได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การดื่มชาสมุนไพร เช่น ชามิ้นต์ หรือชาเปปเปอร์มิ้นต์ ก็สามารถกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้เราได้ด้วยเช่นกันจ้า

 


ดื่มนม-โยเกิร์ต แก้เผ็ด
           
          อย่างที่บอกไปว่า โปรตีน และไขมันจากนมสามารถลดอาการเผ็ดของอาหารได้เป็นอย่างดี เนื่องจากโปรตีนและไขมันเหล่านี้ จะไประงับสารแคปไซซิน สารที่ให้รสเผ็ดในพริก ดังนั้นต่อให้กินอาการเผ็ดร้อนแค่ไหน แต่ถ้าตบท้ายด้วยการดื่มนม หรือกินโยเกิร์ต อาการเผ็ดร้อนก็จะหายไปอย่างรวดเร็วจนแทบไม่รู้สึกเลยล่ะ ไม่เชื่อลองดูสิ
 




เมาแฮ้งค์ กล้วยปั่นช่วยได้
           
          นักปาร์ตี้ที่มักจะตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดหัวตุบ ๆ เนื่องจากอาการแฮ้งค์ แนะนำให้ดื่มน้ำเย็น ๆ สักแก้ว หรือถ้ายังไม่รู้สึกดีขึ้น ลองหาน้ำส้มคั้น หรือน้ำกล้วยปั่นมาดื่มก็ได้ เพราะในน้ำผลไม้เหล่านี้จะมีโพแทสเซียม น้ำตาล และอิเล็กโทรไลต์ ซึ่งช่วยให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
 


น้ำเปล่า ลดกลิ่นปาก
           
          เครื่องดื่มประเภทกาแฟ นม หรือน้ำผลไม้บางชนิดมีกลิ่นแรง และมักจะติดปากเราไปตลอด ซึ่งหากต้องการดับกลิ่นปาก และทำให้ลมหายใจสดชื่น ต้องดื่มน้ำเปล่า หรือบีบน้ำมะนาวลงไปในน้ำเปล่าด้วยก็ได้ ซึ่งนอกจากจะได้ล้างคราบกลิ่นเหม็น ๆ ในช่องปากแล้ว ยังช่วยกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัวอีกด้วยนะจ๊ะ
 



ขจัดความหิวด้วยนม
           
          การดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหารสามารถช่วยให้เรารู้สึกอิ่มเร็วขึ้น แต่นั่นก็ต้องแลกกับการหิวบ่อยด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากคุณกำลังอยู่ในช่วงไดเอต และไม่อยากกินเยอะ ทุกครั้งที่รู้สึกหิวในระหว่างวัน แนะนำให้ดื่มน้ำแคลอรี่ต่ำสักกล่อง ให้โปรตีนและความหวานของนมช่วยลดความหิวของคุณก็ดีจ้า
 


เบกกิ้งโซดา

บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ด้วยเบกกิ้งโซดา
           
          เบกกิ้งโซดาประมาณ 1/2 ช้อนชา ผสมกับน้ำเย็น 1 แก้วเต็ม คนให้เข้ากัน แล้วนำมาดื่ม เป็นสูตรเครื่องดื่มช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเบกกิ้งโซดามีโพรไบโอติกที่ช่วยย่อยอาหาร ลดแก๊สในกระเพาะ ทำให้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อลดลงนั่นเอง
 

          ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่า ปัญหาสุขภาพบางอย่างก็สามารถบรรเทาได้ด้วยเครื่องดื่มง่าย ๆ ที่เราดื่มกันเป็นประจำทุกวัน เพียงแค่เราต้องเลือกดื่มเครื่องดื่มให้ถูกจังหวะเวลาเท่านั้นเองเนอะ

http://health.kapook.com/view85450.html


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #298 เมื่อ: เมษายน 22, 2014, 06:12:06 am »
ผลไม้ไทย 30 ชนิด มีฤทธิ์ทำลายตัวก่อโรคมะเร็ง

-http://guru.sanook.com/26965/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-30-%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87/-




   กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ขณะนี้คนไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับสารอนุมูล อิสระ เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด

        ทั้งนี้ สารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยวิตามินซี ซึ่งละลายน้ำได้ ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ส่วนวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ และวิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันที่อยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์ ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก และมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพด้านอื่นๆ ได้แก่ ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการเสื่อมของตา เนื่องจากสูงอายุ และต้อกระจก รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิดและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ อย่างดี

         ทั้งนี้กรมอนามัยได้ศึกษาแหล่งอาหารไทยที่มีสารต้านอนุมูลอิสระทั้ง 3 ชนิด พบว่า

ผลไม้ที่พบสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ

   มะม่วงน้ำดอกไม้สุกมี 873 ไมโครกรัม
   มะเขือเทศราชินีมี 639 ไมโครกรัม 
   มะละกอสุก 532 ไมโครกรัม
   แคนตาลูป 217 ไมโครกรัม
   มะปรางหวาน 230 ไมโครกรัม
   มะยงชิด 207 ไมโครกรัม
   สับปะรดภูเก็ต 150 ไมโครกรัม
   แตงโม 122 ไมโครกรัม
   ส้มสายน้ำผึ้ง 101 ไมโครกรัม 
   ลูกพลับ 93 ไมโครกรัม

ผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด 10 อันดับแรก คือ

   ขนุนหนัง 2.38 มิลลิกรัม
   มะขามเทศ 2.29 มิลลิกรัม
   มะม่วงเขียวเสวยดิบ 1.52 มิลลิกรัม
   มะเขือเทศราชินี 1.34 มิลลิกรัม
   มะม่วงเขียวเสวยสุก 1.23 มิลลิกรัม
   มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 1.1 มิลลิกรัม
   มะม่วงยายกล่ำสุก 0.97 มิลลิกรัม
   กล้วยไข่ 0.47 มิลลิกรัม
   แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 0.59 มิลลิกรัม
   สตรอเบอรี่ 0.54 มิลลิกรัม

ส่วนผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ

   ฝรั่งกลมสาลี่ 187 มิลลิกรัม
   ฝรั่งไร้เมล็ด 151 มิลลิกรัม
   มะขามป้อม 111 มิลลิกรัม
   มะขามเทศ 97 มิลลิกรัม
   เงาะโรงเรียน 76 มิลลิกรัม
   ลูกพลับ 73 มิลลิกรัม
   สตรอเบอรี่ 66 มิลลิกรัม
   มะละกอแขกดำสุก 55 มิลลิกรัม
   พุทธาแอปเปิล 47 มิลลิกรัม   
   ส้มโอขาวแตงกวา 48 มิลลิกรัม

ข้อมูลจาก : -http://apilosonmd.igetweb.com/-


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #299 เมื่อ: เมษายน 22, 2014, 10:37:45 pm »
“งาขี้ม่อน” เมล็ดเล็กจิ๋ว คุณภาพคับแก้ว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 เมษายน 2557 17:04 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000044781-



หากใครที่เป็นชาวเหนือ คงจะรู้จัก “งาขี้ม่อน” กันเป็นอย่างดี แต่สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จัก หรือไม่เคยได้ยินชื่อ “108 เคล็ดกิน” มีของดีเม็ดเล็กๆ จะมากระซิบบอกกัน
       
       เพราะ “งาขี้ม่อน” หรือ “งาม้อน” มีสรรพคุณทางยามากมาย แต่ก่อนอื่นนั้น เราไปเริ่มต้นทำความรู้จักเจ้างาขี้ม่อนกันก่อน
       
       “งาขี้ม่อน” หรือ “งาม้อน” เป็นพืชจำพวกเดียวกับกะเพรา โหระพา ใบแมงลัก พบว่าปลูกอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยมานานแล้ว เมล็ดของงาขี้ม่อนจะมีขนาดเล็กๆ กลมๆ ขนาดใกล้เคียงกับเมล็ดงา คนภาคเหนือจะนำไปแปรรูปได้หลายอย่าง อาทิ ทำเป็นงาขี้ม่อนแผ่น (คล้ายๆ กับถั่วตัด) นำไปคั่ว นำไปคลุกกับข้าวเหนียว หรือผสมกับข้าวหลามเป็นข้าวหลามงาขี้ม่อน แล้วก็ยังมีการนำมาทำเป็นชางาขี้ม่อน หรือในช่วงหลังๆ มีการดัดแปลงนำมาทำเป็นคุกกี้งาขี้ม่อน ทำให้สามารถหากินได้ง่ายมากขึ้น
       
       “งาขี้ม่อน” มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง มีฟอสฟอรัสและแคลเซียมสูง อุดมไปด้วยวิตามินบี และมีสารเซซามอล ที่เชื่อกันว่ามีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งและทำให้ร่างกายแก่ช้าลง
       
       สรรพคุณของงาขี้ม่อน หากกินเมล็ดจะช่วยชูกำลัง ทำให้ร่างกายอบอุ่น แก้ท้องผูก ลดไขมันในเลือด ส่วนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาช่วยต้านแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา เป็นยาระบาย ลดบวม ลดอุณหภูมิร่างกาย ลดระดับคอเลสเตอรอล ลดไตรกลีเซอไรด์
       
       นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยออกมาล่าสุด พบว่า ในน้ำมันงาขี้ม่อน มีทั้งโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย หากพูดถึงโอเมก้า 3 หลายคนอาจจะนึกถึงน้ำมันปลาที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง แต่คนที่อยู่ตามยอดดอยต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลทะเล ก็ไม่ได้ขาดโอเมก้า 3 เพราะว่าได้รับมาจากงาขี้ม่อนนั่นเอง





คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)